Sunday, June 23, 2013

23/06/2013 เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ บำรุงผิวพรรณ ผ่องใส ลดริ้วรอย ด้วยโยเกิร์ตนมถั่วเหลือง (เจ/มังสวิรัติ) (1)


เช้าวันหยุดในช่วงฤดูฝนอากาศเย็นสบาย ไม่ร้อนอบอ้าวเหมือนเมื่อช่วงเดือนเมษายน พฤษภาคมที่ผ่านมา ลุงแมวน้ำตื่นแต่เช้ามานั่งจิบกาแฟชมสวน พลางนึกถึงบทความในวันหยุด

ลุงแมวน้ำคิดจะเขียนบทความเกี่ยวกับวิธีบำรุงผิวพรรณแบบง่ายๆ ได้ผล และราคาประหยัดมาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่ได้เขียนสักที เอาละ วันนี้เรามาคุยเรื่องนี้กันดีกว่า



ครีมผิวขาวใส ตลาดแดงเดือดกับโฆษณาเว่อ


ผลิตภัณฑ์พวกสกินแคร์หรือว่าผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเครื่องสำอางบำรุงผิวพรรณนั้นจัดเป็นกลุ่มสินค้าที่มียอดขายเติบโตดีมาก เพราะคนเราไม่ว่าชายหรือหญิงย่อมมีนิสัยรักสวยรักงาม ไม่ใช่แต่เฉพาะคนไทย แต่ว่าเป็นกระแสของทั่วโลกเลยทีเดียว และเมื่อเป็นธุรกิจที่มียอดขายดี แน่นอน ผู้ประกอบการทุกขนาด ไม่ว่าเล็ก กลาง ใหญ่ ยักษ์ ต่างก็กระโจนเข้ามาในสนามเครื่องสำอางบำรุงผิวพรรณกัน ดังนั้น จะว่าไปแล้ว ธุรกิจเครื่องสำอางบำรุงผิวพรรณในปัจจุบันจัดว่าเป็นน่านน้ำทะเลแดง (red ocean market) เพราะว่ามีการแข่งขันกันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน ดังที่เราคงเห็นกันว่า ไม่ว่าจะไปที่ไหน ไม่ว่าจะดูทีวี ฟังวิทยุ ขึ้นรถไฟฟ้า ยืนตามป้ายรถเมล์ ฯลฯ ต่างก็เห็นโฆษณาเครื่องสำอางกลุ่มสกินแคร์เต็มไปหมด

โดยเฉพาะวัฒนธรรมของไทยนั้นนิยมผิวขาว ดังนั้นผลิตภัณฑ์ที่บำรุงผิวพรรณเพื่อให้ผิวขาว ลดความหมองคล้ำ ลดริ้วรอย เหล่านี้จึงเป็นที่นิยมในหมู่ผู้บริโภคชาวไทย ดังจะเห็นได้จากโฆษณาผลิตภัณฑ์ผิวขาวทั้งหลายที่กระหน่ำโฆษณาถี่ราวกับต้องการล้างสมองผู้บริโภค ลุงแมวน้ำขึ้นรถไฟฟ้า ในระยะเวลาเพียงแค่ 40 นาทีที่อยู่ในรถไฟฟ้า แต่ดูโฆษณาผลิตภัณฑ์ผิวขาวไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ ดูจนเวียนหัว ต้องหันหน้าไปดูอย่างอื่นแทน

ถามว่าผลิตภัณฑ์บำรุงผิวขาวที่โฆษณากันอยู่นี้ทำให้ผิวขาวได้จริงไหม ลุงแมวน้ำก็อยากถามกลับว่า คนที่ใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ที่เห็นในโฆษณานั้น พรีเซ็นเตอร์มีผิวขาวราวเป็นประกายราวกับหลอดฟลูออเรสเซ็นต์เดินได้ แล้วผู้ที่ซื้อไปใช้มีใครเคยใช้แล้วได้ผลแบบนั้นหรือไม่ ทำไมเราไม่เห็นหลอดฟลูอออเรสเซ็นต์เดินได้กันเต็มเมืองแล้วล่ะ เพราะผู้ที่ซื้อใช้ก็มีมากมาย

หลายคนอาจบอกว่า อ้าว ในโฆษณามีผลวิจัยด้วยนะ ผู้หญิงกว่า 90% ใช้แล้วได้ผล อะไรนั่น ลุงแมวน้ำก็อยากบอกว่า ให้สังเกตคำพูดที่ใช้ในโฆษณาให้ดี ในโฆษณาจะพูดว่า "จากผลการสำรวจ ผู้หญิง 90% ที่ใช้รู้สึกว่าผิวของตนเองดูกระจ่างสดใสขึ้น..."

