Monday, November 8, 2010

05/11/2010 * ดัชนี SET และก้าวต่อไปของดัชนี

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1.040.45 จุด เพิ่มขึ้น 8.84 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ BBL, TMB ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 37 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ ดัชนีนิกเกอิ (Nikkei, N225) ของญี่ปุ่นขึ้นแรงแลพเกิดสัญญาณซื้อ ตลาดหุ้นสำคัญทั่วโลกส่วนใหญ่ปิดเขียว

วันนี้ ดัชนีดาวโจนส์ (DJI) ของสหรัฐอเมริกาพุ่งแรงถึง 219 จุด ค่าเงินดอลลาร์อ่อนยวบ ราคาทองคำ โลหะเงิน น้ำมันดิบ สินค้าเกษตร และสินค้าโภคภัณฑ์ (commodities) ต่างๆปรับตัวขึ้นแรง

ดัชนี SET และก้าวต่อไปของดัชนี

ในปี 2010 นี้ตลาดหุ้นไทยมีการเติบโตอย่างมากทีเดียว ดัชนี SET ขึ้นแบบลากยาวซึ่งเป็นลักษณะของคลื่น 3 หรือว่าคลื่น 5 นักลงทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้ผลตอบแทนที่ดีกันถ้วนหน้า กองทุนต่างชาติที่มาลงทุนให้ตลาดหุ้นไทยนั้นทำกำไรมาตั้งแต่ต้นปี 2010 ได้มากโข อาจกล่าวได้ว่าตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนดีที่สุดในบรรดาตลาดหุ้นของประเทศต่างๆในโลกก็ว่าได้ ลองมาดูสถิติกันอย่างคร่าวๆ ผลงานของกองทุนต่างชาติที่ลงทุนโดยอิงดัชนีนั้นได้ผลกำไรนับตั้งแต่ต้นปี 2010 มาจนถึงวันนี้ก็ประมาณ 50-60% แล้ว ในขณะที่กองทุนที่ลงทุนอิงดัชนีในตลาดเกิดใหม่ของประเทศอื่นๆ เช่น อินโดนีเซีย โปแลนด์ ตุรกี ได้ผลตอบแทนอยู่ในระดับ 40%

การลงทุนแบบอิงดัชนีในประเทศอินเดีย แอฟริกาใต้ สิงคโปร์ได้ผลตอบแทนในระดับ 30% ส่วนการลงทุนในประเทศจีน รัสเซีย ได้ผลตอบแทนในระดับ 15% ส่วนการลงทุนในฟิลิปปินส์ได้ผลตอบแทนประมาณ 7% ในขณะที่การลงทุนในเวียดนามขาดทุนเล็กน้อย

ตัวเลขที่ลุงแมวน้ำยกมานี้เป็นเพียงตัวเลขคร่าวๆเพื่อให้เห็นศักยภาพในการลงทุนในประเทศต่างๆเป็นเชิงเปรียบเทียบในภาพรวม ทีนี้หากจะมาดูกันต่อไปว่าแนวโน้มของหุ้นไทยจะเป็นอย่างไร ลุงแมวน้ำของวิเคราะห์ในเชิงเทคนิคซึ่งพิจารณาจากกราฟดัชนี SET นั่นเอง

หลังจากวิกฤติต้มยำกุ้ง ดัชนี SET ไต่อยู่ในระดับไม่กี่ร้อยจุดมานานหลายปี จนมาถึงต้นปี 2547 (2004) ที่ดัชนี SET สามารถทำจุดสูงสุดในรอบหลายปีได้ที่ 794.01 จุด (อีกนิดเดียวจะถึง 800 จุดแต่ก็ไม่ถึง) หลังจากนั้นมาอีกหลายปี เรามักใช้ค่า 794.01 จุดเป็นแนวต้านใหญ่หรือว่าเป็นระดับเปรียบเทียบที่พยายามจะไปให้ถึงอีกครั้งหนึ่ง

ต่อมาในช่วงปลายปี 2550 (2007) ดัชนี SET ก็สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 915.03 จุด หลังจากนั้นก็ร่วงลงมาเหลือเพียงเกือบ 400 จุด นับแต่นั้นเป็นต้นมาเราก็ยึดเอาระดับ 915.03 จุดเป็นระดับเปรียบเทียบเพื่อพยายามจะไปให้ถึงอีกครั้งหนึ่ง

