Tuesday, January 5, 2010

04/01/2010 * CL, RSS, DX, GC, GF

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 732.28 จุด ลดลง 2.26 จุด

เนื่องจากดัชนี SET50 มีการจัดหุ้นใหม่ทุกรอบ 6 เดือน ดังนั้นในรอบ 6 เดือนปัจจุบัน (มกราคมถึงมิถุนายน 2553) นี้จึงมีการเปลี่ยนแปลงตัวหุ้นที่เป็นองค์ประกอบของ SET50 ให้แตกต่างไปจากรอบหกเดือนที่แล้ว ดังนี้

- หุ้นที่ถอนออกไป ได้แก่ CCET, CPI, ITD, MBK
- หุ้มที่เพิ่มเข้ามา BCP, CPF, QH, TRUE

รายงานตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจะเป็นการรายงานตัวหุ้นตามองค์ประกอบของ SET50 ในรอบหกเดือนนี้

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 โปรแกรมของลุงแมวน้ำวันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวม 45 ตัว

สำหรับกลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณซื้อถั่วเหลือง (S) จึงเปิดสัญญาซื้อไปหนึ่งสัญญา ในบรรดาสินค้าเกษตรและโภคภัณฑ์ที่สำคัญล้วนแต่เกิดสัญญาณซื้อกันไปหมดแล้ว คงมีแต่ทองคำที่เป็นสัญญาณขายอยู่

กลุ่มดัชนีตลาดต่างประเทศ ดัชนีตลาดต่างประเทศที่สำคัญล้วนแต่เกิดสัญญาณซื้อไปหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน สิงคโปร์ อินเดีย อังกฤษ เยอรมนี และสหรัฐอเมริกา คงเหลือแต่ตลาดจีนกับหั่งเส็ง (ฮ่องกง) ที่ยังไเป็นสัญญาณขายอยู่ แสดงให้เห็นว่าแนวโน้มของทิศทางตลาดโลกยังเป็นขาขึ้นอยู่

วันนี้ลุงแมวน้ำขอสรุปและมองทิศทางในปีนี้ของฟิวเจอร์สในพอร์ตจำลองของลุงแมวน้ำ ต่อจากเมื่อวานที่ดูดัชนีของตลาดต่างๆกันไปแล้ว

น้ำมันดิบ CL

มาเริ่มกันที่น้ำมันดิบก่อน ภาพรวมของน้ำมันดิบในปีที่ผ่านมา 2009 อยู่ในคลื่น 1 และ 2 (สีน้ำตาล) จากนั้นก็เข้าสู่คลื่น 3 และคาดว่าปัจจุบันน่าจะยังอยู่ในคลื่น 3 ซึ่งในวันนี้เอง ราคาฟิวเจอร์สน้ำมันดิบทำสถิติสูงสุดใหม่ (new high) นับจากปี 2009 ที่ผ่านมา และลุงแมวน้ำประเมินว่าคลื่น 3 นี้น่าจะไปได้ไกลเกินกว่า 98 ดอลลาร์ต่อบาเรล ตามภาพต่อไปนี้



ยางพารา RSS3

เมื่อน้ำมันดิบอยู่ในภาวะ uptrend ราคายางพาราก็มักขึ้นตามไปด้วย เพราะว่ายางพาราเป็นสินค้าที่ทดแทนผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีได้ในบางอย่าง เดิมทีลุงแมวน้ำนับคลื่นและประเมินว่าคลื่น 3 (สีน้ำตาล) น่าจะจบไปแล้วตั้งแต่กลางเดือนธันวาคม 2009 แต่จากราคาในวันนี้ที่ทะลุ 100 บาท/กก. เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าที่นับคลื่นเอาไว้เดิมนั้นผิด เพราะแสดงว่าคลื่น 3 (สีน้ำตาล) ยังไม่จบ ดังนั้นจึงต้องนับคลื่นใหม่ ได้มาเป็นภาพต่อไปนี้