ลุงแมวน้ำมีข้อสังเกตเกี่ยวกับผลสำรวจที่มักยกมาอ้างในงานโฆษณา นั่นก็คือ ผู้บริโภคต้องฟังดูดีๆ เพราะว่าไม่มีโฆษณาชิ้นใดเลยที่บอกว่า "ใช้แล้วผิวขาวขึ้น" มีแต่บอกว่า "ใช้แล้วรู้สึกว่า..." ดังนั้น แท้ที่จริงแล้วผลสำรวจนี้เป็นการสำรวจความพึงพอใจของผู้บริโภคต่างหาก คือเป็นการถามความรู้สึก ไม่ได้เป็นข้อเท็จจริงว่าผิวขาวขึ้นหรือไม่ หากจะพิสูจน์ว่าขาวจริงหรือไม่ต้องใช้เครื่องตรวจวัดสภาพผิวมาวัดกันเลยจึงจะบอกได้

และข้อสังเกตอีกประการก็คือ ไม่มีโฆษณาชิ้นใดที่บอกว่าใช้แล้วผิวขาว มีแต่บอกว่า "แลดูขาว, แลดูกระจ่างสดใส" ใช้คำว่า "แลดู" ไม่ได้บอกว่าขาวจริงๆ

หรือบางทีโฆษณาก็ทำเหนือชั้น ทำหนังโฆษณาแบบไม่พูดตรงๆ แต่เอาอะไร ขาวๆ ชมพูๆ มาใส่ไว้ในโฆษณา แล้วให้ผู้ชมคิดเชื่อมโยงเอาเอง ว่า เออ นี่ใช้แล้วผิวขาวนะ ใช้แล้วผิวอมชมพูนะ ซึ่งที่จริงโฆษณาแนวนี้ไม่พูดตรงๆเพราะว่ากฎหมายห้ามเอาไว้ คือ กฎ อย. ห้ามบรรยายสรรพคุณในลักษณะของยา ดังนั้นจะบอกว่าใช้แล้วผิวขาว แบบนี้ไม่ได้ อย่างนั้นต้องไปขึ้นทะเบียนยา ก็เลี่ยงไปใช้การสื่อความหมายโดยให้ผู้ชมไปตีความเอาเอง แบบนี้ก็เลี่ยงกฎ อย. ไปได้ แต่ถือว่าเป็นการเลี่ยงบาลี

เอาละ แล้วทีนี้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้แล้วทำให้ผิวขาวนั้นมีจริงหรือเปล่า คำตอบก็คือ มีจริง แต่ว่าส่วนใหญ่ช่วยให้ขาวขึ้นได้นิดหน่อยเท่านั้น ไม่ได้มากมายอะไร หากใช้เครื่องตรวจสภาพผิว จะพบว่าผิวขาวขึ้น แต่หากดูด้วยตา บางทีดูไม่ออกหรอก แค่รู้สึกว่าผ่องๆขึ้นนิดหน่อยเท่านั้นเอง ซึ่งเรื่องนี้มีปัจจัยอื่นประกอบด้วย เช่น หากเลี่ยงการออกแดดได้ด้วย ก็มีส่วนช่วยให้ผิวพรรณขาวขึ้นได้ ซึ่งการเลี่ยงออกแดดนี้สำคัญกว่าการใช้เครื่องสำอางผิวขาวเสียอีก เพราะว่าการที่ผิวหนังของแต่ละคนมีสีอะไรนั้นขึ้นอยู่กับชาติพันธุ์กำหนด จากนั้นสภาพแวดล้อม คือการออกแดด จะช่วยเสริมให้ผิวคล้ำมากขึ้น ดังนั้นหากเลี่ยงออกแดดได้ ผิวก็ขาวขึ้นบ้างอยู่แล้วโดยธรรมชาติ