มาถึงวันนี้ ในวันที่ดัชนี SET อยู่ที่กว่าหนึ่งพันจุด ระดับที่เราพยายามจะไปให้ถึงก็ต้องเปลี่ยนใหม่โดยอิงกับยอดคลื่นเดิม ซึ่งไม่ใช่ 1,100 จุด ไม่ใช่ 1,200 จุด หรือว่า 1,300 จุด แต่คือยอดคลื่นเดิมที่ระดับ 1,753.73 จุด

ในทางเทคนิค โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวัดระดับ fibonacci ขณะนี้จุดเทียบต้องเปลี่ยนไปใช้ที่ 1,753,73 จุดแล้ว รวมทั้งการนับคลื่นก้ต้องนับกันใหม่ หากนับในระดับคลื่นใหญ่ระดับหลายๆปี ภาพน่าจะเป็นดังนี้



นั่นคือ ขณะนี้เรากำลังอยู่ในคลื่นใหญ่ 3 (สีดำ) ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงดัชนี SET ยังมีโอกาสขึ้นต่อไปได้อีกมากกว่าจะจบคลื่นใหญ่ 5 (สีดำ) และดังที่ลุงแมวน้ำเคยคุยให้ฟัิงแล้วว่าดัชนี SET นั้นโดยสถิติแล้วเป็นดัชนีที่มีโอกาสทำกำไรค่อนข้างดี กล่าวคือ มีความน่าจะเป็นในการซื้อแล้วได้กำไรอยู่ที่ 0.5 ในขณะที่ค่าความน่าจะเป็นในการซื้อแล้วได้กำไรเฉลี่ยอยู่ที่ 0.4 ซึ่งค่าที่สูงกว่าหมายถึงมีโอกาสซื้อแล้วกำไรสูงกว่า

แต่อย่างไรก็ดี ในระดับคลื่นใหญ่แม้ว่าจะเป็นคลื่น 3 ก็จริง แต่ว่าอาจใช้เวลานาน 5 ถึง 15 ปีกว่าจะจบคลื่น ในคลื่นใหญ่ประกอบด้วยคลื่นในระดับรองลงมาแกว่งขึ้นๆลงๆอยู่ ดังนั้นอย่าคาดหวังว่าหุ้นจะขึ้นไปแบบม้วนเดียว ดังนั้นนักลงทุนจึงไม่ควรย่ามใจ เพราะการเคลื่อนไหวของคลื่นที่มีอิทธิพลต่ออารมณ์ของเรานั้นไม่ใช่คลื่นใหญ่ แต่เป็นคลื่นย่อย พูดง่ายๆก็คือ ถึงแม้ว่าเราอาจจะอยู่ในคลื่นใหญ่ 3 ก็ตาม แต่การแกว่งตัวในระดับคลื่นย่อยก็ยังทำให้เราอกสั่นขวัญหาย รวมทั้งยังสามารถทำให้เราขาดทุนและอยู่บนยอดดอยได้ชั่วเวลาหนึ่งเหมือนเช่นที่เคยเป็นมา

ตลาดหุ้นจีนก็มีศักยภาพที่จะเติบโตต่อไปได้เช่นเดียวกันเนื่องจากลุงแมวน้ำลองนับคลื่นดู คาดว่าน่าจะเพิ่งเริ่มต้นคลื่น 3 ใหญ่ ในวันต่อไปเราจะไปดูดัชนีหุ้นจีนและการลงทุนในตลาดหุ้นจีนกัน



Friday, November 5, 2010

04/11/2010 * RSS3, GC, Commodity Index, ฟิวเจอร์ส ออปชัน การเก็งกำไรและการบริหารความเสี่ยง (3)

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1.031.61 จุด เพิ่มขึ้น 17.41 จุด เป็นวันที่มีปริมาณซื้อขายถึงกว่า 5 หมื่นล้านบาทอีกวันหนึ่ง

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ ADVANC ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 35 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ ดัชนีฟุตซี FTSE100 ของอังกฤษเกิดสัญญาณซื้อ ตลาดหุ้นสำคัญทั่วโลก ทั้งตลาดพัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่พุ่งทะยาน

วันนี้ดัชนีดาวโจนส์ (DJI) ของสหรัฐอเมริกาพุ่งแรงถึง 219 จุด ค่าเงินดอลลาร์อ่อนยวบ ราคาทองคำ โลหะเงิน น้ำมันดิบ สินค้าเกษตร และสินค้าโภคภัณฑ์ (commodities) ต่างๆปรับตัวขึ้นแรง

