Thursday, January 17, 2013

17/01/2013 * ดอลลาร์ สรอ เยน ป่วนโลก นักลงทุนรายย่อยไทยจะทำอย่างไร

ค่าเงินบาทจากกราฟรายสัปดาห์ (weekly chart) จะเห็นว่าค่าเงินบาทอยู่ในช่อง SEC (standard error channel) ขาขึ้น (คือแนวโน้มเงินบาทอ่อนค่า) มาประมาณ 2 ปี เพิงจะหลุดกรอบมาเมื่อปลายปี 2012 นี่เอง ซึ่งเป็นช่วงที่อเมริกาออก QE 3 แปลว่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่ามาตั้งแต่ช่วงกลางปีถึงปลายปี 2012 แล้ว  


กราฟค่าเงินบาทที่เป็นกราฟรายวัน จะเห็นว่าเมื่อสองวันก่อนเงินบาทแข็งค่าอย่างฉับพลัน เกิดแท่งเทียนดำใหญ่ (big black candle) สองแท่ง เป็นสัญญาณว่าเงินบาทอาจแข็งค่าต่อไปได้อีก


ช่วงนี้ลุงแมวน้ำไม่ค่อยได้อัปเดตเว็บบล็อก เพราะว่ามัวไปยุ่งกับอีคอมเมิร์ซ ใครมาเห็นโขดหินของลุงแมวน้ำจะต้องตกใจ เพราะว่าหาตัวลุงแมวน้ำไม่เจอ เนื่องจากเห็นแต่สินค้าวางกองเต็มไปหมด ส่วนลุงแมวน้ำก็จมอยู่ในกองสินค้านั่นเอง ขอเวลาอีกสักนิด เรื่องราวใกล้ลงตัวแล้ว อีกหน่อยก็จะมีเวลามากขึ้นและสามารถอัปเดตเว็บบล็อก คุยเรื่องราวต่างๆได้มากขึ้น ^__^

แต่ถึงแม้ว่าจะห่างจากการอัปเดตเว็บบล็อกไปบ้าง แต่เมื่อมีประเด็นที่ลุงแมวน้ำคิดว่าสำคัญ ลุงแมวน้ำก็จะพยายามอัปเดตทางเฟซบุ๊ก มีอะไรก็ไม่ทิ้งกันอยู่แล้ว

ช่วงนี้มีประเด็นร้อนอีกแล้ว นั่นคือเรื่องค่าเงินบาท ที่จริงในปีที่แล้ว 2012 ตั้งแต่สหรัฐอเมริกาออกมาตรการ QE 3 ก็คาดการณ์กันได้แล้วว่าต่อไปเงินดอลลาร์อเมริกัน จะอ่อนค่าลงไปอีก และเงินตราสกุลอื่นๆจะแข็งค่าขึ้นมา รวมทั้งเงินบาทก็มีแนวโน้มจะแข็งค่าด้วย แต่เนื่องจากในปีที่แล้ว สถานการณ์ค่าเงินบาทของเราดูยาก เพราะต้นปีเงินบาทอ่อน กลางปีเงินบาทแข็ง ปลายปีเงินบาททรงตัว ก็เลยดูเหมือนว่าค่าเงินบาทไม่ค่อยมีอะไรมาก

แต่ในความเป็นจริงแล้วในปี 2012 มีทุนต่างชาติไหลเข้ามามาก ส่วนใหญ่เข้าไปอยู่ในตลาดตราสารหนี้ แต่ที่ดูเงินบาทผันผวนไม่มากสาเหตุหนึ่งก็เพราะว่าธนาคารแห่งประเทศไทยมีการรักษาดุลยภาพของเงินบาท โดยมาตรการส่วนหนึ่งก็คือการผ่อนคลายให้ทุนไทยออกไปลงทุนนอกประเทศได้มากยิ่งขึ้น ดังนั้นแม้มีเงินดอลลาร์ สรอ ไหลเข้ามาแต่ก็มาเงินที่ไหลออกไปมากเช่นกัน ดังนั้นอัตราแลกเปลี่ยนจึงไม่หวือหวานัก

แต่อย่างไรก็ดี ตั้งแต่ต้นปี 2013 ที่ผ่านมา ค่าเงินบาทเปลี่ยนแปลงค่อนข้างเร็วทีเดียว สถานการณ์ช่วงนี้ไม่ค่อยปกตินัก เนื่องจากตามปกติหากเงินดอลลาร์ สรอ อ่อนค่า เงินสกุลหลักอื่น เช่น ยูโร เยน ฯลฯ จะแข็งค่า เพราะอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเรื่องที่สัมพันธ์กัน คือเป็นเชิงเปรียบเทียบ สกุลหนึ่งอ่อน ก็ต้องมีบางสกุลแข็ง รวมทั้งเมื่อดอลลาร์ สรอ อ่อนค่า ราคาทองคำก็มักพุ่งสูงขึ้น

