Thursday, December 23, 2010

22/12/2010 * การลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุน (DCA หรือ BCA) (4)

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1019.14 จุด เพิ่มขึ้น 5.95 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย BH, KSL ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 28 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดสำคัญทั่วโลกที่มีอยู่ในรายงานส่วนใหญ่ปิดแบบเขียวนิดแดงหน่อย ไม่มีอะไรน่าหวือหวา ยกเว้นจีนที่ปิดลงลงประมาณ 1%

การลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุน (DCA หรือ BCA) (4)

หลังจากที่ลุงแมวน้ำซืิื้อหุ้นต้อนรับปีใหม่ไปเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2536 วันนั้น SETI ปิดที่ 1682.85 จุด ลุงแมวน้ำก็กลับไปฉลองปีใหม่ที่คณะละครสัตว์และผ่านช่วงเทศกาลปีใหม่ด้วยฝันหวานว่าเงินของลุงแมวน้ำจะได้ทำงานและให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ

หลังจากผ่านเทศกาลปีใหม่มา ในวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2537 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของไทยก็ได้ทำสถิติคือทำจุดสูงสุดใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน นั่นคือดัชนี SET ปิดที่ 1753.73 จุด ดัชนีวิ่งขึ้นไปอีกถึง 70 จุดภายในวันเดียวหลังจากที่ลุงแมวน้ำลงทุน

“เห็นไหม ลุงแมวน้ำ บอกแล้วว่ามันหมูขนาดไหน ปาเป้ายังยากกว่า” ลิงชิมแปนซีคุยอย่างดีใจเพราะหุ้นของลิงเองก็ขึ้นเช่นกัน

5 มกราคม 2537 (1994) เป็นวันที่ลุงแมวน้ำยังได้เห็นดัชนีในระดับกว่า 1700 จุดอยู่ แต่หลังจากนั้นมาดัชนี SET ก็ร่วงเอาๆ บางวันลงไปถึง 90 จุด

12 มกราคม 2537 ดัชนีหล่นลงไปอยู่ที่ระดับ 1400 กว่าจุด ลุงแมวน้ำขาดทุนไปแล้วเกว่า 200 จุด จึงรีบไปหาลิงชิมแปนซีด้วยความร้อนใจ

“นี่ นายลิงชิมแปนซี ทำไมหุ้นมันถึงได้ร่วงเอาๆขนาดนี้ล่ะ” ลุงแมวน้ำถามด้วยความกังวล เงิน 1000 บาทที่ลงทุนเอาไว้ตอนนี้หดหายไปโข

“ดูๆไปก่อนน่าลุง” ลิงตอบด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ดูลิงเองก็กังวลไม่แพ้กันเนื่องจากยังถือหุ้นเอาไว้ไม่ได้ขาย “จะให้มันขึ้นทุกวันได้ยังไง ก็ต้องปรับฐานบ้างสิ”

31 มกราคม 2537 ดัชนี SET อยู่ที่ระดับ 1493.45 จุด ลิงชิมแปนซีถนนถือหุ้นต่อไปไม่ไหวเนื่องจากขาดทุนไปมากอีกทั้งรอมาหนึ่งเดือนแล้วก็ยังไม่รีบาวด์ จึงตัดสินใจขายทำขาดทุน (ไมใช่ขายทำกำไร) ไป

“เสียดายไม่ได้ใช้วิธี BCA แบบลุง” ลิงพูดกับลุงแมวน้ำ “ซื้อเฉลี่ยไปเลยลุง ยิ่งถูกยิ่งต้องช้อนซื้อ อีกหน่อยขึ้นก็สบาย รวยไปเลย”

