หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ AOT และมีวัญญาณขาย CPN, LH ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 29 ตัว
กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ฟิวเจอร์สของข้าวสาลี (W) เกิดสัญญาณซื้อ ฟิวเจอร์สของหุ้นไทย ITD, LH เกิดสัญญาณขาย
ด้านตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ปิดเขียว ที่ลงค่อนข้างแรงมีตลาดหุ้นเวียดนามกับตุรกี ทางด้านสัญญาณทางเทคนิคในระดับภูมิภาคยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
การลงทุนในหุ้น อนุพันธ์ หรือกองทุนที่มีราคาผันผวน (2)
เมื่อตอนที่แล้วเราดูกราฟราคาน้ำมันดิบ (CL) กันไปแล้วว่ามีผันผวนเพียงใด ผลของการแกว่งตัวแรงทำให้เกิดสัญญาณหลอกได้ง่ายขึ้น ทำให้ผลการเทรดขาดทุนหนัก แต่ก่อนที่จะคุยกันต่อไป ลุงแมวน้ำขอย้อนไปดูตารางที่แสดงถึงความผันผวนของสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ตารางนี้เราเคยดูกันไปแล้วแต่ลุงแมวน้ำนำมาแสดงเอาไว้อีกครั้งหนึ่ง
จากตารางนี้เราจะเห็นว่าราคาน้ำมันดิบกับน้ำตาลทรายเบอร์ 11 (sugar #11, SB) นั้นต่างก็มีความผันผวนสูง แต่หากเหลือบไปดูพอร์ตจำลองของลุงแมวน้ำที่เสนอเป็นประจำทุกวันจะเห็นว่าพอร์ตจำลองนั้นได้กำไรจากการเทรดน้ำตาลมากทีเดียว เทรดน้ำมันดิบขาดทุนไปเกือบ 50,000 ดอลลาร์ ในขณะที่เทรดน้ำตาลกำไรเกือบ 30,000 ดอลลาร์ ถ้าเช่นนั้นความแตกต่างของสินค้าที่มีความผันผวนสูงสองตัวนี้อยู่ที่ไหน
คำตอบก็คือรูปแบบการเคลื่อนไหวของราคานั่นเอง ลองมาดูกราฟราคาน้ำตาล SB กันก่อน
จะเห็นว่าแม้น้ำตาล SB จัดว่าเป็นสินค้าที่มีความผันผวนสูง ราคาขึ้นแรงลงแรง แต่ว่าการขึ้นแรงหรือว่าลงแรงนั้นเกิดในช่วงที่เป็นขาขึ้นอย่างแรง (คือ bullish trend มีกำลังแรง) หรือว่าเป็นขาลงอย่างแรง (คือ bearish trend มีกำลังแรง) ผลก็คือราคาน้ำตาลมีช่วงที่ขึ้นแบบม้วนเดียวหรือลงแบบม้วนเดียว แทบไม่เกิดสัญญาณหลอกในระหว่างทางเลย ดังนั้นการขึ้นแรงลงแรงแบบนี้จึงทำให้เกิดกำไร
แต่ขณะเดียวกันลองมาดูราคาน้ำมันดิบ ดังนี้
จะเห็นว่ากราฟราคาน้ำมันดิบไม่สวยเท่ากับน้ำตาล ช่วงที่เกิดแนวโน้มแรงๆจนราคาวิ่งแบบม้วนเดียวมีอยู่เพียงช่วงเดียวคือขาลงแรง (ที่แรเงาในภาพ) ส่วนอื่นนั้นเป็นการแกว่งแบบขึ้นๆลงๆ ทำให้เกิดสัญญาณหลอกบ่อยครั้ง เมื่อเทรดไปเรื่อยๆผลขาดทุนสะสมจึงมาก
