Wednesday, August 24, 2011

22/08/2011 * การลงทุนในคลื่นเศรษฐกิจ C (3)


วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,067.84 จุด ลดลง 1.36 จุด ต่างชาติขายสุทธิอีก

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซิ้อ TCAP และขาย TTW ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 23 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดย่านเอเชียส่วนใหญ่ปิดแดง ยุโรปและอเมริกาส่วนใหญ่ปิดเขียว ความเคลื่อนไหวของดัชนีในยุโรปและสหรัฐอเมริกาในวันนี้คล้ายๆกัน นั่นคือ เปิดตลาดปรับตัวขึ้นแรง DAX ของเยอรมนีปรับตัวขึ้นไปประมาณ 1.5% ในช่วงต้นตลาด แต่เมื่อปิดตลาดแล้วดัชนีแทบไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อน ดัชนีดาวโจนส์ก็เช่นกัน ตอนต้นตลาดบวกไปเกือบ 200 จุด สุดท้ายก็ปิดที่ +37 จุด

สังเกตค่า vi (volatility index) ในตารางของลุงแมวน้ำ จะเห็นว่าค่า vi ของดัชนี ฟิวเจอร์ส และหุ้นต่างๆ ปรับตัวสูงขึ้น แสดงให้เห็นว่าตลาดโดยรวมมีความผันผวนมากขึ้น



การลงทุนในคลื่นเศรษฐกิจ C (3)


ตามที่ลุงแมวน้ำได้กล่าวในตอนที่แล้วว่ามีปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจหลายประการที่สนับสนุนสมมติฐานที่ว่าขณะนี้สหรัฐอเมริกาและยุโรปกำลังอยู่ในคลื่นเศรษฐกิจ C อีกทั้งยังเป็นในระดับคลื่นใหญ่อีกด้วย ที่จริงแล้วยังมีสัญญาณอีกหลายประการที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและยุโรปอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกครั้งหนึ่ง เช่น จีดีพี อัตราการว่างงาน ดัชนีการผลิต ดัชนีการบริโภค อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ลดลง ฯลฯ แต่ทั้งหมดนี้ลุงแมวน้ำใช้เพื่อเป็นเหตุผลสนับสนุนเท่านั้น เหตุผลหลักของลุงแมวน้ำยังคงเป็นมุมมองเชิงปัจจัยทางเทคนิค

หากเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและยุโรปเข้าสู่คลื่นเศรษฐกิจ C นักลงทุนควรรับมืออย่างไร

ก่อนจะอ่านแนวคิดของลุงแมวน้ำต่อไปนี้ อยากขอทำความเข้าใจก่อนว่าความเห็นของลุงแมวน้ำนี้มีสมมติฐานมาจาก
  • สภาพเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและยุโรปมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของเอเชียและของไทย
  • ดัชนีตลาดหุ้นของสหรัฐอเมริกามีผลกระทบต่อดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลก รวมทั้งเอเชีย และไทยด้วย
  • ความคิดเห็นนี้เป็นความคิดเห็นของผู้ที่ลงทุนด้วยปัจจัยทางเทคนิคและเป็นแบบตามแนวโน้ม

หากถามว่าคลื่นเศรษฐกิจ C นี้จะตกต่ำถึงเพียงใด วิธีประเมินของลุงแมวน้ำคือใช้ดัชนีดาวโจนส์ (DJI) เป็นหลัก ลุงแมวน้ำประเมินว่าดัชนีดาวโจนส์อาจลงไปได้ถึง 5,000 ถึง 5,500 จุด



และถ้าดาวโจนส์ลงไปขนาดนั้น ดัชนี SET ของไทยจะลงไปได้มากน้อยเพียงใด คำถามนี้ตอบได้ยากเนื่องจากกราฟของ SETI เป็นรูปแบบที่ไม่ปกตินัก จึงทำให้นับคลื่นได้ยาก หากดาวโจนส์เป็นคลื่น C แล้ว SETI จะเป็นคลื่นอะไรก็ยังตอบได้ยาก เพราะเมื่อนับคลื่นได้ยากก็ประเมินได้ยาก คงให้กรอบเพียงกว้างๆได้ว่า หากกรณีไม่เลวร้าย ตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบไม่มากนัก SETI อาจลงไปถึงประมาณ 900 จุด หากเป็นกรณีที่ได้รับผลกระทบมาก SETI อาจลงไปได้ถึงประมาณ 600 จุด