ลุงแมวน้ำจึงซื้อหุ้นเป็นเงินเดือนละ 1000 บาททุกเดือน และหุ้นก็ลงเอาๆอยู่ตลอด

30 พฤศจิกายน 2538 (1995) เวลาผ่านไป 2 ปี ตลาดหุ้นยังไม่ยอมขึ้น ดัชนี SET ร่วงมาอยู่ 1196.62 จุด ลุงแมวน้ำเครียดมากจึงไปปรับทุกข์กับลิงชิมแปนซีเรื่องหุ้นอีก

“นี่ นายลิง ลุงออมมาเกือบสองปีแล้วนะ ลงเงินไปทุกเดือน เดือนละหนึ่งพันบาท ตอนนี้ลงเงินไปแล้ว 24,000 บาท ซื้อทุกเดือนตลาดก็ลงทุกเดือน ตอนนี้ลุงขาดทุนอยู่ 11% แล้ว เป็นเงิน 2,641 บาท เอาไงดี”

นายลิงถอนหายใจ

“นี่ลุง วิธี DCA นี่น่ะสำหรับลงทุนระยะยาว” ลิงพูด

“นี่ก็เกือบ 2 ปีแล้วนะ ดีนะที่ลงเงินเดือนละไม่มาก ถ้าลงเดือนละหลายพันบาทตัวเลขขาดทุนจะยิ่งหนักกว่านี้อีก” ลุงแมวน้ำพูด

“ลองดูต่อไปอีกหน่อยน่าลุง ใช้วิธี DCA ต้องมีวินัยและต้องถือยาวๆ” ลิงได้แต่ปลอบใจ

30 ธันวาคม 2539 (1997) เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว 4 ปี ลุงแมวน้ำออมหุ้นทุกเดือนอย่างอดทน แม้จะเครียดแต่ก็พยายามรักษาวินัย แต่ดัชนีไม่ได้ดีขึ้นเลย ล่าสุดวันวันสิ้นปี 2539 ดัชนีลดลงมาอยู่ 372.69 จุด ดัชนี SET ลดลงเหลือประมาณหนึ่งในสี่จากวันที่ลุงแมวน้ำเริ่มลงทุน (1682.85 จุด)

“นี่ นายลิง ลุงไม่ไหวแล้วนะ” ลุงแมวน้ำพูดอย่างท้อแท้

“ตลาดยิ่งลงลุงก็ซื้อหุ้นได้จำนวนหุ้นที่มากขึ้นนะ เมื่อไรที่ขึ้นลุงจะรวย” ลิงปลอบใจ

“นี่มัน 4 ปีแล้วนะ ตลาดลงตลอดไม่มีขึ้น แล้วจะลงไปถึงไหนก็ไม่รู้ 4 ปียังลงได้ มันอาจจะลงไปถึง 10 ปีก็ได้ใครจะไปรู้ ลุงออมเงินไป 49,000 บาท แต่ขาดทุนไป 30,000 บาท หรือ 61% มันเหมือนอยู่ในอุโมงที่ไม่เห็นปลายอุโมงเลย ลุงไม่ใช่แมวน้ำที่ร่ำรวย ลุงทนดูเงินออมของลุงหดหายไปทุกวันไม่ไหวแล้ว ใครไม่มาอยู่ในฐานะแบบเดียวกันนี้คงไม่เข้าใจหรอก มันท้อแท้ไปหมด” ลุงแมวน้ำระบายออกมาอย่างทุกข์ใจ




ลองมาดูภาพดัชนี SET ในช่วงที่ลุงแมวน้ำออมหุ้นกัน จะเห็นว่าเมื่อวานตอนเริ่มลงทุนเป็นภาพลุงแมวน้ำกำลังเลี้ยงลูกบอลบนปลายจมูกอย่างร่าเริง แต่หลังจากปี 2536 เป็นต้นมาลุงแมวน้ำก็ต้องใส่เสื้อกันหนาวและผูกผ้าพันคอเนื่องจากอากาศบนยอดดอยหนาวเหน็บมาก



Wednesday, December 22, 2010

21/12/2010 * RSS, BO, SB, STA, KSL, TVO, การลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุน (DCA หรือ BCA) (3)