คลื่น 3 นี้จะจบที่ใดยังบอกได้ยาก แต่ว่าถ้าผ่าน 110 บาทไปได้และเมื่อมองว่าคลื่น 3 ของน้ำมันดิบอาจไปได้เกินกว่า 98 ดอลลาร์ ทำให้คาดว่ายางพาราอาจไปได้ถึง 145 บาท

ดัชนีดอลลาร์ สรอ (US dollar index)

จากรูปข้างล่าง ขณะนี้ยังไม่แน่ใจว่าดัชนีดอลลาร์ สรอ จบคลื่น A หรือว่าจบคลื่น C ไปแล้วกันแน่ ถ้าจบ A แล้ว ตอนนี้ก็กำลังอยู่ในคลื่น B แต่ถ้าจบ C ไปแล้ว ตอนนี้ก็กำลังอยู่ในคลื่น 1 แต่ไม่ว่าเราจะอยู่ในคลื่น B หรือ 1 อย่างน้อยก็รู้ได้ว่าขณะนี้เรากำลังอยู่ในคลื่นขาขึ้นแน่



เมื่อเป็นคลื่นขาขึ้น ขณะนี้เราน่าจะอยู่ในระยะคลื่นย่อย 1-2 (สีม่วง) อยู่ ซึ่งดัชนีดอลลาร์ สรอ จะมีผลต่อราคาทองคำ

ทองคำ (GC)

จากภาพต่อไปนี้ และจากที่เราเคยคุยกับไปหลายครั้งแล้วในเรื่องทองคำ ลุงแมวน้ำมองว่าขณะนี้เราอยู่ในคลื่น 4 (สีน้ำตาล) ของคลื่น 5 (สีน้ำเงิน) อันเป็นคลื่นลูกสุดท้ายของคลื่นขาขึ้น



ขณะนี้คาดว่าทองคำยังไม่จบคลื่น 4 (สีน้ำตาล) อีกไม่นานคงลงมาต่ำกว่า 1,100 ดอลลาร์อีก

เรื่องของทองคำเป็นเรื่องของของมีค่าที่มนุษย์อุปโลกน์กันขึ้นมา ดังนั้นจึงไม่มีปัจจัยพื้นฐานหรือว่า fundamental ใดๆให้วิเคราะห์เหมือนหุ้นของบริษัทจดทะเบียน ดังนั้นทางที่ดีที่สุดในการประเมินทองคำจึงน่าจะเป็นการวิเคราะห์ทางเทคนิค

ขณะนี้นักวิเคราะห์หลายๆสำนัก รวมทั้งผู้ค้าทอง ต่างก็มองทองคำเป็นทิศทางเดียวกันคือเป็นขาขึ้น บางรายคาดการณ์ว่าจะถึง 1,300 ดอลลาร์/ออนซ์ บางรายคาดไปถึง 1,500 ดอลลาร์ หรือมากกว่ากว่านั้นด้วยซ้ำ

ในมุมมองของลุงแมวน้ำ จากการพิจารณาทางเทคนิคของดัชนีดอลลาร์ สรอ ประกอบ ลุงแมวน้ำคาดว่าเมื่อไรที่ดัชนีดอลลาร์ สรอ จบคลื่น 2 (สีม่วง) ก็คือเวลาที่ทองคำจบคลื่น 5 (สีน้ำเงิน และสีน้ำตาล) คาดว่าไม่น่าไปได้เกิน 1,310 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งเมื่อดัชนีดอลลาร์ สรอ เข้าสู่คลื่น 3 (สีม่วง) ก็น่าจะเป็นเวลาที่ทองคำอยู่ในคลื่นขาลง A-B-C ลุงแมวน้ำยังไม่ได้มองไปไกลถึงขนาดคนอื่นๆ ขอมองระดับราคาแค่นี้ก่อน และถ้าเป็นเช่นนี้จริง ทองคำเมื่อจบคลื่น 5 แล้วจะร่วงยาว นักลงทุนควรพิจารณาเปิดพอร์ตฟิวเจอร์สเพื่อลงทุนในการชอร์ตหรือเปิดสัญญาขายอันเป็นการเทรดทองคำในช่วงตลาดขาลง