หลักการลงทุนในคลื่นเศรษฐกิจ C ตามแนวคิดการลงทุนด้วยปัจจัยทางเทคนิคแบบตามแนวโน้มนั้นมีหลักสำคัญอยู่ข้อเดียว คือ เมื่อเป็นแนวโน้มขาลง โดยเฉพาะแนวโน้มใหญ่ ก็ต้องถอนตัวออกมาจากการลงทุนในทรัพย์สินเสี่ยงต่างๆและอยู่เฉยๆ ทรัพย์สินเสี่ยงในที่นี้ก็ได้แก่ หุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ รวมทั้งกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ และพักเงินในกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้นหรือที่เรียกกันว่ากองทุนรวมตลาดเงินไปพลางๆก่อน ผู้ที่ลงทุนในกองทุนรวม LTF ก็อาจพิจารณาสับเปลี่ยนไปลงทุนในกองทุน LTF ที่มีส่วนผสมของอนุพันธ์เพื่อลดผลการขาดทุนจากราคาหุ้นตก

ทองคำ ในทางเทคนิคอยู่ในคลื่น 5 ใหญ่ คลื่นนี้จะจบเมื่อไรไม่มีใครบอกได้ ดังนั้นมีความเสี่ยงสูง

สินค้าเกษตร สินค้าโภคภัณฑ์ในกลุ่มสินค้าเกษตรอาจเป็นข้อยกเว้นที่ไม่เป็นขาลงใหญ่ตามคลื่นเศรษฐกิจ C ของตลาดหุ้น ทั้งนี้ เนื่องจากสินค้าเกษตรที่เป็นอาหารการกินนั้นอาจมีปัจจัยด้านภูมิอากาศแปรปรวนหรือภัยธรรมชาติ ทำให้ผลผลิตตกต่ำ ราคาจึงไม่ปรับตัวลง อันเป็นไปตามหลักอุปสงค์อุปทาน เมื่ออุปสงค์มีน้อย ราคาก็ไม่ลง ต้องติดตามดูรูปแบบราคาต่อไปก่อน ผู้ที่ลงทุนในสินค้าเกษตรอยู่แล้วอาจยังไม่ต้องทำอะไร เพียงรอดูไปก่อน เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณขาย เมื่อมีสัญญาณขายแล้วจึงค่อยประเมินสถานการณ์อีกครั้งหนึ่ง

ในภาวะตลาดแนวโน้มขาลง การอยู่เฉยๆเป็นการลงทุนที่ดีที่สุด สัญญาณซื้อที่เกิดขึ้นในคลื่นขาลงก็มักเป็นสัญญาณหลอก (false signal) อยู่เฉยๆไม่เสียเงิน เมื่อไม่เสียเงินก็เท่ากับเราสามารถรักษาทุนไว้ได้ รอจนตลาดจบคลื่น C ใหญ่เข้าคลื่น 1 ใหญ่แล้วจึงค่อยเข้าลงทุนอีกครั้งหนึ่ง ทุนนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในการลงทุน นักลงทุนรายย่อยส่วนมากมักไม่ค่อยอยู่เฉย ต้องหาเรื่องเทรดไปเรื่อยๆ ในยามตลาดขาลงทุนการเทรดมีแต่ขาดทุน แม้บางครั้งได้กำไรแต่รวมกันหลายๆแล้วก็ขาดทุนในที่สุด เมื่อยามที่ตลาดจบคลื่น C ไปแล้ว อะไรก็ราคาถูกไปหมด เมื่อถึงตอนนั้นนักลงทุนมักไม่เหลืองเงินสดเพราะขาดทุนหนักหรือติดหุ้นจนเงินสดหมด หรือไม่ก็หมดทุนจนต้องออกจากตลาดไป ทำให้เสียโอกาสในการลงทุนไป ทั้งๆที่การลงทุนหลังคลื่น C จบเป็นควรเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีในวันข้างหน้าเนื่องจากหุ้นในช่วงนั้นจะมีราคาลดลงมามาก ดังนั้นในหลักการแล้วต้องพยายามรักษาทุนเอาไว้ให้ได้จนจบคลื่น C ใหญ่ และดังที่กล่าวไปแล้วว่า SETI นับคลื่นยากเพราะรูปแบบไม่ค่อยปกติ ดังนั้นการดูจังหวะลงทุนให้ดูดัชนีดาวโจนส์เป็นหลักก็ได้ เมื่อใดที่ DJI จบคลื่น C ใหญ่ไปแล้วช่วงนั้นก็พิจารณาเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทย หากไม่มีปัจจัยภายในด้านลบอื่นใดที่มากระทบตลาดหุ้นไทยอย่างมีนัยสำคัญก็ถือว่าน่าจะเป็นจังหวะที่เข้าลงทุนได้

