Sunday, March 8, 2015

เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ สมดุลธรรมชาติ (1)





เกริ่นนำ


บทความเรื่องนี้เป็นความลับของธรรมชาติที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่ง นั่นคือ กฎของความสมดุล หรืออาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าดุลยภาพของธรรมชาติ ก็ได้ 

ที่ผ่านมา ลุงแมวน้ำได้เล่าเกี่ยวกับกฎและทฤษฎีสำคัญในทางเศรษฐศาสตร์และตลาดทุนที่มีมาจากกฎธรรมชาติ นั่นคือ วงจรของเศรษฐกิจ ธุรกิจ หรือผลิตภัณฑ์ แม้แต่คลื่นอีเลียตก็มาจากกฎธรรมชาติเรื่องวัฏจักรนั่นเอง รวมทั้งการนำพากิจการให้รอดในโลกธุรกิจ หรือการลงทุนให้อยู่รอดได้ ก็มาจากกฎธรรมชาติเรื่องวิวัฒนาการ 

ดุลยภาพของธรรมชาติเป็นกฎธรรมชาติที่สำคัญอีกข้อหนึ่ง การเข้าใจดุลยภาพของธรรมชาติจะทำให้เราเข้าใจวัฎจักรเศรษฐกิจและคลื่นอีเลียตได้ดียิ่งขึ้น รวมทั้งยังสามารถนำกฎธรรมชาตินี้ไปใช้ทำความเข้าใจและนำไปประยุกต์ในการลงทุนได้อีกด้วย


ขวดวิเศษของลิงจ๋อ


เช้าวันหยุดวันหนึ่ง ขณะที่ลุงแมวน้ำเดินเข้าไปในสวนพร้อมกับกาแฟและขนมเพื่อไปพักผ่อนในศาลาชมสวน ลุงแมวน้ำก็สังเกตเห็นว่าภายในศาลามีสมาชิกชุมนุมกันอยู่คึกคัก เหมือนกับกำลังมุงดูอะไรอยู่ ลุงแมวน้ำจึงเข้าไปชะโงกดูบ้างแต่ยังมองไม่เห็นเพราะถูกบังจนมิด จึงเอ่ยถามขึ้นว่า

“กำลังดูอะไรกันอยู่น่ะ”

“ดูขวดต้นไม้ของนายจ๋ออยู่จ้ะลุง” ยีราฟคอยาวที่ได้เปรียบในการชมตอบ

“ขวดต้นไม้” ลุงแมวน้ำทวนคำ “ชื่อน่าสนใจจัง ขอลุงดูบ้างสิ”

ลุงแมวน้ำแหวกฝูงสมาชิกเข้าไปในใจกลางวง จึงได้เห็นว่าลิงจ๋อและสมาชิกตัวอื่นๆกำลังดูขวดแก้วใบหนึ่งอยู่ เป็นขวดที่ปิดฝาเรียบร้อย ภายในมีต้นไม้บรรจุอยู่


สวนขวดระบบปิด (sealed bottle garden) ภายในบรรจุพืชพวกมอส เฟิร์น มีดินและน้ำอยู่ด้วย สวนขวดนี้สามารถอยู่ได้โดยปิดฝาไว้แน่น ไม่ต้องรดน้ำหรือดูแลอื่นใด และอยู่ได้นานนับปี เป็นตัวอย่างของสมดุลในธรรมชาติ (natural equilibrium)


“มันเป็นขวดวิเศษนะลุง” ลิงจ๋อเจ้าของขวดพูดขึ้นบ้าง

“มันวิเศษยังไง และนายจ๋อไปได้มาจากไหน” ลุงแมวน้ำเมื่อเห็นขวดก็รู้แล้วว่ามันคืออะไร แต่ก็ลองถามลิงดู

“นายจ๋อซื้อมาจากถนนคนเดินที่สีลมจ้ะลุง” ฮิปโปพูดบ้าง “นายจ๋อยังโม้อีกว่าต้นไม้ในขวดนี้อยู่ได้เป็นปีโดยไม่ต้องรดน้ำ ไม่ต้องดูแลอะไร”

“ไม่ได้โม้” ลิงพูดบ้าง “แต่มันเป็นขวดวิเศษ ฉันลองสังเกตมาได้สองสัปดาห์แล้ว ยังเขียวดีอยู่เลยทั้งๆที่ไม่ได้ไปยุ่งกับมัน ไม่ได้ดูแลอะไรเลย แค่ให้โดนแดดบ้าง”

