Wednesday, March 30, 2011

30/03/2011

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1050.67 จุด เพิ่มขึ้น 14.31 จุด ดัชนีเซ็ต (SETI) เกือบทำจุดสูงสุดใหม่ได้แล้ว ขาดอีกนิดเดียวเท่านั้น

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ BAY, BIGC, MAKRO ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 40 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีฟิวเจอร์สของดัชนีดาวโจนส์ (DJ) เกิดสัญญาณซื้อ ขณะเดียวกันถั่วเหลือง (S) ก็เกิดสัญญาณซื้อ ฟิวเจอร์ส ITD ของตลาด TFEX เกิดสัญญาณซื้อ

ด้านตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ปิดบวก นำโด่งโดยตลาดฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น และแอฟริกาใต้ ดัชนีตลาดหุ้นของประเทศบราซิล เมกซิโก เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ รัสเซีย เกิดสัญญาณซื้อ ส่วนตลาดหุ้นประเทศกรีซเกิดสัญญาณขาย

ที่น่าสังเกตคือดัชนีในกลุ่มธุรกิจต่างๆในระดับโลก (global business sector) เกิดสัญญาณซื้อพร้อมๆกันหลายตัว รวมทั้งดัชนีตลาดหุ้นในระดับภูมิภาคต่างๆก็เกิดสัญญาณซื้อพร้อมๆกันหลายตัว แต่หากดูดัชนีตลาดหุ้นในรายประเทศพบว่าหลายตลาดยังเป็นสัญญาณขายอยู่ สันนิษฐานเบื้องต้นว่าตลาดหุ้นทั่วโลกอาจขึ้นแรงไปอีกช่วงหนึ่งตามแรงฉุดของตลาดใหญ่ที่นำไปก่อนหน้า รอดูต่อไปอีกหน่อยแล้วลุงแมวน้ำจะนำมาคุยกัน





Tuesday, March 29, 2011

29/03/2011 * ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกากำหนดทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลกจริงหรือไม่ (2)

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1036.36 จุด เพิ่มขึ้น 3.42 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ SSI ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 37 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณขายกาแฟ (KC) ช่วงนี้สินค้าเกษตรทรงตัวกับปรับตัวลงเล็กน้อย

ด้านตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ปิดคละกันทั้งเขียวและแดง ตลาดฝั่งทวีปอเมริกาส่วนใหญ่ปิดค่อนไปทางเขียว ตลาดฝั่งยุโรปปิดค่อนไปทางแดง และเอเชียปิดคละกัน ตลาดอียิปต์ปรับตัวขึ้นแรงอีกวันหนึ่ง ส่วนตลาดประเทศกรีซปรับตัวลงแรง

ดัชนีดาวโจนส์ (DJI) ของสหรัฐอเมริกาเกิดสัญญาณซื้อ ดัชนีตลาดหุ้นของมาเลเซียและออสเตรียก็เกิดสัญญาณซื้อ

ยางพารา (RSS3) ยังขึ้นแรงลงแรงจนน่ากลัวเช่นเดิม หลังจากเตุการณ์สึนามิที่ญี่ปุ่นทำให้ราคายางพารายิ่งผันผวน ทีแรกก็ร่วงลงเนื่องจากประเมินว่าการผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่นจะชะลอตัว ทำให้การใช้ยางลดลงไปชั่วคราว ต่อมาเมื่อมีพายุเข้าภาคใต้ของประเทศไทย ฝนตกน้ำท่วม ไร่นาเสียหาย ราคายางพาราก็กลับดีดตัวขึ้นมาอีก แต่รวมแล้วยังอยู่เป็นสัญญาณขายออยู่ ยังไม่เกิดสัญญาณซื้อ


ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกากำหนดทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลกจริงหรือไม่ (2)


เมื่อวานเราดูวิธีอ่านตารางพร้อมกับดูตารางสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของตลาดหุ้นต่างๆไปแล้ว สำหรับท่านที่ยังงงๆกับการอ่านตาราง ลุงแมวน้ำได้ทำตารางสรุปสำหรับตลาดบางคู่ รวม 6 คู่ มาให้ดูกัน ดังนี้




แม้ว่าจะดูอย่างคร่าวๆแต่ก็คงพอเห็นว่าตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นอเมริกากับยุโรปตะวันตกนั้นสัมพันธ์ตามกันในระดับสูงเกือบทุกปี ส่วนตลาดสหรัฐอเมริกากับไทยนั้นก็ตามบ้างไม่ตามบ้าง ส่วนสหรัฐอเมริกากับจีนก็ตามบ้างไม่ตามบ้าง บางปีตามกันในระดับสูง (ค่า r สูงเข้าใกล้ 1)

และหากพิจารณาตารางของเมื่อวานกับตารางข้างบน มีข้อที่น่าสังเกตอีกประการหนึ่ง นั่นก็คือ ไม่ว่าตลาดบางตลาดที่เราดูแล้วเห็นว่าบางปีก็ตามสหรัฐอเมริกามากหน่อย บางปีก็ตามน้อยหน่อย อย่างเช่นไทยกับจีน แต่สำหรับในปี 2008-2009 อันเป็นช่วงปีที่เกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ทุกตลาดมีความสัมพันธ์แบบตามกันในระดับที่สูงขึ้นกับตลาดสหรัฐอเมริกาทั้งสิ้น โดยดูจากค่า r ที่เพิ่มมากขึ้นจากปีก่อนหน้า

ครั้นพอมาปี 2010 เมื่อวิกฤตคลายตัวลง หลายตลาดก็เริ่มกลับมาสัมพันธ์ตามกันกับตลาดอเมริกาน้อยลง

ที่เป็นเช่นนี้อาจพออธิบายได้ว่า ในยามที่ภาวะเศรษฐกิจไปได้ ตลาดแต่ละตลาดในโลกก็เป็นไปตามปัจจัยของประเทศตนเองมากหน่อย แต่ครั้งเกิดวิกฤตเศรษฐกิจจากสหรัฐอเมริกา ทุกตลาดก็หวั่นไหวและได้รับผลกระทบไปหมด แม้ผลกระทบทางปัจจัยพื้นฐานจะมีมากน้อยต่างกัน แต่ปัจจัยทางจิตวิทยาดูจะสำคัญกว่า

ลองเปรียบเทียบให้ดูกันชัดๆอีกภาพหนึ่ง ดังภาพต่อไปนี้


ภาพนี้เป็นการเปรียบเทียบความสัมพันธ์ของตลาดต่างๆในปี 2005 กับ 2008 จะเห็นว่าในปี 2005 บางตลาดสัมพันธ์ตามกันกับอเมริกาในระดับน้อยมากถึงปานกลาง (เซลล์ที่ระบายสีเหลือง) แต่พอมาในปี 2008 ความสัมพันธ์กลับกลายเป็นระดับที่สูงขึ้น อย่างเช่นจีนในปี 2005 ค่า r = 0.22 (สัมพันธ์กันน้อย) แต่มาในปี 2008 ค่า r = 0.79 คือกลายเป็นตามกันค่อนข้างสูง ปีนั้นตลาดสหรัฐอเมริกาเข้าคลื่น A ตลาดจีนก็พลอยร่วงไปด้วย

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เราเรียนรู้จากอดีตว่าหากตลาดสหรัฐอเมริกาย่ำแย่จะฉุดตลาดอื่นให้แย่ไปด้วย เราคงตอบไม่ได้ว่าหากในอนาคตเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกแล้วประวัติศาสตร์จะตามรอยเดิมหรือไม่ แต่อย่างน้อยอดีตก็เป็นบทเรียนที่เตือนให้เราไม่ประมาท