วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 923.57 จุด ลดลง 1.24 จุด
สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ PS และมีสัญญาณขาย ADVANC, PTTEP, TRUE ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 33 ตัว
กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย
ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาซื้อขาย
ในระยะนี้ตลาดส่วนใหญ่กลายเป็นไม่มีทิศทาง ดังนั้นจึงยังดูอะไรไม่ชัด ที่ทำได้คือรอดูไปก่อน
ทางด้านอัตราแลกเผลี่ยนเงินตรานั้น ช่วงที่ผ่านมาเงินเยนของญี่ปุ่นแข็งค่าค่อนข้ารวดเร็วและต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน ธนาคารชาติของญี่ปุ่นของเข้าแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยน ผลทำให้ค่าเงินเยนอ่อนตัวลงมาบ้าง เงินบาทของไทยก็เช่นกัน แต่ยังไม่รู้ว่าผลในระยะยาวจะเป็นอย่างไร ที่จริงแล้วยังมีเงินอีกสกุลหนึ่งซึ่งแข็งค่าค่อนข้างเร็ว นั่นก็คือเงินดอลลาร์ออสเตรเลีย ดูจากกราฟเปรียบเทียบก็จะเห็นว่าเส้นกราๆของเงินดอลลาร์ออสเตรเลียดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ เส้นยิ่งลงต่ำแปลว่าค่าเงินยิ่งแข็ง
เทรดตามระบบอย่างไรให้ได้กำไร
ข้อ 6 เตรียมเงินลงทุนให้เพียงพอ (ต่อ)
เมื่อวันก่อนลุงแมวน้ำคุยค้างเอาไว้ถึงข้อ 6 นั่นคือเรื่องของการเตรียมเงินลงทุนซึ่งจำเป็นต้องเตรียมให้เพียงพอ รวมทั้งต้องใช้วิธีการเทรดแบบเงินต้นสม่ำเสมอ คือเงินลงทุนต้องเท่ากันทุกครั้ง หากปล่อยให้เงินลงทุนหดลงไปเมื่อเทรดไปนานๆอาจขาดทุนจนเงินหมดได้ ดังเหตุผลที่ได้คุยกันไปแล้ว
สำหรับการเตรียมเงินลงทุนเท่าไรจึงจะเพียงพอนั้นก็แล้วแต่ว่าจะใช้หลักเกณฑ์อะไร ดังนั้นเรื่องเตรียมเงินลงทุนเท่าไรนั้นจึงไม่มีคำตอบที่ตายตัว แต่ละคนก็มีหลักเกณฑ์ต่างๆกันไป สำหรับกลุ่มที่เทรดด้วยระบบ peak and trough นั้นหากเป็นกรณีเทรดฟิวเจอร์สมักใช้หลักเกณฑ์เป็นจำนวนเท่าของ IM+MM เช่น เตรียมเงินเป็น 4 เท่าของ IM+MM เป็นต้น โดย IM นั้นคือ initial margin ส่วน MM นั้นคือ maintenance margin
ในวันนี้ลุงแมวน้ำจะขอเสนอสูตรการคำนวณเงินลงทุนโดยอิงจากหลักสถิติ ลองมาดูกัน
ตารางข้างบนนี้เป็นการคำนวณการเตรียมเงินลงทุนในหุ้นหรือกองทุนโดยขึ้นกับระดับความเสี่ยง (หรืออีกนัยหนึ่งระดับความปลอดภัย) ตามสถิติที่ผ่านมา กล่าวคือ ถ้าให้มีระดับความปลอดภัย 70% ต้องเตรียมเงินเผื่อเอาไว้ 5% ของเงินที่คิดจะลงทุนในการเทรด และหากต้องการให้มีระดับความปลอดภัย 80% ก็ต้องเตรียมเงินเผื่อเอาไว้ 6% และหากต้องการให้ปลอดภัยถึงระดับ 96% ก็ต้องเตรียมเงินเผื่อเอาไว้ 10%