วันนี้ดูกันเพียงเท่านี้ก่อน ส่วนฟิวเจอร์สอื่นๆจะทยอยนำมาสรุปต่อไป

Sunday, January 3, 2010

30/12/2009 * DJI, HSKI, NIX, BSESN, SSECI, DAX, SET

วันนี้เป็นวันเทรดวันสุดท้ายของปี นอกจากการอัปเดตข้อมูลรายวันแล้วลุงแมวน้ำจะลองสรุปการลงทุนในรอบปี รวมทั้งสรุปทิศทางและแนวโน้มของตลาดโลกไปด้วย

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 734.54 จุด ลดลง 7.62 จุด วันนี้ตลาดสำคัญทั่วโลกไปกันคนละทาง ขึ้นก็มี ลงก็มี

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 โปรแกรมของลุงแมวน้ำวันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวม 44 ตัว

สำหรับกลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

กลุ่มดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้มีไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ลองมาดูฟิวเจอร์สหรือว่าผลิตภัณฑ์ที่ลุงแมวน้ำเทรดอยู่ในพอร์ตจำลองกันว่าในรอบปีที่ผ่านมาแต่ละตัวเป็นอย่างไร ที่จริงดูในรายงานก็มีสรุปให้ทุกวันอยู่แล้ว แต่วันนี้จะขอหยิบมาจัดลำดับและแสดงความเห็นเพิ่มเติมด้วย

ในบรรดาฟิวเจอร์ส์ทั้งหมด 9 ตัวที่อยู่ในพอร์ตจำลอง ระยะเวลาที่เริ่มเทรดคือต้นปี 2009 ใกล้เคียงกัน จะได้เปรียบเทียบกันได้ง่าย

ฟิวเจอร์สที่ทำกำไรได้มากที่สุดไม่ใช่สินค้าของนอกที่ไหน ยางพารา RSS ของตลาด AFET ไทยเรานี่เอง ทำกำไรได้มากถึง 782% เมื่อเทียบกับ initial margin ที่วางไปในตอนเริ่มต้น รูปแบบราคาของยางพาราแกว่งตัวรุนแรง บางทีติดซีลลิงหรือติดฟลอร์ 2-3 วันกว่าจะปิดสัญญาออกมาได้ เมื่ออยู่ในคลื่น 2 กับคลื่น 4 จะคืนกำไรไปได้มาก สร้างความอกสั่นขวัญแขวนแก่นักลงทุน แต่เมื่อถึงเวลาที่อยู่ในคลื่น 3 ก็ทำกำไรได้แรงมากเช่นกัน หากเทรดในระบบตามใจฉันหรือว่าไม่มีระบบมีแต่พังกับพัง แต่หากเทรดอย่างมีระบบก็จะมีกำไรได้ รวมแล้วกำไรมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งในพอร์ตจำลองของลุงแมวน้ำ

สำหรับยางพารา RSS3 นั้นหากไม่มีระบบไม่แนะนำให้เล่น เพราะโอกาสพังยับเยินสูงมาก หากมีระบบก็เทรดได้แต่กำไรจะมากน้อยขึ้นกับระบบที่ใช้ น่าเสียดายที่ตลาด AFET ของเรายังเล็กมากอยู่ทั้งๆที่ให้ผลตอบแทนดี นอกจากนี้ ขณะนี้น่าจะยังไม่จบคลื่น 3 ยังมีโอกาสทำกำไรต่อไปได้เรื่อยๆอีก