สำหรับตลาดหุ้นของไทยนั้น แม้ดัชนี SET จะเพิ่มขึ้นถึง 17.41 จุด แต่หากพิจารณาหลักทรัพย์ในกลุ่ม SET 50 แล้วพบว่ามี 27 ตัวที่ปิดเขียว และ 23 ตัวที่ปิดแดง ดัชนีตลาดที่เพิ่มขึ้นเกิดจากน้ำหนักของหุ้นตัวใหญ่เพียงบางตัวเท่านั้น

ยางพารา RSS พิจารณาจากการนับคลื่นและ fibonacci อาจจะไปจบคลื่น 5 (สีน้ำตาล) ที่ประมาณ 150 บาท



ทองคำ (GC) อาจจบคลื่น 5 ที่แถว 1,400 ดอลลาร์/ออนซ์นี้ก็ได้ แต่ไม่ควรกังวลมาก ตราบใดที่ยังไม่มีสัญญาณขายและไม่มีสัญญาณกลับทิศแนวโน้มก็ไม่ต้องทำอะไร



ดัชนีดอลลาร์ สรอ (DX) หลุดระดับ fibonacci 78.6% มาแล้วและปกติที่ระัดับ 100% ก็มักหยุดไม่อยู่ มักหลุดต่ำกว่านั้นอีก นั่นหมายความว่าเป็นไปได้ที่จะลงไปถึงระดับ 66 จุด



ดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์ค่อยๆปรับตัวขึ้น ที่เห็นในภาพเป็นดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์ดาวโจนส์ยูเอสบี (DJ-USB Commodity Index) อันเป็นดัชนีที่คำนวณจากสินค้าโภคภัณฑ์หลายๆชนิด ทำให้เห็นแนวโน้มในภาพรวม จะเห็นว่าขณะนี้เพิ่งอยู่ต้นคลื่น น่าจะเป็นต้นคลื่น 3 ซึ่งยังสามารถไปต่อได้อีกมาก จากภาพนี้สะท้อนให้เห็นถึงภาวการณ์เงินเฟ้ออันน่ากลัวที่จะตามมาในอนาคต





ฟิวเจอร์ส ออปชัน การเก็งกำไรและการบริหารความเสี่ยง (3)


“ก็บอกแต่แรกแล้วว่าการลงทุนมีความเสี่ยง เธอก็เข้าใจแล้วนี่นา เธอยังบอกเองเลยว่าเธอยังสาว สามารถรับความเสี่ยงได้ จะได้ช่วยลุงแมวน้ำ” ลิงชิมแปนซีพูด

“ก็ตอนนั้นมันตอนนั้น ส่วนตอนนี้มันก็ตอนนี้” ยีราฟสาวโวยวายน้ำลายฟ่อด “นี่ราคามันลงไป 5 บาทแล้วนะ แค่นี้ก็พอรับไหวหรอก แต่ถ้าหากมันร่วงลงไปมากกว่านี้อีกล่ะ ฉันทำใจไม่ได้หรอก ดีไม่ดีเงิน 10 บาทที่วางประกันเอาไว้กันเธอจะหายหมด”

“ก็ตกลงกันไปแล้วนี่นา จะให้ฉันทำยังไงล่ะ” ลิงบ่นด้วยความอิดหนาระอาใจกับอาการโวยวายของยีราฟสาว

“ไม่รู้ล่ะ ฉันอยากเลิกสัญญา ไม่เอาแล้ว ถั่วฝักยาวก็ไม่ได้ ซ้ำยังขาดทุนบานเบอะ” ยีราฟสาวบอกความต้องการออกมา

“เธอจะเลิกได้ยังไง ก็สัญญากับลุงแมวน้ำเอาไว้แล้ว ลุงแกไม่ได้คิดจะเลิกด้วยนี่” ลิงชิมแปนซีพยายามอธิบาย

“ไม่รู้ล่ะ ไม่เอาแล้ว เธอต้องหาทางเลิกสัญญาให้ฉันด้วย ฉันรับการขาดทุนได้เพียงแค่นี้เท่านั้น มากกว่านี้ไม่ไหวแล้ว” ยีราฟยื่นคำขาด

