Sunday, April 13, 2014

13/04/2014 : สุขสันต์วันสงกรานต์ เข้าสู่ปีที่ 6 ดูหนังวันหยุดกัน




ลุงแมวน้ำเริ่มทำเว็บบล็อกนี้มาตั้งแต่ช่วงสงกรานต์ของปี 2009 มาจนถึงวันนี้ สงกรานต์ 2014 เวลาได้เวียนมาบรรจบครบ 5 ปีพอดี

ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์มากมายหลายอย่างเกิดขึ้นในโลกและในตลาดทุน อันเป็นของธรรมดาโลก ลุงแมวน้ำก็ปรับเปลี่ยนแนวทางในการนำเสนอหลายต่อหลายครั้ง ทั้งปรับเล็กๆน้อยๆและปรับครั้งใหญ่ เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง

จนถึงวันนี้ ขณะที่ย่างเข้าสู่ปีที่ 6 สถานการณ์การลงทุนในโลกและในไทยก็หมุนเวียนเปลี่ยนไปอีก ลุงแมวน้ำจึงทำการปรับปรุงครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง

คงเห็นว่าลุงแมวน้ำปรับปรุงรูปโฉมของเว็บบล็อกเสียใหม่ อันเปรียบเหมือนกับการแต่งบ้าน ครั้งนี้แต่งเสียยกใหญ่ ทาสีบ้านและตกแต่งเสียใหม่ ดูแปลกตาออกไป ราวกับขึ้นบ้านใหม่ แต่ที่จริงก็บ้านเดิมนั่นแหละ ^_^

นอกจากการเปลี่ยนรูปโฉมภายนอกแล้ว เนื้อหาภายในก็ยังปรับเปลี่ยนไป โดยลุงแมวน้ำจะปรับแนวทางการนำเสนอให้ครอบคลุมการลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น โดยจะเน้นไปที่การลงทุนในตลาดทุนของอเมริกา เพราะที่สหรัฐอเมริกามีผลิตภัณฑ์ในการลงทุนมากมายหลายหลาก มีทั้งหุ้น อีทีเอฟ (etf) และอนุพันธ์คือฟิวเจอร์สและออปชัน (futures & options) ครอบคลุมการลงทุนในประเทศต่างๆทั่วโลก และครอบคลุมสินทรัพย์เสี่ยงประเภทต่างๆ ดังนั้นการเข้าสู่ตลาดทุนของสหรัฐอเมริกาก็เท่ากับสามารถกระจายการลงทุนไปได้ทั่วโลก และกระจายไปในสินทรัพย์เสี่ยงต่างๆ อาทิ หุ้น พันธบัตร สินค้าโภคภัณฑ์ และอสังหาริมทรัพย์

นอกจากนี้ ลุงแมวน้ำยังจะคุยเกี่ยวกับเรื่องกองทุนรวมที่อยู่ในตลาดทุนไทยแต่ไปลงทุนในต่างประเทศ (FIF) ต่างๆ ซึ่งปัจจุบันมีให้เลือกมากมายเช่นกัน โดยมีทั้งกองทุนรวมธรรมดาและกองทุนรวมแบบลดหย่อนภาษี (RMF) ที่พาเงินของเราไปลงทุนในต่างประเทศ โดยครอบคลุมสินทรัพย์เสี่ยงในประเภทต่างๆเช่นกัน ทั้งหุ้น พันธบัตร สินค้าโภคภัณฑ์ และอสังหาริมทรัพย์

ดังนั้นเว็บบล็อกของลุงแมวน้ำตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป จึงเป็นก้าวย่างใหม่ของการลงทุน นั่นคือ การโกอินเตอร์หรือออกไปสู่โลกกว้าง

ในช่วงปีที่แล้ว 2013 ลุงแมวน้ำปรับปรุงเว็บบล็อกน้อยลง และหันไปโพสต์ในเฟซบุ๊กเสียมากกว่า ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าลุงแมวน้ำขี้เกียจนั่นเอง ^_^ โพสต์ในเฟซบุ๊กง่ายกว่า แต่ว่าปีนี้ลุงแมวน้ำจะพยายามปรับปรุงเสียใหม่ ด้วยการหันกลับมาเขียนเรื่องราวในเว็บบล็อกเป็นหลัก เพราะแม้จะทำได้ยาก แต่ว่าทำให้ผู้อ่านติดตามเรื่องราวได้ง่ายและดีกว่า จะค้นมาดูในภายหลังก็ง่ายกว่าด้วย พร้อมกันนั้นก็จะคัดลอกเนื้อหาไปโพสต์ในเฟซบุ๊กด้วย แต่ภาพที่นำไปโพสต์ในเฟซบุ๊กอาจไม่ครบถ้วนเท่ากับในเว็บบล็อก แต่ก็เรียกได้ว่าอำนายความสะดวกกันสุดๆ ใครถนัดอ่านในสื่อชนิดใดก็เลือกได้ตามใจชอบ