บรรดาสมาชิกหัวเราะกันครึกครื้น

“โอ๊ย ขำ ต้นไม้ในขวด ไม่เปิดฝา ไม่รดน้ำ แล้วอยู่ได้เป็นปี จะเป็นไปได้ยังไง” ม้าลายหัวเราะบ้าง “ลุงแมวน้ำไม่ขำเหรอ”

“ไม่เห็นมีอะไรขำนี่ ก็มันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้จริงๆ” ลุงแมวน้ำพูด

“ลุงแมวน้ำแอ๊บเนียนไปกับนายจ๋อด้วยด้วย” บรรดาสมาชิกหัวเราะกันอีกเพราะไม่เชื่อ

ลุงแมวน้ำจึงล้วงเอาภาพภาพหนึ่งออกมาจากหูกระต่าย และคลี่ให้บรรดาสมาชิกดู


สวนขวดระบบปิดที่คงอยู่มาแล้วนาน 53 ปี และยังอยู่ในสภาพดี


“นี่ ลองดูขวดนี้บ้าง ถ้านายจ๋อโม้ ลุงในภาพคนนี้ก็ยิ่งอภิมหาโม้ เพราะว่าแกเลี้ยงต้นไม้ในขวดโดยไม่เปิดฝาและไม่รดน้ำมาแล้วถึง 50 กว่าปี” ลุงแมวน้ำพูด

“ฮ้า เป็นไปได้จริงๆเหรอฮะเนี่ย” กระต่ายน้อยอุทานบ้าง พลางดูภาพด้วยความสนใจ “แล้วต้นไม้เหล่านี้อยู่ได้ยังไงฮะลุง”

“นานๆลุงแมวน้ำจะเข้าข้างผมสักทีนะเนี่ย” ลิงหัวเราะบ้าง “ที่จริงผมก็สงสัยอยู่เหมือนกัน ทีแรกไม่เชื่อนักหรอก แต่เห็นว่าสวนขวดนี้สวยน่ารักดีจึงซื้อมา และพยายามพิสูจน์ดู เลี้ยงมาได้สองสัปดาห์แล้วก็ยังดีอยู่ ก็คิดว่าจะเลี้ยงไปเรื่อยๆเพื่อดูว่ามันจะอยู่ได้เป็นปีจริงหรือไม่ พวกนี้มาเห็นเข้าก็หัวเราะเยาะผม ลุงแมวน้ำอธิบายได้ไหมครับว่ามันเป็นไปได้ยังไง”

“สวนขวดนี้เรียกว่าสวนขวดระบบปิด เป็นของเล่นเก๋ๆของนักนิเวศวิทยาหรือนักพฤกษศาสตร์ที่พยายามจำลองระบบนิเวศในธรรมชาติมาไว้ในขวดแก้ว” ลุงแมวน้ำอธิบาย

“ยังไงกันจ๊ะลุง พูดให้เข้าใจง่ายๆหน่อยได้ไหม” ยีราฟถาม

“ลุงต้องเท้าความสักหน่อย ว่าในสมัยก่อน นักวิทยาศาสตร์สนใจศึกษาเรื่องราวในธรรมชาติ อย่างเช่น ชาล์ส ดาร์วิน ที่ลุงเคยคุยให้ฟังนั่นไง ดาร์วินก็สนใจในเรื่องราวของธรรมชาติ พยายามศึกษาค้นคว้าจนค้นพบทฤษฎีวิวัฒนาการในที่สุด” ลุงแมวน้ำพูด “นักวิทยาศาสตร์ที่สนใจศึกษาธรรมชาติก็สังเกตและตั้งข้อสงสัยว่าทำไมป่าจึงดำรงอยู่ได้ทั้งๆที่ไม่มีใครรดน้ำพรวนดิน ทำไมหนองน้ำที่เป็นน้ำนิ่ง คือไม่มีทางน้ำไหลผ่าน จึงดำรงอยู่ได้โดยน้ำไม่เน่าเสีย ประชากรปลาก็ไม่ล้นหนองน้ำ

“ลุงถามแม่ยีราฟหน่อยว่า หนองน้ำหรือบึงน้ำที่แม่ยีราฟชอบไปเล่นน้ำน่ะ เราเห็นน้ำในบึงใสแจ๋วเห็นตัวปลา แม่ยีราฟเคยสงสัยไหมว่า ทำไมปลาในบึงน้ำไม่ขยายพันธุ์จนประชากรปลาล้นเกิน และทำไมปลาที่ตายในบึงไม่ทำให้น้ำเกิดเน่าเสีย”