การลงทุนในตลาดขาลง เช่น การชอร์ตฟิวเจอร์ส (ถือ short position) หากเป็นนักลงทุนรายย่อยทั่วไปก็ควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากปกตินักลงทุนทั่วไปถนัดด้านซื้อแล้วขาย (ถือ long position เหมือนกับการเทรดหุ้น) และมักมองจังหวะด้านชอร์ตไม่ค่อยถูกอันเนื่องจากความไม่คุ้นเคย อีกประการหนึ่ง การเทรดด้านชอร์ตนั้นโอกาสได้กำไรมีเพียงร้อยละ 32 (หมายถึงซื้อขาย 100 ครั้งจะได้กำไร 32 ครั้ง) หรือเรียกว่า win rate = 32% เปรียบเทียบการการเทรดด้านลองซึ่งมีโอกาสได้กำไรประมาณร้อยละ 40 (win rate = 40%) จะเห็นว่าการเทรดด้านลองมีความเสี่ยงต่ำกว่า

สำหรับผู้ที่ถอยออกมาแล้ว ในขั้นต้นควรพักเงินในกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้นในประเทศไว้ก่อน เมื่อตั้งหลักได้แล้วจึงพิจารณาทางเลือกอื่นอีกทีหนึ่ง ในขณะนี้เงินดอลลาร์กำลังอยู่ในภาวะไร้ทิศทาง ยังไม่พ้นระยะหัวเลี้ยวหัวต่อ ดังนั้นจึงยังไม่อาจรู้ได้ว่าค่าเงินดอลลาร์จะมีแนวโน้มไปในทางใด แม้ลุงแมวน้ำประเมินว่าโอกาสเป็นแนวโน้มขาขึ้นมีมากกว่าแต่ก็ต้องรอให้สภาพความเป็นจริงมาพิสูจน์  ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงกองทุนรวมตราสารหนี้ต่างประเทศเอาไว้ก่อนเนื่องจากปัจจุบันอัตราแลกเปลี่ยนผันผวนมาก ผลตอบแทนจากตราสารหนี้ต่างประเทศมักไม่คุ้มกับผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่อาจเกิดขึ้น

ความเห็นของลุงแมวน้ำนี้ถือหลักการตามแนวโน้มตลาด หากเป็นนักลงทุนที่ใช้หลักการอื่นอาจนำไปปรับใช้ไม่ได้เพราะแนวคิดต่างกัน เช่น แนวคิดสำนักปัจจัยพื้นฐานก็จะมีวิธีมองสถานการณ์และเข้าลงทุนอีกแบบหนึ่ง หรือแนวคิดแบบ DCA (dollar cost averaging หรือบางทีก็เรียก BCA) ก็มีแนวคิดอีกแบบหนึ่งที่แนวโน้มขาลงก็ยังต้องลงทุนต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ดังนั้นการนำความคิดเห็นนี้ไปใช้หรือนำไปต่อยอดควรพิจารณาด้วยความระมัดระวัง