แต่หากจะถามว่าสินค้าตัวใดที่มีความผันผวนแบบม้วนเดียวยาวๆเหมือนกับน้ำตาล คำตอบก็คือตอบไม่ได้ เนื่องจากรูปแบบของน้ำตาลนี้เป็นเรื่องที่ไม่มีใครอาจคาดการณ์ล่วงหน้าได้ ต่อไปราคาน้ำตาลอาจแกว่งขึ้นๆลงๆแบบน้ำมันดิบจนต้องคืนกำไรไปก็ได้ ไม่มีใครรู้แน่
เมื่อเข้าใจธรรมชาติของสินค้าที่มีความผันผวนแล้วก็มาดูเทคนิคในการเทรดกัน เทคนิคที่ลุงแมวน้ำใช้ในการเทรดสินค้าจำพวกนี้ก็คือ
เทคนิคที่ 1 หลีกเลี่ยง
หลีกเลี่ยง เปลี่ยนไปเทรดอย่างอื่นแทน พูดแล้วก็เหมือนกำปั้นทุบดิน แต่ก็เป็นความจริง สินค้าตัวใดที่ประวัติแรงดี มีกำไรสูง ไม่ได้เป็นเครื่องรับประกันว่าต่อไปจะเป็นเช่นนั้น แต่สินค้าตัวใดที่ประวัติเก่าไม่ค่อยดี ให้ระวังเอาไว้ว่าอนาคตก็จะซ้ำรอยเดิม นี่คือแนวคิดของลุงแมวน้ำซึ่งถือหลักปลอดภัยเอาไว้ก่อน ผลิตภัณฑ์ในโลกการลงทุนมีให้เลือกเทรดมากมาย สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ใดประวัติไม่ดีควรหลีกเลี่ยง อย่าไปทนเทรด ยกตัวอย่างเช่นน้ำมันดิบ CL ที่เห็นรายงานในพอร์ตจำลองขาดทุนหนักเป็นเวลานานก็เพราะว่าพอร์ตจำลองนั้นดำเนินไปเรื่อยๆเพื่อให้นักลงทุนเอาไว้ศึกษา แต่หากจะให้เทรดจริงๆลุงแมวน้ำเลือกเทรดอย่างอื่นดีกว่า ไม่จะเป็นต้องไปเสี่ยงกับสินค้าที่ประวัติไม่สวย
เทคนิคที่ 2 ใช้ระบบสัญญาณซื้อขายที่ช้าลง
ใช้ระบบสัญญาณที่ช้าลง แนวคิดนี้ก็คือการพยายามลดสัญญาณหลอกให้เหลือน้อยลงนั่นเอง การใช้ระบบสัญญาณที่มีความไวน้อยลงจะทำให้เกิดสัญญาณซื้อขายช้าลง เมื่อสัญญาณซื้อขายเกิดช้าลง โอกาสเกิดสัญญาณหลอกก็น้อยลงตามไปด้วย ยกตัวอย่างเช่นแทนที่จะใช้ระบบ PnT 1 ที่ใช้เส้นซิกแซก 1% ก็เปลี่ยนมาใช้ PnT 3 หรือใช้เส้นซิกแซก 3% แทนนั่นเอง ลองดูผลเปรียบเทียบกัน ภาพต่อไปนี้เป็นการเทรดข้าวสาลี (W)
แท่งเขียวแท่งแดงคือการเกิดสัญญาณซื้อและขายในระบบ PnT 1 ส่วนริบบอน (แถบด้านล่าง) สีน้ำเงินกับสีแดงแทนการเกิดสัญญาณซื้อและขายในระบบ PnT 3
จากภาพ จะเห็นว่าทั้งสองระบบให้ผลกำไรพอๆกัน คือ 45 จุด แต่ที่แตกต่างกันก็คือระบบ PnT 1 ซื้อขายหลายครั้ง ส่วนระบบ PnT 3 นั้นขายเพียงครั้งเดียว ดังนั้นเสียค่าคอมมิชชั่นน้อยกว่า กำไรจากระบบ PnT 3 จึงมากกว่า