“ไม่เคยสงสัยเลยจ้ะ” ยีราฟรีบตอบ “ฉันควรสงสัยเรื่องพวกนี้ด้วยเหรอ”

“เธอสงสัยหน่อยได้ไหม” ลิงพูดบ้าง “รับมุขกันหน่อย”

“อ้อ งั้นสงสัยก็ได้” ยีราฟตอบใหม่

“ปกติเรามักไม่สงสัยกันหรอก แต่นักวิทยาศาสตร์สงสัยว่าธรรมชาติคงความสมดุลของระบบนิเวศในหนองน้ำได้อย่างไร จึงพยายามหาคำตอบ และสร้างเป็นระบบนิเวศที่จำลองแบบมาจากธรรมชาตินำไปใส่ไว้ในขวดแก้ว อย่างในภาพนี้ คุณลุงคนนี้สามารถทำสวนโดยใส่ดินและปลูกต้นไม้ในขวดแก้วโดยปิดผนึกฝาขวดไว้ ไม่ต้องเปิดฝา ไม่ต้องรดน้ำพรวนดิน แค่ให้โดนแดดเท่านั้น ต้นไม้ในขวดก็อยู่ในสภาพนี้มาตั้งแต่ปี 1972 หรือเมื่อ 53 ปีมาแล้ว และน่าจะยังอยู่ในสภาพนี้ต่อไปได้อีกนาน ดังนั้นต้นไม้ในขวดของนายจ๋อก็น่าจะอยู่ได้หลายปีเช่นกัน”

“นี่ผมก็เพิ่งรู้ที่มาที่ไปจากลุงแมวน้ำนะเนี่ย ตอนซื้อมาก็แค่คิดว่าสวยดีและแปลกดี” ลิงพูด “แต่ว่าความลับในธรรมชาติที่ทำให้สวนขวดนี้อยู่ได้เป็นปีโดยปิดฝาไม่ต้องดูแลคืออะไรครับ”

“คือสมดุลธรรมชาติ (natural equilibrium) หรือดุลยภาพของธรรมชาตินั่นเอง” ลุงแมวน้ำตอบ “สมดุลธรรมชาตินี้เป็นกฎเกณฑ์ที่มีอยู่ในธรรมชาติ เมื่อกฎนี้เป็นของธรรมชาติ ดังนั้นจึงอธิบายปรากฏการณ์ได้มากมาย รวมทั้งปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจหรือการลงทุนก็หนีกฎธรรมชาตินี้ไปไม่ได้เช่นกัน”

 “ลุงกำลังบอกว่าสวนขวดนี้เกี่ยวกับตลาดหุ้นใช่ไหม” ลิงหัวเราะ “เหลือเชื่อไปหน่อยมั้ง”


ธรรมชาติย่อมรักษาสมดุล


“สิ่งที่เราเห็นในสวนขวดนี้คือปรากฏการณ์ธรรมชาติ นั่นคือ ธรรมชาติย่อมรักษาสมดุลเอาไว้เสมอ การที่สวนในขวดอยู่ได้เป็นสิบปีก็เพราะภายในขวดนั้นเกิดภาวะสมดุลขึ้นนั่นเอง ต้นไม้ในขวดมีการหายใจใช้ก๊าซออกซิเจนและปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา และก็มีการสังเคราะห์แสงที่ใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และปล่อยก๊าซออกซิเจนออกมา มีการดูดน้ำและคายน้ำออกจากต้นไม้ ทุกอย่างอยู่ในภาวะสมดุล จึงไม่ต้องเปิดฝารดน้ำ”

“เดี๋ยวก่อนลุง แล้วต้นไม้ทำไมไม่โตล้นขวด แล้วไม่มีใบร่วงหรือไง ใบไม้ร่วงก็ต้องเกิดใบไม้เน่าเสีย แต่ทำไมขวดในรูปยังสวยปิ๊งอยู่ได้” ลิงสงสัย “น่าจะเน่าเหม็นไปนานแล้ว”

“ก็นี่ไง เหมือนในบึงน้ำไหมล่ะ ทำไมปลาในบึงไม่ล้นบึง ทำไมปลาตายในบึงแล้วน้ำไม่เน่า ก็ทำนองเดียวกันนี่แหละ” ลุงแมวน้ำพูด