เอาละ พูดเรื่องการเปลี่ยนแปลงกันไปแล้ว ต่อไปเรามาคุยเรื่องบันเทิงในวันหยุดกันดีกว่า ^_^

ช่วงเทศกาล โดยเฉพาะสงกรานต์ เป็นช่วงที่ลุงไม่อยากไปไหนเลย เพราะแหล่งท่องเที่ยวต่างๆทั้งในและต่างประเทศจะมีคนไทยแห่ไปเที่ยวกันเต็มไปหมด ไปเที่ยวเมืองจีน ฮ่องกง ในช่วงสงกรานต์ราวกับอยู่ในเมืองไทย เพราะว่านักท่องเที่ยวไทยเต็มไปหมด เดินอยู่บนถนนสุขุมวิทยังคล้ายเดินอยู่เมืองนอกมากกว่าเสียอีก ^_^

พูดถึงคนไทยไปเที่ยวต่างประเทศ ตอนนี้ร้านค้าไทยกลัวนักท่องเที่ยวจีนกันมาก เรียกว่าอยากได้เงินแต่ไม่อยากต้อนรับ เพราะว่ามีนักท่องเที่ยวจีนที่แสดงพฤติกรรมไม่ค่อยดีเอาไว้จนร้านค้าเข็ดขยาด ส่วนใหญ่เป็นเรื่องมารยาทและความเกรงอกเกรงใจ

แต่ขณะเดียวกัน ตอนนี้คนญี่ปุ่นก็กลัวนักท่องเที่ยวไทยเช่นเดียวกัน และก็ด้วยเหตุผลทำนองเดียวกันกับที่ร้านค้าไทยกลัวนักท่องเที่ยวจีน เนื่องจากตอนนี้มีนักท่องเที่ยวไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นกันมาก เพราะค่าเงินเยนอ่อน ทำให้ค่าทัวร์ไปญี่ปุ่นไม่แพง อีกทั้งยังไม่ต้องขอวีซ่าเข้าญี่ปุ่นอีกด้วย ได้ข่าวว่านักท่องเที่ยวไทยไปสร้างวีรกรรมเอาไว้ที่ญี่ปุ่นพอสมควรทีเดียว

ว่าจะพูดเรื่องบันเทิงวันหยุด ไหงมาพูดเรื่องท่องเที่ยวไปได้ มากลับเข้าเรื่องกันดีกว่า ^_^

สำหรับผู้ที่ไม่ได้เดินทางไปไหน ลุงแมวน้ำมีหนังซีรีส์จีนแนวแอคชั่น ดรามา ผจญภัยมาให้ชมกันแก้เหงา ตอนนี้ลุงกำลังติดเรื่องนี้งอมแงมอยู่เช่นกัน เราไปดูรายละเอียดกัน

ภาพยนตร์ซีรีส์ที่ว่านี้เป็นนิยายผจญภัย แฟนตาซี บู๊ ขำ รัก เศร้า แถมเพลงยังไพเราะอีกต่างหาก เรียกว่ามีครบทุกรส แต่ไม่จับฉ่าย ก่อนอื่นลุงเล่าความเป็นมาเสียก่อน

รู้จัก เฉินหลง กันใช่ไหม แจกกี ชาน (Jackie Chan) ไง เป็นนักแสดงและผู้กำกับชาวฮ่องกง หนังแนวที่ถนัดคือหนังแนวแอคชันกังฟู เพราะว่าเฉินหลงเองนั้นดังมาจากการเป็นดาราหนังกังฟูนั่นเอง

หนังแอคชันกังฟูของเฉินหลงนั้นไม่โหด ไม่ใช่ประเภทตัดแขน ตัดหัว เลือดท่วมจอ แต่เป็นหนังบู๊แนวขำๆ สมัยที่เฉินหลงหนุ่มๆนั้นเริ่มดังจากหนังแนวกำลังภายใน จากนั้นก็มาโด่งดังจากหนังชุด Police Story ซึ่งมีหลายภาค ลุงก็นับไม่หมด แต่อย่างน้อยก็ 5 ภาคล่ะ ซึ่งหนังชุด Police Story นี้ในภาคไทยมีชื่อว่า วิ่งสู้ฟัด บู๊กันแหลกลาญ และต่อมา หนังของเฉินหลงที่ฉายในไทยต้องมีคำว่า ฟัด ห้อยอยู่ด้วยตลอด เช่น วิ่งกระเตงฟัด ใหญ่ฟัดโลก ฯลฯ