“เฮอะ ทีกำไรก็จะเอา ทีขาดทุนกลับไม่ยอม” ลิงประชด “เอายังงี้ ในเมื่อลุงแมวน้ำไม่ได้ผิดอะไร จู่ๆเธอจะไปเลิกสัญญาซื้อขายล่วงหน้ากับลุงแมวน้ำมันก็ไม่เหมาะ เรามาหาคนช่วยรับสัญญาซื้อขายล่วงหน้าให้ลุงแมวน้ำแทนเธอกันดีกว่า”

“เออๆๆ เอายังไงก็ได้ แต่ฉันขอพอเท่านี้”

ลิงชิมแปนซีจึงชวนยีราฟสาวจอมโวยวายไปหาปลาทองน้อย ดาวเด่นอีกตัวหนึ่งของคณะละครสัตว์ ปลาทองน้อยตัวอ้วนกลมกำลังว่ายน้ำดุ๊กดิ๊กอวดพุงอยู่ในโหลใสแจ๋ว

“นี่ ปลาทองน้อย อยากลงทุนไหม เผื่อจะได้กำไรเอาไว้ซื้อลูกน้ำกินเล่นแก้กลุ้ม” ลิงชิมแปนซีเริ่มโน้มน้าว

“ไม่เอาหรอก ผมไม่ได้กินลูกน้ำ ผมกินซากุระ ตัวจะได้เป็นสีส้มสวย กินลูกน้ำเดี๋ยวเป็นไข้เลือดออก” ปลาทองน้อยพูดพลางกระดิกครีบหางสีส้มสดโชว์ให้ดู

“บ๊องใหญ่แล้ว กินลูกน้ำจะเป็นไข้เลือดออกได้ยังไง เป็นไข้เลือดออกต้องโดนยุงกัด” ลิงแย้ง

“นี่จะทักทายกันอีกนานไหมเนี่ย ฉันร้อนใจอยู่นะ” ยีราฟสาวหงุดหงิดอีก น้ำลายของเธอหยดลงในโหลปลาทอง ปลาทองน้อยทำหน้าเบ้เพราะน้ำลายของเธอทำให้น้ำขุ่นแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรเนื่องจากยีราฟตัวโตกว่ามาก

ลิงเล่าเรื่องการลงทุนด้วยการตกลงราคายางพาราและทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้ากับลุงแมวน้ำให้แก่ปลาทองน้อยฟัง พร้อมกับเล่าเรื่องของยีราฟสาวที่ต้องการหาคนมารับทำสัญญาแทนเธอ

“ฮึ ผมไม่โง่หรอกนะ ปลาทองน้อยแสนฉลาด ตอนนี้ราคายางพาราในท้องตลาดกิโลกรัมละ 125 บาท จะให้ผมรับซื้อล่วงหน้าจากลุงแมวน้ำแทนแม่ยีราฟได้ยังไง ก็เธอตกลงราคากับลุงเอาไว้ที่ 130 บาท ถ้าผมรับซื้อในราคานั้นมีความเสี่ยงสูงมั่กๆ แบบนี้ไม่บ๊องก็เมา”

ยีราฟสาวหน้าเสียที่ปลาทองน้อยไม่ยอมตกลงด้วย

“เอายังงี้ก็แล้วกัน” ลิงชิมแปนซีเสนอความคิด “นี่ แม่ยีราฟ สมมติว่าหากลุงแมวน้ำขายยางพาราตอนนี้ ก็จะขายได้ที่ราคา 125 บาท เธอต้องจ่ายให้ลุงแมวน้ำอีก 5 บาท ตามที่เธอประกันราคาไว้ที่ 130 บาท ถูกไหม”

ยีราฟพยักหน้า

“ก็ถือเสียว่าเธอบอกล้างสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเสียตอนนี้ที่ราคา 125 บาท แล้วจ่ายส่วนต่างมา 5 บาทให้ฉันเก็บเอาไว้ แล้วนับแต่นี้ไปให้ปลาทองน้อยทำสัญญากับลุงแมวน้ำต่อที่ราคา 125 บาท เธอก็ออกจากการซื้อขายไปที่ราคา 125 บาท ส่วนปลาทองน้อยก็โดดเข้ามาในในการซื้อขายที่ราคา 125 บาท อย่างนี้ปลาทองน้อยก็จะมีความเสี่ยงลดลง แบบนี้จะจูงใจให้ปลาทองน้อยอยากลงทุนมากขึ้น ดีไหม” ลิงพูด

