Wednesday, August 7, 2013

07/08/2013 * ตะวันตกดูดี และสรุปภาวะตลาดในเดือนกรกฎาคม (07/2013)



เผลอเดี๋ยวเดียว หมดเดือนเก่าไปอีกแล้ว เดิมทีลุงแมวน้ำคิดว่าจะสรุปตลาดประจำสัปดาห์ แต่พอเหลือบดูปฏิทินเห็นว่าตอนนี้เป็นช่วงต้นเดือน ลุงแมวน้ำก็เลยคิดว่าเรามาสรุปภาวะตลาดประจำเดือนกรกฎาคมกันดีกว่า

ดูรายงานข้างล่างประกอบด้วยนะคร้าบ ในรอบเดือนกรกฎาคม 2556 ที่ผ่านมา ตัวเลขทางเศรษฐกิจของทางตะวันตก คือสหรัฐอเมริกา และยุโรปดูดี ดัชนีตลาดหุ้นจึงขึ้นต่อเนื่อง เดือนที่แล้วนี้ตลาดหุ้นทางฝั่งยุโรปขึ้นดีกว่าฝั่งอเมริกาเสียอีก โดยดัชนี S&P 500 ของสหรัฐอเมริกาปรับตัวขึ้น +5% ส่วนตลาดหุ้นในกลุ่มยูโรเฉลี่ยแล้ว +8% โดยเฉพาะกลุ่มยุโรปเหนือ (nordic) ปรับตัวขึ้นแรง +10% เลยทีเดียว

ทางฝั่งเอเชีย ตลาดหุ้นย่านเอเชียแปซิฟิก ไม่แน่นอน มีทั้งบวกและลบ คละกัน โดยเฉพาะตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ลงแรง -4% ส่วนตลาดหุ้นจีนนั้นตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ออกมาสาละวันเตี้ยลง ดัชนีจึงปรับตัวลง แต่มารีบาวด์ได้ในช่วงปลายเดือนที่ลุงหลี่ออกมาให้คำมั่น พร้อมทั้งมีการอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบธนาคารเพื่อรักษาสภาพคล่อง ประกอบกับตัวเลขดัชนี PMI ดีขึ้นนิดหน่อย ดังนั้นโดยรวมแล้วตลอดทั้งเดือนดัชนีตลาหุ้นของจีนจึงลงไม่มาก -0.35%

ส่วนตลาดหุ้นไทย เนื่องจากปัจจัยทางการเมืองกดดัน ประกอบกับมีการลดประมาณการทางเศรษฐกิจ คือดูเหมือนว่าแนวโน้มเศรษฐกิจของไทยจะไม่ดีอย่างที่คาดเอาไว้ ตลาดหุ้นไทยจึงปรับตัวลง -1.98%

ทางด้านตลาดพันธบัตร หลังจากที่ตลาดพันธบัตรไหลลงมาประมาณ 2 เดือน ในเดือนที่แล้วเริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามา ตลาดพันธบัตรจึงมีรีบาวด์ขึ้นมาบ้าง แล้วกลับอ่อนลงไปอีก อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอเมริกัน 10 ปีตลอดทั้งเดือนปรับตัวขึ้น +4.4% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย 10 ปี ปรับตัวขึ้น +6.5%

ด้านสินค้าโภคภัณฑ์ ทองคำกับน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึึ้น ทองคำขึ้นเนื่องจากเงินดอลลาร์ สรอ อ่อน ส่วนน้ำมันดิบขึ้นเนื่องจากความไม่สงบในอียิปต์ ส่วนสินค้าเกษตรต้องดูเป็นรายตัว มีทั้งขึ้นและลง แต่สินค้าเกษตรค่อนข้างขึ้นอยู่กับจีน โดยเฉพาะยางพารา

ทางด้านค่าเงิน ดอลลาร์ สรอ แนวโน้มอ่อนค่า ส่วนเงินตราสกุลยุโรปแนวโน้มแข็งค่า เงินสกุลเอเชียแปซิฟิกแล้วแต่สกุล ดอลลาร์ออรเตรเลียแนวโน้มอ่อนค่า ดอลลาร์สิงคโปร์แนวโน้มแข็งค่า เงินเยนแนวโน้มแข็งค่าทั้งๆที่ธนาคารกลางของญี่ปุ่นอัดฉีดเงินคิวอีใส่เข้ามาในระบบทุกเดือน เรื่องเงินเยนนี่ต้องดูกันต่อไป เพราะว่าตามที่ควรจะเป็นคืออ่อนค่า

เงินบาทแนวโน้มอ่อนค่าเนื่องจากเงินเยนมีแนวโน้มแข็งค่า



ตลาดหุ้นจีนกำลังทะลุกรอบสามเหลี่ยมชายธงด้านบน มีโอกาสกลับทิศเป็นขาขึ้นสูงทีเดียว หากเป็นขาขึ้น ตลาดหุ้นย่านเอเชียจะได้รับอานิสงส์ไปด้วย

น้ำมันดิบตลอดทั้งเดือนปรับตัวเพิ่ม แต่ว่าตอนนี้ไม่ผ่านแนวต้านและย่อลงมา

ทองคำปรับตัวขึ้นในเดือนกรกฎาคม แต่ว่าตอนนี้ราคาอ่อนตัวและเกิดสัญญาณขายแล้ว ทั้งๆที่ดอลลาร์ สรอ มีแนวโน้มอ่อนค่า พฤติกรรมราคาของทองคำกับดอลลาร์ สรอ ไม่ค่อยปกตินัก ควรระวัง


เงินเยนแนวโน้มแข็งค่า ทั้งๆที่ทางการอัดฉีดเงิน ดูไม่ค่อยปกตินัก ควรระวังเช่นกัน

เงินบาทแนวโน้มอ่อนค่า แต่ทั้งนี้ขึ้นกับทิศทางของเงินเยน เมื่อเงินเยนดูไม่ค่อยปกติ พฤติกรรมราคาของเงินบาทจึงดูไม่ค่อยปกติไปด้วย ทำให้บริหารความเสี่ยงเงินบาทได้ยาก



 photo s5007082013julymonthlyreportcopy-1.gif

Sunday, August 4, 2013

04/08/203 เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ ต้นส้มแสนรักกับฝันในวัยเยาว์




    


บทความ เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ เป็นบทความอ่านสบายๆในวันหยุด ลุงแมวน้ำก็เขียน โน่น นี่ นั่น ไปเรื่อย แบบตามสบาย บางทีก็คุยเกี่ยวกับต้นไม้ สัตว์เลี้ยง หนังสือ อาหารการกิน บางทีก็พาไปเที่ยว หรือบางทีก็คุยเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ แต่มาวันนี้ ลุงแมวน้ำจะชวนคุยเรื่องหนังหรือว่าภาพยนตร์กัน

ลุงแมวน้ำจะเล่าด้วยภาพก็แล้วกัน ดูภาพกันไป คุยกันไป ภาพมาก่อน คำบรรยายตามหลังนะคร้าบ ^_^



รุ่งอรุณที่สวนลุม บรรยากาศน่าออกกำลังกายมาก



เมื่อวาน ลุงแมวน้ำไปวิ่งที่สวนลุมเช่นเคย ไปถึงสวนลุมประมาณ 6 โมงเช้า กำลังรุ่งอรุณพอดี ลุงแมวน้ำจึงชมรุ่งอรุณเหนือทะเลสาบสวนลุมสักครู่ จากนั้นก็แวะไปกินเต้าฮวยกับน้ำเต้าหู้ร้อนๆ แล้วก็ออกกลิ้ง เอ๊ย วิ่ง