แต่อย่างไรก็ตาม มีข้อเสียเกี่ยวกับระบบสัญญาณช้าที่ต้องทราบเอาไว้ 2 ข้อ คือ ข้อแรก ระบบที่มีความไวน้อยกว่า สัญญาณซื้อขายจะเกิดช้ากว่า คือสัญญาณซื้อก็เกิดช้ากว่า สัญญาณขายก็เกิดช้ากว่า ผลของการใช้ระบบสัญญาณช้าอาจทำให้ขาดทุนหนักได้ดังภาพต่อไปนี้
ส่วนที่แรเงาสีชมพูนั้น ระบบ PnT 1 เกิดสัญญาณซื้อและขายหลายครั้ง แต่ระบบ PnT 3 เกิดสัญญาณซื้อเพียงครั้งเดียวแล้วถือยาวไปขายเอาปลายเดือนมีนาคม ผลก็คือระบบ PnT 3 ให้ผลขาดทุนถึง -43 จุด
ข้อเสียข้อต่อมาของระบบสัญญาณช้าคือเสียสุขภาพจิต กล่าวคือ เนื่องจากระบบสัญญาณช้านั้นสัญญาณขายอยู่ลึก ขณะที่ยังไม่ถึงสัญญาณขายนั้นเป็นช่วงที่ทำใจได้ยากเพราะเราจะเห็นว่าพอร์ตของเรานั้นขาดทุน คืนกำไร หรือว่า draw down (แล้วแต่จะเรียก) ไปมาก ทำให้เสียสุขภาพจิต ผู้ที่ไม่เคยชินหรือไม่มีการฝึกฝนให้เทรดด้วยระบบสัญญาณช้ามาก่อน เมื่อใช้ระบบสัญญาณช้าแล้วพอร์ตเกิดการ draw down อาจเครียดมาก ทำให้เสียสุขภาพจิต
ข้อเสียของระบบที่ช้าจึงเป็นที่มาของเทคนิคข้อที่ 3 นั่นคือ
เทคนิคที่ 3 เข้าตั้งแต่คลื่นต้น
เทคนิคที่ 2 และ 3 นี้ต้องใช้ร่วมกันเสมอ คลื่นต้น คือ คลื่น 1 คลื่น 2 หรือว่าต้นคลื่น 3 เพราะหากใช้ระบบสัญญาณที่ช้าแต่ไปเข้าคลื่นหลัง เข้ากลางคลื่น หรือเข้าปลายคลื่น ผลขาดทุนจะหนักยิ่งกว่าใช้ PnT 1 เสียอีก ดังนั้นการเทรดด้วยระบบสัญญาณที่ช้าจำเป็นต้องเข้าตั้งแต่คลื่นต้นเสมอเพื่อให้สะสมกำไรได้มากพอในคลื่น 3 และรับมือการคืนกำไรในคลื่นหลังจากนั้น
ดังนั้นหากผู้ที่จะเทรดสินค้าผันผวนต้องมีความสุขุม อดทน หนักแน่น รู้จักรอเวลา และต้องนับคลื่นเป็น เพื่อจับจังหวะเข้าเทรดตอนคลื่นต้นได้
ลองดูตัวอย่า CL ที่เทรดด้วยเทคนิค 2 และ 3 ร่วมกัน เข้าเทรดประมาณเดือนเมษายน 2009 หลังจากที่จบขาลงยาวและมีสัญญาณกลับทิศเป็นขาขึ้นแล้ว ผลเป็นดังนี้
ช่วงที่แรเงาสีน้ำเงินนั้นเปรียบเทียบการเทรด 3 ระบบ คือ PnT 0.2 คือใช้เส้นซิกแซก 0.2% ซึ่งก็คือระบบซื้อขายไวนั่นเอง กับอีกสองระบบคือ PnT 1 และ PnT 3
จะเห็นว่าระบบที่ไวไม่เป็นผลดี เพราะแทนที่ความไวของระบบจะเท่าทันความผันผวนแต่ปรากฏว่าก็ยังไม่ทันอยู่ดี ทำให้ยิ่งเกิดสัญญาณหลอกมากครั้ง ขาดทุนถึง 18,790 ดอลลาร์ (ยังไม่รวมค่าคอมมิชชัน) เกิดการเทรดไป 39 ครั้ง หากรวมค่าคอมมิชชันเข้าไปด้วยจะยิ่งขาดทุนมากกว่านี้