ยีราฟเอียงหน้างงเพราะคิดตามไม่ทัน “ยังไงกัน ฉันไม่เข้าใจ”

“ก็คือเสมือนกับว่า... แค่เสมือนกับเท่านั้นนะ... เสมือนกับว่าเธอกับลุงแมวน้ำชำระราคาสิ้นสุดสัญญากันตอนนี้เลยไง ราคาตอนนี้เป็น 125 บาท เธอก็ยอมขาดทุน 5 บาทชดเชยให้ลุงแมวน้ำไป เอาแค่ขั้นตอนนี้ก่อน เข้าใจไหม” ลิงถาม ยีราฟสาวคิดตามแล้วพยักหน้า

“เธอก็จบกันไป ไม่ต้องมาเกี่ยวข้องอะไรแล้ว ต่อไปก็ให้ปลาทองน้อยมาตกลงราคาทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้ากับลุงแมวน้ำแทน ลุงแมวน้ำต้องการขายที่ราคา 130 บาท แต่ปลาทองน้อยรับซื้อที่ 125 บาท ก็เสมือนกับว่ายอมซื้อยางพาราจากลุงแมวน้ำที่ราคา 125 บาท” ลิงอธิบายต่อ

“แล้วต่อไปจะเป็นยังไง”

“ก็สมมติว่านับแต่นี้ต่อไป เมื่อถึงเดือนมีนาคม ราคายางพาราในตลาดเป็น 130 บาท ปลาทองน้อยก็จ่ายลุงแมวน้ำ 125 บาท เท่าที่ตกลงราคากัน แล้วอีก 5 บาทก็ได้จากเธอที่ฉันหักเก็บเอาไว้นั่นแหละ รวมแล้วลุงแมวน้ำจะได้เงิน 130 บาทตามที่แกต้องการ ส่วนปลาท้องน้อยก็ได้ยางพารา 1 กิโลกรัมมาในราคา 125 บาท เอาไปขายต่อในตลาดได้ 130 บาท ก็ได้กำไร 5 บาท สรุปว่าลุงแมวน้ำได้ตามที่ต้องการ ปลาทองน้อยได้กำไร 5 บาท ส่วนเธอขาดทุน 5 บาท” ลิงชิมแปนซีพยายามอธิบาย

ปลาทองน้องพยักหน้าเข้าใจ ส่วนยีราฟสาวน้ำลายยืดเพราะฟังจนเกือบหลับ

“ถ้างั้นฉันถามใหม่ สมมติว่าเมื่อถึงเดือนมีนาคม แล้วราคายางพาราเป็น 120 บาท แล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ใครจะเป็นอย่างไร” ยีราฟถาม

“ถ้าตอนนั้นราคา 120 บาท ลุงแมวน้ำก็จะต้องได้ 130 บาทเท่าที่มีการตกลงราคาซื้อขายล่วงหน้าเอาไว้ โดยปลาทองน้อยจ่ายชดเชยให้ลุงแมวน้ำ 5 บาท เพราะยอมรับซื้อไว้ที่ 125 บาท อีก 5 บาทก็เอามาจากเงินของเธอที่ขาดทุนไง สรุปว่าหากราคายางพาราเหลือ 120 บาท ลุงแมวน้ำก็ได้ 130 บาท ปลาทองน้อยขาดทุน 5 บาท และเธอขาดทุน 5 บาท” ลิงอธิบายอีก

“เอาเถอะ ถ้ายังงั้นฉันขอบอกล้างสัญญาตอนนี้แล้วยอมขาดทุนไป 5 บาทก็แล้วกัน แล้วให้ปลาทองน้อยทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าต่อไป” ยีราฟสาวพูดแบบถอดใจ

“ได้ๆ ยังงั้นฉันทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่ราคา 125 บาทนับแต่ตอนนี้” ปลาทองน้อยพูดพลางส่ายพุงไปมา

“อะ ถ้ายังงั้นนายลิง เธอก็หักเงินที่ฉันวางประกันไว้กับเธอไป ที่เหลือก็คืนฉันมาซะดีๆ” ยีราฟทวงเงิน