“แล้วลุงอธิบายยังไงละครับ” ลิงถามอีก

“ภายในขวดไม่ได้มีแต่สิ่งมีชีวิตที่เป็นต้นไม้หรอก แต่ยังไม่สิ่งมีชีวิตเล็กๆที่เรียกว่าจุลินทรีย์อยู่ด้วย จุลินทรีย์จะคอยย่อยสลายใบไม้ที่ตายให้กลายเป็นปุ๋ยไปหล่อเลี้ยงต้นไม้ ก็เหมือนกับในบึงน้ำที่ปลาตายก็มีจุลินทรีย์คอยย่อยสลาย แต่ระบบนิเวศของบึงน้ำซับซ้อนกว่าในขวดเยอะ เราอย่าเพิ่งพูดถึงบึงน้ำเลย พูดกันเฉพาะในขวดก่อน จะได้ไม่งง” ลุงแมวน้ำพูด “สรุปว่าภายในขวดที่ปิดฝานั้น มีการหมุนเวียนก๊าซ มีการหมุนเวียนความชื้น และมีการหมุนเวียนของอินทรียสารภายในขวดอย่างสมดุล ระบบจึงดำรงอยู่ได้”

“แล้วที่ลุงบอกว่าเกี่ยวกับเศรษฐกิจและตลาดหุ้นนั้นเกี่ยวกันอย่างไรจ๊ะ ฉันฟังตั้งนานแล้วยังไม่เห็นเกี่ยวเลย” ยีราฟท้วง

“ใจเย็นๆสิ เรื่องนี้ต้องค่อยๆอธิบาย” ลุงแมวน้ำพูด “ลุงจะเล่าให้ฟังเดี๋ยวนี้แหละ”


สมดุลสถิตและสมดุลพลวัตร


ลุงแมวน้ำหยิบเอาภาพอีกใบหนึ่งออกมาจากหูกระต่าย

“สมดุลธรรมชาติหรือว่าดุลยภาพในธรรมชาตินั้นแบ่งออกเป็น 2 แบบใหญ่ๆ นั่นคือ สมดุลแบบสถิต (static equilibrium) กับ สมดุลแบบพลวัตร (dynamic equilibrium)


ตัวอย่างของสมดุลแบบสถิต (สมดุลแบบอยู่นิ่งไม่เคลื่อนไหว) และสมดุลแบบพลวัตร (สมดุลไม่หยุดนิ่ง เคลื่อนไหวไปเรื่อยๆ)


“โอย มึน” ลิงบ่น “เอาง่ายๆหน่อยครับลุง”

“ธรรมชาติมีแนวโน้มรักษาสมดุลเอาไว้เสมอ ดูตัวอย่างง่ายๆที่เราอาจนึกไม่ถึง คือก้อนหินที่วางอยู่กับที่ ชุดเก้าอี้ที่วางในสวน อะไรต่างๆเหล่านี้ล้วนแต่อยู่นิ่งกับที่ เหล่านี้ก็เป็นดุลยภาพในธรรมชาติเช่นกัน สมดุลที่อยู่ในภาวะอยู่นิ่งกับที่นี้เป็นแบบที่เราเข้าใจง่าย พวกนี้เรียกว่าสมดุลแบบสถิต” ลุงแมวน้ำพูด “แต่สมดุลอีกแบบหนึ่งนั้นเป็นสมดุลที่เคลื่อนไหวอยู่เสมอ”

“สมดุลคือต้องนิ่งสิ เคลื่อนไหวแล้วจะสมดุลได้ยังไง แย้งกับความรู้สึกจัง” ลิงพูด

“นายจ๋อลองดูภาพคนขี่จักรยานล้อเดียวสิ” ลุงแมวน้ำพูด “การทรงตัวอยู่บนจักรยานล้อเดียวทำได้โดยขี่จักรยานเลี้ยงตัวไปเรื่อยๆ หากอยู่นิ่งเฉยจักรยานจะล้ม นี่แหละคือสมดุลแบบพลวัตร นั่นคือ ทุกจังหวะของความเคลื่อนไหวก่อให้เกิดสมดุล แต่ในขณะเดียวกัน สมดุลก็เปลี่ยนที่ไปเรื่อยๆ เมื่อใดที่เรางงกับสมดุลแบบเคลื่อนไหวก็ขอให้นึกถึงการขี่จักรยานล้อเดียว และสมดุลแบบพลวัตรนี่แหละที่เรานำไปใช้อธิบายปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจและอธิบายพฤติกรรมราคาในตลาดหุ้นได้