ความหมายของย่อหน้าข้างบนก็คือ จากสถิติของการเทรดแล้วขาดทุนนั้น พบว่าใน 100 ครั้งที่เทรดแล้วขาดทุน จะมีอยู่ 70 ครั้งที่ขาดทุนไม่เกิน 5% ของเงินลงทุน ส่วนอีก 30 ครั้งจะขาดทุนเกินกว่า 5% และนั่นแปลว่าหากเราเตรียมเงินเผื่อเอาไว้ 5% โอกาสที่เงินจำนวนนี้จะไม่เพียงพอเพราะว่าเกิดการขาดทุนมากกว่าเงินที่เตรียมเอาไว้ยังมีอยู่ถึงร้อยละ 30
แต่หากเราเผื่อเงินเอาไว้ 6% ของเงินลงทุน ความปลอดภัยของเราจะมี 80% หมายความว่าในการเกิดสัญญาณหลอก 100 ครั้ง จะมีโอกาสขาดทุนมากกว่าเงินที่เตรียมเอาไว้ (คือ 6%) อยู่ 20 ครั้ง
แต่หากเราเผื่อเงินเอาไว้ 10% ในการขาดทุน 100 ครั้งโอกาสที่จะขาดทุนหนักจนเงินไม่พอจ่ายมีอยู่เพียง 4 ครั้งเท่านั้น
นั่นคือความหมายในเชิงสถิติ และเป็นที่มาของระดับความปลอดภัยหรือระดับความเสี่ยงของการเทรดแต่ละครั้งที่ลุงแมวน้ำพูดถึง นอกจากนี้แล้วเรายังต้องไม่ลืมว่าโอกาสเกิดสัญญาณหลอกและขาดทุนติดกันมากกว่าหนึ่งครั้งก็เป็นไปได้ จากสถิติอีกเช่นกัน เราพบว่าดัชนี SET นั้นในอดีตเคยเกิดสัญญาณหลอกได้ถึง 5 ครั้งติดกัน ดังนั้นในการเตรียมเงินเผื่อเราต้องเผื่อสำหรับการขาดทุนติดกันถึง 5 ครั้ง ไม่ใช่เพียงครั้งเดียว
ดังนั้น จากตารางข้างบน หากเราต้องการเทรดด้วยเงินลงุทน 100,000 บาท เราก็เลือกดูระดับความปลอดภัยว่าต้องการความปลอดภัยสูงเพียงใด แล้วเตรียมเงินเอาไว้ตามนั้น ซึ่งระดับความปลอดภัยที่ลุงแมวน้ำแนะนำก็คือที่ระดับ 96% หรือว่าต้องเตรียมเงินสำรองเอาไว้ในระดับ 10% ของเงินลงทุน ถ้าต่ำกว่านี้ลุงแมวน้ำไม่แนะนำอย่างยิ่ง
ที่ระดับความปลอดภัย 96% หากต้องการลงทุน 100,000 บาท ต้องเตรียมเงินเอาไว้ 150,000 บาท 100,000 บาทเอาไว้เทรด ส่วนเงินอีก 50,000 บาทสำรองเอาไว้สำหรับการขาดทุน เนื่องจากเราต้องรักษาเงินลงทุนในการเทรดให้คงที่เสมอ จะปล่อยให้ลดต่ำลงไม่ได้ หากต้องการเทรดในระดับ 500,000 บาทก็ต้องเตรียมเงินเอาไว้ 750,000 บาท
ส่วนการเทรดฟิวเจอร์สนั้น เราใช้หลักการเดียวกัน ลุงแมวน้ำคำนวณออกมาได้เป็นตารางดังนี้
การคำนวณสำหรับฟิวเจอร์สจะแตกต่างกันอยู่บ้าง เนื่องจากการคิดในระบบเปอร์เซ็นต์นั้นที่ระดับราคาหรือดัชนีต่างๆกันจะมีค่าไม่เท่ากัน สมมติเช่น การขาดทุน 10% ที่ระดับ 500 จุดก็เท่ากับขาดทุน 50 จุด แต่หากขาดทุน 10% ที่ระดับ 800 จุดจะเท่ากับ 80 จุด ดั้งนั้นการเตรียมเงินสำหรับเทรดฟิวเจอร์สต้องเปลี่ยนแปลงไปตามระดับราคาหรือดัชนีที่เปลี่ยนไปด้วย ซึ่งลุงแมวน้ำคำนวณมาให้เรียบร้อยแล้ว พร้อมกับแสดงการเตรียมเงินแบบจำนวนเท่าของ IM+MM เปรียบเทียบให้ดูด้วย
ลองมาดูตัวอย่างการอ่านตารางกัน สมมติว่าต้องการเทรดยางพารา 1 สัญญา ตอนนี้ราคา RSS3 อยู่แถวๆ 100-110 บาท ดังนั้นระดับราคาเราใช้ค่า 110 คือเอาค่ามากมาใช้ และที่ระดับความปลอดภัย 96% เราต้องเตรียมเิงินเพื่อการเทรดฟิวเจอร์ยางพารา 380,000 บาท