โรงหนังลิโด โรงหนังเก่าแก่ สร้างมาตั้งแต่ยุคต้นของสยามสแควร์ เริ่มฉายในปี พ.ศ. 2511 สมัยก่อนเป็นโรงหนังขนาดใหญ่ ขนาด 1000 ที่นั่ง เหมือนกับโรงหนังสยามและสกาล่า แต่ต่อมาเกิดไฟไหม้โรงหนัง เมื่อสร้างโรงหนังขึ้นมาใหม่ก็มีการเปลี่ยนแปลงโดยแบ่งซอยเป็นโรงขนาดเล็ก 3 โรง เหลือที่นั่งโรงละไม่กี่ร้อยที่


กว่าจะวิ่งเสร็จ เลี้ยงปลาเสร็จ ทำอะไรต่ออะไรเรียบร้อย ก็ประมาณ 10 โมง ลุงก็ออกจากสวนลุม นั่งรถไปสยามสแควร์ เดิมทีคิดว่าจะเข้าร้านหนังสือสักหน่อย

ลุงแมวน้ำลงจากรถ จากนั้นเดินเตร็ดเตร่ไปที่โรงหนังลิโด ลุงแมวน้ำมีแฟนคลับคนหนึ่งเปิดร้านขายเสื้อผ้าอยู่ที่นั่น คิดว่าจะแวะไปเยี่ยมเยียนทักทายสักหน่อย แต่ก็หาไม่เจอ ตอนนั้นยังเช้าอยู่ด้วย ร้านค้าที่อยู่ชั้นล่างของโรงหนังลิโดยังเปิดร้านกันไม่มาก อาจเป็นเพราะยังมาไม่ถึงก็ได้




โปสเตอร์ภาพยนตร์ ต้นส้มแสนรัก หรือ My Sweet Orange Tree ที่หน้าโรงภาพยนตร์ลิโด สยามสแควร์


ไม่เจอก็ไม่เจอ ไม่เป็นไร ขณะที่จะเดินออกจากโรงหนังลิโด ก็บังเอิญไปเห็นโปสเตอร์หนังที่อยู่หน้าโรงหนัง ชื่อหนังทำให้ลุงนิ่งไป 3 วินาที ^_^

คงต้องขอเท้าความสักหน่อย คือโรงหนังลิโดนี้มีมาตั้งแต่สยามสแควร์ยุคแรกเริ่ม สมัยก่อนเป็นโรงหนังขนาดใหญ่ เหมือนกับสยามและสกาล่า แต่ต่อมาก็ปรับปรุงหลังจากถูกไฟไหม้ในปี พ.ศ. 2536 โดยแบ่งซอยเป็นโรงหนังขนาดเล็กหรือที่เรียกกันว่ามินิเธียเตอร์ 3 โรง

โรงหนังลิโดยุคมินิเธียเตอร์เป็นที่ชื่นชอบของคนรักหนัง เพราะว่ามักเอาหนังแปลกๆมาฉายอยู่เป็นประจำ ที่ว่าหนังแปลกๆก็คือภาพยนตร์ที่ไม่ใช่ภาพยนตร์กระแสหลักของฮอลลีวูด แต่เป็นหนังแนวอาร์ต หนังที่ต้นทุนต่ำแต่ว่ามีเนื้อหาโดดเด่น หนังที่ได้รางวัล หนังจากประเทศอื่นที่ไม่ใช่อเมริกา เช่น หนังฝรั่งเศส ญี่ปุ่น บราซิล ฯลฯ รวมความแล้วคือเป็นโรงหนังที่ฉายหนังดีนอกกระแสนั่นเอง เมื่อก่อนลุงแมวน้ำก็ชอบมาดูหนังแปลกๆที่นี่เช่นกัน แต่ก็ไม่ได้มาบ่อยนัก หลังๆนี่งานยุ่งจนไม่ค่อยได้ไปเดินเล่นที่สยามสแควร์ ก็เลยพลอยไม่ได้ดูหนังที่ลิโดไปหลายปีทีเดียว

ลุงแมวน้ำสะดุดใจกับโปสเตอร์หนังแผ่นนี้มาก เพราะว่าเป็นหนังบราซิล สร้างจากวรรณกรรมเยาวชนเรื่องเอกของบราซิล นั่นคือเรื่อง Meu Pé de Laranja Lima ชื่อนี้เป็นภาษาโปรตุเกส ออกเสียงด้วยสำเนียงโปรตุเกสว่า มิว เพ เดอ ลาเรินจา ลีมา ชื่อในภาคภาษาอังกฤษว่า My Sweet Orange Tree หรือชื่อในภาคภาษาไทยก็คือเรื่อง ต้นส้มแสนรัก นั่นเอง

เห็นชื่อหนังปุ๊บ ลุงแมวน้ำก็ตัดสินใจทันทีเลยว่าไม่ดูไม่ได้แล้ว ตอนนั้น 10 โมงสิบห้าพอดี หนังรอบเช้าฉาย 10:15 น. อะไรจะบังเอิญได้ขนาดนั้น



ชั้นล่างของโรงภาพยนตร์ลิโด เป็นร้านค้าเล็กๆหลายสิบร้าน ส่วนใหญ่ขายเสื้อผ้า สินค้าแฟชั่น ส่วนโรงหนังอยู่ชั้นที่สอง 


โรงหนังอยู่ที่ชั้นสอง ลุงแมวน้ำก็เดินขึ้นบันไดไป



ชั้นสองของโรงหนังลิโด มีโรงหนังขนาดเล็กอยู่ 3 โรง พร้อมกับมีร้านค้า ร้านอาหาร โรงเรียนกวดวิชาอยู่ด้วย

ซื้อตั๋วหนัง ราคาใบละ 80 บาทเอง ถือว่าถูกมาก สำหรับหนังดีๆนอกกระแสที่หาชมได้ยาก ดังที่บอกว่าที่นี่มีโรงหนังขนาดเล็ก 3 โรง ก็ฉายหนังนอกกระแสปนไปกับหนังโรงใหญ่ตามปกติ สำหรับหนังโรงใหญ่ที่เป็นหนังกระแสหลักนั้นมีแค่ 2D ไม่มีฉบับ 3D



โปสเตอร์หนัง ต้นส้มแสนรัก ที่อยู่ที่ประตูเข้าโรงหนัง

สภาพภายในโรงหนัง รูปนี้หามาจากในเว็บ จะให้ดูว่ามีที่นั่งน้อยเพียงไม่กี่ร้อยที่ แต่ในวันที่ลุงแมวน้ำไปดูหนัง ผู้ชมไม่ได้มากขนาดนี้

วันนั้นเป็นรอบเช้า มีคนอยู่หลายสิบคน สักสามสิบคนได้มั้ง ลุงถือว่าเยอะสำหรับรอบเช้าขนาดนั้น

ก่อนที่จะดูหนัง ลุงแมวน้ำขอคุยเรื่องหนังสือต้นส้มแสนรักเสียก่อน เพื่อให้พวกเรารู้ที่มาที่ไปของหนัง รวมทั้งเข้าใจว่าทำไมลุงแมวน้ำถึงเห็นโปสเตอร์ปุ๊บก็ตัดสินใจซื้อตั๋วเข้าไปดูเลย