“ยังไม่เข้าใจอยู่ดีจ้ะลุง” ยีราฟบ่น “ลุงแมวน้ำพูดให้เข้าใจง่ายกว่านี้ได้ไหม ทำไมชอบพูดอะไรยากๆ”

“ใจเย็นๆแม่ยีราฟ” ลุงแมวน้ำปลอบ “ฟังไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็จะเข้าใจมากขึ้น


สมดุลพลวัตร ปรากฏการณ์หมาจิ้งจอกกับกระต่าย


ลุงแมวน้ำล้วงภาพอีกใบหนึ่งออกมาจากหูกระต่าย


ปรากฏการณ์หมาจิ้งจอกและกระต่าย ตัวอย่างที่ดีสำหรับอธิบายการเกิดสมดุลแบบพลวัตร


“ภาพนี้เป็นภาพปรากฏการณ์หมาจิ้งจอกล่ากระต่าย” ลุงแมวน้ำพูด

“ลุงฮะ เปลี่ยนตัวอย่างได้ไหม ผมเสียวไส้ ใจไม่ดีเลย” กระต่ายน้อยโอดครวญ ทำท่าอกสั่นขวัญหาย

“ลุงมีแต่ตัวอย่างนี้ กระต่ายน้อยทำใจหน่อยละกัน มันแค่ตัวอย่าง ไม่ได้เกิดกับกระต่ายน้อยหรอก” ลุงแมวน้ำปลอบใจ จากนั้นพูดต่อ “ตัวอย่างนี้เป็นตัวแบบที่ใช้อธิบายสมดุลธรรมชาติ โดยสมมติว่าในทุ่งหญ้าแห่งหนึ่งมีแต่กระต่ายและหมาจิ้งจอก ไม่มีสัตว์อย่างอื่นเลย และหมาจิ้งจอกก็ล่ากระต่ายเป็นอาหาร

“จากกราฟ แกน Y หรือแกนซ้ายเป็นจำนวนของกระต่ายและหมาจิ้งจอก ส่วนแกน X หรือแกนนอนเป็นเวลาที่ผ่านไป เราจะสังเกตว่าในตอนต้นนั้นมีกระต่ายและหมาจิ้งจอกอยู่จำนวนหนึ่ง

“เมื่อเวลาผ่านไป กระต่ายเพิ่มจำนวนขึ้นเพราะเรารู้กันดีว่ากระต่ายขยายพันธุ์ได้รวดเร็ว เมื่อกระต่ายมีมากขึ้น หมาจิ้งจอกก็อิ่มหมีพีมัน ล่ากระต่ายกินจนพุงกาง เมื่ออาหารสมบูรณ์ประชากรหมาจิ้งจอกก็ขยายพันธุ์เพิ่มขึ้น เมื่อหมาจิ้งจอกเพิ่มจำนวนก็กินอาหารเพิ่มขึ้น จนประชากรกระต่ายลดลง

“เมื่อเวลาผ่านไปอีก ประชากรกระต่ายลดลงมากจนหมาจิ้งจอกอดอยาก หมาจิ้งจอกก็เริ่มอดตายและกินกันเอง พอหมาจิ้งจอกลดจำนวนลงก็กินกระต่ายน้อยลง ประชากรกระต่ายก็ขยายพันธุ์เพิ่มขึ้น เมื่อประชากรกระต่ายเพิ่ม หมาจิ้งจอกก็เริ่มอุดมสมบูรณ์อีก ก็ขยายพันธุ์เพิ่มจำนวนตาม

จากตัวอย่างนี้จะเห็นว่าธรรมชาติพยายามรักษาสมดุลอยู่เสมอ เมื่ออะไรมากไปหรือน้อยไป ธรรมชาติจะพยายามปรับตัวเพื่อให้คงสมดุลเอาไว้ แต่เนื่องจากปริมาณประชากรไม่คงตัว ดังนั้นสมดุลของธรรมชาติจึงไม่อยู่นิ่ง แต่เคลื่อนตัวไปเรื่อยเช่นกัน นี่แหละคือสมดุลแบบมีพลวัตร หรือสมดุลที่เคลื่อนตัวหรือเคลื่อนไหวไปเรื่อยๆ

“และถ้าหากว่าเราจะสังเกตทรงของกราฟประชากรกระต่ายและกราฟประชากรหมาจิ้งจอก เราก็จะพบว่าปริมาณประชากรทั้งสองชนิดนี้เคลื่อนไหวเป็นทรงโค้งระฆังคว่ำที่ต่อเนื่องกัน เห็นไหม”