กลไกในการทำให้ผิวขาวขึ้นนั้นทำได้อย่างไร


พูดเรื่องนี้แล้วก็ยาว เอาแบบสั้นๆ เข้าใจง่าย แบบแมวน้ำๆละกัน สีผิวเกิดจากปริมาณของเม็ดสี (melanin, เมลานิน) ในชั้นผิวหนัง เรามาดูภาพเพื่อทำความเข้าใจกับการเกิดสีผิวกันก่อน เป็นเชิงวิชาการอยู่บ้าง แต่ทนอ่านเอาหน่อยก็แล้วกัน เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง

สีผิวของมนุษย์หากแบ่งอย่างกว้างๆก็สามารถแบ่งได้เป็น 6 ระดับ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับชาติพันธุ์ด้วย ดังนี้
กลุ่มฝรั่งยุโรปอเมริกา หรือที่เรียกว่ากลุ่มคอเคเชียน (caucasian บางทีก็เรียกว่ากลุ่มยุโรป european) เป็นกลุ่มที่มีสีผิวอ่อนที่สุด คืออยู่ในระดับที่ 1 ถึง 3
ส่วนอีกกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งคือกลุ่มเอเชียมีผิวเหลืองถึงดำแดง พวกนี้เป็นผิวระดับ 4 ถึง 5
กลุ่มชาติพันธุ์ที่ผิวเข้มที่สุดคือกลุ่มแอฟริกัน มีระดับความเข้มที่ระดับ 6



ลักษณะเซลล์ผิวผนังของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ คือ แอฟริกัน เอเชีย และกลุ่มคอเคเชียน (ยุโรป) จะเห็นว่าภายในเซลล์ผิวหนังประกอบด้วยเม็ดสี (เมลานิน, melanin) ซึ่งเม็ดสีนี้มีปริมาณและความเข้มต่างกันไป เม็ดสีนี่เองที่ทำให้สีผิวของแต่ละเชื้อชาติแตกต่างกันออกไป




ภาพวาดแสดงภาคตัดขวางของผิวหนังมนุษย์ เปรียบเทียบระหว่างผิวหนังสีเข้ม (ซ้าย) กับผิวหนังสีอ่อน (ขวา)
จะเห็นว่าผิวหนังนั้นประกอบด้วยเซลล์ผิวหนังเรียงตัวซ้อนกันอยู่เป็นจำนวนมาก และในเซลล์ผิวหนังสีเข้มจะมีเม็ดสีหรือเมลานินมากกว่าและเข้มกว่าในเซลล์ผิวหนังสีอ่อน



การทำให้ผิวขาวขึ้นมากๆนั้น ต้องทำโดยใช้ยาไปกดการสร้างเม็ดสี โดยผลของยาจะทำให้เม็ดสีในผิวหนังมีน้อยลง ผิวก็จะขาวขึ้น กรณีนี้ต้องใช้ยา อย่างเช่น ไฮโดรควิโนน ซึ่งแพทย์เป็นผู้ใช้เท่านั้น เพราะมีอันตราย

กรณีที่ทำให้ผิวผ่องใสขึ้น กรณีนี้ก็คือผิวขาวขึ้นนิดหน่อย ดูผ่องๆ นวลๆ ดีกว่าเดิม แบบนี้สามารถใช้เครื่องสำอางช่วยได้ ซึ่งกลไกที่จะทำให้ผิวผ่องใสขึ้นนั้นสามารถทำได้ 3 ทาง คือ