และเมื่อเฉินหลงมีอายุมากขึ้น ก็พยายามลดคิวบู๊ของตนเองในหนังลง เพราะสังขารย่อมเสื่อมไปตามวัย จะให้วิ่งสู้ฟัดแบบหนุ่มๆย่อมไม่ได้ และนี่เองที่เป็นจุดเปลี่ยนของแนวหนังเฉินหลง

ในปี 2005 เฉินหลงออกฉายหนังเรื่อง The Myth หรือชื่อไทยคือ ดาบทะลุฟ้า ฟัดทะลุเวลา แนวของหนังเปลี่ยนจากแนวตำรวจที่บู๊แหลกลาญ กลายเป็นการหยิบตำนานรักมาเล่าขาน โดยผสมฉากบู๊เข้าไป เป็นหนังแอคชันกังฟูที่มีความเป็นดราม่าสูง ซึ่งทำให้เฉินหลงเลี่ยงบทบู๊เจ็บตัวไปได้เยอะทีเดียว ในขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างสีสันใหม่ๆให้แก่หนังของตน

เนื้อเรื่องของ The Myth หนังเรื่องนี้เป็นแนวทวิภพ คือย้อนยุค ลัดมิติ ทะลุเวลาไปสู่อดีตในยุคจิ๋นซีฮ่องเต้ โดยพระเอก (เฉินหลง) เป็นนักโบราณคดี เดินทางย้อนเวลาไปหลงรักสนมของจิ๋นซีฮ่องเต้ ซึ่งนางเอกในเรื่องนี้เป็นดาราเกาหลีชื่อคิมฮีซอน เพลงเอกของหนังเรื่องนี้ไพเราะมาก เราลองมาดูตัวอย่าง (trailer) ของหนังเรื่องนี้กัน




หนังเรื่องนี้เรตติงหรือคะแนนนิยมทางโลกตะวันตกไม่ค่อยเท่าไรนัก แต่ความนิยมในย่านเอเชียใช้ได้เลยทีเดียว ดังนั้นต่อมาในปี 2009 เฉินหลงจึงนำหนังเรื่อง The Myth นี้มาขยายเป็นหนังซีรีส์เพื่อฉายทางทีวี โดยในฉบับซีรีส์นี้มีเนื้อหาและรายละเอียดในเชิงประวัติศาสตร์เพิ่มเติมขึ้นอีกมากมาย มีความเป็นดราม่าสูง ขณะเดียวกันก็ยังมีกังฟูและมุขขำๆ ฮาๆ ตามสไตล์ของเฉินหลง

ภาพยนตร์ชุดทางทีวีนี้ทุ่มทุนสร้างถึง 40 ล้านหยวนหรือ 200 ล้านบาท ยาว 50 ตอน ออกฉายในปี 2010 ทางช่อง CCTV 8 ของจีน ดาราแสดงนำเปลี่ยนใหม่เป็นดาราจีน พระเอกเปลี่ยนจากเฉินหลงจมูกโตเป็นหูเกอ ดาราจีนหน้าตากวน ส่วนนางเอกก็เป็นไป๋ปิง ดาราจีนเช่นกัน มาดูภาพโปสเตอร์หนังซีรีส์กัน


The Myth 2010 (TV series)


เพลงเอกของซีรีส์จีนนี้ยังเป็นเพลงเดิม คือ Endless Love (美丽的神话 ชื่อในภาษาจีนแปลว่าเทพนิยายอันงดงาม) จาก The Myth 2005 ที่เป็นหนังโรง แต่เปลี่ยนนักร้องและไม่มีเนื้อร้องท่อนเกาหลีแล้ว (Endless Love เวอร์ชัน 2005 มีเนื้อร้องท่อนหนึ่งเป็นภาษาเกาหลีด้วย) เพลงนี้ดังทีเดียว มีนักร้องนำมาร้องหลายคู่ ฉบับที่นิยมกันคือฉบับที่ร้องโดยหูเกอกับไป๋ปิง รองลงมาเป็นคัฟเวอร์เวอร์ชัน ร้องโดยซุนหนานกับหานหง เรามาฟังฉบับของหูเกอไป๋ปิงกัน




