หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย BCP, CPF, KBANK, MINT ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 17 ตัว
กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณขาย QH
ตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดย่านเอเชียมีทั้งปิดแดงและปิดเขียว ตลาดหุ้นจีนขึ้นแรง ส่วนตลาดหุ้นไทยลงแรง ส่วนตอนบ่ายเมื่อตลาดยุโรปเปิดเขียว บวกไปประมาณ 1% ต่อมาก็อ่อนลง ปรากฏว่ายุโรปส่วนใหญ่ปิดแดง เยอรมนีลบไป -1.7% ต่อมาตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาก็เปิดเขียวจากนั้นก็ปิดแดง -1.5%
วันนี้ตลาดหุ้นที่ลงแรงมีเพียงไทยกับเม็กซิโก
ทางด้านราคาทองคำ วันนี้ราคาทองคำของไทย (GF) สัญญาเดือนไกล ปรับตัวลดลงถึง 2,600 บาท นั่นคือมีผลขาดทุนถึง 130,000 บาท ในตลาดที่ผันผวนแม้แต่การใช้ระบบสัญญาณก็เสียหายหนักได้เนื่องจากระบบสัญญาณตามแนวโน้มไม่ทัน ผลทำให้สัญญาณซื้อขายเกิดช้า ไม่ทันกับความผันผวน ทำให้ขาดทุนหนักได้ เช่น กรณีทองคำนี้ สมมติว่าซื้อวันที่ 23 ที่ราคา 27,730 บาท (ราคาปิด) วันต่อมา วันที่ 24 ราคาเหลือ 26,730 บาทก็ยังไม่เกิดสัญญาณขาย
วันที่ 25 ราคาปิด 24,450 บาท เกิดสัญญาณขาย กว่าจะได้ขายก็ขาดทุนไป 164,000 บาท ภายในสองวัน นี่คือผลจากความผันผวน และนี่เองคือความสำคัญที่ว่าทำไมนักลงทุนที่ใช้ระบบสัญญาณจึงควรเข้าตามสัญญาณ ไม่ควรเข้ากลางคัน เพราะหากเข้าตามสัญญาณโดยทั่วไปจุดขายจะไม่ลึกไปจากจุดซื้อมากนัก แต่หากเข้ากลางคันจุดขายอาจลึกจากจุดซื้อมาก เมื่อตลาดลงแล้วจะทำให้ทำอะไรไม่ถูก
ตื่นฟรังก์ (สวิส), กองทุนรวมสินค้าเกษตรและกองทุนรวมธุรกิจการเกษตร
วันนี้ลุงแมวน้ำเขียนหัวข้อเอาไว้ว่าตื่นฟรังก์ (สวิส) เพื่อให้สอดคล้องกับหัวข้อตื่นทองของเมื่อวาน
ตลอดช่วงเวลาตั้งแต่ปีที่แล้ว ราคาทองคำขึ้นมาโดยตลอด กองทุนทองคำให้ผลตอบแทนในระดับ 30% ถึง 40% ภายในหนึ่งปี ราคาที่พุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็วนี้นักเศรษฐศาสตร์รวมทั้งนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ให้ความเห็นคล้ายๆกันว่าเป็นเพราะนักลงทุนกังวลเรื่องค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาที่อาจอ่อนค่าลงจนกลายเป็นไม่มีค่า ทำให้ใครๆก็อยากหนีจากเงินดอลลาร์ สรอ ยุโรปก็มีสภาพเศรษฐกิจที่คลอนแคลน เงินยูโรก็ยังไม่ใช่ที่พึ่ง ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อในประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่หลายประเทศ เช่น จีน อินเดีย ฯลฯ ทำให้เงินตราด้อยค่าลง แหล่งพักพิงที่ดีที่สุดสำหรับการหนีเงินดอลลาร์กับยูโรและสู้กับเงินเฟ้อนั่นก็คือทองคำ ราคาทองคำจึงปรับตัวขึ้นพร้อมกับข่าวที่ออกมาเป็นระยะๆว่าประเทศนั้นประเทศนี้ซื้อทองคำเพื่อเป็นทุนสำรองเพิ่มมากขึ้น และนี่เองจึงเป็นที่มาของยุคตื่นทอง
เนื่องจากเมื่อวานลุงแมวน้ำเกริ่นเอาไว้แล้วว่าราคาทองคำเริ่มมีสัญญาณกลับทิศบางประการแล้ว แต่ยังไม่ถึงกับชัดเจนนัก ควรรอดูต่อไปอีกระยะหนึ่งก่อน และหากกลับทิศเป็นแนวโน้มขาลงจริง ราคาของคำน่าจะเป็นการจบคลื่นขาขึ้นลูกที่ 5 ต่อไปจะเข้าสู่คลื่นขาลง A-B-C ซึ่งหมายว่าว่าราคาทองคำยังลงได้อีกมากและอีกนาน
ในยุคที่ใครๆก็ตื่นทองกัน เราลองมาดูภาพนี้กันก่อน