  1. ใช้สารที่ลดการสร้างเม็ดสีลงนิดหน่อย (skin lightening) ต้องเน้นว่าลดเม็ดสีลงนิดหน่อยเท่านั้น จึงจะเติมลงไปในเครื่องสำอางได้ อย่างเช่น ไวตามินซี (vitamin c) จึงเรียกว่าเป็น skin lightening หากเป็นสารที่ลดการสร้างเม็ดสีลงมากๆจะจัดเป็นยา
  2. การผลัดเซลล์ผิว (skin foliage หรือ skin peeling) โดยทำให้เซลล์ผิวชั้นนอกสุดซึ่งเป็นชั้นขี้ไคล ลอกออกเร็วขึ้น และลอกได้เกลี้ยงเกลาขึ้น ผลก็คือจะทำให้ผิวผ่องใสขึ้นได้
  3. ใช้สารที่มีขนาดเล็กทาเพื่อคลุมผิวไว้ อำพรางสีผิวจริง 

วิธีแรกกับวิธีที่สองนั้นเห็นผลช้า อย่างน้อยก็ต้อง 3 สัปดาห์จึงจะเริ่มเห็นผล ส่วนวิธีที่สามคล้ายกับการใช้แป้งทารองพื้น แต่วัสดุที่ใช้นั้นเล็กละเอียดกว่ามาก ทำให้ดูไม่ออกว่าโปะรองพื้นไว้อีกชั้นหนึ่ง วิธีที่สามนี้เห็นผลเร็ว ทาปุ๊บเห็นผลปั๊บ แต่ไม่มีผลกับสีผิวจริง

ที่เราจะมาคุยกันก็จะเป็นวิธีที่สองนี่แหละ



ครีมมะขามเปียกบำรุงผิวผ่อง ของดีราคาประหยัด


คนในสมัยโบราณมีวิธีทำให้ผิวผ่องใสขึ้น ด้วยวิธีง่ายๆ ไม่สิ้นเปลืองมาก นั่่นคือการใช้น้ำมะขามเปียกทาผิวเป็นประจำ บางคนก็ใช้น้ำมะขามเปียกผสมกับนมสด มะขามเปียกก็ซื้อเอาตามตลาด ที่ใช้ทำอาหารน่ะ เอามาผสมน้ำ ยีเนื้อมะขามเปียกกับน้ำให้เนื้อเละ จากนั้นคั้นเอาแต่น้ำมาใช้ เพียงเท่านี้ก็ได้ครีมบำรุงผิวชั้นดีใช้แล้ว อย่าดูถูกว่าเป็นวิธีโบราณเชียว วิธีนี้ใช้ได้ผลดีทีเดียว ปัจจุบันก็ยังมีผู้ใช้อยู่ ถือว่าเป็นวิธีบำรุงผิวให้ผ่องใสที่ได้ผล เพียงแต่ว่าทำยุ่งยากนิดหน่อย อีกทั้งยังเก็บไว้ไม่ได้นาน แล้วก็อีกอย่างคือ บางคนใช้แล้วแพ้ ใบหน้าแดงเชียว เพราะฤทธิ์กรดที่อยู่ในมะขามเปียกนั่นเอง

วิธีทำน้ำมะขามเปียกเพื่อนำมาใช้เป็นครีมบำรุงผิว เริ่มด้วยการหาซื้อมะขามเปียกมาจากตลาด (ที่จริงตามซูเปอร์มาร์เก็ตก็มีขาย ไม่ต้องไปหาในตลาดสดหรอก) จากนั้นเอามาผสมน้ำ ยีจนเนื้อมะขามเละ และคั้นเอาแต่น้ำ จะได้น้ำปนเนื้อมะขามออกมา นี่เองที่เรียกว่าน้ำมะขามเปียก เอามาทาผิว หรือผสมกับนมด้วยก็ได้


ที่จริงหากใครจะใช้วิธีนี้ เดี๋ยวนี้ก็ไม่ยุ่งยากแล้ว เพราะว่ามีน้ำมะขามเปียกสำเร็จรูปขายเป็นขวด มีอยู่ตามซูเปอร์มาร์เก็ต เปิดขวดแล้วผสมน้ำนิดหน่อย ทาหน้าได้เลย ถูกอนามัยอีกต่างหาก เพราะว่าน้ำมะขามเปียกที่เป็นขวดเหล่านี้ผ่านกระบวนการผลิตอย่างถูกสุขลักษณะ สามารถเก็บไว้ใช้ได้นาน