Monday, August 22, 2011

19/08/2011 * การลงทุนในคลื่นเศรษฐกิจ C (2)


วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,069.20 จุด ลดลง 19.89 จุด ต่างชาติขายสุทธิ 6,388 ล้านบาท

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย GLOW, SCCC และมีสัญญาณซื้อ LH ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 23 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณซื้อโลหะถั่วเหลือง (S) เนื่องจากลุงแมวน้ำปรับมุมมองสินค้าเกษตรเป็นแนวโน้มขาลงแล้ว สัญญาณซื้อครั้งนี้จึงไม่ได้เปิดสัญญาซ์้อ เพียงผิดสัญญาณขายไปเท่านั้น

ตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดย่านเอเชีย ยุโรป และอเมริกาปิดแดงเกือบทั้งหมด ดัชนีร่วงลงมามากบ้างน้อยบ้าง ตั้งแต่ประมาณ -1% ถึง -6% ที่ลงแรงเป็นตลาดในทวีปเอเชีย ได้แก่ เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย และไต้หวัน ฯลฯ

ระยะหลังนี้ตลาดหุ้นผันผวน ลุงแมวน้ำจึงปรับปรุงรายงานใหม่ เพิ่มตัวชี้วัดเข้าไปอีกตัวหนึ่ง นั่นคือ Volatility index (vi) หรือดัชนีที่ใช้ชีวัดความผันผวนของราคา ค่า vi นี้ดูได้จากรายงาน ในคอมลัมน์ที่อยู่ติดกับคอลัมน์ CODE ค่า vi นี้ลุงแมวน้ำดัดแปลงจากค่า average true range (ATR) ซึ่งใช้วัดความผันผวนของราคา วิธีดูก็คือ หากค่า vi นี้ต่ำกว่าหรือเท่ากับ 1.5% ก็ถือว่าราคาไม่ผันผวน หากค่า vi มากกว่า 1.5 จนถึง 1.9 ถือว่าเริ่มผันผวนบ้างแล้ว ควรระวัง

หาก vi มากกว่าหรือเท่ากับ 2.0 แสดงว่าตลาดผันผวนค่อนข้างมาก ยิ่งค่ามากขึ้นเท่าไร ความผันผวนก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น และตลาดยิ่งผันผวนโอกาสที่จะเกิดสัญญาณหลอกหรือเข้าผิดทางก็ยิ่งมีสูง ดังนั้นสรุปว่าหากค่า vi มากกว่า 2 ก็ควรระวังไว้ให้มาก

ขณะนี้ตลาดหุ้นในยุโรป สหรัฐอเมริกา รวมทั้งตลาดสำคัญในเอเชีย เช่น หั่งเส็ง สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ล้วนแต่กลับทิศเป็นแนวโน้มขาลงไปแล้ว ส่วนดัชนีตลาดของประเทศไทยยังปรับตัวลงไม่มากนัก สัญญาณกลับทิศยังไม่ชัด แต่ลุงแมวน้ำประเมินว่าสุดท้ายก็หนีแนวโน้มรวมไม่พ้น

ในสัปดาห์นี้ ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาและยุโรปน่าจะปรับตัวลงต่อ ดังนั้นเป็นไปได้ว่าในสัปดาห์นี้ตลาดหุ้นไทยอาจปรับตัวลงแรงและกลับทิศเป็นแนวโนมขาลงในที่สุด



การลงทุนในคลื่นเศรษฐกิจ C (2)


ลุงแมวน้ำมองภาพเศรษฐกิจว่าอยู่ในคลื่นใหญ่ C อันเป็นมุมมองด้านเทคนิค ทีนี้ลองมาดูในมุมมองด้านปัจจัยพื้นฐานหรือการพิจารณาจากสภาพเศรษฐกิจจริงดูบ้างว่าพอจะมีเหตุผลใดมาสนับสนุนแนวคิดดังกล่าวหรือไม่ โดยปกติแล้วลุงแมวน้ำนำปัจจัยพื้นฐานมาพิจารณาประกอบบ้างเพื่อดูความสอดคล้องกัน หากสอดคล้องกันมากก็เป็นน้ำหนักที่สนับสนุนการประเมินจากปัจจัยทางเทคนิค