ทั้งสามระบบคิดผลกำไรขาดทุนเป็นจำนวนเงินออกมาแล้วแม้จะใช้ระบบ PnT 3 ก็ยังขาดทุนแต่ว่าขาดทุนน้อยกว่า คือขาดทุน 1,800 ดอลลาร์ (ซื้อขาย 12 ครั้ง) ส่วนระบบ PnT 1 ขาดทุน 12,640 ดอลลาร์ (ซื้อขาย 26 ครั้ง ยังไม่รวมค่าคอมมิชชัน)
การเทรดกองทุนรวม
การเทรดกองทุนรวมต่างๆ โดยเฉพาะกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศหรือ FIF (foreign investment fund) นั้น ไม่เหมาะที่จะเทรดด้วยด้วยระบบสัญญาณ PnT 1 เนื่องจากกองทุนรวมมีข้อจำกัดหลายประการ คือ
ด้วยเหตุนี้การเทรดกองทุนรวมต่างๆโดยเฉพาะ FIF จึงมักไม่เหมาะที่จะเทรดด้วยระบบ PnT 1 ควรใช้แนวคิดระบบที่ช้าลงและเข้าคลื่นต้นเหมือนกับการเทรดสินค้าผันผวนจึงจะเหมาะสมกว่า
สำหรับระบบที่ช้าลงนั้นก็มีได้หลายแบบ PnT 3 นั้นเป็นเพียงตัวอย่างที่ลุงแมวน้ำนำเสนอและคำนวณให้ดู แต่ในความเป็นจริงแล้วหากมีความรู้เกี่ยวกับระบบสัญญาณและการเขียนโปรแกรมเรายังสามารถออกแบบระบบหรือดัดแปลงระบบได้อีกหลายแนวทางให้ได้ระบบที่ช้าลงและข้ามสัญญาณหลอกไปได้ แม้แต่ PnT 5 (ใช้เส้น 5% zigzag) ซึ่งช่วงการ draw down ลึกมาก หากใช้ด้วยความเข้าใจและมีประสบการณ์ก็สามารถใช้กับการเทรดกองทุนรวมได้ แต่หากใช้อย่างไม่เข้าใจจะเสียสุขภาพจิตมาก
ข้อเสียของระบบที่ช้าจึงเป็นที่มาของเทคนิคข้อที่ 3 นั่นคือ
เทคนิคที่ 3 เข้าตั้งแต่คลื่นต้น
เทคนิคที่ 2 และ 3 นี้ต้องใช้ร่วมกันเสมอ คลื่นต้น คือ คลื่น 1 คลื่น 2 หรือว่าต้นคลื่น 3 เพราะหากใช้ระบบสัญญาณที่ช้าแต่ไปเข้าคลื่นหลัง เข้ากลางคลื่น หรือเข้าปลายคลื่น ผลขาดทุนจะหนักยิ่งกว่าใช้ PnT 1 เสียอีก ดังนั้นการเทรดด้วยระบบสัญญาณที่ช้าจำเป็นต้องเข้าตั้งแต่คลื่นต้นเสมอเพื่อให้สะสมกำไรได้มากพอในคลื่น 3 และรับมือการคืนกำไรในคลื่นหลังจากนั้น
ดังนั้นหากผู้ที่จะเทรดสินค้าผันผวนต้องมีความสุขุม อดทน หนักแน่น รู้จักรอเวลา และต้องนับคลื่นเป็น เพื่อจับจังหวะเข้าเทรดตอนคลื่นต้นได้
ลองดูตัวอย่า CL ที่เทรดด้วยเทคนิค 2 และ 3 ร่วมกัน เข้าเทรดประมาณเดือนเมษายน 2009 หลังจากที่จบขาลงยาวและมีสัญญาณกลับทิศเป็นขาขึ้นแล้ว ผลเป็นดังนี้
ช่วงที่แรเงาสีน้ำเงินนั้นเปรียบเทียบการเทรด 3 ระบบ คือ PnT 0.2 คือใช้เส้นซิกแซก 0.2% ซึ่งก็คือระบบซื้อขายไวนั่นเอง กับอีกสองระบบคือ PnT 1 และ PnT 3