Meu Pé de Laranja Lima วรรณกรรมเยาวชนเรื่องเอกของบราซิล ว่ากันว่าเป็นหนังสือที่มียอดขายสูงสุดของบราซิล มากกว่าหนังสือเล่มอื่นใด

Meu Pé de Laranja Lima (Laranja คือส้ม ส่วน Laranja Lima เป็นส้มชนิดหนึ่ง ภาษาอังกฤษบางทีเรียกว่า lemon orange) เป็นวรรณกรรมเยาวชนเรื่องเอกของบราซิล เขียนด้วยภาษาโปรตุเกส ว่ากันว่าไม่ได้เป็นเพียงวรรณกรรมเยาวชนธรรมดา แต่ยังเป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดของบราซิลอีกด้วย ผู้เขียนคือ José Mauro de Vasconcelos (โจเซ เมาโร เดอ วาสกอนซีลอส - อ่านตามสำเนียงโปรตุเกส) วาสกอนซีลอสเขียนหนังลือเล่มนี้ในปี 1968 (พ.ศ. 2511) ตอนที่เขียนนั้นมีอายุ 48 ปี ใช้เวลาเขียนเพียง 12 วันก็เสร็จ แต่วัตถุดิบที่นำมาใช้ในการเขียนนั้นวาสกอนซีลอสต้องใช้เวลาเตรียมมาจนตลอดชีวิต เพราะเรื่องราวในหนังสือก็คือส่วนหนึ่งของชีวิตในวัยเด็กของตนนั่นเอง

Meu Pé de Laranja Lima ฉบับภาษาโปรตุเกสได้รับการพิมพ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เปลี่ยนภาพหน้าปกมาไม่รู้กี่ครั้ง อีกทั้งยังใช้เป็นหนังสืออ่านในระดับประถมของบราซิล ที่เห็นในภาพนี้เป็นตัวอย่างภาพหน้าปกเพียงส่วนเดียว ที่จริงยังมีเวอร์ชันอื่นๆอีก



Meu Pé de Laranja Lima ฉบับแปลเป็นภาษาไทย ใช้ชื่อว่า ต้นส้มแสนรัก ถูกพิมพ์ซ้ำมาหลายสิบครั้ง ฉบับภาษาไทยนี้พิมพ์จำหน่ายเป็นครั้งแรกโดยสำนักพิมพ์ดวงกมลในปี พ.ศ. 2522 แปลโดยมัทนี เกษกมล

Meu Pé de Laranja Lima ฉบับภาษาไทย ใช้ชื่อว่า ต้นส้มแสนรัก วางจำหน่ายเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2522 หลังจากฉบับภาษาโปรตุเกส 11 ปี ฉบับภาษาไทยนี้แปลโดยมัทนี เกษกมล จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ดวงกมล

ต้นส้มแสนรัก เป็นหนังสือที่ได้รับความนิยมมาก ในยุคแรกที่วางจำหน่าย จัดว่าเป็นหนังสือฮิตของวัยรุ่นเลยทีเดียว

ต้นส้มแสนรักนั้นเป็นเรื่องราวของเด็กชายวัย 6-7 ขวบคนหนึ่ง ชื่อว่า เซเซ่ ที่่เกิดและเติบโตในเขตที่ยากจนของริโอ เดอ จาไนโร ครอบครัวนี้ยากจน มีลูกมาก พ่อตกงานมาเป็นเวลานานและติดเหล้า แม่หารายได้เลี้ยงครอบครัวเพียงคนเดียว

เซเซ่เติบโตมาในสภาพครอบครัวที่ยากแค้น ขาดแคลน สำหรับเซเซ่นั้นคนส่วนใหญ่มองว่าเป็นเด็กมีปัญหา ดื้อรั้น ชอบก่อเรื่องและสร้างความเดือดรอนให้แก่ผู้อื่น ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีใครรักเซเซ่ เซเซ่จึงถูกลงโทษจากพ่อและพี่อยู่เป็นประจำ เด็กน้อยเซเซ่เองก็รู้ว่าตนเองนั้นไม่มีใครรัก มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เข้าใจและเห็นใจ ดังนั้นเซเซ่จึงเติบโตขึ้นมาอย่างโดดเดี่ยว มีเพียงต้นส้มมิงกินโย และนกในทรวงอกเท่านั้นที่เป็นเพื่อนที่พอจะระบายความทุกข์ให้ฟังได้

แต่แม้ว่าจะเติบโตมาในความยากแค้น เด็กน้อยเซเซ่กลับเต็มไปด้วยความฝันอันสวยสดงดงาม และอาจเป็นเพราะความฝันนี้กระมัง ที่หล่อเลี้ยงชีวิตของเด็กน้อยให้ก้าวเดินต่อไปได้

ต้นฉบับเรื่องนี้ในภาษาโปรตุเกสเขียนด้วยภาษาที่เรียบง่าย แต่ถ่ายทอดเรื่องราวของเด็กน้อยเซเซ่ได้อย่างงดงามและกินใจ ส่วนสำนวนในฉบับภาษาไทยก็เรียบง่ายและกินใจเช่นกัน ดังนั้นคนที่อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วไม่เสียน้ำตาให้กับเด็กน้อยเซเซ่จึงมีอยู่น้อยมาก

ภาพข้างบนเป็นภาพหน้าปกของต้นส้มแสนรักในยุคแรก 4 ปกแรก (เรียงลำดับเหมือนกับอ่านหนังสือ คือจากซ้ายบนไปทางขวา) เป็นฉบับที่พิมพ์โดยสำนักพิมพ์ดวงกมล ต่อมาประมาณปี 2530 ก็เปลี่ยนเป็นจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ต้นหมาก (ปกที่ 5) และต่อมาก็เปลี่ยนมาเป็นจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น (ปกที่ 6 ล่างขวา)



ต้นส้มแสนรัก ฉบับสำนวนแปลของสมบัติ เครือทอง ทั้งภาค 1 และภาค 2

นอกจากนี้ ในปี 2538 สำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์นยังจัดพิมพ์ต้นส้มแสนรัก ที่แปลโดยสมบัติ เครือทอง อีกสำนวนแแปลหนึ่งด้วย และในปีเดียวกันนั้นเอง ประพันธ์สาส์นก็จัดพิมพ์ ต้นส้มแสนรัก ภาค 2 ซึ่งเป็นภาคต่อจากภาคแรก โดยภาค 2 นี้แปลจากหนังสือชื่อ Vamos Aquecer o Sol (วาโมส อาเกเซโรซอล) ซึ่งวาสกอนซีลอสเขียนภาคสองของเซเซ่เรื่องนี้ในปี 1974 (พ.ศ. 2517) แต่ก็ไม่โด่งดังเท่ากับภาคแรก นักวิจารณ์หลายคนวิจารณ์ว่าภาคสองนี้เป็นส่วนเกิน คือ ไปลดทอนความงดงามของภาคแรกไปเสียด้วยซ้ำ




ภาพปก Meu Pé de Laranja Lima ที่แปลเป็นภาษาต่างๆ เช่น อังกฤษ สเปน ฝรั่งเศส เยอรมัน และตุรกี ส่วนภาษาจีนนั้นเป็นฉบับการ์ตูน