“จริงด้วย” ยีราฟถึงบางอ้อ พอเข้าใจบ้างแล้วจ้ะ งั้นคุยต่อเลยลุง”


สมดุลพลวัตร จากดุลยภาพเดิมสู่ดุลยภาพใหม่


ลุงแมวน้ำล้วงภาพอีกใบหนึ่งออกมา คราวนี้เป็นภาพป่าไม้




“เราลองมาดูตัวอย่างกันอีกสักตัวอย่างหนึ่ง เพื่อความเข้าใจที่แน่นแฟ้นขึ้น ลองดูภาพนี้ สมมติว่าป่าอันอุดมสมบูรณ์ซึ่งมีสมดุลธรรมชาติอยู่แล้ว ทีนี้สมมติว่ามีปัจจัยภายนอกเข้ามาแทรกแซง นั่นคือ เกิดฟ้าผ่าและไฟไหม้ป่า ป่าอันอุดมถูกเผาจนเกลี้ยง เหลือแต่ตอตะโก นั่นคือ ดุลยภาพของป่าไม้เสียหายไป แน่นอน ธรรมชาติย่อมต้องพยายามรักษาสมดุลอยู่เสมอ เมื่อดุลยภาพเดิมเสียหายไป ธรรมชาติก็จะพยายามสร้างดุลยภาพใหม่ให้เกิดขึ้น แม้ว่าจะไม่เหมือนเดิมก็ตาม

“เราลองมาดูกันว่าหลังจากป่าไม้ถูกเผาแล้วเกิดอะไรขึ้น ธรรมชาติสร้างสมดุลใหม่ และสมดุลใหม่นั้นเกิดพลวัตรอย่างไร” ลุงแมวน้ำพูด

Friday, March 6, 2015

อัปเดตสงครามเงินตรา บาทยังแกร่ง


ความเปลี่ยนแปลงของเงินบาทเทียบกับเงินสกุลต่างๆในรอบ 1 ปี (มีนาคม 2014- มีนาคม 2015)


วันนี้เรามาอัปเดตสถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยนหรือสถานการณ์ค่าเงินกันบ้าง ช่วงนี้อะไรๆเปลี่ยนแปลงค่อนข้างเร็ว บางเรื่องลุงก็ตามอัปเดตไม่ค่อยทัน ได้แต่เลือกเรื่องที่สำคัญทยอยมาเล่าสู่กันฟัง

สืบเนื่องจากการที่ญี่ปุ่นใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินหรือว่าคิวอีตั้งแต่ปีที่แล้ว อัดฉีดเงินเข้าไปในระบบ ทำให้เงินเยนอ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง และเมื่อเร็วๆนี้ทางธนาคารกลางยุโรปหรือ ECB ก็ประกาศว่าจะผ่อนคลายทางการเงินด้วยการทำคิวอีบ้าง โดยอัดฉีดเงินเข้าซื้อพันธบัตรและตราสารอื่นรวมแล้วเดือนละ 6 หมื่นล้านยูโรไป 18 เดือน เริ่มปล่อยเงินอัดฉีดตั้งแต่มีนาคม 2015 หรือเดือนนี้นั่นเอง

ผลจากการทำคิวอีของญี่ปุ่นและยูโรโซน (ที่จริงเงินคิวอีของยูโรโซนเริ่มซื้อพันธบัตรหรือยังก็ไม่รู้เพราะนี่เพิ่งต้นเดือนมีนาคม แต่ว่าตลาดก็รับข่าวไปเรียบร้อยแล้ว) ทำให้เงินเยนและยูโรแข่งกันอ่อนค่า ธนาคารกลางของทุกประเทศก็รู้ดีว่าเงินเยนและเงินยูโรต้นทุนถูกๆเหล่านี้อาจไปแสวงหาผลประโยชน์ในประเทศอื่นๆ เนื่องจากปริมาณเงินมหาศาล การแสวงหาผลตอบแทนจากในบ้านตนเองก็มีขีดจำกัด ดังนั้นจึงต้องไหลออกไปยังประเทศอื่นๆ