ฟิวเจอร์สที่ทำกำไรดีในลำดับรองลงมาคือ ดัชนีดอลลาร์ สรอ (US dollar index, DX) ทำกำไรได้ถึง 717% เมื่อเทียบกับ IM เป็นความบังเอิญด้วย เพราะว่าในปีนี้ (2009) DX อยู่ในตลาดขาลงตลอดทั้งปี ก็เลยทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ เพราะอันที่จริงการเก็งกำไรค่าเงินทำกำไรได้ยากมาก โอกาสขาดทุนสูง แม้มีระบบก็ยังมีโอกาสขาดทุน

ฟิวเจอร์สตัวที่ทำกำไรอันดับ 3 คือ น้ำตาล SB ได้กำไรถึง 654% เมื่อเทียบกับ IM ขณะนี้ทำ all time high หรือว่าทำสถิติราคาสูงสุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในอดีตไปเรียบร้อยแล้วและมีแนวโน้มว่าจะขึ้นต่อไปและทำสถิติใหม่ๆต่อไปได้อีก

ทางด้านฟิวเจอร์สยอดแย่ของพอร์ตจำลองของลุงแมวน้ำก็คือน้ำมันดิบ CL แกว่งตัวรุนแรง ได้กำไรมาก็คืนไปหมด รวมแล้วยังขาดทุนอยู่ แต่นี่ก็เป็นจังหวะเหมือนกัน เพราะว่าเมื่อวิเคราะห์จากกราฟแล้วตลอดปี 2009 ที่ผ่านมาเราน่าจะใช้เวลาอยู่ใน reactive wave เสียมาก แต่ต่อไปน่าจะทำกำไรได้ดีเช่นเดียวกับตัวอื่นๆ

ที่เหลือที่จะกล่าวต่อไปข้างล่างนี้ก็เป็นฟิวเจอร์สที่ทำกำไรได้ดีในอันดับรองลงมา กลุ่มนี้ที่จริงเป็นกลุ่มที่น่าเทรด เพราะว่าราคาไม่แกว่งตัวรุนแรง เทรดแล้วไม่ต้องอกสั่นขวัญแขวนมากนัก แต่อย่างไรก็ดี ยังต้องอาศัยการเทรดอย่างมีระบบเช่นกัน ถ้าหากเทรดแบบตามใจฉันก็คงพังเหมือนกัน

S50 หรือฟิวเจอร์สของ SET50 ได้กำไร 264% เมื่อเทียบกับ IM ได้กำไรระดับนี้ก็หรูแล้ว

ทองคำ (GC, GF) แกว่งตัวรุนแรง คืนกำไรไปมาก แต่ก็ัยังเหลือกำไรเอาไว้ถึง 227% สำหรับ GC

โปรดสังเกตว่าฟิวเจอร์สที่อยู่ในพอร์ตจำลองของลุงแมวน้ำมีทั้งฟิวเจอร์สของดัชนี สินค้าเกษตร และโภคภัณฑ์ แต่ไม่มีฟิวเจอร์สของหุ้นหรือที่เรียกว่า single stock futures เลย

พูดถึงเรื่องฟิวเจอร์สของหุ้น ที่จริงก็อยากจะนำฟิวเจอร์สของหุ้นไทยบางตัวเข้ามาอยู่ในพอร์ตจำลองอยู่เหมือนกัน แต่เนื่องจากฟิวเจอร์สหุ้นของบ้านเรายังอยู่ในระยะเริ่มต้น ตลาดยังเล็กมาก ปริมาณซื้อขายน้อย ทำให้ราคานิ่งหรือไม่ก็แกว่งตัวแรงไปเลย อีกทั้งเทรดไปแล้วอาจติดหรือว่าออกไม่ได้ หรือว่าออกได้ก็ขาดทุนหนักเพราะเสียราคาไปมาก ฯลฯ ก็เลยยังไม่คิดเทรดในตอนนี้ รอให้ผ่านไปอีกสักระยะ มีปริมาณซื้อขายมากพอ ก็จะลองนำเข้ามาเทรดในพอร์ตจำลองดู ส่วนทองคำนั้นแม้เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่เช่นกัน แต่ปริมาณซื้อขายมีมากพอ ลุงแมวน้ำจึงนำเข้ามาในพอร์ตจำลองได้เร็ว