มุมมองด้านปัจจัยพื้นฐาน

ในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่ราวเดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา สื่อมวลชนให้ความสนใจกับปัญหาเศรษฐกิจในยุโรปมากขึ้น สังเกตได้จากข่าวสารเกี่ยวกับเศรษฐกิจในยุโรปถูกนำเสนออย่างต่อเนื่องเป็นประจำ โดยเน้นที่ปัญหาหนี้สาธารณะในกลุ่มประเทศ PIIGS (โปรตุเกส ไอร์แลนด์ อิตาลี กรีซ และสเปน) ต่อมาก็มาจับประเด็นที่ประเทศกรีซว่าจะสามารถขอรับเงินกู้งวดใหม่จากธนาคารกลางของยุโรปกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เพื่อบรรเทาปัญหาการเงินเฉพาะหน้าได้หรือไม่ ตลาดหุ้นทั่วโลกก็เริ่มผันผวนตั้งแต่นั้นมา และเริ่มจับตากันเป็นรายวันว่าปัญหาการเงินเฉพาะหน้าของกรีซจะแก้ไขลุล่วงไปได้หรือไม่

เมื่อปัญหาของกรีซผ่านไป สื่อมวลชนก็มาจับตาปัญหาหนี้สาธารณะของอิตาลีและสเปนเป็นรายถัดไป นำเสนอข่าวรายวันอย่างต่อเนื่อง ตลาดหุ้นในยุโรปผันผวนมากยิ่งขึ้น

ต่อมาสื่อมวลชนก็มาจับตาการผ่านกฎหมายเพื่อขยายเพดานหนี้ของสหรัฐอเมริกาเพื่อไม่ให้ผิดนัดชำระหนี้พันธบัตรรัฐบาล อันเป็นปัญหาเฉพาะหน้าของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ช่วงนี้ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาผันผวนมากขึ้น เพราะแม้จะใกล้เส้นตายของการชำระหนี้แล้วฝ่ายการเมืองก็ยังตกลงกันไม่ได้เสียที จนท้ายที่สุดสหรัฐอเมริกาก็สามารถขยายเพดานหนี้ได้ชนิดที่เรียกว่าในนาทีสุดท้าย แต่ปัญหาก็ยังไม่หมดไป เพราะหลังจากนั้นบริษัทจัดอันดับเครดิตเอสแอนด์พีได้ลดอันดับเครดิตของพันธบัตรรัฐบาลอเมริกันลงหนึ่งขั้น จาก AAA เป็น AA+ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ตลาดหุ้นของสหรัฐอเมริกาจึงผันผวนต่อไปแทนที่จะสงบลง

ที่ลุงแมวน้ำเล่ามานี้ก็เพื่อจะชี้ให้เห็นว่าความผันผวนของตลาดหุ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาเป็นผลทางจิตวิทยาต่อข่าวรายวันเสียมากกว่า ยิ่งข่าวรายวันมีความหวือหวามากตลาดหุ้นก็ยิ่งผันผวนสูง เมื่อตลาดหุ้นผันผวนสูง ข่าวรายวันก็ยิ่งมีสีสัน กระทบกันเป็นงูกินหางเช่นนี้ไปเรื่อยๆ แต่ในการพิจารณาของลุงแมวน้ำนั้นไม่ได้ใช้มุมมองจากข่าวรายวันแต่เป็นการมองเศรษฐกิจในภาพใหญ่มากกว่า