“การที่แม่ยีราฟบอกล้างสัญญา และการที่ปลาทองน้อยเข้าทำสัญญา ฉันต้องขอค่าเหนื่อย 0.45 บาทนะ ปลาทองน้อยจ่ายมา วางเงินประกัน 10 บาทและค่าเหนื่อย 0.45 บาท ส่วนแม่ยีราฟฉันคืนเงินเธอไป 4.55 บาท ไม่ใช่คืน 5 บาท เพราะว่าหักค่าเหนื่อยด้วย”

“โอ๊ย ทำไมหน้าเลือดยังงี้” ยีราฟสาวร้องกรี๊ด “ครั้งก่อนก็เก็บทีหนึ่งแล้ว นี่ฉันขาดทุนแล้วเธอยังมาเก็บค่าเหนื่อยอีก งกสุดๆ”

“แล้วที่พาเธอมาเจรจากับปลาทองน้อยอ้วนกลม จนทำให้เธอบอกล้างสัญญา หยุดการขาดทุนเอาไว้ได้ ไม่ใช่เพราะฝีมือฉันเหรอ ฉันก็เหนื่อยนะ” ลิงชิมแปนซีขึ้นเสียงบ้างเพราะไม่พอใจในความขี้เหนียวของยีราฟสาว ยีราฟเมื่อเห็นลิงเอาจริงจึงเงียบไป ยอมจ่ายแต่โดยดี

เวลาผ่านไป เดือนมีนาคม 2554

ราคายางพาราในท้องตลาดในตอนนั้นเป็น 135 บาทต่อกิโลกรัม ลุงแมวน้ำได้เงินไป 130 บาทตามที่ตกลงราคาซื้อขายล่วงหน้าเอาไว้ ส่วนปลาทองน้อยเอายางพาราไปขายได้กำไรส่วนต่างมา 10 บาท เพราะลงทุนเอาไว้ที่ราคา 125 บาท ส่วนยีราฟสาวขาดทุนไป 5 บาท ส่วนลิงชิมแปนซีได้เงินมา 2.70 บาท (0.45 คูณ 2 คูณ 3) อันเนื่องมาจากค่าบริการที่แต่ละตัวทำสัญญาและบอกล้างสัญญากัน

หากว่าลุงแมวน้ำไม่มีสินค้าจริงส่งมอบ ลุงแมวน้ำต้องขาดทุน เนื่องจากเสมือนกับว่าลุงแมวน้ำทำสัญญาขายยางพาราที่ราคา 130 บาทในขณะที่มือเปล่า ไม่มีของอยู่ในมือจริงๆ พอครั้นเมื่อถึงกำหนดส่งมอบ ลุงแมวน้ำต้องไปหาซื้อยางพาราในตลาดที่ราคา 135 บาทเพื่อมาส่งมอบให้แก่คู่สัญญาและรับเงินมาจากคู่สัญญา 130 ตามที่ตกลงกันเอาไว้ล่วงหน้า ในกรณีที่ไม่มีสินค้าจริงส่งมอบ ลุงแมวน้ำจะขาดทุน 5 บาท แต่เมื่อมีสินค้าจริงที่ลุงแมวน้ำผลิตเองส่งมอบก็เท่ากับว่าลุงแมวน้ำขายสินค้าได้ในราคาที่ต้องการแต่ว่าต่ำกว่าราคาตลาดในตอนนั้น

ลุงแมวน้ำนำเงินที่ได้ไปซื้อหูกระต่ายอันใหม่สำหรับใส่ตอนแสดง ปลาทองน้อยซื้ออาหารปลาแสนอร่อยมากินแก้มยุ้ยตลอดทั้งวัน ลิงชิมแปนซีซื้อกล้วยมากินสบายใจ ส่วนยีราฟสาวหน้าละห้อยเพราะต้องลดการกินถั่วฝักยาวของโปรดลงเนื่องจากต้องการประหยัด