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1013.19 จุด เพิ่มขึ้น 6.68 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย BANPU ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 30 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดสำคัญทั่วโลกที่มีอยู่ในรายงานส่วนใหญ่ปิดเขียว ยกเว้นจีนที่ปิดแดง

มีผู้เขียนถามลุงแมวน้ำมาว่าราคาฟิวเจอร์สของสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกบางชนิดกับราคาหุ้นไทยที่เกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์นั้น โดยเฉพาะสินค้าเกษตร เป็นอย่างไร คำตอบก็คือเท่าที่ตามมาในช่วงนี้ราคาไม่ค่อยตามกันเท่าไร ลองมาดูกราฟกัน

ราคาฟิวเจอร์สยางพาราของไทยนั้นอิงกับราคาของตลาดโตคอมในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งอิงกับตลาดฟิวเจอร์สในประเทศจีนอีกทอดหนึ่ง เปรียบเทียบกับราคาหุ้น STA จะเห็นว่าไม่ค่อยตามกัน ยิ่งในช่วงสั้นๆที่ผ่านมานี้ยิ่งกลายเป็นสวนทางกันไปเลย ดังภาพต่อไปนี้ เส้นสีดำคือราคาหุ้น STA ส่วนแท่งเทียนคือราคาฟิวเจอร์ส RSS3




ราคาฟิวเจอร์สน้ำมันถั่วเหลือง (BO) กับราคาหุ้นน้ำมันพืชถั่วเหลือง TVO ก็ไม่ค่อยตามกัน คือตามบ้างไม่ตามบ้าง ยิ่งระยะนี้ยิ่งสวนทางกัน ดังภาพต่อไปนี้ เส้นสีดำคือราคา TVO




ราคาฟิวเจอร์สน้ำตาลกับราคาหุ้นโรงงานน้ำตาล KSL ก็ไม่ค่อยตามกัน ช่วงนี้ก็ส่วนทางกันเช่นกัน ดังภาพต่อไปนี้ เส้นสีดำคือราคา KSL



จากการเปรียบเทียบกราฟด้วยสายตาคงพอเห็นได้ว่าการเทรดหุ้นตามฟิวเจอร์สเป็นเรื่องยาก แม้แต่ใช้ดูแนวโน้มย่อยก็ยังใช้ไม่ได้ในบางช่วง หากจะใช้ก็คงพอใช้ได้แต่การดูแนวโน้มใหญ่ ทั้งนี้ เพราะหุ้นไทยก็มีปัจจัยภายในของเราเอง เช่น การควบคุมราคาหรือการแทรกแซงราคา รวมทั้งต้องพิจารณาให้ดีด้วยว่าหุ้นตัวที่ว่าทำธุรกิจในส่วนไหนของวงจรธุรกิจนั้น เป็นต้นน้ำ กลางน้ำ หรือว่าปลายน้ำของธุรกิจสินค้านั้น ผู้เล่นในแต่ละส่วนของวงจรธุรกิจอาจได้รับอานิสงส์จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์นั้นๆต่างกันออกไป

นอกจากการพิจารณาความสัมพันธ์ด้วยกราฟและประเมินด้วยสายตาแล้ว ยังมีวิธีการทางสถิติศาสตร์ที่สามารถหาความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล 2 ชุดได้ นั่นก็คือการใช้สัมประสิทธฺ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (Pearson's correlation coefficient) ดังที่ลุงแมวน้ำเคยคุยให้ฟังไปแล้ว และยิ่งเมื่อใช้สัมประสิทธ์สหสัมพันธ์เคลื่อนที่ (moving correlation coefficient) ก็จะยิ่งเห็นชัดว่าระดับความสัมพันธ์ระหว่างฟิวเจอร์สสินค้าเกษตรกับราคาหุ้นของสินค้าตัวนั้นสัมพันธ์กันบ้าง ไม่สัมพันธ์กันบ้าง แล้วแต่ช่วงเวลา


การลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุน (DCA หรือ BCA) (3)

มาคุยเรื่องการลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุนกันต่อ จากเดิมที่เราได้ลองทำพอร์ตจำลองเพื่อลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ไปนั้นเราคงพบว่าผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุนนี้เข้าท่าเลยทีเดียวเพราะให้ผลตอบแทนสูงน่าพอใจ

วันนี้ลุงแมวน้ำจะขอเล่านิทานเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องการลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุนของลุงแมวน้ำ

เมื่อลุงแมวน้ำลงทุนออมหุ้นด้วยวิธี BCA

เมื่อนานมาแล้ว สมัยปี พ.ศ. 2536 (1993) ตอนนั้นลุงแมวน้ำเป็นดาราดังของคณะละครสัตว์ ขวัญใจของเด็กๆ (ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่) ในแต่ละเดือนลุงแมวน้ำนอกจากจะได้เงินเดือนแล้วยังได้ทิปจากเด็กๆที่มาชมการแสดงอีกด้วย ลุงแมวน้ำก็เก็บเล็กผสมน้อยเอาเนื่องจากเงินทิปของเด็กๆนั้นไม่มากนัก ปกติก็ใช้วิธีการฝากธนาคาร

วันหนึ่งลิงชิมแปนซีเจ้าปัญญา (ตัวเดียวกับที่มาช่วยลุงแมวน้ำทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้านั่นแหละ) ก็มาชวนลุงแมวน้ำลงทุนในหุ้นเนื่องจากเห็นว่าให้ผลตอบแทนอย่างงาม ใครที่ผ่านชีวิตการลงทุนในช่วงนั้นมาคงทราบดีว่าในปี พ.ศ. 2536 นั้นหุ้นขึ้นต่อเนื่องนานนับเดือน ดัชนี SET วิ่งตั้งแต่ประมาณ 900 จุดไปจนถึง 1,700 จุดในปีเดียวกันนั้นเอง ใครที่เทรดหุ้นล้วนแต่มีกำไรเริงร่า เล่นไม่เป็นหลับตาจิ้มรายชื่อหุ้นเอาจากหน้าหนังสือพิมพ์แล้วก็ไปซื้อหุ้นตัวนั้นถือไว้สองสามวันก็ได้กำไร ไม่มีใครขาดทุนเพราะหุ้นขึ้นแล้วขึ้นอีก ขึ้นอีกและขึ้นอีก...

วันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2536 ลิงชิมแปนซีชวนลุงแมวน้ำไปเยี่ยมชมโบรกเกอร์ค้าหลักทรัพย์รายหนึ่ง เห็นนักลงทุนในห้องค้าแน่นขนัด ส่งเสียงเอะอะเฮฮาราวกับมีงานปาร์ตี้เพราะว่าหุ้นขึ้นเอาๆ ทุกคนมีความสุขกันถ้วนหน้า

“ลุงแมวน้ำ ซื้อหุ้นกันเถอะน่า” ลิงชวน

“ไม่เอาดีกว่ามั้ง” ลุงแมวน้ำปฏิเสธเพราะได้ยินมาว่ารายย่อยเล่นหุ้นมีแต่เจ๊ง แต่ก็ลังเลอยู่เหมือนกันเพราะว่าภาพที่เห็นเบื้องหน้ามันตรงกันข้ามกับที่เคยคิดเอาไว้ ทำให้คิดว่าการเทรดหุ้นมันช่างง่ายอะไรเช่นนี้

“นี่นะลุงแมวน้ำ ถ้าลุงปาเป้ายังมีเข้าเป้าบ้างไม่เข้าเป้าบ้าง แต่เล่นหุ้นนี่มันเสี่ยงน้อยกว่าปาเป้าอีก หลับตาซื้อตัวไหนมันก็ขึ้น” ลิงชักชวน ปกติลิงตัวนี้เจ้าปัญญา ลุงแมวน้ำค่อนข้างเชื่อถือในความเห็นของเจ้าลิงตัวนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