หรือหากจะเทรด S50 ซึ่งตอนนี้ดัชนีอยู่ที่ 600 กว่าๆ เราก็ใช้ระดับราคา 700 ดูที่ระดับความปลอดภัย 96% จะได้ว่าต้องเตรียมเงิน 525,600 บาท สำหรับการเทรด S50 1 สัญญา
จะเห็นว่าการเตรียมเงินโดยวิธีการนี้ต้องเผื่อเงินเอาไว้สูงมาก สูงกว่า 6 เท่าของ IM+MM เสียอีก ซึ่งเมื่อพิารณาดูให้ดีแล้วจำนวนเงินที่ต้องเตรียมจะเสมือนกับว่าทำให้เราไม่ได้เปรียบจากอัตราทดเลย หากเทรด S50 แล้วต้องเตรียมเงินเผื่อเอาไว้ถึงขนาดนี้ก็เท่ากับการเทรด TDEX นั่นเอง หลายคนคงสงสัยว่าถ้าเช่นนั้นจะเทรดฟิวเจอร์สไปเพื่ออะไรถ้าไม่ได้รับประโยชน์จากอัตราทด (leverage)
ประเด็นนี้เป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่งสำหรับการเทรดของมือใหม่ นั่นคือ การเตรียมเงินของระบบนี้จะมีความปลอดภัยสูง ทำให้โอกาสลงทุนเกินตัวมีน้อย และโอกาสขาดทุนจนหายนะก็มีต่ำ รวมทั้งเป็นการฝึกใจให้ควบคุมความโลภ ไม่หวังประโยชน์จนเกินควรจนลืมรักษาความปลอดภัยของตนเองเอาไว้ ซึ่งการฝึกใจให้ควบคุมความโลภได้นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะเมื่อไรที่นักลงทุนติดนิสัยโลดโผนและชอบเสี่ยงเมื่อไรมันก็ไม่ต่างจากการพนัน โอกาสพังมีสูง การแก้ไขนิสัยเหล่านั้นให้หมดไปจากใจเพื่อให้กลับมาเทรดแล้วมีกำไรจะเป็นไปได้ยากมาก
อีกประการก็คือนักลงทุนมือใหม่ที่สนใจจะลงทุนเทรดอย่างเป็นระบบนั้นควรต้องฝึกฝนความรู้ด้านเทคนิคด้วยและสะสมประสบการณ์ความชำนาญในการเทรดด้วย จึงจะหลบเลี่ยงสัญญาณหลอกได้บ้าง ซึ่งเรื่องเหล่านี้ใช้เวลานานหลายปีทีเดียว ดังนั้นในปีแรกๆมักขาดทุนจากสัญญาณหลอก เรื่องกำไรอย่าเพิ่งไปหวัง การเผื่อเงินไว้มากพอจะทำให้นักลงทุนอยู่รอดไปจนถึงปีหลังๆได้ เปรียบเหมือนกับต้นอ่อนของพืชที่มีอาหารสะสมอยู่ในใบเลี้ยงมากย่อมมีโอกาสอยู่รอดในธรรมชาติได้มากกว่าต้นอ่อนของพืชที่มีอาหารสะสมอยู่ในใบเลี้ยงน้อยนั่นเอง
Monday, September 20, 2010
Friday, September 17, 2010
16/09/2010 * เทรดตามระบบแล้วได้กำไรแน่ๆหรือไม่ (7)
วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 924.81 จุด เพิ่มขึ้น 3.71 จุด
สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ EGCO และมีสัญญาณขาย AOT, DTAC, SCB ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 37 ตัว
กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ยางญี่ปุ่น (TOCOM rubber) เกิดสัญญาณขาย แม้ยางไทย (RSS3) ยังไม่เกิดสัญญาณขายแต่ก็ใกล้มากแล้ว หากวันถัดไปราคาลงอีกก็อาจเกิดสัญญาณขายได้
ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต (Shanghai Composite Index) ของจีนเกิดสัญญาณขาย ปกติตลาดจีนจะหยุดทำการยาวเนื่องในช่วงวันชาติของจีนในตอนต้นเดือนตุลาคม ราว 7 วัน ซึ่งตลาดฟิวเจอร์สยางพาราของจีนเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่กว่าตลาดโตคอมของญี่ปุ่นเสียอีกและเป็นตลาดผู้กำหนดทิศทางราคาฟิวเจอร์สยางพารา ดังนั้นในช่วงนี้อาจต้องสังเกตดูราคาฟิวเจอร์สยางพาราเอาไว้บ้างเนื่องจากราคายางพาราอาจมีการเปลี่ยนแปลงอันเนื่องมาจากการทิ้งทวนก่อนวันหยุดยาวก็เป็นได้ และช่วงที่ตลาดจีนหยุดราคายางพาราคงไม่ไปไหนไกลเนื่องจากต้องรอให้ตลาดจีนเปิดเสียก่อน
เทรดตามระบบอย่างไรให้ได้กำไร
วันก่อนเราดูเทคนิคการเทรดตามระบบอย่างไรให้ได้กำไรไปแล้ว 3 ข้อ วันนี้เรามาดูกันต่อ
ข้อ 4 เทรดเฉพาะด้านลองหรือว่าซื้อก่อนขายทีหลัง
เทรดเฉพาะด้านลองหรือว่าซื้อก่อนขายทีหลังก็เหมือนกับการเทรดหุ้นนั่นเอง ที่แนะนำเช่นนี้เพราะจากสถิติพบว่าการเทรดด้านลองมีโอกาสได้กำไรมากกว่าการเทรดด้านชอร์ต ดังนั้นการเทรดด้านลองจะปลอดภัยกว่าบ้าง แต่นั่นก็หมายความว่าต้องเทรดด้านลองในช่วงตลาดขาขึ้นเท่านั้น หากอยู่ในคลื่น A-B-C การเทรดด้านลองก็ขาดทุนเพราะมักเป็นสัญญาณหลอก แต่คำถามที่ตามมาก็คือว่าถ้าจะให้เทรดด้านลองในตลาดขาขึ้นแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อไรเป็นตลาดขาขึ้น คำตอบอยู่ในข้อถัดไป
ข้อ 5 ควรมีความรู้ด้านการวิเคราะห์ทางเทคนิคพอสมควร
ในการเทรดหุ้นหรือฟิวเจอร์สตามระบบนั้นนักลงทุนควรมีความรู้ด้านการวิเคราะห์ทางเทคนิคบ้าง การที่ไม่รู้อะไรเลยทางเทคนิคจะทำให้เราเลี่ยงสัญญาณหลอกไม่ได้ซึ่งทำให้โอกาสที่จะได้กำไรลดลงไป (หรืออาจถึงขาดทุนได้) ความรู้ที่ควรมีก็คือรู้เกี่ยวกับทฤษฎีคลื่นของอีเลียต สามารถนับคลื่นรูปแบบง่ายๆได้ รู้จักการใช้อินดิเคเตอร์ (indicator) เพื่อแยกแยะภาวะแนวโน้มขาขึ้น ขาลง หรือว่าไร้ทิศทางได้ เป็นต้น ซึ่งความรู้ทางเทคนิคนั้นนักลงทุนแต่ละคนจะมีความถนัดและความสามารถไม่เท่ากัน เปรียบเหมือนนักเรียนที่เรียนในชั้นเดียวกัน ครูอาจารย์ชุดเดียวกัน แต่ผลการเรียนของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน ทั้งนี้ ก็เนื่องจากความแตกต่างระหว่างบุคคลและการฝึกฝนนั่นเอง ดังนั้นนักลงทุนที่เทรดตามระบบซึ่งศึกษาด้านเทคนิคด้วยแต่ความรู้ความเข้าใจอาจไม่เท่ากันและฝีมือในการหลบเลี่ยงสัญญาณหลอกอาจไม่เท่ากัน ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถึงอย่างไรศึกษาเอาไว้บ้างก็จะเป็นประโยชน์
ข้อ 6 เตรียมเงินลงทุนให้เพียงพอ