จากที่เล่ามานี้คือกลไกของการซื้อขายสินค้าล่วงหน้าหรือกลไกของฟิวเจอร์ส โดยเริ่มจากที่ไม่มีบริษัทประกันภัยใดที่สามารถรับประกันอะไรต่ออะไรไปได้ทุกอย่าง แต่เนื่องจากมีคนหลายๆที่ต้องการหลักประกันเพื่อลดความเสี่ยง กลไกของการซื้อขายล่วงหน้าระหว่างเอกชนหรือระหว่างบุคคลต่อบุคคลด้วยกันจึงเกิดขึ้น ซึ่งก็คือตลาดฟิวเจอร์สนั่นเอง ในตลาดฟิวเจอร์สนั้นไม่ได้มีแต่นักเก็งกำไร ตรงกันข้าม ตลาดฟิวเจอร์สจะเกิดขึ้นได้ต้องประกอบด้วยบุคคลที่รู้จักพอ ขอแค่นี้ก็พอใจแล้ว ส่วนหนึ่ง และประกอบด้วยนักเก็งกำไรส่วนหนึ่ง อีกทั้งยังต้องมีบุคคลกลางที่มีส่วนช่วยในการดำเนินการด้วย กลไกตลาดจึงเกิดขึ้นได้ เมื่อมองในเชิงอุดมคติแล้วตลาดฟิวเจอร์สมีประโยชน์มากกว่าโทษ เพราะทำให้คนมีหลักประกัน และขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดธุรกิจ มีการกระจายรายได้ เศรษฐกิจก็สามารถดำเนินไปได้ โทษนั้นมักเกิดจากการใช้ตลาดในทางที่ไม่สร้างสรรค์ เช่น การเก็งกำไรกันจนเกินสมควร ความไม่รู้จักพอ รวมทั้งการเอาเปรียบอันเนื่องจากความไม่เท่าเทียมกัน เป็นต้น ส่วนออปชันนั้นก็ใช้หลักการเดียวกันกับฟิวเจอร์สเพียงแต่เทคนิคในการตกลงราคาและการซื้อขายล่วงหน้าที่แตกต่างกันบ้าง แต่ก็ยังคงหลักการเดียวกัน นั่นคือ การประกันความเสี่ยงกับการเก็งกำไร

คงยังจำบริษัทประกันที่ลุงแมวน้ำไปติดต่อในตอนแรกได้ หากบริษัทประกันไม่เข้ามายุ่งเกี่ยว ลุงแมวน้ำ ลิงชิมแปนซี ยีราฟ และปลาทองน้อย ก็ทำธุรกิจร่วมกันและก่อให้เกิดกลไกตลาดฟิวเจอร์สขึ้นมาได้ แต่หากบริษัทประกันเกิดรับประกันราคาขึ้นมา ลุงแมวน้ำก็อาจไปพึ่งบริษัทประกันแทน กลไกตลาดก็ไม่เกิด ฉันใดก็ฉันนั้น หากเปลี่ยนตัวละครบริษัทประกันเป็นหน่วยงานภาครัฐ หากรัฐมีกลไกพิเศษ เช่น การประกันราคา การรับจำนำสินค้าเกษตร ฯลฯ กลไกการซื้อขายล่วงหน้าก็จะถูกบิดเบือน ตลาดฟิวเจอร์สก็จะไม่เกิดหรือเกิดแล้วก็โตไม่ได้ กลไกที่จะทำให้เอกชนหรือบุคคลกระจายความเสี่ยงและบริหารความเสี่ยงกันเองทั้งยังก่อให้เกิดธุรกิจก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างจริงคือข้าวขาว 5% และข้าวหอมมะลิ ที่แม้ว่าเรามีตลาดฟิวเจอร์สอยู่แต่กลไกของตลาดก็ดำเนินไปไม่ได้เนื่องจากกลไกราคาของรัฐแทรกแซงอยู่ ซึ่งคิดว่าไม่น่าเป็นผลดี ตลาดฟิวเจอร์สใช้ลดความเสี่ยงได้ดีอยู่แล้วหากรู้จักวิธีการใช้ ส่วนหน้าที่ของรัฐควรส่งเสริมเกษตรกรให้ใช้ตลาดฟิวเจอร์ส เกษตรกรก็จะได้ประโยชน์อย่างแท้จริง การใช้กลไกราคาแทรกแซงของรัฐมักเกิดการทุจริต ผลประโยชน์มักไม่ถึงมือเกษตรกรเท่าที่ควร

ส่งท้าย...

