สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 แม้ SET จะขึ้น แต่วันนี้โปรมแกรมขอลงุลแมวน้ำขาย BANPU, KSL, MAKRO, PTT, PTTEP, THAI, TMB จะเห็นว่ากลุ่มพลังงานถูกขายแล้ว ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่ 22 ตัว หุ้นที่ใกล้เกิดสัญญาณขาย ได้แก่ BEC, KBANK, TUF
สำหรับพอร์ตจำลองในกลุ่มฟิวเจอร์ส ขณะนี้ถือ short อยู่ 2 ตัว คือ S50 และทองคำ กำไรจาก S50 futures เริ่มกลับมาดีขึ้นจากการชอร์ต ส่วนทองคำยังทรงๆ จะขึ้นต่อหรือจะลงต่ออีกไม่นานคงได้เห็นกัน
โปรดสังเกตว่า S50 futures เกิดสัญญาณขายมาสามวันแล้ว ในขณะที่ SET, SET50 เพิ่งเกิดสัญญาณขายในวันนี้
ยางไทย RSS JP@IR อยู่ในกรอบของ standard error channel (SEC) ขาลง แต่ไม่หลุดกรอบ และราคากับ RSI เกิด bullish convergence เล็กๆ ไม่แน่ว่าอาจจะจบคลื่น 2 ไปแล้วที่ราคา 54 บาทที่ผ่านมา รอดูต่อไปถ้าผ่าน 57 บาทจะเกิดสัญญาณซื้อ

ยางญี่ปุ่น TOCOM เกิดสัญญาณซื้อไปแล้ว และไม่หลุดจากกรอบล่างของ SEC อีกทั้งกรอบ SEC เป็นกรอบขาขึ้น แต่ไม่เห็น bullish convergence อีกทั้งราคาน้ำมันยังอาจลงต่อไปอีกนิดหน่อย ตามภาพข้างล่าง

ประเมินดูแล้วราคายางน่าจบคลื่น 2 แล้ว แต่อาจต้องรอเวลาอีกเล็กน้อยเืพื่อให้เกิดความชัดเจน ถ้ามีสัญญาณซื้อก็ open long ไปตามระบบ
วันนี้ลุงแมวน้ำจะขอคุยเรื่องการลงทุนให้หุ้นโดยการใช้ระบบตามแนวโน้ม (trend following system) คือมีระบบที่ติดตามแนวโน้มและคำนวณสัญญาณซื้อขายออกมา นักลงทุนก็ซื้อขายไปตามสัญญาณ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ลุงแมวน้ำและนักลงทุนอีกหลายๆคนใช้อยู่ ไม่ใช่ซื้อขายแบบตามใจฉัน อยากซื้อเมื่อไรหรือว่าอยากขายเมื่อไรก็ทำตามใจ ตัวอย่างของระบบการซื้อขายตามเทรนด์หรือว่าซื้อขายตามแนวโน้มก็ได้แก่ระบบ PNT 1.10 ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักลงทุนตามระบบ
เราลองมาดูตัวกันอย่างสักหน่อย สมมติว่าคุณปลาทองลงทุนในหุ้น LH เริ่มลงทุนเมื่อเดือนธันวาคม 2551 (2008) ตอนนั้นราคา LH ประมาณหุ้นละ 3.40 บาท สมมติว่าปลาทองลงทุนเพียง 1 หุ้น กล่าวคือ เมื่อมีสัญญา๊ณซื้อก็ซื้อ เมื่อมีสัญญาณขายก็ขาย เล่นเพียง 1 หุ้นเท่านั้น (เพื่อความสะดวกในการคำนวณ) แล้วลองมาดูว่าเมื่อลงทุนจนถึงวันที่ 9 กรกฎาคม 2552 ผลกำไรเป็นอย่างไร ดังภาพต่อไปนี้