หนังสือเล่มนี้ว่ากันว่ามีการแปลเป็นภาษาต่างๆ 32 ภาษา และตีพิมพ์จำหน่ายในกว่า 19 ประเทศ ซึ่งข้อมูลนี้อ้างอิงมาจากเว็บไซต์ของสื่อในบราซิล ลุงแมวน้ำก็ไม่รู้เหมือนกันว่า 32 ภาษานั้นมีภาษาอะไรบ้างเพราะไม่มีรายละเอียดระบุไว้ แต่เท่าที่ค้นมา ภาษาหลักๆก็มีหลายภาษาทีเดียว ดังภาพที่เห็น รวมไทยด้วย อย่างน้อยก็มีการแปล 7 ภาษาเข้าไปแล้ว

ลุงแมวน้ำไม่อยากเล่าเนื้อเรื่องมาก เกรงว่าจะสปอยล์ รู้เรื่องล่วงหน้าแล้วจะอ่านหนังสือและดูหนังไม่สนุก แต่เอาเป็นว่า ในความเห็นของลุงแมวน้ำ ภาพยนตร์เรื่องนี้งดงาม น่าดูมาก สามารถถ่ายทอดอารมณ์และความหมายของหนังสือได้ดีทีเดียว อีกทั้งมุมกล้องก็งดงาม ตอนหนังเลิก ลุงเห็นผู้ชมซับน้ำตากันหลายคน ซึ่งก็ไม่น่าแปลกอะไร น้อยคนนักที่จะไม่หลั่งน้ำตาให้กับเซเซ่และความฝันของเด็กน้อย เพราะความฝันของเซเซ่นั้นก็คือฝันในวัยเยาว์ของพวกเรานั่นเอง

ทั้งหนังสือและหนังเรื่องนี้ไม่เพียงแต่สำหรับเยาวชน ที่จริงต้องจัดว่าเป็นหนังสือที่ผู้ใหญ่ควรอ่านและเป็นหนังที่ผู้ใหญ่ควรดูมากกว่า เพราะจะทำให้เข้าใจเด็กได้ยิ่งขึ้น ก็น่าแปลกที่พวกเราล้วนแต่เคยผ่านวัยเด็กมา แต่พอโตแล้วกลับกลายเป็นไม่เข้าใจลูกหลานของตนเอง หนังเรื่องนี้จะช่วยเตือนความจำในเรื่องที่พวกเราผู้ใหญ่อาจลืมไปแล้วว่าเมื่อวัยเยาว์นั้นเราคิด รู้สึก และต้องการอะไร

ลุงแมวน้ำออกจากโรงหนังอย่างมีความสุข ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าหนังเรื่องนี้สร้างได้งดงาม และอีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่า... ลุงแมวน้ำอ่านเรื่องต้นส้มแสนรักครั้งสุดท้ายก็เมื่อราวยี่สิบกว่าปี เกือบสามสิบปีมาแล้ว การได้ดูหนังเรื่องนี้เป็นเสมือนได้พบเจอเพื่อนเก่าที่จากกันมายาวนานอีกครั้งหนึ่ง

ภาพข้างล่างนี้เป็นบางส่วนจากภาพยนตร์ เซเซ่น่ารักมาก ตีบทเด็กที่ร้ายเดียงสาแต่แอบเหงาเดียวดายได้กระจุย ยิ่งฉากที่คุยกับต้นส้มนั้น... ไม่เล่าดีกว่า แต่อยากให้ไปดูกัน เท่าที่ดูจากโปรแกรม อย่างน้อยก็ยังฉายจนถึงวันที่ 7 สิงหาคม 2556 นี้ หนังดีๆแบบนี้ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะมีให้ดูอีก

และล่างสุดเป็นคลิปบางส่วนจากหนังเรื่องนี้ Meu Pé de Laranja Lima ผลงานเขียนบทและกำกับโดยผู้กำกับที่มีชื่อเสียงของบราซิล Marcos Bernstein (มาร์คอส เบร์นสตีน) เสียงในฟิล์มเป็นภาษาโปรตุเกส พร้อมบรรยายไทย










Tuesday, July 30, 2013

30/07/2013 * ตลาดยังเป็นขาขึ้น และสรุปตลาดในรอบสัปดาห์ (22/07/2013 - 26/07/2013)



วันนี้ฝนตกตั้งแต่เช้ามืด อากาศเย็นสบายน่านอนทีเดียว ฝนตกปีนี้ลุงแมวน้ำมีปัญหาใหม่เกิดขึ้น นั่นคือปลิงบุก ปลิงนะ ไม่ใช่ลิง ปลิงตัวหนึบๆที่ดูดเลือดนั่นแหละ ตอนนี้มันอาละวาดอยู่ในสวน แล้วยังลามมาที่โขดหินของลุงแมวน้ำ วันๆต้องไล่จับเอาไปปล่อยตั้งหลายรอบ นี่ดีนะที่ไม่ไปอาละวาดในโรงละครสัตว์ ไม่อย่างนั้นผู้ชมสาวๆต้องกรี๊ดเป็นแน่ ^_^

มาสรุปภาวะตลาดในรอบสัปดาห์ที่แล้วกันดีกว่า 

มาดูที่สหรัฐอเมริกากันก่อน สัญญาณเศรษฐกิจของอเมริกาค่อนข้างสับสน คือ ราคาบ้านโดยเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้น แต่ยอดขายบ้านมือสองกลับลดลง การขอรับสวัสดิการสำหรับผู้ว่างงานเพิ่มขึ้นกว่าคาดการณ์ (หมายความว่าคนตกงานเพิ่มขึ้นกว่าที่คาด) แต่ยอดขายสินค้าคงทนกลับเพิ่มขึ้นด้วย ก็ดูแปลกๆ แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่มีผลต่อตลาดหุ้นก็คือความชัดเจนเรื่องคิวอี แม้ว่าสัปดาห์ที่ผ่านมาลุงเบนจะไม่ได้พูดอะไรเพื่อเพิ่มความสับสน แต่ว่าผลการสำรวจของบลูมเบิร์กที่สอบถามความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์กลับพบว่านักเศรษฐศาสตร์เห็นว่าลุงเบนจะเริ่มลดวงเงินคิวอีเดือนในงวดกันยายนนี้กลับเพิ่มมากขึ้น ทำให้นักลงทุนหวั่นไหว ตลาดหุ้นอเมริกาในสัปดาห์ที่แล้วจึงทรงตัว ขึ้นนิดลงหน่อย 

ทางด้านยุโรป ตัวเลขทางเศรษฐกิจในกล่มยุโรปดูดีขึ้น เช่น ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ทั้งภาคการผลิตและบริการ เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งอัตราการว่างงานของสเปนปรับตัวลงนิดหน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นข่าวดี รวมความแล้วข่าวดีมีพอสมควร แต่ตลาดหุ้นยุโรปมีทั้งขึ้นและลง อังกฤษ เยอรมนี ปรับตัวลง ส่วนประเทศที่มีปัญหาเยอะ เช่น กรีซ อิตาลี สเปน ฯลฯ ปรับตัวขึ้น