แต่มาในช่วงนี้ สถานการณ์กลับผิดแผกไปจากที่เคยเป็นมา นั่นคือ ดอลลาร์ สรอ อ่อนค่า อันเป็นผลจากมาตรการ QE 3 และ QE 4 (QE 4 คือมาตรการซื้อพันธบัตรที่ขยายมาจากโครงการ operation twist ที่หมดอายุไปแล้ว บางคนก็เรียกขำๆว่า QE 4) แต่ขณะเดียวกัน เงินเยนก็อ่อนค่าลงด้วย เนื่องจากญี่ปุ่นก็ออกมาตรการ QE ฉบับซามูไรด้วยเช่นกัน คือยอมเป็นหนี้สาธารณะเพิ่ม ขอเอาเงินอนาคตมาใช้เพื่อเอาตัวรอดในตอนนี้ไปก่อน ว่าแล้วก็อัดฉีดเงินรอบล่าสุด ประมาณ 1 แสนล้านดอลลาร์ สรอ ที่จริงธนาคารกลางของญี่ปุ่นอัดฉีดสภาพคล่อง หรือใช้มาตรการ QE มาหลายรอบแล้ว การอัดฉีดครั้งใหม่เมื่อต้นปีนี้น่าจะเป็นรอบที่ 10 ซึ่งผลจากการแทรกแซงตลาดด้วยการพิมพ์เงินเพิ่มใส่เข้ามาทำให้เงินเยนอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็วในช่วงปลายปี 2012

นอกจากนี้ ในช่วงปลายปี ราคาทองคำก็ยังดิ่งลงจนไปเทรดกันที่ประมาณ 1600 ดอลลาร์ สรอ กว่าๆ สถานการณ์จึงกลายเป็นว่าเงินดอลลาร์ สรอ อ่อน เงินเยนอ่อน ราคาทองคำอ่อน

ทางด้านเงินยูโรจึงแข็งค่าขึ้นมา เนื่องจากดังที่บอกแล้วว่าเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเรื่องสัมพัทธ์ เงินบางสกุลอ่อนก็ต้องมีบางสกุลแข็ง แต่เนื่องจากกลุ่มยูโรโซนที่ใช้เงินยูโรเองก็มีฐานะทางเศรษฐกิจอ่อนแอ ธนาคารกลางของยุโรปก็ใช้มาตร QE เช่นกัน โดยออกมาในรูปการอัดฉีดสภาพคล่องแก่ประเทศสมาชิกที่มีปัญหาด้วยการเข้าไปช่วยซื้อพันธบัตรเอาไว้ เงินยูโรก็ต้องพิมพ์เงินเพิ่มเพื่ออัดฉีดประเทศที่มีปัญหา ดังนั้นเงินยูโรควรจะอ่อนค่า แต่ที่แข็งค่าขึ้นมาเพราะว่าดอลลาร์กับเยนอ่อน แต่ด้วยปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจยุโรปเองทำให้เงินยูโรแข็งค่าไปไม่ได้มากนัก


ค่าเงินดอลลาร์ พิจารณาจาก USD index (ดัชนีดอลลาร์ สรอ) เงินดอลลาร์อเมริกันอ่อนค่าอย่างรวดเร็ว เกิดแท่งเทียนดำใหญ่ (blig black candle) บ่งบอกว่าค่าเงินดอลลาร์ สรอ อาจอ่อนลงไปได้อีก


เมื่อมีข้อจำกัดเช่นนี้ ผลก็คือเงินสกุลหลักกับทองคำพากันอ่อน เงินสกุลรองก็ต้องแข็งค่าขึ้นมา และนั่นเองคือสาเหตุที่ทำให้เงินตราสกุลต่างๆทยอยแข็งค่าขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเงินปอนด์อังกฤษ ฟรังก์สวิส โครนกับโครนาของยุโรป ดอลลาร์ออสเตรเลีย ไล่ไปจนถึงเงินสกุลเอเชีย คือ บาท ดอลลาร์สิงคโปร์ วอนเกาหลี ฯลฯ

นักลงทุนหนีจากการถือเงินสกุลที่อ่อนไปถือเงินสกุลที่แข็งกว่า เพื่อรักษาค่าของสินทรัพย์ของตนเองเอาไว้ ดังนั้นเงินจึงไหลออกจาดอลลาร์ เยน ไปสู่เงินตราสกุลอื่น ซึ่งไทยเองก็ได้รับผลจากการไหลของเงินตราด้วยเช่นกัน โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่วันมานี้