ซีรีส์นี้ยังไม่ได้นำเข้ามาฉายในเมืองไทย แต่สามารถดูได้ทาง youtube ตามนี้เลยคร้าบ






มีพากย์ไทยให้เรียบร้อย ทยอยออกสัปดาห์ละตอน ตอนนี้มีพากย์ไทยถึง 16 ตอนแล้ว (ดูที่ playlist ทางด้านขวา จะมีชื่อตอนให้เลือกดู)

และถ้าหากไม่ทันใจ ก็ไปดูฉบับที่เป็นพากย์อังกฤษ (ซับอังกฤษ) ซึ่งมีครบทั้ง 50 ตอนแล้ว ไปที่นี่เลย




ที่นี่นอกจากมีฉบับซับอังกฤษแล้วยังมีฉบับซับไทยด้วย แต่แปลไทยกะพร่องกะแพร่ง เพราะแปลด้วยโปรแกรม ฉบับซับอังกฤษลุงแมวน้ำประเมินว่าถ่ายทอดได้สัก 80-90% ส่วนซับไทยนั้นรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ต้องเดาเยอะทีเดียว

พักผ่อนดูหนังกันให้สนุกในวันสงกรานต์คร้าบ



Monday, April 7, 2014

07/04/2014 เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ : ข้าวแช่ชาววังคลายร้อน



ข้าวแช่ชาววัง เมนูชื่นใจคลายร้อน


ช่วงนี้ลุงแมวน้ำกำลังง่วนกับการปรับปรุงเว็บบล็อกอยู่ ตั้งใจจะทำให้เสร็จฉลองครบรอบ 5 ปีของเว็บบล็อกลุงแมวน้ำในวันสงกรานต์ปีนี้ จากนั้นก็จะย่างเข้าปีที่ 6 แล้ว วันเวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก ลุงยังปรับปรุงไม่เสร็จเลย ฮือ จะทันไหมเนี่ย >.<

วันหยุดแวะมาคุยเล่นกันก่อน

วันนี้ลุงแมวน้ำเอาข้าวแช่มาฝาก กินแก้ร้อนกัน

ข้าวแช่เดิมทีนั้นว่ากันว่าเป็นอาหารมอญ ต่อมาตำรับนี้เข้าไปในราชสำนัก กลายเป็นอาหารที่นิยมกันภายในวังตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 เป็นต้นมา และแพร่หลายออกมานอกราชสำนักในช่วงรัชกาลที่ 4-5 และช่วงนี้เองที่มีการดัดแปลงเติมน้ำแข็งลงไป เพื่อให้เย็นสดชื่นสะใจยิ่งขึ้น จากที่ก่อนหน้านั้นไม่เติมน้ำแข็ง ก็คงจะเป็นเพราะเมื่อก่อนเก่าน้ำแข็งหายากด้วยแหละ พอมาถึงยุครัชกาลที่ 4 มีการนำน้ำแข็งเข้าจากสิงคโปร์ จึงค่อยมีการเติมน้ำแข็งกัน สมัยก่อนน้ำแข็งก็ต้องนำเข้ากันทีเดียว

ดังนั้นข้าวแช่ชั้นดีตำรับดั้งเดิมจึงเป็นตำรับของในรั้วในวัง นี่เองจึงเป็นที่มาของคำว่าข้าวแช่ชาววัง ส่วนข้าวแช่ตำรับชาวบ้านนั้นก็พลิกแพลงเอาตามอัธยาศัยตามวัถุดิบและฝีมือที่มีอยู่ แต่ส่วนใหญ่เมื่อทำขาย ไม่มีใครประโคมตัวเองหรอกว่าเป็นข้าวแช่ชาวบ้าน เห็นแต่ข้าวแช่ตำรับชาววังทั้งนั้น ^_^

ส่วนประกอบของข้าวแช่นั้น มาดูที่เครื่องกันก่อน เครื่องของข้าวแช่มี ลูกกะปิ เนื้อฝอย (บางทีก็หมูฝอย) ไชโป๊วผัดหวาน พริกหยวกสอดไส้ ปลาแห้ง แล้วก็กินกับผักซึ่งมักเป็นกระชายสด แตงร้าน ฯลฯ

ส่วนข้าวนั้นใช้ข้าวสวยแช่น้ำ วิธีกินก็กินข้าวสวยแช่น้ำ (ใส่น้ำแข็งด้วย) พร้อมกับเครื่องดังที่ว่า