เรื่องจำเป็นอีกประการหนึ่งในการเทรดอย่างเป็นระบบ นั่นก็คือ การเตรียมเงินลงทุน ปกติหลักการเทรดอย่างเป็นระบบนั้นต้องเทรดด้วยเงินลงทุนที่เสมอต้นเสมอปลาย สมมติว่าจะลงทุน 100,000 บาทก็ต้องลงทุน 100,000 บาทในทุกรอบของสัญญาณซื้อขายที่เกิดขึ้น ถึงแม้จะได้กำไรหรือถึงแม้จะขาดทุนจากสัญญาณหลอก เมื่อเกิดสัญญาณในครั้งถัดไปก็ต้องลงทุนด้วยเงินจำนวนเท่าเดิมเสมอ
จากหลักการดังกล่าว นั่นหมายความว่านักลงทุนต้องเตรียมเงินต่างหากเอาไว้จำนวนหนึ่งเืพื่อสำรองสำหรับการขาดทุน เพราะหากคิดลงทุน 100,000 บาทและมีเงินเพียง 100,000 บาท หากเทรดแล้วขาดทุนในครั้งแรกๆ เงินลงทุนจะหดหายไป เมื่อถึงคราวได้กำไรยาวๆก็จะกลายเป็นได้มาไม่คุ้มกับที่ขาดทุนไป ข้อนี้มีความสำคัญ ลองมาดูตัวอย่างกันก่อนเพื่อความเข้าใจ
สมมติว่าเตรียมเงินเพื่อการเทรดหุ้นเอาไว้ 100,000 บาท และสมติว่าเจอสัญญาณหลอกขาดทุนครั้งละ 10% เป็นจำนวน 3 ครั้งติดกัน หลังจากนั้นจึงจะได้กำไรยาว 30% เป็นจำนวน 1 ครั้ง ลองมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เืพื่อให้คำนวณง่ายลุงแมวน้ำขอสมมติว่าไม่คิดค่าคอมมิชชัน
เงิน 100,000 บาท เทรดครั้งแรกขาดทุน 10% ดังนั้นจะเสียเงินไป 10,000 บาท เหลือเงินเอาไว้เทรดในครั้งต่อไป 90,000 บาท บาท
เงิน 90,000 บาท เทรดแล้วขาดทุนอีก 10% ดังนั้นเสียเงินไปอีก 9,000 บาท เหลือเงินเอาไว้เทรดในครั้งต่อไป 81,000 บาท
เงิน 81,000 บาท เทรดแล้วขาดทุนอีก 10% ดังนั้นเสียเงินไปอีก 8,100 บาท เหลือเงินเอาไว้เทรดในครั้งต่อไป 72,900 บาท
เงิน 72,900 บาท เืทรดแล้วได้กำไร 30% เท่ากับได้ทุนบวกกำไรมาเป็นเงิน 94,770 บาท
สรุปว่าขาดทุน 3 ครั้ง กำไร 1 ครั้ง รวมแล้วยังขาดทุนอยู่ 5,230 บาท (จากเงินตั้งต้น 100,000 บาท)
คราวนี้ลองมาดูกันใหม่ สมมติว่าเราเตรียมเงินเอาไว้จำนวนหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะขาดทุนแต่ก็เอาเงินสำรองนี้มาเติม ทำให้ในรอบถัดไปเงินที่เข้าเทรดยังเป็น 100,000 บาทเสมอ ผลจะเป็นดังนี้
เงินลงทุนครั้งละ 100,000 บาท ขาดทุน 3 ครั้ง ครั้งละ 10,000 บาท รวมแล้วขาดทุน 30,000 บาท
เทรดครั้งต่อมา (ครั้งที่ 4) ก็ใช้เงิน 100,000 บาท ครั้งนี้ได้กำไร 30% เป็นเงิน 30,000 บาท
สรุปว่าขาดทุน 30,000 บาท กำไร 30,000 บาท รวมแล้วเท่าทุน
ดังนั้นจะเห็นว่าทุนที่สม่ำเสมอนั้นมีความสำคัญ เพราะหากขาดทุนแล้วเงินต้นที่เข้าเทรดลดลง ถึงคราวที่ได้กำไรจะได้กำไรน้อยเพราะทุนหดหายไป
ถ้าเช่นนั้นควรจัดเตรียมเงินลงทุนอย่างไรจึงจะเหมาะสม
(โปรดอ่านต่อในวันถัดไป)
สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ EGCO และมีสัญญาณขาย AOT, DTAC, SCB ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 37 ตัว
กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ยางญี่ปุ่น (TOCOM rubber) เกิดสัญญาณขาย แม้ยางไทย (RSS3) ยังไม่เกิดสัญญาณขายแต่ก็ใกล้มากแล้ว หากวันถัดไปราคาลงอีกก็อาจเกิดสัญญาณขายได้
ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต (Shanghai Composite Index) ของจีนเกิดสัญญาณขาย ปกติตลาดจีนจะหยุดทำการยาวเนื่องในช่วงวันชาติของจีนในตอนต้นเดือนตุลาคม ราว 7 วัน ซึ่งตลาดฟิวเจอร์สยางพาราของจีนเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่กว่าตลาดโตคอมของญี่ปุ่นเสียอีกและเป็นตลาดผู้กำหนดทิศทางราคาฟิวเจอร์สยางพารา ดังนั้นในช่วงนี้อาจต้องสังเกตดูราคาฟิวเจอร์สยางพาราเอาไว้บ้างเนื่องจากราคายางพาราอาจมีการเปลี่ยนแปลงอันเนื่องมาจากการทิ้งทวนก่อนวันหยุดยาวก็เป็นได้ และช่วงที่ตลาดจีนหยุดราคายางพาราคงไม่ไปไหนไกลเนื่องจากต้องรอให้ตลาดจีนเปิดเสียก่อน
เทรดตามระบบอย่างไรให้ได้กำไร
วันก่อนเราดูเทคนิคการเทรดตามระบบอย่างไรให้ได้กำไรไปแล้ว 3 ข้อ วันนี้เรามาดูกันต่อ
ข้อ 4 เทรดเฉพาะด้านลองหรือว่าซื้อก่อนขายทีหลัง
เทรดเฉพาะด้านลองหรือว่าซื้อก่อนขายทีหลังก็เหมือนกับการเทรดหุ้นนั่นเอง ที่แนะนำเช่นนี้เพราะจากสถิติพบว่าการเทรดด้านลองมีโอกาสได้กำไรมากกว่าการเทรดด้านชอร์ต ดังนั้นการเทรดด้านลองจะปลอดภัยกว่าบ้าง แต่นั่นก็หมายความว่าต้องเทรดด้านลองในช่วงตลาดขาขึ้นเท่านั้น หากอยู่ในคลื่น A-B-C การเทรดด้านลองก็ขาดทุนเพราะมักเป็นสัญญาณหลอก แต่คำถามที่ตามมาก็คือว่าถ้าจะให้เทรดด้านลองในตลาดขาขึ้นแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อไรเป็นตลาดขาขึ้น คำตอบอยู่ในข้อถัดไป
ข้อ 5 ควรมีความรู้ด้านการวิเคราะห์ทางเทคนิคพอสมควร
ในการเทรดหุ้นหรือฟิวเจอร์สตามระบบนั้นนักลงทุนควรมีความรู้ด้านการวิเคราะห์ทางเทคนิคบ้าง การที่ไม่รู้อะไรเลยทางเทคนิคจะทำให้เราเลี่ยงสัญญาณหลอกไม่ได้ซึ่งทำให้โอกาสที่จะได้กำไรลดลงไป (หรืออาจถึงขาดทุนได้) ความรู้ที่ควรมีก็คือรู้เกี่ยวกับทฤษฎีคลื่นของอีเลียต สามารถนับคลื่นรูปแบบง่ายๆได้ รู้จักการใช้อินดิเคเตอร์ (indicator) เพื่อแยกแยะภาวะแนวโน้มขาขึ้น ขาลง หรือว่าไร้ทิศทางได้ เป็นต้น ซึ่งความรู้ทางเทคนิคนั้นนักลงทุนแต่ละคนจะมีความถนัดและความสามารถไม่เท่ากัน เปรียบเหมือนนักเรียนที่เรียนในชั้นเดียวกัน ครูอาจารย์ชุดเดียวกัน แต่ผลการเรียนของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน ทั้งนี้ ก็เนื่องจากความแตกต่างระหว่างบุคคลและการฝึกฝนนั่นเอง ดังนั้นนักลงทุนที่เทรดตามระบบซึ่งศึกษาด้านเทคนิคด้วยแต่ความรู้ความเข้าใจอาจไม่เท่ากันและฝีมือในการหลบเลี่ยงสัญญาณหลอกอาจไม่เท่ากัน ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถึงอย่างไรศึกษาเอาไว้บ้างก็จะเป็นประโยชน์