ถามว่าเงินต่างชาติเข้ามาแล้วทำอะไร เงินเหล่านี้ก็เข้ามาลงทุน หากเป็นเงินเพื่อการลงทุนในภาคเศรษฐกิจจริงก็อยู่นานหน่อย แต่หากเป็นเงินพวกหนีร้อนมาพึ่งเย็น หรือว่าพาเงินมาพักชั่วคราว พวกนี้จะไม่ลงทุนในภาคเศรษฐกิจจริง แต่จะลงทุนในตลาดรอง นั่นคือ ตลาดตราสารหนี้กับตลาดหุ้นนั่นเอง

แล้วต่างชาติได้ผลตอบแทนอะไรบ้าง ได้หลายอย่างเชียวแหละ อย่างแรกคือรักษามูลค่าสินทรัพย์ของตนเองเอาไว้ไม่ให้ด้อยค่าลง ข้อต่อมาก็คือได้กำไรจากผลตอบแทนในตลาดหุ้นหรือตลาดพันธบัตร และเมื่อตอนขายเงินลงทุนออกไปก็ยังได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนอีก

ตอนนี้เงินต่างชาติไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยจริงหรือเปล่า ลองดูข้างล่างนี้


กราฟและตารางแสดงปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้น เปรียบเทียบกับอัตราแลกเปลี่ยน จะเห็นในในช่วงไม่กี่วันมานี้มูลค่าการซื้อขายหุ้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นระดับ 5-6 หมื่นลล้านบาทต่อวัน พร้อมกับเงินบาทที่แข็งค่าอย่างรวดเร็ว แสดงว่ามีเงินทุนไหลเข้ามาในตลาดหุ้น


แล้วนักลงทุนไทยรายย่อยควรทำยังไง เงินทุนที่ไหลเข้ามาทำให้ตลาดหุ้นขึ้น ถ้าหากมองด้วยทฤษฎีคลื่นของอีเลียต ก็คือการที่ตลาดเข้าสู่คลื่น 3 หรือคลื่น 5 นั่นเอง นักลงทุนก็ควรรู้ว่าต้องทำอย่างไร

แล้วถ้าเงินทุนไหลกลับออกไปล่ะ จะให้ทำยังไง ปกติเงินทุนก็เข้าๆออกๆอยู่แล้ว หากไม่ถึงกับทำให้ตลาดเสียหายก็ว่ากันไปตามแนวโน้ม แต่หากเงินทุนต่างชาติจำนวนมากขายหุ้นออกไปอย่างต่อเนื่อง ตลาดหุ้นก็ต้องกลับทิศเป็นขาลงอยู่แล้ว และนั่นก็เทียบได้กับการเข้าสู่คลื่น 4 หรือคลื่น A นั่นเอง ถึงตอนนั้นก็ต้องทำตามหลักการลงทุนในคลื่นขาลง ตลาดไม่ได้ขึ้นตลอดกาล มีขึ้นก็มีลง เงินต่างชาติเข้ามามากทำให้ตลาดหุ้นขึ้นได้ ตอนออกก็ทำให้ตลาดลงได้เช่นกัน ถือว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่นักลงทุนต้องรับมือให้ได้ เพราะตลาดหุ้นคือเกมที่มีผู้แพ้และผู้ชนะ คนหนึ่งได้เงิน อีกคนต้องเสียเงิน


เปรียบเทียบเงินตราบางสกุล และทองคำ สังเกตว่าช่วงนี้เยนอ่อนค่าอย่างผิดหูผิดตา นั่นคือผลจากมาตรการ QE ฉบับซามูไร และการแทรกแซงค่าเงิ


ลุงแมวน้ำเคยเขียนถึงเรื่องการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์หรือในกองทุนต่างประเทศที่เป็นเงินดอลลาร์ สรอ ในยามเงินดอลลาร์อ่อนมาแล้ว ขอสรุปอีกทีว่า ยามดอลลาร์ สรอ อ่อน ทรัพย์สินที่เราลงทุนเป็นเงินดอลลาร์ คือคำนวณค่าอิงกับเงินดอลลาร์ สรอ ทรัพย์สินนั้นจะราคาไม่ค่อยขึ้น 


เปรียบเทียบเงินตราบางสกุล และทองคำ สังเกตว่าราคาทองคำที่เป็นเงินดอลลาร์ สรอ ขึ้นไป 9.64% แต่ราคาทองคำที่เป็นเงินบาท ทั้งของฟิวเจอร์ส กองทุน ที่ไม่ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินได้กำไรน้อยกว่ากองทุนที่ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน


การลงทุนที่อิงกับเงินดอลลาร์ สรอในช่วงดอลลาร์อ่อนตัวนั้นเราจะเสียเปรียบอัตราแลกเปลี่ยน กำไรมากจะกลายเป็นกำไรน้อย กำไรน้อยจะกลายเป็นขาดทุน แต่หากลงทุนในกองทุนที่ป้องกันความเสี่ยงจะได้กำไรเต็มเม็ดเต็มหน่วย และต้องไม่ลืมว่าในทางร้าย หากขาดทุนผลขาดทุนก็เต็มเม็ดเต็มหน่วยด้วยเช่นกัน

การซื้อทองคำแท่งก็ลงทุนเป็นเงินบาท สู้กองทุนทองคำที่ป้องกันเสี่ยงไม่ได้เช่นกัน และนอกจากนี้ ช่วงนี้ยางพาราก็เข้าข่ายในด้วย คือราคายางตลาดโลกขึ้นแต่ยางไทยได้กำไรไม่มาก เพราะราคายางของไทยอิงกับราคายางตลาดโตคอมที่เป็นเงินเยน ตอนนี้เยนอ่อน ผลก็จะคล้ายๆกัน

ลองติดตามค่าเงินบาทในวันนี้ (17/01/2013) หากเกิดแท่งเทียนดำใหญ่อีกหนึ่งแท่งจะเข้ารูปแบบ 3 black crows ซึ่งอาจหมายถึงการแข็งค่าโลดของเงินบาท ตามดูกันนะคร้าบ ^__^






Monday, December 31, 2012

31/12/2012 * เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ สุขีปีใหม่ เรื่องประทับใจ

บุฟเฟต์อลังการ มื้อเคาต์ดาวน์ ราคาตั้งแต่ 500 บาทไปจนถึง 300,000 บาทต่อหัว สะท้อนถึงกำลังในการบริโภค

การลงทุน เชื่อกันว่าเป็นวิถีแห่งความร่ำรวยในโลกทุนนิยม ดังนั้นจึงมีผลิตภัณฑ์ต่างๆที่เกี่ยวกับความร่ำรวยจากการลงทุนออกมามากมาย


วันนี้เป็นวันสิ้นปี 2012 ปีปัจจุบันกำลังจะจากไป ปีใหม่ 2013 กำลังย่างกรายมา

ยังดีที่โลกไม่แตกเสียก่อนเมื่อวันที่ 21/12/2012 ลุงแมวน้ำขุดรูอยู่ที่ข้างโขดหินเตรียมไว้แล้ว ตั้งใจว่าหากโลกแตกก็จะหนีลงรู ขอหลบไปตั้งหลักก่อน แต่เมื่อไม่แตกก็คงไม่ต้องใช้ ^__^ และก็ดีที่โลกไม่แตก ไม่อย่างนั้นลุงแมวน้ำคงไม่ทันได้เห็นดัชนีตลาดหุ้นไทยทะลุ 1400 จุด แม้ว่าจะยังยืนไม่อยู่ก็ตาม แต่ก็ดีที่ได้เห็นละน่า

ตลอดปีที่ผ่านมานี้ลุงแมวน้ำก็วุ่นวายหลายอย่าง ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน ถึงคราวจะวุ่นก็หาเวลาว่างไม่ได้เลย ถึงคราวจะว่างก็หาอะไรทำไม่ได้เลยก็มี แต่ปีนี้ส่วนใหญ่จะไปทางวุ่นเสียมากกว่า แมวน้ำขวัญใจมหาชนก็แบบนี้แหละ ^__^

ขณะนี้ย่านสยามสแควร์ ราชดำริ ราชประสงค์ มีการตกแต่งประดับไฟอย่างอลังการ ได้ข่าวมาว่าคืนวันสิ้นปีนี้จะปิดถนนพระราม 1 ตั้งแต่หน้าสนามกีฬาไปจนถึงชิดลม และปิดถนนราชดำริตั้งแต่แยกประตูน้ำไปจนถึงเอยูเอ เพื่อใช้เป็นถนนคนเดินฉลองเคาต์ดาวน์ ลุงแมวน้ำเองก็ยังไม่มีโอาสได้ไปดูเลยแต่หลายๆคนบอกว่างามตระการตามาก โดยเฉพาะคืนวันสิ้นปีคงยิ่งงามเป็นพิเศษ