ทางด้านเอเชีย เรื่องกังวลของเอเชียก็เห็นจะหนีไม่พ้นตัวเลขทางเศรษฐกิจของจีน เมื่อไม่นานมานี้ก็กังวลเรื่องสภาพคล่องของภาคการเงินการธนาคาร พอเรื่องนี้ซาลงก็มากังวลเรื่องหนี้เสียของรัฐบาลท้องถิ่นของจีนอีก แม้ว่าลุงหลี่ นายกรัฐมนตรีจะรับประกันว่าจะไม่ให้เศรษฐกิจขยายตัวน้อยกว่า 7% แต่ตลาดหุ้นจีนก็ตอบสนองไม่ค่อยดีนัก ขึ้นแล้วก็ลงต่อ นอกจากนี้ ยังมีเรื่องเศรษฐกิจญี่ปุ่นอีก ว่าจะฟื้นจริงหรือฟื้นไม่จริง ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวลงแรงในตอนปลายสัปดาห์ เรื่องเศรษฐกิจจีนและญี่ปุ่นค่อนข้างซับซ้อนทีเดียว ตลาดหุ้นในย่านเอเชียจึงมีทั้งขึ้นและลง ส่วนตลาดหุ้นไทย ดัชนีเซ็ตปรับตัวลงเล็กน้อย

แม้ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจในแต่ละภูมิภาคจะมีทั้งดีและไม่ดี แต่ความผันผวนของตลาดหุ้นในเอเชียขึ้นอยู่กับตลาดหุ้นอเมริกาและตลาดหุ้นจีนมากกว่า และแม้ว่าตลาดหุ้นทั่วโลกในรอบสัปดาห์ที่แล้วจะมีทั้งขึ้นและลงคละกัน แต่หากสังเกตในรายงานท้ายบทความนี้จะเห็นว่า ในภาพรวมแล้วตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่เป็นสัญญาณซื้อ มีตลาดหุ้นที่เป็นสัญญาณขายเพียงไม่กี่ตลาดเท่านั้น เช่น จีน อินเดีย ฯลฯ ดังนั้นลุงแมวน้ำยังมองในภาพรวมว่าตลาดยังเป็นแนวโน้มขาขึ้นอยู่ เดี๋ยวเรามาดูกราฟกัน 

ก่อนจะไปถึงกราฟลุงแมวน้ำขอพูดเรื่องตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ก่อน สัปดาห์ที่แล้วสินค้าโภคภัณฑ์ในกลุ่มสินค้าเกษตรและน้ำมันร่วงต่อ สินค้าเกษตรนี่ลงแล้วลงอีก ยังหาก้นเหวไม่เจอ กลุ่มที่ขึ้นมีเพียงกลุ่มโลหะมีค่า ได้แก่ ทองคำและโลหะเงิน

ทางด้านตราสารหนี้ ทั้งตลาดพันธบัตรอเมริกาและไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรัฐบาลรอายุสั้นทรงตัว ส่วนกลุ่มอายุยาวสูงขึ้น แปลว่ามีแรงขายพันธบัตรในกลุ่มอายุยาว 

ทางด้านค่าเงิน สัปดาห์ที่แล้วเงินดอลลาร์ สรอ อ่อนค่า ทำให้เงินตราสกุลอื่นแข็งค่าขึ้น ยกเว้นเงินบาทไทยอ่อนตัวลงเล็กน้อย 



ลุงแมวน้ำพาชมตลาด


สัปดาห์นี้ลุงขอพูดเรื่องตลาดหุ้นมากหน่อย ส่วนพันธบัตร สินค้าโภคภัณฑ์ และค่าเงิน คงพูดเพียงนิดหน่อย ขอเอาไว้คุยในโอกาสต่อไปบ้าง

เรามาดูกราฟดัชนีตลาดหุ้นต่างๆกันดีกว่า เขามีพระยาน้อยชมตลาดใช่ไหม นี่เป็นลุงแมวน้ำชมตลาด ไม่ใช่ตลาดสด แต่เป็นตลาดหุ้น ^_^



ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ดูอาการไม่ค่อยดี มีช่อง (gap) ขาลงติดกันสองช่องทีเดียว ต้องระวังไว้ว่าตลาดหุ้นญี่ปุ่นอาจลงได้อีกมาก หากตลาดหุ้นญี่ปุ่นลง เงินเยนจะแข็ง และฉุดให้เงินบาทอ่อนได้



ตลาดหุ้นจีน รอมร่อจะหลุดจากจุดต่ำสุดเดิม แต่ก็ยังไม่หลุด พร้อมกันนั้นก็ก่อตัวเป็นรูปแบบสามเหลี่ยมชายธงแล้ว อีกไม่นานจะรู้ว่าหมู่หรือจ่า ถ้าหลุดลงมาข้างล่างคงส่งผลกระทบมากพอดู



ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ยังเป็นแนวโน้มขาขึ้น



ตลาดหุ้นฮ่องกง ยังเป็นแนวโน้มขาขึ้น



ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ยังเป็นแนวโน้มขาขึ้น



ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย เกิดรูปแบบสามเหลี่ยมชายธง ยังไม่รู้ว่าจะขึ้นหรือลง



ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ยังเป็นแนวโน้มขาขึ้น



ตลาดหุ้นเยอรมนี ยังเป็นแนวโน้มขาขึ้น และใกล้ทดสอบจุดสูงสุดตลอดกาลเดิมแล้ว



ตลาดหุ้นไทย ยังเป็นแนวโน้มขาขึ้นเช่นกัน



เราดููตลาดหุ้นประเทศต่างๆกันแล้ว สองประเทศสุดท้ายที่เราจะดูกันในรายละเอียด คือตลาดหุ้นอเมริกาและตลาดหุ้นไทย

มาดูตลาดหุ้นอเมริกากันก่อน




ตลาดหุ้นอเมริกายังเป็นขาขึ้น



ตลาดหุ้นและพันธบัตรของสหรัฐอเมริกา ภาพนี้มีทั้งหุ้นและพันธบัตรอยู่ด้วยกัน รูปย่อยบนเป็นราคาพันธบัตรรัฐบาลอเมริกัน อายุ 10 ปีและ 30 ปี รูปย่อยกลางเป็นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอเมริกัน อายุ 10 ปี และ 30 ปี ส่วนรูปล่างเป็นดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์



ภาพนี้ลุงแมวน้ำทำมาเป็นพิเศษ คือมีทั้งราคาพันธบัตร อัตราผลตอบแทนพันธบัตร และดัชนีตลาดหุ้น เปรียบเทียบกัน เพื่อให้เห็นภาพได้ชัดเจน

เราดูภาพย่อยบนกันก่อน ตอนนี้ตลาดพันธบัตรอเมริกัน หากเป็นระยะกลาง คือพิจารณาตั้งแต่เดือนเมษายน 2013 เป็นต้นมา จะเห็นว่าราคาพันธบัตรเป็นแนวโน้มขาลง (และอัตราผลตอบแทนเป็นขาขึ้น) 

แต่หากพิจารณาในระยะสั้น คือในเดือนกรกฎาคม 2013 จะเห็นว่าแนวโน้มของราคาพันธบัตรในระยะสั้นเป็นขาขึ้น (และอัตราผลตอบแทนเป็นขาลง)