น้ำมะขามเปียกสำเร็จรูป เปิดขวดใช้ได้เลย สะดวกกว่าสมัยก่อนมาก

มะขามเปียกมีข้อเสียอยู่บ้าง นั่นคือ มีความเป็นกรดค่อนข้างสูง ระคายเคืองผิวบางคน ดังนั้นบางคนอาจใช้ไม่ได้ ใช้แล้วจะเกิดอาการแพ้ หน้าแดง ลุงยังมีครีมบำรุงผิวอีกขนิดหนึ่งที่ใช้ดีกว่าน้ำมะขามเปียกมาก นั่นก็คือ โยเกิร์ตนมถั่วเหลืองสูตรเจ/มังสวิรัติ ที่ลุงแมวน้ำเคยสอนวิธีทำไปเมื่อนานมาแล้วนั่นเอง

ลุงคุยโน่นคุยนี่มาตั้งนาน ยังไม่ได้ไปถึงไหนเลย ยังไม่ได้เข้าเรื่องครีมบำรุงผิวโยเกิร์ตนมถั่วเหลือง ว่ามีคุณสมบัติดีเด่นประการใด ก็คุยกันวันหยุดละนะ สบายๆ ไม่รีบเร่งอะไร บอกสั้นๆก่อนว่า โยเกิร์ตนี้ใช้ดีมาก ช่วยให้ผิวผ่องใส นุ่ม เนียน และลื่นขึ้น ลดริ้วรอยได้ และที่สำคัญคือ ช่วยปรับสภาพผิว เพิ่มภูมิคุ้มกันให้แก่ผิวหนัง อย่างเช่นใครที่มือเท้าแช่น้ำบ่อยหรือสัมผัสผงซักฟอกบ่อย มักมีอาการมือหรือเท้าอักเสบ หรือที่เรียกว่าน้ำกัดมือ น้ำกัดเท้านั่นเอง ใช้ครีมโยเกิร์ตนี้แล้วช่วยให้ผิวหนังดีขึ้น หายเร็วขึ้น 

เอาไว้คุยกันต่อคราวหน้าก็แล้วกันนะคร้าบ วันนี้ลุงเมื่อยครีบแล้ว คราวหน้ามาดูรายละเอียดกันว่าครีมนี้ดีอย่างไร ทำอย่างไร และใช้อย่างไร ไม่ยากหรอก ที่สำคัญคือ ของดีแบบนี้หาซื้อที่ไหนไม่ได้ แต่ก็ทำได้ง่ายๆ ไม่ต้องกลัวว่ายาก ลุงแมวน้ำเองก็ไม่ค่อยขยัน ไม่ชอบอะไรยากๆอยู่แล้ว ^_^

Tuesday, June 18, 2013

18/06/2013 * สแกนหาหุ้นเด่น และสรุปตลาดในรอบสัปดาห์ (10/06/2013 - 14/06/2013)


สัปดาห์ที่แล้วเกิดเรื่องราวมากมาย ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียร่วงระนาว ที่จริงก็ร่วงทั้งโลกนั่นแหละ เพียงแต่ว่าทางฝั่งสหรัฐอเมริกาลงไม่มาก ส่วนทางยุโรปกับเอเชียก็มากหน่อย ซึ่งสาเหตุความเป็นมานั้นก็เกิดจากความกังวลงว่าเฟดจะลดหรือยุติโครงการ QE3 ในเร็ววันนี้ ตลาดหุ้นไทยก็ลงแรงเอาการ ตลอดสัปดาห์ดัชนี SET ปรับตัวลง -3.4% หุ้นในกลุ่ม SET 50 เกิดสัญญาณขายไปแล้ว 48 ตัว เหลือเพียง 2 ตัวที่ยังเป็นสัญญาณซื้อ เรียกได้ว่าขายกันแทบจะหมดพอร์ตเลยทีเดียว

เรื่องราวความเป็นมาเราก็ได้คุยกันไปบ้างแล้วในระหว่างสัปดาห์ ลุงแมวน้ำจะไม่ทวนซ้ำ วันนี้จะขอสรุปกราฟบางตัวให้ดู พร้อมกันนั้นมีของฝากด้วย อยู่ที่ท้ายบทความ