ภาพนี้เป็นการเปรียบเทียบราคาทองคำและเงินตราสกุลต่างๆ โดยมีเงินตราสกุลแข็งอยู่หลายสกุล จะเห็นว่าตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2011 เป็นต้นมา เงินฟรังก์สวิสค่อยๆแข็งค่าขึ้นอย่างเงียบๆ เดิมเงินเยนแข็งรองจากทองคำ แต่มาตอนนี้สกุลเงินที่รองจากทองคำกลายเป็นฟรังก์สวิส (CHF) ไป จากนั้นตามมาด้วยเงินเยนของญี่ปุ่น (YEN) และดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD) และดอลลาร์สิงคโปร์ (SGD) ยุคนี้นอกจากจะเป็นยุคตื่นทองแล้วยังเป็นยุคตื่นฟรังก์สวิสอีกด้วย เพียงแต่พวกเราอาจไม่ได้สังเกตและไม่คุ้นเคยกับเงินฟรังก์สวิสเท่าไรนัก ปัจจุบันเงินฟรังก์สวิสกับเงินเยนถือเป็นแหล่งพักพิงสำคัญในการหนีจากดอลลาร์ สรอ กับยูโร และสู้ค่าเงินเฟ้อเช่นกัน
การที่เงินตราสกุลใดจะเป็นเงินตราสกุลแข็งใช้เป็นแหล่งพักพิงได้นั้นต้องเป็นเงินตราที่มีความเป็นสากล คือมีปริมาณเงินตราหมุนเวียนในตลาดโลกมากพอ และเป็นที่ใช้กันทั่วไป ผลเสียของการเป็นสกุลเงินสากลคือหากกลายเป็นแหล่งพักพิงขึ้นมาละก็เงินจะแข็งค่าขึ้นมาก การฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นในขณะนี้มีอุปสรรคสำคัญอย่างหนึ่งคือค่าเงินเยนแข็งมาก สินค้าส่งออกของญี่ปุ่นจึงแพงจนเสียเปรียบในการแข่งขันด้านราคา จนทางการต้องเข้ามาแทรกแซงค่าเงินแต่ก็ไม่ได้ผล ขณะนี้สวิตเซอร์แลนด์ก็กำลังประสบปัญหาเช่นเดียวกัน และก็คาดว่าแม้ทางการแทรกแซงค่าเงินฟรังก์ก็ไม่มีประโยชน์เช่นกัน และนี่เองเป็นเรื่องที่จีนกังวล แม้จีนอยากจะยกชั้นเงินหยวนให้เป็นเงินตราสากลแต่ก็เกรงปัญหาเรื่องค่าเงินแข็งจนการส่งออกเสียเปรียบ เพราะถึงตอนนั้นแล้วจีนจะควบคุมค่าเงินหยวนดังเช่นปัจจุบันไม่ได้
เนื่องจากมีสัญญาณหลายประการที่บ่งชี้ว่าดอลลาร์ สรอ อาจเป็นแนวโน้มขาขึ้น หากทองคำเป็นขาลง และดอลลาร์ สรอ เป็นขาขึ้น ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเงินตราทั้งสี่สกุลที่กล่าวมานี้จะเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร คงต้องลองติดตามสังเกตไปด้วยกัน
จากเรื่องเงินตราและทองคำ มาดูเรื่องสินค้าเกษตรกันบ้าง ในบทความก่อนหน้านี้ที่ลุงแมวน้ำเคยเขียนเกี่ยวกับกองทุนรวมที่ลงทุนในสินค้าเกษตร และที่ลงทุนในธุรกิจการเกษตร ว่ามีความแตกต่างกัน ข้อแตกต่างประการหนึ่งที่ลุงแมวน้ำเคยกล่าวเอาไว้ก็คือ ความเคลื่อนไหวของกองทุนรวมสินค้าเกษตรอิงตามราคาสินค้าเกษตร ส่วนความเคลื่อนไหวของกองทุนรวมธุรกิจการเกษตรมักเคลื่อนไหวแบบหุ้น นั่นคือมีเรื่องอารมณ์ตลาดหุ้นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ลองมาดูภาพต่อไปนี้กัน
ภาพข้างบนเป็นกราฟ 4 เส้น เปรียบเทียบกันภายในระยะเวลาหนึ่งปี เส้นสีเหลืองคือดัชนีดาวโจนส์ของสหรัฐอเมริกา เส้นสีส้ำเงินคือราคากองทุนรวมอีทีเอฟ DBA ที่ลงทุนในสินค้าพืชอาหารตัวสำคัญ เช่น ข้าวโพด ข้าวสาลี ถั่วเหลือง ฯลฯ เป็นหลัก
กราฟเส้นเขียว RJA เป็นกองทุนรวมสินค้าเกษตรที่ลงทุนในสินค้าเกษตรทั้งพืชอาหารและปศุสัตว์ราว 20 รายการ ส่วนกราฟเส้นแดงเป็น MOO เป็นกองทุนรวมอีทีเอฟที่ลงทุนในหุ้นธุรกิจการเกษตร
จากภาพ จะเห็นได้ว่าตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2011 เป็นต้นมา MOO (เส้นแดง) กับ DJI (เส้นเหลือง) มีความคล้ายคลึงกันมาก เส้นแทบจะทับกันเลยทีเดียว นั่นคือ หมายความว่าในช่วงที่ตลาดหุ้นเป็นขาลง กองทุนรวมธุรกิจการเกษตรจะเป็นไปตามทิศทางของตลาดหุ้นดังที่ลุงแมวน้ำเคยกล่าวเอาไว้ ส่วนกองทุนสินค้าเกษตรนั้นก็ยังเป็นไปตามความเคลื่อนไหวของราคาสินค้าเกษตร