จะเห็นว่าระบบที่ไวไม่เป็นผลดี เพราะแทนที่ความไวของระบบจะเท่าทันความผันผวนแต่ปรากฏว่าก็ยังไม่ทันอยู่ดี ทำให้ยิ่งเกิดสัญญาณหลอกมากครั้ง ขาดทุนถึง 18,790 ดอลลาร์ (ยังไม่รวมค่าคอมมิชชัน) เกิดการเทรดไป 39 ครั้ง หากรวมค่าคอมมิชชันเข้าไปด้วยจะยิ่งขาดทุนมากกว่านี้
ทั้งสามระบบคิดผลกำไรขาดทุนเป็นจำนวนเงินออกมาแล้วแม้จะใช้ระบบ PnT 3 ก็ยังขาดทุนแต่ว่าขาดทุนน้อยกว่า คือขาดทุน 1,800 ดอลลาร์ (ซื้อขาย 12 ครั้ง) ส่วนระบบ PnT 1 ขาดทุน 12,640 ดอลลาร์ (ซื้อขาย 26 ครั้ง ยังไม่รวมค่าคอมมิชชัน)
การเทรดกองทุนรวม
การเทรดกองทุนรวมต่างๆ โดยเฉพาะกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศหรือ FIF (foreign investment fund) นั้น ไม่เหมาะที่จะเทรดด้วยด้วยระบบสัญญาณ PnT 1 เนื่องจากกองทุนรวมมีข้อจำกัดหลายประการ คือ
- รายงานค่า NAV ล่าช้า โดยเฉพาะกองทุนรวม FIF กว่าจะรู้ค่า NAV ก็อาจจะหลายวันให้หลัง ทำให้คำนวณสัญญาณ ณ สิ้นวันทำการนั้นๆไม่ได้
- การชำระเงินอาจนาน กองทุนรวม FIF มักจ่ายเงินแก่ผู้ถือหน่วยช้า เช่น T+5 หรือบางกองทุนก็เเป็น T+7 ซึ่งกว่าจะได้เงินเข้ามาบางทีเกิดสัญญาณรอบใหม่ไปแล้ว ทำให้มีปัญหาเรื่องกระแสเงินสดที่จะเข้าซื้อขายตามสัญญาณ
- ผู้ลงทุนในกองทุนมักเป็นผู้ที่ต้องการลงทุนในช่วงเวลาที่ค่อนข้างนาน ระบบ PnT 1 เกิดสัญญาณซื้อขายค่อนข้างเร็ว ทำให้ฝืนกับนิสัยการลงทุนของผู้ลงทุนเอง
- กองทุนรวม FIF บางกองค่าคอมมิชชั่น (หรืออาจเรียกว่าค่า front end, back end) แพง คือแพงกว่าค่าคอมมิชชันซื้อขายหุ้นทั่วไป การซื้อขายบ่อยทำให้ขาดทุนได้
ด้วยเหตุนี้การเทรดกองทุนรวมต่างๆโดยเฉพาะ FIF จึงมักไม่เหมาะที่จะเทรดด้วยระบบ PnT 1 ควรใช้แนวคิดระบบที่ช้าลงและเข้าคลื่นต้นเหมือนกับการเทรดสินค้าผันผวนจึงจะเหมาะสมกว่า
สำหรับระบบที่ช้าลงนั้นก็มีได้หลายแบบ PnT 3 นั้นเป็นเพียงตัวอย่างที่ลุงแมวน้ำนำเสนอและคำนวณให้ดู แต่ในความเป็นจริงแล้วหากมีความรู้เกี่ยวกับระบบสัญญาณและการเขียนโปรแกรมเรายังสามารถออกแบบระบบหรือดัดแปลงระบบได้อีกหลายแนวทางให้ได้ระบบที่ช้าลงและข้ามสัญญาณหลอกไปได้ แม้แต่ PnT 5 (ใช้เส้น 5% zigzag) ซึ่งช่วงการ draw down ลึกมาก หากใช้ด้วยความเข้าใจและมีประสบการณ์ก็สามารถใช้กับการเทรดกองทุนรวมได้ แต่หากใช้อย่างไม่เข้าใจจะเสียสุขภาพจิตมาก