ปัจจัยร่วมของปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกาและยุโรปส่วนหนึ่งมีชนวนมาจากบริษัทลีห์แมนบราเทอร์ส (Lehman Brothers) อันเป็นสถาบันการเงินใหญ่เป็นอันดับสี่ของสหรัฐอเมริกา ทำธุรกิจประเภทธนาคารเพื่อการลงทุน (investment bank) ซึ่งออกผลิตภัณฑ์การเงินที่ซับซ้อนและมีความเสี่ยงสูงอย่างที่ไม่มีใครประเมินได้ถูก โดยรัฐบาลของประเทศต่างๆได้ลงทุนเอาไว้เป็นจำนวนไม่น้อย เมื่อสหรัฐอเมริกาเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ผลิตภัณฑ์การเงินนี้ก็ด้อยค่า ส่งผลกระทบต่อระบบธนาคารทั้งในสหรัฐอเมริกาและยุโรปถึงขั้นบางแห่งอาจล้มละลายและอาจลามเป็นโดมิโนได้ ทำให้รัฐบาลของแต่ละประเทศทั้งสหรัฐอเมริกาและยุโรปต้องใช้เงินเข้าไปอุ้มสถาบันการเงินในประเทศของตน ก่อให้เกิดเป็นวิกฤตเศรษฐกิจและปัญหาหนี้สาธารณะที่เพิ่มพูนขึ้น

ลุงแมวน้ำมองว่าปัญหาเศรษฐกิจในยุโรปมีความซับซ้อนและเป็นปัญหาเฉพาะหน้ามากกว่า เนื่องจากประเทศต่างๆในสหภาพยุโรปที่ใช้เงินยูโรร่วมกันมีอยู่ถึง 17 ประเทศ แต่ละประเทศมีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจแตกต่างกันแต่กลับใช้เงินตราร่วมกัน ทำให้ปัญหามีความซับซ้อนและยากที่จะแก้ไข แต่ละประเทศหากไม่ใช่มีหนี้สาธารณะสูงก็มีอัตราการว่างงานสูง ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ดีทั้งสองประการ ประเทศกรีซมีหนี้สาธารณะสูงถึง 140% ของจีดีพี มีอัตราว่างงานราว 20% ในขณะที่อิตาลีมีหนี้สาธารณะสูงถึง 120% ของจีดีพี มีอัตราการว่างงานประมาณ 8% ส่วนสเปนนั้นมีหนี้สาธารณะประมาณ 60% ของจีดีพี มีอัตราการว่างงาน 21% โปรตุเกสมีหนี้สาธารณะ 92% ของจีดีพีและมีอัตราการว่างงาน 12.4%

จากตัวเลขคร่าวๆดังกล่าวคงพอจะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจของยุโรปหลายๆประเทศนั้นมีอาการหนักอยู่ไม่น้อย การแก้ปัญหาหนี้สาธารณะทำได้โดยใช้มาตรการรัดเข็มขัด รัฐบาลต้องตัดลดค่าใช้จ่ายเพื่อไม่ให้งบประมาณขาดดุล แต่ผลข้างเคียงก็คือการลดค่าใช้จ่ายภาครัฐทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวและมีอัตราการว่างงานสูงขึ้น เปรียบเสมือนการกินยาแก้ปวดแล้วยามีผลข้างเคียงคือกัดกระเพาะ แม้หายปวดแต่อาจเกิดแผลในกระเพาะอาหารแทนได้

นอกจากนี้ ผลจากการตัดลดงบประมาณลงทำให้ประชาชนโดยเฉพาะผู้ที่มีด้อยฐานะทางเศรษฐกิจได้รับผลกระทบสูง ทำให้ประชาชนต่อต้านรัฐบาล ก่อให้เกิดความรุนแรงขึ้นในสังคมอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ดังจะเห็นได้จากการประท้วงในอังกฤษ (อังกฤษไม่ได้อยู่ในกลุ่มยูโรโซนแต่ก็มีปัญหาทางเศรษฐกิจเช่นกัน) กรีซ อิตาลี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการว่างงานในกลุ่มเยาวชนนั้นน่าเป็นห่วงเรื่องปัญหาสังคม นอกจากนี้ การที่ประเทศบางประเทศต้องเข้าไปอุ้มประเทศอื่นจนบั่นทอนเศรษฐกิจของตนเอง ลุงแมวน้ำมองว่าต่อไปความขัดแย้งในสังคมประเด็นที่ว่า ‘ทำไมเราต้องไปช่วยเขาด้วย’ จะลุกลามหนัก ตอนนี้ก็พอเริ่มเห็นบ้างแล้วในกรณีความรุนแรงในประเทศนอร์เวย์ซึ่งก็มีที่มาจากความคิดเช่นนี้เหมือนกัน ความคิดเช่นนี้ทำให้รัฐบาลแต่ละประเทศต้องระวังตัวและการเกื้อกูลกันในกลุ่มยูโรโซนจะยากยิ่งขึ้น การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจก็จะยากยิ่งขึ้น