ที่ลุงแมวน้ำกำลังจะบอกก็คือ ตอนนี้ตลาดพันธบัตรกำลังหาจุดสมดุลใหม่อยู่ และภาพที่เป็นนี้ถือว่าเป็นสัญญาณในเชิงบวก เพราะว่าราคาพันธบัตรปรับตัวขึ้นในระยะสั้นได้แสดงว่ามีนักลงทุนเข้าซื้อ และก็แปลว่านักลงทุนไม่ได้หนีตลาดพันธบัตรไปไหน เพราะจำเดิมนั้นเรากลัวกันว่าผลจากการลดและเลิกคิวอีของลุงเบนจะทำให้ตลาดพันธบัตรดิ่งฮวบ เพราะมีแต่คนทิ้งพันธบัตร แต่จากภาพนี้แสดงว่านักลงทุนไม่ได้กลัวตลาดพันธบัตร ยังมีการเข้าซื้ออยู่ หากเป็นเช่นนี้ จะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้น เพราะว่าหากตลาดพันธบัตรค่อยๆอ่อนตัวลงอย่างช้าๆ (คืออัตราผลตอบแทนค่อยๆเพิ่มอย่างไม่ฮวบฮาบ) เงินจะค่อยๆถ่ายจากตลาดพันธบัตรมายังตลาดหุ้น แต่หากตลาดพันธบัตรแตกตื่น ผลก็คือจะดิ่งทั้งตลาดพันธบัตรและตลาดหุ้น 

จากภาพนี้ ลุงแมวน้ำมองว่าเป็นผลดีต่อตลาดหุ้น คือตลาดหุ้นอเมริกาจะค่อยๆขึ้นไปอีก ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นเอเชีย ไม่ได้ส่งผลร้าย



ตอนนี้ตลาดหุ้นไทยอยู่ในคลื่นใด



หลังจากที่ลุงเบนแถลงต่อสภาคองเกรส สำนักข่าวบลูมเบิร์กก็ทำการสำรวจความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ 54 คน ผลสำรวจเดือน ก.ค. ปรากฏว่า 44% คิดว่าลุงเบนจะลดวงเงินซื้อตราสารลงเหลือ 6.5 หมื่นล้านดอลลาร์ สรอ ในการประชุมเดือนกันยายนนี้ เปรียบเทียบกับผสำรวจเดือน มิ.ย. ที่มีผู้คิดว่าลุงเบนจะลดวงเงินในการประชุมครั้งหน้านี้ 27%

จาก 27% ขยับมาเป็น 44% ตลาดหุ้นทั่วโลกเลยหวั่นไหวส่วนของไทยนั้นปัจจัยการเมืองเข้ามาเสริม ทำให้ลงลึกกว่าตลาดเพื่อนบ้าน

ลุงแมวน้ำลองมานับคลื่นดูอีกครั้ง คราวนี้นับทั้งในระดับคลื่นใหญ่และคลื่นรอง รวมทั้งคลื่นย่อย เพื่อให้เห็นภาพในหลายกรอบเวลา เราลองมาดูกัน




ตลาดหุ้นไทย นับคลื่น 2 แบบ

ดูภาพประกอบไปด้วยกัน จากการนับคลื่นของลุงแมวน้ำ ถ้าในระดับคลื่นใหญ่ (สีดำ) เราน่าจะอยู่ในคลื่น 5 (สีดำ) ส่วนในระดับคลื่นรองลงมา (สีน้ำเงิน) ลุงแมวน้ำคิดว่ามีทางเป็นไปได้สองแบบ

เรามาดูภาพบนกันก่อน เป็นการนับคลื่นรองแบบแรก หากเป็นไปตามสถานการณ์ภาพบน เราน่าจะอยู่ในคลื่น 4 (สีน้ำเงิน) ซึ่งคลื่น 4 นี้ลงได้ลึกถึง ดัชนี 900-1000 จุดเลยทีเดียว และโดยลักษณะของคลื่น 4 (สีน้ำเงินนี้) เป็นคลื่นในระดับกรอบเวลาใหญ่พอควร อีกทั้งมีความผันผวนสูง จะทำให้เกิดสัญญาณหลอกหลายครั้ง คิดว่าเป็นขาขึ้นแล้ว แล้ว แล้ว แล้ว... หลอกไปเรื่อยแต่ที่จริงเป็นขาลง จนเราหมดตังค์

เอาใหม่ ดูภาพล่าง ภาพล่างนี้เป็นการนับคลื่นรองแบบที่สอง หากเป็นไปตามสถานการณ์ภาพล่างนี้ เราน่าจะอยู่ในคลื่น 3 (สีน้ำเงิน) โดยคลื่น 3 นี้ยังไม่จบคลื่น กำลังทำคลื่นย่อย 4 (สีม่วงอยู่) คลื่นย่อยนี้เป็นคลื่น 4 ความผันผวนก็สูงเช่นกัน แต่เนื่องจากเป็นคลื่นในระดับคลื่นย่อย คือกรอบเวลาสั้นลง ก็คงทำให้เจ็บ น่าเบื่อ แต่คงไม่ถึงกับแย่แบบกรณีแรก และหากเป็นไปตามกรณีหลังนี้ คลื่น 3 น่าจะไปจบที่ประมาณ 2000-2100 จุด จากนั้นก็จะเข้าคลื่น 4 (สีน้ำเงิน)

ทั้งสองภาพนี้ ลุงแมวน้ำประเมินว่าในที่สุดเราก็จะอยู่ในคลื่น 4 (สีน้ำเงิน) จนได้ เพียงแต่ว่าจะเกิดขึ้นตอนไหนเท่านั้นเอง หากเป็นกรณีตามภาพแรก ตอนนี้เราก็อยู่ในคลื่น 4 แล้ว แต่หากเป็นตามภาพล่าง คลื่น 4 ก็คือเรื่องของอนาคตข้างหน้า

ถามว่าลุงแมวน้ำมองแบบไหน ตอนนี้ลุงแมวน้ำประเมิน 40/60 คือมองว่าเราน่าจะอยู่ในกรณีหลังมากกว่า มีโอกาสเป็นตามกรณีหลังสัก 60% สาเหตุก็คือ ตอนนี้ตลาดหุ้นอเมริกาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ผลจากเงินอัดฉีดตามโครงการ QE ยังมีอยู่ ดังนั้นตลาดหุ้นย่านเอเชียยังได้อานิสงส์อยู่ ประกอบกับหากเศรษฐกิจจีนไม่แย่ไปกว่านี้ ศูนย์กลางการค้าและเงินทุนของโลกจะค่อยๆย้ายมาเอเชีย ที่จริงตอนนี้เป็นยุคทองของเอเชีย เมื่อก่อนเรามุ่งตะวันตกหรือ go west เดี๋ยวนี้ใครๆก็มุ่งมาตะวันออกหรือ go east กันแล้ว ดังนั้นตอนนี้เป็นโอกาสของเอเชียมากกว่า ตลาดหุ้นคงไม่น่าซบเซา


ส่วนอีก 40% เผื่อใจว่าอาจเป็นตามกรณีแรก ที่ลุงแมวน้ำให้น้ำหนักกรณีแรกสูงอยู่เหมือนกันก็เพราะว่าดูคลื่นลมการเมืองของไทยค่อนข้างรุนแรง หากปัจจัยการเมืองมีผลรุนแรงต่อตลาดหุ้น เราก็น่าจะอยู่ในคลื่น 4 (สีน้ำเงิน) และลงไปแถวๆ 1000 จุด เพราะกรรมสร้างรูปแบบทางเทคนิค แม้ว่าเราจะนับคลื่นอย่างไรสุดท้ายก็ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์จริง