วันที่ 18-19 มิถุนายนนี้ คณะกรรมการการเงินของอเมริกาจะมีประชุม และโลกกำลังจับตามองว่าลุงเบนจะมีความชัดเจนในเรื่อง QE 3 มากขึ้นหรือไม่ แต่อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรของอเมริกาไม่ได้แตกตื่นตกใจกับเรืองนี้มากนัก มีปรับตัวลงบ้าง แต่ไม่ถึงกับแตกตื่นขาย และล่าสุดตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรก็ปรับตัวดีขึ้นแล้ว ดังนั้นเหมือนกับเป็นสัญญาณในทางที่ดีล่วงหน้าว่าสุดท้ายเฟดอาจไม่ทำอะไรหักหาญ เพราะไม่เช่นนั้นความพยายามที่ผ่านมาอาจเสียเปล่าได้ อีกไม่กี่วันก็จะรู้แล้ว แต่ถ้าลุงเบนยังอึมครึมต่อไป ก็มาว่ากันอีกที

มาดูกราฟกันก่อนนะคร้าบ

ดัชนีดอลลาร์ สรอ ที่บ่งชี้ค่าเงินดอลลาร์อเมริกัน ช่วงนี้ดอลลาร์ สรอ อ่อนตัวลงมาก ซึ่งค่อนข้างน่าแปลก หากนักลงทุนกังวลว่าเฟดจะลดวงเงินอัดฉีดลง ผลน่าจะทำให้ดอลลาร์ สรอ แข็งค่า 

เงินเยนแข็งค่าอย่างรวดเร็ว

เงินยูโรก็แข็งค่า

เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่ามาหลายสัปดาห์แล้ว อ่อนค่าลงเร็วด้วย ยิ่งในสัปดาห์ที่แล้วที่ตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรมีแรงขายออกมามาย ค่าเงินก็ยิ่งอ่อน แต่ว่าสองสามวันมานี้เริ่มกลับมาแข็งค่าบ้างแล้ว แสดงว่าเงินที่ไหลออกเริ่มนิ่งแล้ว สอดคล้องกับที่ต่างชาติเริ่มกลับมาซื้อหุ้นและพันธบัตรในสัปดาห์นี้

ราคาพันธบัตรรัฐบาลอเมริกัน อายุ 10 ปี ราคาอ่อนตัวลงตั้งแต่เดือนพฤษภาคม แต่สองสามวันที่ผ่านมานี้เริ่มมีแรงซื้อจนรีบาวด์ขึ้นมาบ้างแล้ว 

เงินดอลลาร์ สรอ อ่อน แต่ราคาทองคำไม่ไปไหน ตอนนี้ราาทองคำก่อตัวเป็นสามเหลี่ยมชายธง และกำลังเดินเข้าสู่ปลายชายธง อีกไม่นานจะรู้กันว่าราคาจะทะลุขึ้นหรือลง



ราคาน้ำมันดิบไนเมกซ์ (WTI) ทะลุชายธงด้านบน (เส้นสีแดง) ไปแล้ว แต่ยังมีสามเหลีย่มชายธงกรอบใหญ่ซอนอยู่อีกหันหนึ่ง (เส้นสีดำ) ตอนนี้ราคาติดอยู่ที่ 98 ดอลลาร์ หากผ่านไปได้ก็ไปต่อได้

ราคายางพารา เกิดสัญญาณซื้อแล้ว แต่เป็นสัญญาณซื้อที่ค่อนข้างเสี่ยง

ราคายางพาราตลาดญี่ปุ่น ยังร่วงไม่หยุด สาเหตุที่ราคายางพาราตลาดญี่ปุ่นมีรูปแบบกราฟต่างกันมากเพราะผลของค่าเงิน ยางพาราญี่ปุ่นยังเป็นขาลง แต่ว่ายางพาราไทยเกิดสัญญาณซื้อได้เพราะผลจากอัตราแลกเปลี่ยน เงินเยนแข็งค่า ดังนั้นลุงแมวน้ำจึงบอกว่าราคายางพาราไทยเป็นสัญญาณซื้อในความเสี่ยง