ส่วนหนึ่งของเป้าหมายที่เงินต้นทุนถูกเหล่านี้ไหลออกไปแสวงหาประโยชน์ก็คือประเทศในย่านเอเชีย โดยเฉพาะกลุ่มตลาดเกิดใหม่ เพราะกลุ่มประเทศเหล่านี้มีอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรที่สูงพอควร ส่วนใหญ่ก็ตั้งแต่ 2% กว่าๆเป็นต้นไป แค่เข้าไปซื้อพันธบัตรก็ยังได้ผลตอบแทนดีกว่าอยู่ในบ้านตนเอง รวมทั้งหากเข้าตลาดหุ้นก็อาจได้ผลตอบแทนสูงขึ้น และนอกจากนั้นยังอาจได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนอีกด้วย

ประเทศต่างๆก็รู้แกว เพราะเคยเจอกันมาแล้ว มุขนี้ไม่ใช่มุขใหม่ เมื่อเงินไหลเข้าประเทศมากๆ ค่าเงินของตนก็จะแข็ง ยิ่งพวกประเทศตลาดเกิดใหม่ที่เน้นการส่งออก หากค่าเงินแข็งงก็เสียเปรียบ อย่ากระนั้นเลย ประเทศต่างๆจึงตั้งการ์ดสู้กับการไหลบ่าของกระแสเงินด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย พยายามกดค่าเงินของตนเองให้อ่อนเพื่อป้องกันเงินไหลบ่าเข้า กับเพื่อรักษาผลประโยชน์ด้านการส่งออกด้วย นอกจากนี้หลายๆประเทศสภาพคล่องทางเศรษฐกิจเริ่มไม่ค่อยดี การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะช่วยผ่อนคลายทางเศรษฐกิจของตนเองอีกด้วย ก็มีประโยชน์หลายอย่าง แต่ผลเสียก็มี ผลคือหนี้เพิ่ม ก็ต้องชั่งใจเอา

ประเทศต่างๆในโลกลดอัตราดอกเบี้ยกันถ้วนหน้า ยุโรปนี่ก็ลดหลายประเทศ แต่เราจะมาเน้นที่ย่านเอเชียกัน จีนนี่ไม่กี่เดือนมานี้ลดสองรอบแล้ว ออสเตรเลียก็ลด อินเดีย อินโดนีเซีย ก็ลด เราลองมาดูตารางนี้กัน


ตารางนี้เป็นตารางอัตราแลกเปลี่ยน เงิน 1 บาทแลกเป็นเงินตราสกุลอื่นๆได้เท่าไร เปรียบเทียบตอนต้นปี 2014 กับวันที่ 3 มีนาคม 2015 (คือรอบ 1 ปี) ตารางนี้ดูง่ายๆคือ หากค่าเป็นบวก แปลว่าเงิน 1 บาทแลกได้มากขึ้น คือเงินสกุลนั้นๆอ่อนค่า

ยกตัวอย่างในตาราง เงินบาทแลกยูโร (บาท --> ยูโร) 22.6% หมายความว่าตอนต้นปีกับวันที่ 3 มีนาคม เงินบาทแลกยูโรได้มากขึ้น 22.6% แปลความว่าในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมาเงินยูโรอ่อนตัวลง 22.6% นั่นเอง

จากในตาราง แปลว่าในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมา เงินเยนอ่อนตัวลง 17.07% เทียบกับเงินบาท

และก็แปลว่าเงินดอลลาร์สิงคโปร์อ่อนค่ากว่าเงินบาท 7.3% เงินริงกิตมาเลเซียอ่อนตัวลง 10.7% เงินรูเปียอินโดนีเซียอ่อนตัวลง 11.7%

ทีนี้ลุงแมวน้ำนำกราฟแสดงความเปลี่ยนแปลงของค่าเงินสกุลต่างๆมาให้ดูกันเป็นรายสกุลเงินเลย


เงินหยวนช่วงกลางปี 2014 แข็งค่าต่อเนื่องเมื่อเทียบกับเงินบาท แต่ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2014 เป็นต้นมา เงินหยวนอ่อนตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากจีนเห็นว่าแการส่งออกของตนไม่ค่อยดี จึงพยายามกดค่าเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยการส่งออก ผลก็คือกลายเป็นเงินหยวนอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินบาท

















เงินสกุลเอเชียที่เป็นประเทศส่งออกส่วนใหญ่อ่อนค่าลง จีนนั้นเดิมทีค่าเงินหยวนแข็ง แต่แล้วก็ทนไม่ไหว ไปทำอะไรมาก็ไม่รู้ ค่าเงินหยวนในตอนปลายปี 2014 อ่อนตัวฮวบฮาบ จนตอนนี้ก็อ่อนกว่าเงินบาท ตารางนี้สะท้อนให้เห็นว่าเงินบาทแข็งกว่าเพื่อนบ้านที่ส่งออกด้วยกัน หากแข็งค่ากว่ามากก็แข่งขันลำบาก นอกจากนี้ สินค้าส่งออกของไทยในปัจจุบันยังเสียศักยภาพในการแข่งขันไปด้วย ก็ยิ่งลำบากมากขึ้น