“มันขึ้นแล้วมันไม่มีลงบ้างหรือไง” ลุงแมวน้ำยังไม่วางใจ

“ก็เห็นหุ้นขึ้นมาหลายเดือนแล้วยังไม่ลงสักที ลุงแมวน้ำก็ซื้อแล้วถือเอาไว้สักสองสามวันก็ขายแล้ว มันคงยังไม่ลงตอนนี้หรอกน่า” ลิงชวนอีก “นะ ลุง ซื้อหุ้นด้วยกัน”

“ก็ถ้าเผื่อมันลงล่ะ” ลุงแมวน้ำยังกลัวกลายพันธุ์เป็นแมงเม่าอยู่

“ผมเห็นลุงแมวน้ำพยายามเก็บหอมรอมริบ ก็เลยอยากช่วยนะลุง ผมไม่ได้ค่านายหน้าหรือได้ผลประโยชน์อะไรด้วยนะ” ลิงพูด “ถ้ากลัวหุ้นตกก็ลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุนหรือ dollar cost averaging ก็แล้วกัน ซื้อทุกเดือน เดือนละเท่าๆกัน ยิ่งหุ้นตก เงินก้อนเดียวกันนั้นก็ยิ่งซื้อได้หุ้นจำนวนมากขึ้น ถ้าแบบนี้ก็ไม่กลัวหุ้นตกแล้ว เพราะหากหุ้นตกก็เฉลี่ยต้นทุนตอนหุ้นตกไปเรื่อยๆ ยิ่งนานต้นทุนก็ยิ่งต่ำลง” ลิงเสนอแนะวิธีการใหม่

แม้ลุงแมวน้ำจะยังไม่วางใจในตลาดหุ้นนัก แต่ประการหนึ่งเพราะว่าเกรงใจลิงชิมแปนซีที่อุตส่าห์แนะนำด้วยความหวังดี อีกประการหนึ่งก็อยากให้เงินทำงานด้วย (ก็อยากได้เงินนั่นแหละ) จึงตัดสินใจเลือกลงทุนด้วยวิธีเฉลี่ยต้นทุน โดยลุงแมวน้ำจะซื้อหุ้น SET ทุกเดือน เงินลงทุนเดือนละ 1,000 บาท เริ่มตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2536 (1993) เป็นต้นไป




(หมายเหตุ ดังที่ลุงแมวน้ำเกริ่นไว้แล้วว่าเรื่องนี้เป็นนิทาน ดังนั้นบางสิ่งบางอย่างจึงเป็นการแต่งเติมขึ้นมา อย่างเช่น การเทรดดัชนี SET ในสมัยนั้นก็ไม่มี แต่ลุงแมวน้ำก็สมมติเอาว่าดัชนี SET เป็นเสมือนหุ้นตัวหนึ่ง จึงลงทุนซื้อได้ นอกจากนี้ การคิดค่าคอมมิชชันในยุคนั้นยังมีขั้นต่ำอยู่ อย่างเช่น การเทรดแต่ละครั้งคิดค่าคอมมิชชันขั้นต่ำ 100 บาท แม้ว่าจะซื้อหุ้นเป็นเงินน้อยเท่าใดก็ตาม เป็นต้น ซึ่งในยุคนั้นหากออมหุ้นเดือนละ 1,000 บาท คงทำไม่ได้เนื่องจากไม่คุ้มกับค่าคอมมิชชันขั้นต่ำ แต่ว่าลุงแมวน้ำก็สมมติเอาว่าคิดค่าคอมมิชชันตามจริง ไม่มีขั้นต่ำ จึงทำให้สามารถซื้อหุ้นได้ทุกเดือน)