และนอกจากนี้จากตัวเลขการประเมินล่าสุดพบว่าจีดีพีของยุโรปแทบไม่ขยายตัวเลย โดยเฉพาะจีดีพีของเยอรมนีซึ่งถือว่าเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจในกลุ่มยูโรโซนแทบไม่ขยายตัว ตอนนี้ประเด็นข่าวส่วนใหญ่มุ่งไปในเรื่องปัญหาหนี้สาธารณะ แต่แท้ที่จริงแล้วหากเศรษฐกิจไม่ขยายตัวหรือหดตัว วิกฤตที่จะตามมาก็คือวิกฤตหนี้ภาคเอกชน กล่าวคือ ในที่สุดภาคธุรกิจก็อาจมีบางส่วนที่ผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ (corporate bond default) โดยหุ้นกู้ภาคเอกชนของยุโรปที่จะครบกำหนดไถ่ถอนภายในปี 2012 และ 2013 นี้มีรวมกันถึง 1,800 ,000 ล้านดอลลาร์ สรอ ($1,800 billion) ทีเดียว นี่ยังไม่นับรวมหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอนภายในปี 2011 นี้เข้าไป และยังไม่รวมหนี้ภาครัฐ (หมายถึงพันธบัตรรัฐบาล) ในกลุ่มยุโรปที่อาจมีการผิดนัดชำระหนี้ได้อีกด้วย



ปริมาณหนี้หุ้นกู้เอกชนของประเทศในกลุ่ม PIIGS ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในปีต่างๆ




ปริมาณหนี้พันธบัตรรัฐบาลของประเทศในกลุ่ม PIIGS ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในปีต่างๆ



มาดูทางด้านสหรัฐอเมริกากันบ้าง สหรัฐอเมริกาขณะนี้มีสัดส่วนหนี้สาธารณะประมาณ 100% ของจีดีพี อัตราการว่างงานประมาณ 9.1% การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ผ่านมาไม่เกิดผลนัก ผลจากมาตรการ QE1 กับ QE2 เห็นผลน้อย ที่ผ่านมารัฐบาลอเมริกันมีการตัดลงค่าใช้จ่ายในงบประมาณลงมาบ้าง และต่อไปก็จะต้องตัดลงอีก ขณะนี้โรงเรียนชนบทในบางรัฐจัดการเรียนเพียงสัปดาห์ละ 4 วันเพราะโรงเรียนต้องตัดค่าใช้จ่ายลง รวมทั้งยังไม่เห็นแนวทางการแก้ปัญหาเศรษฐกิจในขั้นต่อไปที่น่าจะได้ผล

หากเป็นเช่นนี้ต่อไปในที่สุดก็จะกระทบธุรกิจภาคเอกชนมากขึ้น จนในที่สุดอาจมีหุ้นกู้ภาคเอกชนที่ผิดนัดชำระหนี้ได้ โดยสหรัฐอเมริกาเพียงประเทศเดียวมีหุ้นกู้ภาคเอกชนที่จะครบกำหนดไถ่ถอนภายในปี 2012 กับ 2013 อยู่มากถึง 1,280,000 ล้านดอลลาร์ สรอ ($1.28 billion) นี่ยังไม่รวมหุ้นกู้ที่ครบกำหนดภายในปี 2011 นี้