ถามว่าความยากของอาหารเมนูนี้อยู่ที่ไหน ก็ตอบว่าหากทำกันแบบไว้ฝีมือโบราณจริงๆก็ยากทุกส่วนเลย ส่วนเครื่อง (ลูกกะปิ ไชโป๊ว ฯลฯ) นั้นมีหลายอย่าง การทำให้อร่อย กรอบ แลดูสวยงามนั้นทำได้ยาก อย่างเช่นกระชาย หากไว้ฝีมือหน่อยก็ต้องสลักเสลา กินไปก็ดูความสวยงามไป เป็นต้น

ผักที่กินเป็นเครื่องเคียง (เรียกว่าผักแนม) มักเป็นกระชาย แตงร้าน ต้นหอม ฯลฯ ซึ่งหากต้องการให้ประณีตก็ต้องมีการแกะสลักลวดลายลงไปด้วย กระชายมักสลักเป็นจำปี แต่งร้านก็สลักเป็นใบไม้ ดอกไม้สีส้มในภาพเป็นดอกจำปา ทำจากแครอท

ส่วนข้าวนั้นก็ต้องใช้ข้าวที่ค่อนข้างแข็ง เช่น ข้าวเสาไห้ ใช้ข้าวหอมมะลิไม่ได้ เพราะเมื่อแช่น้ำแล้วยุ่ยเละหมด ข้าวนี้ก็ต้องนึ่ง ไม่ใช่หุง

ส่วนน้ำที่แช่ข้าว ส่วนนี้แหละ ดูง่ายๆแต่ที่จริงยากมากถึงมากที่สุด เพราะน้ำที่แช่ข้าวสวยแล้วกินอร่อยนั้น ตามตำรับดั้งเดิมต้องเป็นน้ำฝนที่สะอาดบริสุทธิ์ แต่สมัยนี้หากอยู่ใน กทม ใช้น้ำฝนไม่ได้แล้วล่ะ เพราะมลพิษในอากาศทำให้น้ำฝนไม่สะอาด ต้องใช้น้ำสะอาดอย่างอื่นแทน

เมื่อได้น้ำสะอาดมาแล้วก็ต้องมาอบร่ำควันเทียน ซึ่งควันเทียนนี้มาจากเทียนอบ เทียนอบนี้หากจะให้หอมก็ต้องทำเองซึ่งขั้นตอนการทำเทียนอบก็ยุ่งยาก รวมทั้งการอบร่ำให้น้ำสะอาดมีกลิ่นควันเทียนนั้นก็ยาก เพราะหากทำไม่เป็น น้ำจะมีแต่กลิ่นควันไฟเหม็นๆแทน

การอบร่ำควันเทียนแก่น้ำข้าวแช่ ตองใช้เทียนอบโดยเฉพาะ (เทียนไขไม่ได้เชียว) เทียนอบนี้ก็มีสูตรการทำเฉพาะตัว กลิ่นหอมหรือไม่ขึ้นกับฝีมือการทำเทียนอบและฝีมือการอบร่ำ หากทำไม่เป็น น้ำที่ได้จะมีแต่กลิ่นควันไหม้ๆ

และนอกจากนี้ น้ำแช่ข้าวนี้อบควันเทียนยังไม่พอ ยังต้องลอยด้วยดอกไม้หอมเพื่อให้กลิ่นดอกไม้หอมละลายลงไปในน้ำอีกด้วย ดอกไม้หอมที่นิยมใช้มักเป็นมะลิ หรือกุหลาบมอญ

ยัง ความยากของน้ำแช่ข้าวยังไม่หมด สมัยนี้ดอกมะลิหรือกุหลาบล้วนแต่พ่นยาฆ่าแมลงทั้งนั้น ดังนั้นหากจะทำตามตำรับโบราณจริงๆก็ต้องลงทุนปลูกกุหลาบมอญหรือมะลิเอง เห็นไหม ว่าแค่น้ำข้าวแช่ก็ยังยากเย็นแสนเข็ญ