ตลอดปีที่ผ่านมาลุงแมวน้ำสังเกตเห็นว่าประชาชนมีการบริโภคที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นี่ดูจากตัวเลขทางเศรษฐกิจด้วยและจากการสังเกตของลุงแมวน้ำเองด้วย พบว่าประชาชนกล้าจับจ่ายใช้สอย เห็นได้ชัดๆก็จากโครงการรถคันแรกที่มีผู้สมัครเข้าใช้สิทธิ์เพื่อซื้อรถใหม่มากมาย รวมทั้งหากไปตามต่างจังหวัดก็จะเห็นโครงการบ้านจัดสรรและคอนโดมีเนียม ผุดขึ้นในต่างจังหวัดในอัตราที่ไม่เคยเห็นมาก่อน อย่างเช่น ขอนแก่น อุดรธานี มีการก่อสร้างเยอะมากทีเดียว และจากการสังเกตตามร้านอาหารต่างๆ โดยเฉพาะร้านอาหารในห้างสรรพสินค้า ร้านเหล่านี้คนแน่นตลอด บางร้านคนไปเข้าคิวกันราวกับมีงานบุญแจกอาหารฟรี เหล่านี้ล้วนสะท้อนภาพให้เห็นว่าประชาชนมีการบริโภคที่เพิ่มมากขึ้น

และข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งที่ลุงแมวน้ำอยากพูดถึงก็คือ เทศกาลฉลองเคาต์ดาวน์ในคืนวันสิ้นปี 2012 ซึ่งก็คือคืนนี้นั่นเอง ลุงแมวน้ำอ่านหนังสือพิมพ์เห็นโฆษณาอาหารค่ำหรือดินเนอร์ฉลองเคาต์ดาวน์ตามโรงแรมและห้องอาหารต่างๆในราคาที่น่าตื่นตาตื่นใจ

ลุงแมวน้ำอ่านหนังสือพิมพ์ ดูราคาบุฟเฟต์มื้อเคาต์ดาวน์ไปเรื่อยๆ ที่ถูกที่สุดราคาประมาณ 500 บาทต้นๆ จากนั้นก็เป็นราคาเกือบๆ 1,000 บาท กลุ่มนี้ถือว่าราคาถูกสุดเท่าที่เห็นแล้ว ถัดจากนั้นก็เป็นกลุ่มราคาหลักพัน ก็อ่านไปเรื่อง มี 1,800 บาท, 2,500 บาท, 3900 บาท, 4900 บาท โอ๊ะ ชักจะแพงแฮะ

ยังไม่หมด อ่านไปอีก 6,500 บาท, 7,800 บาท, 9,500 บาท จากนั้นก็โดดไปที่ 15,000 บาท, 25,000 บาท แล้วก็ 30,000 บาทขึ้นไปก็มี อูย เขากินอะไรกันเนี่ย คำตอบก็คือกินบรรยากาศ ไม่ได้กินแต่อาหาร แปลว่าบรรยากาศราคาแพงมากเลยล่ะสิ ทำไมบรรยากาศแถวโขดหินของลุงแมวน้ำไม่แพงอย่างนี้บ้างนะ ^__^

ยังไม่หมด สุดท้ายอ่านไปพบดินเนอร์บุปเฟต์ฉลองเคาต์ดาวน์ ในราคาระดับสุดไฮโซ แถวย่านราชประสงค์ ราคาหัวละ 300,000 บาท ลุงแมวน้ำแสดงละครสัตว์ตลอดปีจนปวดหลังยังเก็บค่าทิปไปซื้อบุตเฟต์นี้ไม่ได้เลย แต่ถึงซื้อได้เขาก็อาจไม่ให้เข้า เพราะว่าคงกลั่นกรองลูกค้า เมื่อดูจากราคาอาหารที่เพิ่มมากขึ้นแสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการย่อมมั่นใจในกำลังซื้อและกำลังการบริโภค ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าตั้งราคากันแบบนี้



เมื่อมีการบริโภคมากขึ้น แน่นอน เศรษฐกิจก็ย่อมดีขึ้น จีดีพีก็ย่อมสูงขึ้น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเศรษฐกิจส่วนตัวของแต่ละคนจะดีขึ้นไปด้วย หลายๆคนที่มีกำลังซื้อในปัจจุบันนี้ก็เพราะเอาเงินในอนาคตมาใช้ พูดง่ายๆก็คือกู้เขามาจับจ่ายใช้สอยนั่นเอง ดังนั้นบางคนที่เราเห็นแต่งตัวหรู อยู่คอนโดแพงๆ แต่ที่จริงแล้วอาจจะหมุนเงินจากบัตรเครดิตมือเป็นระวิง รูดใบนั้นมาจ่ายใบนี้ รูดใบนี้มาจ่ายใบโน้น ก็ย่อมเป็นไปได้