ส่วนประเด็นที่พันธบัตรรัฐบาลอเมริกันถูกลดอันดับเครดิตนั้นลุงแมวน้ำมองว่าเป็นเรื่องรอง อาจไม่ใช่เรื่องสำคัญนักหากมีเรื่องอื่นเร่งด่วนกว่า ที่มองเช่นนี้เพราะหลังจากที่ถูกลดอันดับ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรยังลดลงเรื่อยๆ จนในที่สุดอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอเมริกาอายุ 10 ปีทำลายสถิติต่ำที่สุดในรอบ 50 ปี (อัตราผลตอบยิ่งแทนต่ำหมายความว่าความต้องการพันธบัตรยิ่งสูง) แสดงว่าพันธบัตรรัฐบาลอเมริกันยังเป็นที่ต้องการอยู่และน่าจะปลอดภัยกว่าเมื่อเทียบกับพันธบัตรรัฐบาลของอีกหลายๆประเทศ และยิ่งไปกว่านั้น ในยามที่นักลงทุนต้องการหลีกเลี่ยงสินทรัพย์เสี่ยงเช่น หุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ ฯลฯ เช่นในยามนี้ ถึงอย่างไรก็ต้องเข้ามาลงทุนในตราสารหนี้ เพราะไม่ว่าจะเป็นระดับ AAA หรือ AA+ ต่างก็ถือว่ามีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์


ผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของรัฐบาลอเมริกัน ต่ำที่สุดในรอบ 50 ปี


ผลของการผิดนัดชำระหนี้ ไม่ว่าจะเป็นพันธบัตรรัฐบาลหรือหุ้นกู้ของเอกชนจะกระทบต่อระบบธนาคาร อาจทำให้ธนาคารบางแห่งถึงกับล้ม และอาจล้มตามกันเป็นโดมิโนในขั้นต่อไปได้

มาดูทางด้านทวีปเอเชียและประเทศไทยกันบ้าง เศรษฐกิจประเทศไทยนั้นพึงพาการส่งออกถึงประมาณ 70% ของรายได้ โดยคู่ค้าที่สำคัญของไทยคือประเทศต่างๆในเอเชียด้วยกัน ไทยส่งออกในทวีปเอเชียประมาณ 63% ของยอดการส่งออกทั้งหมด ในขณะที่ส่งออกไปสหรัฐอเมริกาประมาณ 12% และยุโรป 14% (ตัวเลขคร่าวๆ)



แม้ว่าการส่งออกของไทยไปยุโรปและสหรัฐอเมริกาจะมีรวมกันไม่มากเท่ากับส่งออกในเอเชียด้วยกัน แต่หากดูในรายละเอียดจะพบว่าประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย อินโดนีเซีย ล้วนแต่มีคู่ค้าส่งออกหลักคือสหรัฐอเมริกาและยุโรปทั้งสิ้น ดังนั้นหากเศรษฐกิจทางฝั่งตะวันตกถดถอยก็ย่อมส่งผลกระทบต่อเอเชียและไทยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และนอกจากนี้ หากเกิดวิกฤตหนี้ในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นหนี้ภาครัฐหรือเอกชน ก็ย่อมส่งผลต่อระบบธนาคารและระบบการเงินในเอเชียด้วย ส่วนจะกระทบมากหรือน้อยเพียงใดยังยากที่จะประเมินได้

จากเหตุผลด้านปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ลุงแมวน้ำกล่าวมามีส่วนสนับสนุนให้แนวคิดเชิงปัจจัยเทคนิคที่ว่ายุโรปและสหรัฐอเมริกากำลังอยู่ในคลื่นเศรษฐกิจ C มีน้ำหนักมากขึ้น และน่าจะมีผลฉุดเศรษฐกิจในเอเชียและไทยด้วย

หากเศรษฐกิจยุโรปและสหรัฐอเมริกาเป็นคลื่น C เศรษฐกิจไทยและเอเชียจะเป็นคลื่นอะไร และนักลงทุนควรทำอย่างไร ติดตามได้ในตอนต่อไป