ทีนี้มาดูสรุปดัชนีตลาดสำคัญของโลกในรอบปีกันบ้าง

ดัชนีดาวโจนส์

เริ่มกันที่ดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jones index, DJI) จากภาพข้างล่างนี้ DJI อยู่ในคลื่น B สีน้ำเงิน แต่ถ้าในระดับคลื่นที่ย่อยลงมาก็จะอยู่ในคลื่น 3 (สีน้ำตาล) ซึ่งขณะนี้ดูรูปการณ์แล้วยังไม่น่าจะจบคลื่น B ในเร็ววันนี้ ดังนั้นเทรดตามไปเรื่อยๆก่อนได้ คาดว่าคลื่น B น่าจะไปต่อได้ไม่เกินดัชนี 12,500 จุด หลังจากนั้นจะเข้าสู่คลื่น C (สีน้ำเงิน)



เนื่องจากดัชนีดาวโจนส์เป็นตัวบ่งชี้สภาพเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาได้ และเศรษฐกิจของ สรอ เป็นตัวบ่งชี้เศรษฐกิจของโลกได้ ดังนั้น DJI จึงเท่ากับเป็นดัชนีที่บ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจของโลกได้ด้วย

หากถามว่าทำไมลุงแมวน้ำจึงมองว่าตอนนี้ DJI อยู่ในคลื่น B ทั้งๆที่เศรษฐกิจของโลกก็ดูเหมือนจะฟื้นตัวแล้ว ภาวะถดถอยที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาน่าจะหมดไปแล้ว ดังนั้นเราน่าจะจบคลื่น C ไปแล้วมากกว่า ขณะนี้น่าจะกำลังอยู่ในคลื่น 1 (ระดับสีน้ำเงิน)

คำตอบก็คือ ลุงแมวน้ำพิจารณาไปตามรูปแบบของคลื่น ดูแล้วน่าจะเป็นรูปแบบที่อยู่ในคลื่น B มากกว่า และเหตุผลประกอบอื่นๆของลุงแมวน้ำก็คือ ลุงแมวน้ำมองว่าเศรษฐกิจของ สรอ อาจจะยังไม่ฟื้นจริงๆก็ได้ ทั้งนี้ เนื่องจากพิษร้ายของตราสารทางการเงินในโลกยุคใหม่ที่มีความสลับซับซ้อนจนคำนวณมูลค่ากันไม่ถูก อย่างเช่นพวก CDO ยังไม่น่าจะหมดพิษร้ายไป เท่าที่ผ่านมาเป็นเพียงแค่การกวาดขยะไปไว้ใต้พรมเท่านั้น หากเป็นไปตามสมมติฐานนี้ก็เข้าเค้ากับรูปแบบของคลื่น เพราะตอนนี้กวาดขยะไปไว้ใต้พรม อะไรๆเลยดูเหมือนจะเรียบร้อย โลกก็เข้าสู่คลื่น B และเมื่อไรที่เปิดพรมออกมา โลกก็เข้าสู่คลื่น C ต่อไป ซึ่งคาดว่าภายในปี 2010 นี้น่าจะจบคลลื่น B หรืออย่างช้าก็ปี 2011

ดัชนี DAX ของเยอรมนี ดูภาพข้างล่าง ลุงแมวน้ำใช้ DAX เป็นตัวแทนของตลาดในกลุ่มสหภาพยุโรป ซึ่งอาจไม่ใช่ตัวแทนที่ดีนักแต่ว่าก็พอดูเป็นแนวทางได้ ดัชนี DAX น่าจะยังอยู่ในคลื่น B เช่นกัน