ความเป็นอยู่หรือว่าไลฟต์สไล์นั้นสังคมยอมรับกันว่าเป็นเครื่องหมายบ่งบอกถึงฐานะหรือว่าเป็น symbol of status การที่จะยกระดับชั้นทางเศรษฐกิจของตนเองให้มีสถานะสูงขึ้นได้ก็จำเป็นจะต้องมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นผู้ที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจทุนนิยมจึงมักมีเป้าหมายในการแสวงหาความร่ำรวย ทั้งนี้ เพราะค่านิยมของสังคมในระบบทุนนิยมหล่อหลอมให้คิดว่าเป้าหมายของชีวิตคือการมีสถานะทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้น ดังนั้นคนเราส่วนใหญ่จึงดิ้นรนไขว่คว้าหาความรวย รวย และรวย คนรุ่นก่อนมีเป้าหมายในชีวิตคือความสุข และถือว่าความรวยคือวิธีที่จะได้มาซึ่งความสุข ดังนั้นจึงไขว่คว้าหาความร่ำรวย แต่คนรุ่นใหม่กลับมองว่าเป้าหมายในชีวิตคือความร่ำรวย และใช้การทำมาหากินกับลงทุนเป็นวิธีในการที่จะได้มาซึ่งความร่ำรวย แต่ละคนจึงทำงานหนัก มีชีวิตที่เร่งรีบ วุ่นวายกับการทำมาหากินและการลงทุน โดยลืมคิดไปว่าเมื่อรวยแล้วได้อะไรตอบแทนมาบ้าง บางคนรวยแล้วได้สิ่งตอบแทนคือโรคภัยไข้เจ็บมากมายอันเนื่องจากการใช้ชีวิตกินอยู่แบบคนเมือง สุดท้ายเงินทองมากมายก็เอาไปจ่ายบิลโรงพยาบาลเสียมาก ความสุขก็ไม่มีเพราะโรคภัยรุมเร้า

ทีนี้มาถึงเรื่องการลงทุนกันบ้าง เมื่อเราส่วนใหญ่คิดกันว่าการลงทุนคือวิถีทางหนึ่งของความร่ำรวย และการมีเงินเยอะๆ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่มีคนจำนวนมากเดินอยู่ในเส้นทางของการลงทุน เมื่อมีอุปสงค์ก็มีอุปทาน (อุปทานนะ ไม่ใช่อุปาทาน) เมื่อมีคนลงทุนเพื่ออยากรวย ผู้ประกอบการก็เสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนต่างๆเพื่อตอบสนองความอยากรวย ดังนั้นเมื่อเราไปงานสัมมนาด้านการลงทุน หรืองานนิทรรศการด้านการลงทุนต่างๆ เราจึงพบแต่คำว่า รวย มั่งคั่ง เศรษฐี ล้าน พันล้าน หมื่นล้าน ฯลฯ เต็มไปหมด แต่หลายคนก็ตอบตัวเองไม่ได้ว่าเท่าไรจึงจะเรียกว่ารวย หรือรวยเท่าไรจึงจะพอได้แล้ว

ในวันส่งท้ายปีเก่า 2012 ต้อนรับปีใหม่ 2013 นี้ ลุงแมวน้ำอยากจะขอเสนอภาพชีวิตในบางแง่บางมุม ลองมาดูกัน


ศิลปินข้างถนน ใช้ถังสีคว่ำเป็นกลองชุด


ภาพนี้ลุงแมวน้ำถ่ายที่หน้าหอศิลป์ กรุงเทพฯ ตรงสี่แยกปทุมวัน เป็นศิลปินเปิดหมวกที่หาเลี้ยงชีพด้วยการโชว์ฝีมือการตีกลอง เข้าใจว่าคงจะทุนน้อยจึงไม่ได้ซื้อกลองที่เป็นเครื่องดนตรีมาใช้ แต่กลับใช้ถังสีคว่ำมาเป็นกลอง ลุงแมวน้ำเห็นศิลปินคนนี้นั่งรัวกลองตอนบ่ายสองโมง แดดกำลังสาดจ้า  รัวจนเหลื่อไหลไคลย้อย เสียงดังมาก ฝีมือรัวกลองก็เร้าใจดี แต่ไม่เห็นใครหยอดกระปุกให้เลย มีแต่รีบเดินผ่านไป