ข้อ 6 เตรียมเงินลงทุนให้เพียงพอ
เรื่องจำเป็นอีกประการหนึ่งในการเทรดอย่างเป็นระบบ นั่นก็คือ การเตรียมเงินลงทุน ปกติหลักการเทรดอย่างเป็นระบบนั้นต้องเทรดด้วยเงินลงทุนที่เสมอต้นเสมอปลาย สมมติว่าจะลงทุน 100,000 บาทก็ต้องลงทุน 100,000 บาทในทุกรอบของสัญญาณซื้อขายที่เกิดขึ้น ถึงแม้จะได้กำไรหรือถึงแม้จะขาดทุนจากสัญญาณหลอก เมื่อเกิดสัญญาณในครั้งถัดไปก็ต้องลงทุนด้วยเงินจำนวนเท่าเดิมเสมอ
จากหลักการดังกล่าว นั่นหมายความว่านักลงทุนต้องเตรียมเงินต่างหากเอาไว้จำนวนหนึ่งเืพื่อสำรองสำหรับการขาดทุน เพราะหากคิดลงทุน 100,000 บาทและมีเงินเพียง 100,000 บาท หากเทรดแล้วขาดทุนในครั้งแรกๆ เงินลงทุนจะหดหายไป เมื่อถึงคราวได้กำไรยาวๆก็จะกลายเป็นได้มาไม่คุ้มกับที่ขาดทุนไป ข้อนี้มีความสำคัญ ลองมาดูตัวอย่างกันก่อนเพื่อความเข้าใจ
สมมติว่าเตรียมเงินเพื่อการเทรดหุ้นเอาไว้ 100,000 บาท และสมติว่าเจอสัญญาณหลอกขาดทุนครั้งละ 10% เป็นจำนวน 3 ครั้งติดกัน หลังจากนั้นจึงจะได้กำไรยาว 30% เป็นจำนวน 1 ครั้ง ลองมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เืพื่อให้คำนวณง่ายลุงแมวน้ำขอสมมติว่าไม่คิดค่าคอมมิชชัน
เงิน 100,000 บาท เทรดครั้งแรกขาดทุน 10% ดังนั้นจะเสียเงินไป 10,000 บาท เหลือเงินเอาไว้เทรดในครั้งต่อไป 90,000 บาท บาท
เงิน 90,000 บาท เทรดแล้วขาดทุนอีก 10% ดังนั้นเสียเงินไปอีก 9,000 บาท เหลือเงินเอาไว้เทรดในครั้งต่อไป 81,000 บาท
เงิน 81,000 บาท เทรดแล้วขาดทุนอีก 10% ดังนั้นเสียเงินไปอีก 8,100 บาท เหลือเงินเอาไว้เทรดในครั้งต่อไป 72,900 บาท
เงิน 72,900 บาท เืทรดแล้วได้กำไร 30% เท่ากับได้ทุนบวกกำไรมาเป็นเงิน 94,770 บาท
สรุปว่าขาดทุน 3 ครั้ง กำไร 1 ครั้ง รวมแล้วยังขาดทุนอยู่ 5,230 บาท (จากเงินตั้งต้น 100,000 บาท)
คราวนี้ลองมาดูกันใหม่ สมมติว่าเราเตรียมเงินเอาไว้จำนวนหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะขาดทุนแต่ก็เอาเงินสำรองนี้มาเติม ทำให้ในรอบถัดไปเงินที่เข้าเทรดยังเป็น 100,000 บาทเสมอ ผลจะเป็นดังนี้
เงินลงทุนครั้งละ 100,000 บาท ขาดทุน 3 ครั้ง ครั้งละ 10,000 บาท รวมแล้วขาดทุน 30,000 บาท
เทรดครั้งต่อมา (ครั้งที่ 4) ก็ใช้เงิน 100,000 บาท ครั้งนี้ได้กำไร 30% เป็นเงิน 30,000 บาท
สรุปว่าขาดทุน 30,000 บาท กำไร 30,000 บาท รวมแล้วเท่าทุน
ดังนั้นจะเห็นว่าทุนที่สม่ำเสมอนั้นมีความสำคัญ เพราะหากขาดทุนแล้วเงินต้นที่เข้าเทรดลดลง ถึงคราวที่ได้กำไรจะได้กำไรน้อยเพราะทุนหดหายไป
ถ้าเช่นนั้นควรจัดเตรียมเงินลงทุนอย่างไรจึงจะเหมาะสม
(โปรดอ่านต่อในวันถัดไป)
Subscribe to:
Posts (Atom)