ดัชนีหั่งเส็ง

ดัชนีหั่งเส็งของฮ่องกง (HSKI) จากภาพข้างล่าง ก็น่าจะอยู่ในคลื่น B (สีน้ำเงิน) เช่นกัน แต่ในระดับคลื่นที่ย่อยลงมาคือระดับสีน้ำตาล น่าจะอยู่ในคลื่น 3 แต่ว่าปัญหาก็คือ คลื่น B นี้มีเพียง 3 คลื่นย่อย ถ้าเช่นนั้นการจบคลื่น 3 (สีน้ำตาล) หมายถึงการจบคลื่น B หรือยัง เพราะคลื่นระดับสีน้ำตาลอาจเป็นเพียงคลื่นย่อยของคลื่นย่อยอีกทีก็ได้ ความยากของการนับคลื่นจึงอยู่ที่ตรงนี้เอง เพราะว่าการจำแนกคลื่นใหญ่คลื่นย่อยบางทีก็ไม่ง่าย ต้องรอให้ความจริงเป็นเครื่องพิสูจน์


ดัชนีนิกเกอิ

ดัชนีนิกเกอิ (NIKKEI, NIX) ของญี่ปุ่น ดูภาพข้างล่าง จะเห็นว่ารูปแบบกราฟของดัชนีนิกเกอินี้แตกต่างจาก DJI, HSKI และดัชนีประเทศอื่นๆซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับ DJI แต่ทว่าดัชนี NIX นี้แสดงอาการถดถอยจบคลื่น 5 ใหญ่มาตั้งแต่ปี 1990 แล้ว รูปกราฟหน้าตาประหลาด จบคลื่น 5 แล้วยังนับ A-B-C ไม่ค่อยถูก คงต้องดูกันไปก่อน


ดัชนีตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้

ตลาดจีน เราใช้ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ (SSECI) เป็นตัวแทนของตลาดประเทศจีน ความเก่าแก่ยังไม่เท่าตลาดหลักทรัพย์ของประเทศอื่นๆ แต่เป็นตลาดเกิดใหม่ที่น่าสนใจ เพราะโอกาสที่ดัชนีจะเติบโตยังมีอีกมาก เนื่องจากเมื่อมองในระดับคลื่นยักษ์แล้วตลาดจีนยังเพิ่งอยู่ในขั้นคลื่น 1-2 เท่านั้นเอง


ดัชนีตลาดหุ้มมุมไบ

ดัชนีตลาดหุ้นมุมไบ (BSE SENSEX ตัวย่อคือ BSESN) กราฟของตลาดอินเดียนับคลื่นได้ง่ายกว่าของตลาดเซี่ยงไฮ้ จะเห็นว่าในระดับคลื่นยักษ์ ตลาดอินเดียอยู่ในคลื่น 3 ซึ่งเป็นคลื่นขาขึ้นที่มีโอกาสทำกำไรได้มาก น่าสนใจกว่าตลาดจีนเสียอีก นักลงทุนที่มองการณ์ไกลอาจมองช่องทางการลงทุนในตลาดอินเดียเอาไว้บ้าง เช่น กองทุนในบ้านเราที่ลงทุนในตลาดอินเดีย เป็นต้น


ดัชนี SET

ทางด้านตลาดหุ้นไทย ดัชนี SET ของไทยก็กำลังดำเนินอยู่ในในคลื่น B เช่นกัน แต่ถ้าจะมองดูกันในรายละเอียด อาจนับคลื่นย่อยได้เป็นหลายแบบ ขึ้นกับการนับของแต่ละคน สำหรับลุงแมวน้ำมองการนับคลื่นย่อยเป็น 2 แบบ ดังนี้

แบบแรก คลื่น B ประกอบด้วยคลื่นย่อย 1-2-3 (สีน้ำตาล) ซึ่งถ้านับแบบนี้ คาดว่าขณะนี้เราน่าจะอยู่ในคลื่นย่อย 5 (สีน้ำตาล) ซึ่งเมื่อจบคลื่นย่อย 5 (สีน้ำตาล) ก็จะเป็นการจบคลื่น 3 (สีน้ำเงิน) ซึ่งเป็นการจบคลื่น B และนั่นหมายความว่าอีกไม่นานเราจะเข้าสู่คลื่น C อันเป็นคลื่นขาลงที่รุนแรง ตามภาพต่อไปนี้