หญิงชราขาพิการ ต่อสู้กับชีวิตอย่างทรหด เดินทางเองด้วยรถวีลแชร์ สองมืออ่อนล้า หมุนล้อลำบาก ต้องใช้ไม้ถ่อช่วยดันรถ เป็นภาพชีวิตที่ลุงแมวน้ำเห็นแล้วต้องอึ้งและต้องยอมรับนับถือในความทรหดสู้ชีวิตของหญิงชราผู้นี้


ภาพนี้ลุงแมวน้ำถ่ายได้แถวๆสี่แยกอโศก เป็นหญิงชรา อายุคงในราว 60-70 ปี ในหน้าเต็มไปด้วยริ้วร้อยเหี่ยวย่น เส้นผมขาว หญิงชราคนนี้ขาพิการ แกมีวีลแชร์ที่เก่ามากคันหนึ่งเป็นพาหนะ บนรถมีข้าวของวางเต็มไปหมด คล้ายๆกับบ้านเคลื่อนที่ของแก หรือไม่ก็แกคงมีอาชีพเก็บของเก่าเพื่อไปขาย

หญิงชราคนนี้ไม่ได้นั่งขอทานอย่างสบาย ตอนที่ลุงแมวน้ำเห็นนั้นแกกำลังพยายามขับวีลแชร์ของแกจากในถนนสุขุมวิทเลี้ยวเข้าไปในซอย 19 ท่ามกลางรถเก๋งและมอเตอร์ไซค์ที่ล้อมหน้าล้อมหลัง ลุงแมวน้ำดูแล้วก็เสียวไส้แทน วีลแชร์คันนั้นเก่ามากแล้ว ดูสภาพทรุดโทรม คนก็แก่ รถก็เก่า ทั้งคนและรถคงอยู่บนเส้นทางชีวิตมาอย่างยาวนาน หญิงชราเคลื่อนวีลแชร์ไปช้าๆเท่าที่เรี่ยวแรงจะมี สังเกตดูในภาพจะเห็นว่าแกไม่ได้ใช้สองมือหมุนล้อเพื่อขับวีลแชร์ แต่แกใช้ไม้เท้ายันพื้นถนนต่างถ่อเพื่อขับเคลื่อนวีลแชร์ สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเพราะหมุนล้อไม่ไหวเพราะการหมุนล้อวีลแชร์นั้นกินแรงพอสมควร แต่หากใช้ถ่อค้ำจะกินแรงน้อยกว่า

ภาพนี้เป็นภาพชีวิตที่ลุงแมวน้ำเห็นแล้วรู้สึกสะท้อนใจ และต้องยอมรับนับถือในความทรหดสู้ชีวิตของหญิงชราผู้นี้ ขณะที่ถ่ายภาพ ลุงแมวน้ำเกิดคำถามขึ้นในใจมากมาย เช่น หญิงชราที่มีอายุปูนนี้อีกทั้งยังพิการ ทำไมยังต้องมาตรากตรำชีวิตในท้องถนนเมืองกรุงแบบนี้ ทำไมแกไม่เลือกที่จะขอทาน แกมีลูกหลานหรือไม่ ถ้ามีแล้วลูกหลานดูแลแกบ้างหรือไม่ สังคมของเราจะช่วยเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขให้แกได้มากน้อยเพียงใด ฯลฯ




ชายคนนี้เล่นกับแมวเหมียวข้างสถานีรถไฟฟ้าอย่างสบายอารมณ์ ไม่สนใจกับคนที่เดินผ่านไปมาหรือเวลาที่เสียไป เป็นชีวิตที่ง่ายๆ สบายๆ ไม่วุ่นวาย มีความสุขแม้กับเรื่องราวและสิ่งเล็กน้อยที่อยู่รอบตัว เป็นชีวิตที่น่าอิจฉาทีเดียว


ภาพนี้เป็นชายในวัยกลางคน ลุงแมวน้ำคิดว่าน่าจะอายุกว่า 50 ปีแล้ว สังเกตจากผมขาว ลุงแมวน้ำเห็นแกที่สถานีรถไฟฟ้าที่มีคนพลุกพล่านแห่งหนึ่ง ที่สถานีนี้จะมีแมวเหมียวสีน้ำตาล หน้าตาน่ารักอยู่สองตัว คิดว่าเป็นแมวมีเจ้าของเพราะว่ามีปลอกคอและด้านหลังเป็นตลาดด้วย ลุงแมวน้ำก็เดาเอาว่าเป็นแมวในตลาดที่ออกมาเที่ยวเล่น