ยกตัวอย่างเช่นเงินยูโรอ่อนค่า ตอนนี้คนไทยหากไปเที่ยวยุโรปก็ถือว่าได้เปรียบเพราะราคาค่าทัวร์ถูกลง แต่ผู้ส่งออกไปยุโรปลำบาก เนื่องจากลูกค้ายุโรปบอกว่าสินค้าไทยแพงขึ้นมาก (เพราะยูโรอ่อนค่าเทียบกับบาท 22.6%) ลูกค้ายุโรปก็บอกว่าขอให้ลดราคาลง ไม่อย่างนั้นอาจพิจารณาซื้อสินค้าจากประเทศอื่นแทน พ่อค้าไทยก็อาจจำใจหักคอตัวเองลดราคาสินค้า ไม่อย่างนั้นก็เสียออร์เดอร์ โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายเล็กที่อำนาจต่อรองต่ำ อีกทั้งยังทำประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนไม่ไหว ก็ขาดทุนสองเด้ง คือทั้งลดราคาแบบเฉือนเนื้อตนเอง ทั้งขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน แม้ขายสินค้าได้แต่ในที่สุดก็อยู่ไม่ไหว สถานการณ์ก็เป็นไปในทำนองนี้

สถานการณ์ในประเทศเพื่อนบ้านย่านเอเชียนั้น ส่วนใหญ่ตั้งการ์ดสู้คิวอีญี่ปุ่น ยุโรป ด้วยการทำให้เงินตนเองอ่อนค่า ตลาดหุ้นต่างๆก็ขึ้นดีไปด้วย ส่วนตลาดหุ้นไทยนั้นไม่ได้อานิสงส์อะไร เนื่องจากตอนนี้ตลาดหุ้นไทยแพงพอสมควร อีกทั้งเงินบาทค่อนข้างแข็ง

ตอนนี้นักวิเคราะห์เศรษฐกิจส่วนใหญ่มองไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือ คาดว่าไทยยังไม่ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะเวลาอันใกล้นี้ (กนง จะประชุมกันกลางเดือนมีนาคมนี้ และคาดว่าในการประชุมรอบนี้ยังไม่ลดอัตราดอกเบี้ย) เนื่องจากมองกันว่าถึงลดก็ไม่ช่วยส่งออกนัก แต่ผลข้างเคียงคือหนี้ครัวเรือนจะสูงขึ้น 

แต่น่าแปลกคือตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ต่อเนื่องถึงต้นมีนาคมนี้ มีเงินต่างชาติไหลเข้ามาซื้อทั้งในตลาดพันธบัตร และตลาดหุ้นไทย ลองดูกราฟ

ต่างชาติเริ่มซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา


นักลงทุนต่างชาติเริ่มทยอยเข้าซื้อในตลาดพันธบัตรไทยตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์


จะเห็นว่ายอดซื้อสะสมขยับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย ลักษณะเช่นนี้คล้ายกับว่าต่างชาติมีลุ้นว่า กนง จะลดอัตราดอกเบี้ยในรอบนี้ จึงมาซื้อดักไว้ก่อน

ลุงแมวน้ำก็เดาไม่ถูกว่า กนง จะลดดอกเบี้ยหรือไม่ อีกไม่นานก็คงรู้คำตอบ แต่สิ่งสำคัญไม่ใช่ว่า กนง จะลดดอกเบี้ยหรือไม่ สิ่งสำคัญก็คือผู้ประกอบการและนักลงทุนต่างก็ต้องเอาตัวรอดให้ได้จากภาวะเศรษฐกิจในยุคนี้ให้ได้ต่างหาก แค่เรื่องลดดอกเบี้ยเป็นองค์ประกอบเดียว และให้ผลแค่ในระยะสั้น แต่การเอาตัวรอดยังต้องฝ่าฟันในด้านอื่นๆอีกมาก ดังนั้นทั้งผู้ประกอบการและนักลงทุนจำเป็นต้องมองภาพและวางกลยุทธ์สำหรับระยะกลางและยาวไว้เป็นสำคัญจึงจะพาตัวรอดได้