เปรียบเทียบอัตราแลกเปลี่ยนของเงินตราสกุลสำคัญบางสกุล และทองคำ




 photo s5026072013weeklyreport.gif

Tuesday, July 16, 2013

16/07/2013 * ลุงเบนกลับลำ และสรุปตลาดในรอบสัปดาห์ (07/07/2013 - 12/07/2013)

วันนี้เรามาสรุปภาวะตลาดในรอบสัปดาห์ที่แล้วกันคร้าบ

มาดูทางฝั่งเอเชียกันก่อน

ภาพเศรษฐกิจทางฝั่งเอเชียก่อนหน้านี้ไม่ค่อยดีนักเนื่องจากตัวเลขทางเศรษฐกิจของจีนบ่งบอกอาการชะลอตัว ทำให้ประเทศต่างๆในเอเชียกังวลเศรษฐกิจของตนเองเนื่องจากส่วนใหญ่เป็นคู่ค้ากับจีนกันทั้งนั้น เมื่อกำลังการบริโภคของจีนหดตัวลงย่อมกระทบถึงการส่งออก ส่วนเศรษฐกิจญี่ปุ่นนั้นก็ยังมีการอัดฉีดตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีอาเบะ แต่ว่าอารมณ์เศรษฐกิจจะจับตามองที่จีนมากกว่า

ทางด้านตลาดหุ้น ทางฝั่งเอเชียแปซิฟิก ตลาดหุ้นเอเชียย่านเอเชียใต้และตะวันออก รวมทั้งตลาดหุ้นไทย ก็มองๆตลาดหุ้นจีนอยู่ด้วยเช่นกัน เมื่อตลาดหุ้นจีนร่วงแรง ตลาดหุ้นไทยและในย่านเอเชียก็พลอยลงหรือซึมไปด้วย แต่ต่อมาเมื่อกลางสัปดาห์ที่แล้ว นายกรัฐมนตรีหลี่เค่อเฉียงของจีนพูดในทำนองที่ให้กำลังใจว่าจีนจะรักษาการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับที่สมควร นั่นหมายถึงว่าหากชะลอตัวมากเกินไปก็พร้อมที่จะเข้าช่วย ตลาดหุ้นจีนจึงรีบบาวด์ขึ้นมาหลายร้อยจุดภายในไม่กี่วัน ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทยด้วย

โดยสรุป ในสัปดาห์ที่แล้ว ตลาดหุ้นในย่านเอเชียส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้น ที่ขึ้นแรงที่สุดคือตลาดหุ้นรัสเซีย

ทางด้านเศรษฐกิจยุโรป บรรยากาศเศรษฐกิจก็ยังไม่ค่อยดีเช่นเคย สัปดาห์ที่แล้วสถาบันจัดอันดับ S&P ลดอันดับเครดิตของอิตาลี ตัวเลขภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนีก็ยังไม่ค่อยดี แต่ว่าตลาดหุ้นหลายประเทศในยุโรปก็ยังสามารถปรับตัวขึ้นได้ โดยเฉพาะเยอรมนีเกิดสัญญาณซื้อแล้ว อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นยุโรปไม่ค่อยมีผลกับตลาดหุ้นไทยเท่าไรในช่วงนี้

ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลกรวมทั้งไทยมากที่สุดในสัปดาห์ที่แล้วน่าจะอยู่ที่สหรัฐอเมริกา หรือจะพูดให้ชัดก็ต้องบอกว่าอยู่ที่วาทะของลุงเบน เพราะว่าลุงเบนไปพูดที่เมืองเคมบริดจ์ ทำนองว่าคิวอียังเป็นมาตรการที่จำเป็นอยู่ เพียงเท่านี้ตลาดหุ้นอเมริกา เอเชีย รวมไทยด้วย ก็ปรับตัวขึ้นรับข่าว เพราะตีความเอาว่ายังไม่เลิกคิวอีง่ายๆหรอก และหลังจากนั้น ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาก็ทำสถิติจุดสูงสุดใหม่อีก ดัชนีตอนนี้ถือว่าเป็น all time high คือสูงสุดเท่าที่เคยมีมาแล้ว

ในสัปดาห์ที่แล้ว ตลาดหุ้นอเมริกา ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวขึ้น +2.17% ส่วนดัชนีแนสแดก 100 ปรับตัวขึ้นถึง +4% ส่วนตลาดหุ้นในย่านอเมริกาใต้มีทั้งปรับตัวขึ้นและลง คละกันไป

ทางด้านตราสารหนี้ หรือว่าตลาดพันธบัตร ตอนนี้ตลาดพันธบัตรเป็นเรื่องที่น่าจับตามองทีเดียว เพราะว่าการลดหรือเลิกคิวอีจะมีผลต่อตลาดพันธบัตรมาก และตลาดพันธบัตรส่งผลกระทบไปยังอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อ รวมทั้งตลาดหุ้นอีกด้วย หลายคนกลัวกันว่าตลาดพันธบัตรจะลงแรงแบบถล่มทลายเพราะการเลิกคิวอี ในสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดพันธบัตรเริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามาแล้ว ทำให้ราคาพันธบัตรกระเตื้องขึ้น (คืออัตราผลตอบแทนลดลง) ทั้งในตลาดอเมริกาและในตลาดพันธบัตรไทย โดยของไทยนั้น พันธบัตรรัฐบาล 10 ปีปรับตัวลง 4 จุดเบสิส

 ทางด้านอัตราแลกเปลี่ยน ตอนนี้ยังสับสน เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ดอลลาร์ สรอ อาจกลับทิศเป็นขาลง (คือแนวโน้มอ่อนค่า) ส่วนเงินเยนกับยูโรอาจกลับทิศเป็นแนวโน้มแข็งค่า ส่วนเงินบาทก็เริ่มแข็งค่าขึ้น ในทางเทคนิคอาจกลับทิศเป็นแข็งค่าได้เช่นกัน ต้องตามดูในสัปดาห์นี้อีกที

อ้อ ด้านสินค้าเกษตร ตอนนี้สาละวันเตี้้ยลง ราคาสินค้าเกษตรไหลลงไม่หยุด ยังไม่รู้ว่าเมื่อไรจะกลับทิศเป็นขาขึ้นได้

ก็สรุปให้ฟังคร่าวๆ ข้างล่างเป็นกราฟ ลุงแมวน้ำมีอธิบายประกอบกราฟไปด้วย


ขอวกมาพูดเรื่องลุงเบนกันหน่อย

ประเด็นเรื่องวาทะของลุงเบนนั้น ลุงแมวน้ำก็งงๆอยู่เหมือนกัน พูดแบบนี้จะบอกว่าอะไรก็ไม่รู้ จะแปลว่าลุงเบนกลับลำต่อคิวอีออกไปยาวๆเกินกว่ากลางปีหน้าหรือเปล่า

ลุงแมวน้ำเห็นลุงเบนอึมครึมอีกแล้ว ทั้งๆที่เพิ่งทำตัวเป็นนายชัดเจนมาได้ไม่นาน ก็อยากแสดงความเห็นบ้าง ว่าทำอึมครึมไปเรื่อยๆแบบนี้ตลาดปั่นป่วนเปล่าๆ น่าจะทำอะไรให้มันชัดเจนหน่อย