ชายคนนี้แต่งกายดี เหมือนกับว่ากำลังเดินทางไปทำงาน ลุงแมวน้ำเห็นแกแวะเล่นกับแมวเหมียวอยู่เป็นประจำ ครั้งละนานพอสมควร นั่งกันบนพื้นถนนอย่างเป็นกิจจะลักษณะเลยทีเดียว น้องเหมียวก็นอนให้แกเกาพุงอย่างสบายอารมณ์ ดังที่เห็นในภาพ ที่จริงข้างๆตัวแกมีเครื่องดื่มอยู่ถ้วยหนึ่ง นั่งเล่นกับแมวไปก็ดื่มเครื่องดื่มไป บางวันก็ติดหนังสือพิมพ์มาด้วย เกาพุง (แมว) ไปอ่านหนังสือพิมพ์ไปสบายอารมณ์ ใครเดินผ่านไปมาแกก็ไม่สนใจ ในขณะที่คนจำนวนมากที่เดินผ่านแกไปมานั้นกำลังรีบร้อนเพื่อจะไปธุระหรือไปทำงาน แต่ละคนก็มีใบหน้าที่เคร่งเครียด แต่ดูแกไม่รีบร้อนอะไร เป็นชีวิตที่อิสระเสรี และมีความสุขกับเรื่องราวและสิ่งเล็กน้อยรอบข้างได้อย่างน่าอิจฉา ถ้าลุงแมวน้ำจะอิจฉาใครสักคนก็ขออิจฉานายคนนี้แหละ


แล้วก็มาถึงบุคคลคนสุดท้ายที่ลุงแมวน้ำอยากจะกล่าวถึงในบทความส่งท้ายปีเก่านี้ ลองมาดูกัน

























ข้างบนนี้เป็นวีดิโอที่เล่าเรื่องราวของหญิงชราคนหนึ่ง ชื่อคุณยายยิ้ม เป็นหญิงชราในวัยแปดสิบกว่าปี ที่อาศัยอยู่ในป่าเพียงลำพังมานานกว่ายี่สิบปี สาเหตุที่คุณยายไปอยู่ในป่าเพียงลำพังนานขนาดนั้นเพราะว่าแกมีความตั้งใจจะสร้างฝายกั้นน้ำเพื่อให้นกและสัตว์ป่าได้ใช้เป็นแหล่งน้ำ เนื่องจากแถบนั้นในหน้าแล้วขาดน้ำ แกตั้งใจจะช่วยในหลวงสร้างฝายเพราะรู้ว่าในหลวงใส่พระทัยเรื่องแหล่งน้ำเนื่องจากน้ำเป็นปัจจัยสำคัญต่อความเป็นอยู่ของทั้งคน สัตว์ และพืช

ด้วยวัยที่ชรา ด้วยหลังที่โค้งงอเนื่องจากภาวะกระดูกพรุน และด้วยเรี่ยวแรงที่ลดน้อยถอยลง แต่แกก็ทำของแกไปเรื่อย ทำทุกวันไม่เคยหยุด ชีวิตเรียบง่าย ทรัพย์สมบัติมีเพียงของใช้ประจำวันนิดหน่อย ความตั้งใจในการเป็นผู้ให้ของคุณยายยิ้มนั้นเกินร้อย ความสุขของแกคือการเดินข้ามเขาไปเข้าวัดทุกวันพระ ไปวัดครั้งหนึ่งก็กินเวลาหลายวันเพราะว่าอยู่ไกล หลายคนคิดว่าแกเพี้ยน แต่ลุงแมวน้ำกลับอยากให้โลกนี้มีคนเพี้ยนแบบนี้เยอะๆ

วีดิโอคลิปนี้มี 7 ตอน ลุงแมวน้ำอยากให้ดูกันจนจบ ใจเย็นๆ ค่อยๆดูไปทุกตอน สังเกตการดำเนินชีวิต คำพูด ความคิด และทัศนคติต่อโลกและชีวิตของคุณยายยิ้ม ลุงแมวน้ำไม่อยากเล่ามาก แต่อยากให้แต่ละคนชมและค้นพบด้วยตนเองมากกว่า หากใครดูแล้วรู้สึกอิ่มเอมใจ ก็ถือเสียว่าเป็นของขวัญปีใหม่จากลุงแมวน้ำ หลายคนอาจคิดว่าของขวัญปีใหม่ของลุงแมวน้ำไม่ลงทุนเลยเนอะ แต่เอาละน่า ของบางอย่างด้อยราคาแต่สูงด้วยคุณค่าคร้าบ ^__^



วันนี้ลุงแมวน้ำเล่าอะไรไปเรื่อยเปื่อย ลุงแมวน้ำคงไม่สรุปอะไร เพราะว่าคำตอบอยู่ที่ใจของแต่ละคนเองอยู่แล้ว

ขอให้มีความสุขในปีใหม่ 2013 นี้คร้าบ ^__^