หลังจากที่ลุงแมวน้ำขายยางพาราได้กำไรมาบ้างแล้วก็เปลี่ยนแนวไปปลูกพืชอายุสั้นแทนเนื่องจากเก็บเกี่ยวได้ไว ไม่ต้องรอ 8 ปีเหมือนกับการปลูกยางพารา

ลุงแมวน้ำจึงไปหายีราฟสาวเจ้าเก่า คราวนี้ถือร่มไปด้วยเพราะว่าคราวก่อนที่คุยกับยีราฟหัวของลุงแมวน้ำเปียกโชกไปหมด

“นี่ แม่สาวยีราฟ” ลุงแมวน้ำทักทายพลางกางร่มออก “ลุงคิดจะปลูกถั่วฝักยาวน่ะ เห็นว่าเธอชอบกิน ตอนนี้เดือนมีนาคม ปลูกตอนนี้อีก 2 เดือนก็เก็บเกี่ยวได้แล้ว”

“อุ๊ย ก็ดีสิคะลุง พูดแล้วน้ำลายไหล อยากกินๆ” ยีราฟสาวพูดพลางมีน้ำลายหยดใส่ร่มติ๋งๆ

“ถั่วฝักยาวหน้าแล้งแพงนะ บางทีก็ขาดตลาด ปีที่แล้วกิโลกรัมละ 70 กว่าบาทเชียว ถ้าลุงได้ราคาสักกิโลกรัมละ 55 บาทลุงก็พอใจแล้ว อยากให้เธอตกลงราคาและทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้ากับลุงอีก ใช้วิธีแบบเดิม เรียกนายลิงมาดำเนินการให้” ลุงแมวน้ำยื่นข้อเสนอ “สนใจมั้ย”

“อ๊าย” ยีราฟสาวร้องลั่น “ไม่เอาแล้ว คราวก่อนโดนไป 5 บาทยังเข็ดอยู่เลย หนูไม่เอาแล้วล่ะลุง” ยีราฟสาวรีบปฏิเสธ

“ลุงเห็นว่าเธอชอบกินถั่วฝักยาว เลยคิดจะปลูกให้เธอกิน ถ้าได้ราคาพอสมควรก็จะได้ลงมือปลูก เธอเองถ้าทำสัญญาล่วงหน้ากับลุงก็เป็นการลดความเสี่ยงของเธอด้วยเหมือนกันนะ คือลดความเสี่ยงเรื่องการขาดแคลนถั่วฝักยาวในหน้าแล้งไปได้ส่วนหนึ่งไงล่ะ แต่ถ้าเธอไม่สนใจ ยังงั้นลุงปลูกอย่างอื่นที่ตลาดต้องการและมีคนทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้ากับลุงดีกว่า ลุงไม่ปลูกอะไรส่งเดชหรอก ลุงต้องวางแผนก่อนปลูก หากมีตลาดแน่นอนและได้ราคาที่น่าพอใจลุงจึงจะลงมือปลูก ไม่อย่างนั้นทำแล้วไม่รู้จะไปขายใครหรือไม่รู้ว่าจะได้ราคาเท่าไร ดีไม่ดีทำไปแล้วขาดทุน สู้นอนเลี้ยงลูกบอลเล่นดีกว่า”

และนี่ก็คือประโยชน์ของตลาดฟิวเจอร์สที่สามารถใช้หลักของการรับประกันราคามาช่วยในการวางแผนการดำเนินงาน ทำให้สามารถผลิตสินค้าที่รู้ตลาดและราคาแน่นอนแล้ว อันเป็นการปิดความเสี่ยง ไม่ใช่ทำไปโดยไม่รู้เหนือรู้ใต้

การใช้กลไกของตลาดฟิวเจอร์สไม่ได้ใช้กับสินค้าเกษตรเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังใช้ปิดความเสี่ยงกับเรื่องอื่นๆได้อีกมากมาย ยกตัวอย่างเช่น การป้องกันการผันผวนของค่าเงินก็ใช้ฟิวเจอร์สเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อประกันอัตราแลกเปลี่ยนในระดับที่เราต้องการ การป้องกันความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยก็ใช้ฟิวเจอร์สอัตราดอกเบี้ย ผู้ผลิตตู้และวงกบอะลูมิเนียมก็สามารถใช้ฟิวเจอร์สของราคาอะลูมิเนียมตลาดโลกเพื่อปิดความเสี่ยงไม่ให้ต้นทุนวัตถุดิบผันผวนได้ แม้แต่กองทุนรวมหุ้นระยะยาวหรือ LTF ที่เอาไว้ลงทุนเพื่อการประหยัดภาษีก็มีบางกองทุนที่ใช้กลไกฟิวเจอร์สมาช่วยลดความเสี่ยงของราคาหุ้นที่ผันผวน เป็นต้น