ขั้นตอนการลอยดอกไม้ในน้ำข้าวแช่เพื่อให้น้ำมีกลิ่นดอกไม้ มักใช้มะลิหรือกุหลาบมอญ การทำน้ำดอกไม้ก็มีเทคนิคเช่นกัน น้ำดอกไม้ที่ลอยดอกไม้ในช่วงเช้ามืดจะมีกลิ่นหอมสดชื่นกว่าการทำในเวลาอื่น เพราะดอกไม้เหล่านี้บานและส่งกลิ่นหอมยามเช้านั่นเอง นี่เป็นเทคนิคอันละเอียดอ่อน คุณภาพของน้ำลอยดอกไม้จะหอมหรือไม่ส่วนหนึ่งก็อยู่ตรงนี้แหละ และส่วนใหญ่มักไม่บอกกัน น้ำลอยดอกไม้อบร่ำควันเทียนที่ทำอย่างประณีตฝีมือดีๆนั้นหาดื่มได้ยากมากในสมัยนี้ ใครได้ชิมแล้วจะสดชื่น เพราะรสชาติดีมาก ได้ทั้งกลิ่นและรสอันหอมละมุน ราวกับอยู่ในความฝันอันแสนสุขทีเดียว ^_^

การกินข้าวแช่ให้อร่อยควรใส่น้ำลอยดอกไม้ (น้ำข้าวแช่) ในคนโฑดินเผา เมื่อน้ำมาเสิร์ฟจะเย็นชื่นใจ

สมัยก่อนหากลุงมีโอกาสแวะไปท่าพระจันทร์ทีไรก็มักเข้าไปกินข้าวแช่ที่ร้านริมน้ำตรงท่าพระจันทร์ (ไม่ใช่ร้านชื่อริมน้ำ แต่ว่าอยู่ริมน้ำ) ข้าวแช่เป็นอาหารที่ราคาไม่ถูกนัก เพราะว่าทำยาก ตำรับชาววังมักราคาแพงหน่อย แต่หากลดรูปลงไปบ้างเป็นตำรับชาวบ้านก็ย่อมเยาลงมาบ้าง ต่อมาลุงก็เลิกกินไป

ที่เลิกกินเพราะว่าหากินได้ค่อนข้างยาก เป็นอาหารที่วัยรุ่นหนุ่มสาวไม่ค่อยนิยม จึงไม่ค่อยมีใครทำขายกัน และอีกประการ ที่ลุงเลิกกินเพราะว่าไม่แน่ใจในน้ำลอยดอกไม้นั่นแหละ ลุงกลัวยาฆ่าแมลงที่มากับดอกไม้

ปัจจุบัน เมนูข้าวแช่ถือว่าเป็นเมนูที่หากินได้ยาก และมีราคาพอสมควร แต่เรื่องความปลอดภัยดูเหมือนจะดีขึ้นมั้ง เพราะบางเจ้าบอกว่าปลูกดอกไม้เอง ไม่พ่นยาใดๆ ร้านเดิมที่ลุงเคยกินที่ท่าพระจันทร์ไม่รู้ว่าไปไหนแล้ว แต่ว่าที่บางลำภูมีร้านเก่าแก่อยู่เจ้าหนึ่ง ซึ่งลุงก็ไม่เคยกินสักที แต่ที่เคยลองลิ้มชิมคือในห้องอาหารของโรงแรมเวียงใต้ บางลำภู อร่อยดีคร้าบ ^_^

ห้องอาหารของโรงแรมเวียงใต้นั้นเป็นแหล่งของกินโบราณสมัยก่อน ลูกค้าที่มากินก็อายุไม่น้อยกันเป็นส่วนใหญ่ มาพบปะสังสรรค์และนั่งรำลึกความหลังกัน คิดง่ายๆ เมื่อเดินเข้าไปเพลงนางฟ้าจำแลงของสุททราภรณ์ก็ลอยมาตามลมนั่นแหละ คงพอนึกออกว่าลูกค้าเป็นวัยระดับไหน ^_^

การทำข้าวแช่สมัยนี้ง่ายขึ้น ลุงเคยคิดอยากทำข้าวแช่กินเองอยู่เหมือนกัน โดยไปซื้อข้าวนึ่งกับเครื่องมา ส่วนน้ำลอยดอกไม้อบควันเทียนลุงก็ทำเอง  น้ำลอยดอกไม้ เดี๋ยวนี้มีน้ำกุหลาบน้ำเข้ามาขาย ก็แพงหน่อย แต่ปลอดภัย ส่วนการร่ำควันเทียนก็มีกลิ่นควันเทียนที่เป็นกลิ่นสังเคราะห์ หยดลงไปหน่อยก็พอคลับคล้ายอยู่เหมือนกัน ทุ่นแรงไปได้เยอะ นี่เป็นไอเดียของลุงนะ คิดเล่นๆ ยังไม่มีโอกาสทำสักที ^_^