SET index เกิดรูปแบบเกาะกลับทิศ และยังตามมาด้วย แท่งเทียนแบบ morning star อันเป็นสัญญาณขาขึ้นทั้งสองประการ  



สุดท้ายนี้ลุงแมวน้ำมีไฟล์ที่ลุงสแกนหุ้นมาฝาก ลองดาวน์โหลดไปดูกัน


ตารางสแกนหาหุ้นเด่น (คลิกเพื่อดาวน์โหลด)


วิธีใช้ตารางก็ตามข้างล่างนี้เลย


ตารางนี้มี 8 คอลัมน์ ดังนี้

  1. คอลัมน์แรกเป็นชื่อหลักทรัพย์
  2. ราคา ณ วันที่ 9 เมษายน 2013 ลุงแมวน้ำเลือกใช้วันนี้เพราะเป็นท้องคลื่นหรือจุดต่ำสุดของคลื่นในรอบก่อน
  3. คอลัมน์ที่ 3 นี่เขียนหัวข้อผิดนะคร้าบ ลุงรีบทำไปหน่อย >.< ที่ถูกคือ ราคา ณ วันที่ 17 มิถุนายน 2013
  4. คอลัมน์นี้แสดงความเปลี่ยนแปลงของราคาจากวันที่ 09/04/2013 กับวันที่ 17/06/2013 โดยคิดเป็นร้อยละนั่นเอง อย่างเช่นหุ้น VTE -47.84% ก็หมายความว่าราคาหุ้น ณ 17/06/2013 ลงไป -47.84% เมื่อเทียบกับราคาหุ้น ณ 09/04/2013 
  5. คอลัมน์นี้แสดงการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้น จากวันที่ 13/06/2013 ถึงวันที่ 17/06/2013 คอลัมน์นี้เอาไว้ดูว่าเมื่อตอนที่หุ้นรีบาวด์ ใครรีบาวด์ได้แรงบ้าง
  6. คอลัมน์นี้บอกว่า ณ วันที่ 17/06/2013 นี้หุ้นตัวนั้นๆเกิดสัญญาณซื้อมาแล้วนานกี่วัน
  7. คอลัมน์นี้บอกว่า ณ วันที่ 17/06/2013 นี้หุ้นตัวนั้นๆเกิดสัญญาณขายมาแล้วนานกี่วัน โดยคอลัมน์ 6 หรือ 7 ดูไปด้วยกัน หุ้นตัวไหนถ้าเป็นสัญญาณซื้อ ในช่องสัญญาณขายก็จะเป็น 0 
  8. หมายเหตุ คอลัมน์นี้บอกว่าหุ้นตัวนี้อยู่ในกลุ่มใด เช่น SET50, SET100 ฯลฯ 

คอลัมน์ที่ 4 กับ 5 นั้นเอาไว้ดูเทียบกันเพราะคอลัมน์ 4 เทียบกับท้องคลื่นเดิม เป็นการรีบาวด์ในช่วงสองเดือน ส่วนคอลัมน์ 5 เป็นการดูความแรงจากการรีบาวด์ในระยะสั้น (4 วันทำการ)

สำหรับคอลัมน์ 4 ให้เทียบกับมาตรฐานคือดัชนี SET โดย SET index ปรับตัวขึ้นเพียง +0.02% ใครมากกว่านี้ก็ถือว่าแรงกว่าตลาด

สำหรับคอลัมน์ 5 ให้เทียบกับมาตรฐานคือดัชนี SET โดย SET index ปรับตัวขึ้นเพียง +4.83% ใครมากกว่านี้ก็ถือว่าแรงกว่าตลาด


เมื่อดูตารางสแกนหุ้น เห็นว่าใครแรง ใครไม่แรง ใครเกิดสัญญาณซื้อ หรือขาย ถูกใจหุ้นตัวใดก็ไปเปิดกราฟของหุ้นตัวนั้นหรือหาข้อมูลพื้นฐานของหุ้นตัวนั้นต่อไป


 photo s5014062013weeklyreportcopy.gif