แบบที่สอง ถ้าหากจะนับอีกแบบ คลื่น B นี้ประกอบด้วยคลื่นย่อย 1-2-3 (สีน้ำเงิน) ขณะนี้เราใกล้จบคลื่นย่อย 5 (สีน้ำตาล) และใกล้จบคลื่น 1 (สีน้ำเงิน) เมื่อจบแล้ว ต่อไปจะเป็นคลื่น 2-3 (สีน้ำเงิน) เมื่อจบคลื่น 3 (สีน้ำเงิน) จึงจะจบคลื่น B ตามภาพนี้


ทีนี้เมื่อพิจารณาด้วยเครื่องมือด้าน fibonacci ลุงแมวน้ำประเมินว่าคลื่น B นี้ไม่น่าเกินดัชนี 800 ดังนั้น หากเราเอาเครื่องมือ fibonacci เข้ามาช่วยขยายรายละเอียด ก็จะได้ภาพว่า แม้จะนับคลื่นอย่างไร แต่คลื่น B น่าจะจบที่ดัชนีไม่เกิน 800 การใช้เครื่องมือที่ต่างกันมาช่วยกันก็จะทำให้เราประเมินในรายละเอียดได้มากขึ้น

จากภาพและคำอธิบาย จะเห็นได้ว่าการนับคลื่นนั้นนับกันได้หลากหลาย ขึ้นกับมุมมอง การตีความ ประสบการณ์ส่วนตัว ฯลฯ หลายๆอย่าง ซึ่งค่อนข้างเป็นเรื่องจิตวิสัย ดังนั้นการเทรดโดยการนับคลื่นจึงเป็นเรื่องที่ยาก เพราะในการนับคลื่นนั้น หากเรานับเล่นสนุกๆ เมื่อนับผิด ต่อมาความจริงปรากฏเป็นอื่น เราก็นับใหม่ให้ตรงได้ ซึ่งเท่าที่ผ่านมาจะเห็นว่าลุงแมวน้ำมีการเปลี่ยนแปลงการนับหลายต่อหลายหนในเรื่องเดียวกัน นั่นคือ นับผิดก็นับใหม่ แต่ถ้านำการนับคลื่นไปใช้ในการเทรด เมื่อนับผิด เทรดผิด ก็ขาดทุนไปแล้ว เงินก็หมดไปแล้ว แล้วจะแก้ตัวได้อย่างไร อันนี้คือปัญหาของการเทรดด้วยการนับคลื่น อีกประการ เรื่องการนับคลื่นเป็นศิลปะ ต้องอาศัยความชำนาญและมีหัวทางนี้ด้วยเหมือนกัน ดังนั้นแต่ละคนจึงนับคลื่นได้เก่งไม่เท่ากัน นี่ก็เป็นปัญหาอีกประการหนึ่ง

ดังนั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมา ลุงแมวน้ำจึงมักแนะนำให้เทรดด้วยการยึดระบบสัญญาณซื้่อขายเป็นหลัก และใช้การนับคลื่นเป็นสิ่งประกอบ สัญญาณซื้อขายเป็นวัตถุวิสัย ขึ้นกับข้อมูลราคาปิด และขึ้นกับสูตรคำนวณเท่านั้น แต่ไม่ขึ้นกับว่าผู้เทรดชำนาญเพียงใด เก่งกาจเพียงใด ถ้าเทรดถูกทางโปรแกรมก็จะถือไปเรื่อยๆ ทำกำไรไปได้เรื่อยๆ เมื่อไรที่ตลาดกลับทาง โปรแกรมก็จะรู้จักหยุดการขาดทุนให้ในระดับอันควร ขาดทุนก็ไม่มาก ไม่ต้องใช้การตัดสินใจของตัวผู้เทรดเอง จึงตัดปัจจัยด้านอารมณ์ ความโลภ และความกลัวออกไปได้ ใครๆก็เทรดได้ ความรู้น้อยหรือมากก็เทรดได้ ขอเพียงมีโปรแกรม สูตรคำนวณ และข้อมูลราคาปิด