จากภาพ สรุปได้ว่า ในการลงทุนดังกล่าว ซื้อขายตามระบบ PnT 1.10 จะเกิดการซื้อขาย 6 ครั้งด้วยกัน (ซื้อแล้วขายนับเป็น 1 ครั้ง) เมื่อคิดค่าคอมมิชชั่นแล้ว 1 หุ้นที่ปลาทองลงทุนไป ได้กำไร 1.23 บาท
แต่ถ้าซื้อขายตามระบบของลุงแมวน้ำ จะเกิดการซื้อขายเพียง 2 ครั้งและปลาทองได้กำไร 1.96 บาท
คราวนี้มาลองดูกันใหม่ สมมติว่าปลาทองเริ่มเข้ามาลงทุนเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2550 ลองดูว่าเมื่อลงทุนในหุ้น LH ตัวเดียวกัน แต่ว่าในจังหวะวเลาที่แตกต่างกัน แล้วเกิดอะไรขึ้น

ปรากฏว่าเมื่อใช้ระบบ PNT 1.10 เกิดการซื้อขายขึ้น 10 ครั้ง และเมื่อคิดค่าคอมมิชชั่นแล้ว ปลาทองขาดทุนไป 1.47 บาท แต่ถ้าลงทุนด้วยระบบของลุงแมวน้ำ ปลากทองเกิดการซื้อขาย 7 ครั้ง และขาดทุน 2.10 บาท
จากตัวอย่างสองตัวอย่างข้างบน อาจเป็นคำตอบสำหรับนักลงทุนหลายๆที่ ที่พยามฝึกฝนการซื้อขายตามระบบ แต่ปรากฏว่าขาดทุนตลอดทั้งปีจนท้อ และก็เลยทำให้สรุปเอาว่าว่าแนวทางการลงทุนตามแนวโน้มอย่างเป็นระบบนั้นไม่ดี เพราะทำให้ขาดทุน
แต่ขอให้ลองสังเกตดูว่า หากลงทุนเมื่อเดือนธันวาคม 2551 ตามตัวอย่างกรณีแรก ก็มีกำไรทั้งปี ดังนั้นการได้กำไรหรือขาดทุนที่จริงไม่ใช่เพราะว่าระบบไม่ดี แต่ต้องขึ้นอยู่กับจังหวะเวลาที่เข้าลงทุนด้วย เพราะช่วงปลายปี 2550 ถึงปลายปี 2551 เ็ป็นช่วงที่หุ้นลงตลอดทั้งปี หากลงทุนในหุ้นไม่มีทางได้กำไร เพราะหุ้นนั้น short ไม่ได้ การลงทุนในหุ้นต้องเอากำไรจากขาขึ้น เอากำไรจากขาลงไม่ได้ ถ้าเล่นหุ้นในตลาดขาลงก็ขาดทุนแน่ ตลาดเพิ่งมาเริ่มกลับเป็นขาขึ้นเมื่อปลายปี 2551 นี่เอง ดังนั้นการลงทุนตั้งแต่ปลายปี 2551 จึงมีกำไร
ดังนั้นการลงทุนในหลักทรัพย์หรือฟิวเจอร์สใดๆต้องมองกันยาวๆ จึงจะรู้ว่าการลงทุนตามระบบนั้นได้ผลจริง อย่ามองกันเฉพาะในช่วงเวลาสั้นๆ
คราวนี้ลองมาดูกันใหม่ ลองมาดูสถิติการเทรดตามระบบย้อนไปตั้งต้นเทรดกันตั้งแต่ปลายปี 2539 (1996) มาจนถึง 9 กรกฎาคม 2552 รวมเวลากว่า 12 ปี คิดเป็นวันเทรด (วันที่ตลาดทำการและมีการซื้อขาย) ก็ประมาณ 3,000 วัน ลองดูว่าถ้าปลาทองลงทุนมาตั้งแต่ปลายปี 1996 แล้วผลเป็นอย่างไรบ้าง
(ยังมีต่อ)