ลองดูตัวอย่างสมมติกันก็ได้ สมมติว่าลุงแมวน้ำคาดว่าการนับคลื่นของดัชนี SET น่าจะเป็นแบบที่สอง กล่าวคือ เมื่อจบคลื่น 5 (สีน้ำตาล) ก็เท่ากับว่าจบคลื่น 1 (สีน้ำเงิน) ในคลื่น B (คลื่น B มี 1-2-3) ดังนั้นเมื่อดัชนีจบคลื่น 5 (สีน้ำตาล) แล้วร่วง ลุงแมวน้ำอาจยังไม่ขาย และคิดว่า 'แค่เป็นคลื่น 2 ถือเอาไว้ประเดี๋ยวก็เข้าคลื่น 3 ยังทำกำไรได้อีกมาก จะรีบขายไปทำไมให้เสียค่าคอม อีกทั้งหากรีบขาย เดี๋ยวเมื่อเข้าคลื่น 3 แล้วจะซื้อกลับไม่ทัน กลายเป็นตกรถ อดกำไรหมดเลย'

ทีนี้สมมติว่าลุงแมวน้ำนับผิด ที่่จริงมันเกิดเหตุการณ์ตามรูปแบบที่ 1 กล่าวคือ เมื่อจบคลื่น 3 (สีน้ำตาล) ก็เท่ากับจบคลื่น B แล้ว กลายเป็นว่าขณะนี้เรากำลังอยู่ในคลื่น C และเมื่อลุงแมวน้ำไม่ขาย เพราะนับผิด คลื่น C ก็จะพาดัชนีร่วงไปเรื่อยๆ ลุงแมวน้ำก็รอไม่กล้าขาย เพราะกลัวว่าเมื่อไรขายแล้วจะเด้งทันที ก็ถือไปเรื่อยๆ ทุนของลุงแมวน้ำก็จะจมหายไปหมดเหมือนเรือไททานิกตอนล่ม

แต่ถ้ามีระบบสัญญาณ ถึงจะนับผิด สัญญาณขายจะเป็นเหมือนฟิวส์ที่ตัดวงจร บังคับให้เราถอยออกมา ป้องกันไม่ให้ไฟไหม้บ้านทั้งหลัง ดังนั้นถึงนับคลื่นผิดก็ยังไม่เป็นไร นี่คือข้อดีของการใช้ระบบสัญญาณซื้อขาย

ในโอกาสขึ้นปีใหม่นี้ ลุงแมวน้ำไม่มีสิ่งใดจะอวยพร เพราะเป็นเพียงแค่แมวน้ำคณะละครสัตว์ตัวเล็กๆเท่านั้น แต่อยากฝากข้อคิดเอาไว้ว่า ตลาดนี้เป็น zero sum game เงินทุกบาทที่เรากำไรนั้นมาจากน้ำตาของผู้อื่น ดังนั้นควรเทรดด้วยใจที่เมตตา เมื่อเมตตาต่อผู้อื่นก็เท่ากับเมตตาต่อตนเองด้วย การเทรดด้วยความโลภเป็นเรื่องอันตราย ผิดพลั้งก็หมดตัว และยากที่จะแก้ไขสถานการณ์ได้ ถ้ารู้จักเมตตาผู้อื่นและเทรดด้วยเมตตา ก็ทำให้เทรดแต่พอประมาณ พอแก่การยังชีพและการเป็นอิสระทางการเงินเท่านั้น ไม่ทุ่มเทรดจนเกินกำลัง ดังนั้นเมื่อถึงคราวเคราะห์ต้องขาดทุนก็กระทบกระเทือนเพียงเล็กน้อย ไม่ถึงกับหมดเนื้อหมดตัว