หากลุงเบนหรือว่าเฟดกังวลเรื่องเศรษฐกิจฟืนจริงหรือฟื้นไม่จริง จนยังไม่กล้ากำหนดวันยุติคิวอี ลุงแมวน้ำก็ว่าทำดัชนีคอมโพสิตหรือว่าดัชนีผสมอะไรขึ้นมาสักตัวหนึ่งเป็นตัวชี้วัดก็ได้ แล้วทุกคนก็ดูตามนั้น คือพยายามทำให้เป็นตัวชี้วัดในเชิงปริมาณ นักลงทุนก็ได้เห็นภาพได้ชัดเจน แต่หากใช้ดุลพินิจตัดสินใจ ก็จะอึมครึมเป็นแบบที่ผ่านมา

หากพูดว่าดัชนีคอมโพสิตหลายคนอาจมองยาก เราพูดเป็นแบบการตัดเกรดในชั้นเรียนก็ได้ สมมติว่าดัชนีคอมโพสิตคือ GPA หรือว่าเกรดเฉลี่ย เกรดเฉลี่ยก็มาจากการตัดเกรดหลายๆวิชาใช่ไหม เราก็เอาตัวชี้วัดอะไรมาสักจำนวนหนึ่ง สมมติว่า 10 ตัวก็ได้ ตัวชี้วัดหนึ่งตัวก็เหมือนหนึ่งรายวิชา

ยกตัวอย่างเช่น เราใช้อัตราการว่างงานเป็นตัวชี้วัดตัวหนึ่ง เอาแบบถ่วงน้ำหนักก็ได้ สมมติว่าคิดน้ำหนักไป 6 หน่วยกิต เมื่อใดที่อัตราการว่างงานต่ำกว่า 7.5% ให้ B และหากต่ำกว่า 6.5% ให้ A

อัตราเงินเฟ้อก็เป็นอีกวิชาหนึ่ง ให้น้ำหนัก 6 หน่วยกิต หากเงินเฟ้อเกินกว่า 1.5% ให้ B หากเกิน 2.% ให้ A แบบนี้เป็นต้น

ยอดการซื้อขายบ้านก็อีกวิชาหนึ่ง ให้น้ำหนัก 3 หน่วยกิต เป็นต้น

แล้วเราก็เอาเกรดทุกวิชามาทำเป็นเกรดเฉลี่ย คำนวณทุกเดือน แล้วกำหนดเกณฑ์ออกมา เช่น เมื่อไรที่เกรดเฉลี่นเกิน 3.0 ก็ให้ลดวงเงินซื้อตราสารลงเหลือ 6.5 หมื่นล้าน หากเกรดเฉลี่ยเกิน 3.5 ก็ลดวงเงินลงอีกเหลือ 4.5 หมื่นล้าน หากเกรดเฉลี่ยกลับแย่ลง ก็เพิ่มวงเงินเข้าไปอีก ฯลฯ

หากเมื่อไรได้ 4.0 ก็เลิกเลย แบบนี้เป็นต้น ตลาดก็เฝ้าดูตัวเลขไปทุกเดือน แล้วทุกคนก็รู้ได้เอง คิดได้เอง ว่าอะไรเป็นอะไร ไม่ต้องกังวลว่าลุงเบนจะเอายังไงกันแน่

ลุงก็ออกความเห็นแบบแมวน้ำๆละนะ ที่จริงลุงเบนเคยเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ลุงแมวน้ำเท่ากับว่าเป็นแมวน้ำสอนสังฆราช แต่ขอลุงพูดหน่อยเถอะ เพราะเห็นความอึมครึมมาตลอดแล้วก็อดพูดบ้างไม่ได้ ^_^



ดัชนีตลาดหุ้นอเมริกาทำจุดสูงสุดใหม่อีกแล้ว พร้อมกันน้้นราคาพันธบัตรที่ไหลลงก็เริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามา ตอนนี้ทั้งตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรกำลังหาดุลยภาพใหม่ของตนเองอยู่ ยังต้องใช้เวลาอีก

แม้ว่าเศรษฐกิจของยุโรปจะยังไม่ดีนัก รวมทั้งของเยอรมันเองก็ไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ว่าดัชนีตลาดหุ้นของเยอรมนีก็เกิดสัญญาณซื้อ แล้วกำลังไต่ระดับไปเพื่อทำจุดสูงสุดใหม่


ดัชนีตลาดหุ้นไทย กำลังรอสัญญาณซื้อที่ 1464 จุดอยู่ ถ้าผ่านได้ก็ยืนยันแนวโน้มขาขึ้นในระยะสั้นได้

ตลาดพันธบัตรไทยก็มีแรงซื้อกลับเข้ามาเช่นกัน ราคาพันธบัตรรัฐบาลเริ่มรีบาวด์ รูปแบบทางเทคนิคกำลังทำแนวโน้มขาขึ้นอยู่ แต่ยังต้องดูไปอีก


ค่าเงินดอลลาร์ สรอ อาจกำลังกลับทิศเป็นขาลง เกิดรูปแบบเกาะกลับทิศแล้ว


เงินเยนกำลังก่อตัวเป็นแนวโน้มแข็งค่า แต่ยังไม่ชัด


เงินบาทหลุดจากกรอบ SEC เริ่มก่อตัวเป็นแนวโน้มแข็งค่า


ราคาสินค้าเกษตรไหลลงมาถึงระดับฟิโบนาชชี 100% แล้ว ยังไม่มีท่าว่าจะหยุด



ราคายางพาราก่อตัวเป็นรูปแบบสามเหลี่ยมชายธง อีกไม่นานจะรู้ว่าขึ้นต่อหรือลงต่อกันแน่







 photo s5012072013weeklyreportcopy.gif

Sunday, July 14, 2013

เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ บำรุงผิวพรรณ ผ่องใส ลดริ้วรอย ด้วยโยเกิร์ตนมถั่วเหลือง (เจ/มังสวิรัติ) (3)



เปรียบเทียบผิวหนังของคนในวัยหนุ่มสาวกับในวัยผู้ใหญ่ ผิวหนังของหนุ่มสาวมีกระบวนการผลัดเซลล์ผิวที่ดีซึ่งมีส่วนช่วยให้ผิวหนังดูผ่องใส เรียบเนียน ต่างจากในวัยผู้ใหญ่จนถึงวัยชรา ซึ่งกระบวนการผลัดเซลล์ผิวช้าลงไปตามวัย ส่งผลให้ชั้นขี้ไคลสะสมหนาตัวขึ้น ทำให้ผิวหนังแลดูหมองคล้ำ กระดำกระด่าง ไม่เรียบ ไม่เนียน

ผิวหนังในวัยผู้ใหญ่จนถึงวัยชรามีการเกิดริ้วรอยขึ้นอันเป็นไปตามวัย การผลัดเซลล์ผิวที่ช้าลงจะซ้ำเติมให้ริ้วรอยเหล่านี้ เนื่องจากเมื่อเซลล์ผิวชั้นขี้ไคลมีการสะสมตัวหนาขึ้น จะทำให้ริ้วเล็กๆ (line) เห็นได้ชัดขึ้น เพราะริ้วเล็กๆเหล่านี้เกิดในระดับชั้นขี้ไคลนั่นเอง นอกจากนี้ร่อง (wrinkle) และรอยย่น (fold) ที่เกิดในระดับลึกลงไปเพราะคอลลาเจนที่ลดลง ก็ยังดูเด่นชัดขึ้นด้วย



บทความนี้เดิมทีลุงแมวน้ำคิดว่าคงเขียนตอนเดียวจบ แต่เมื่อเขียนจริงๆก็คุยอะไรไปเรื่อยเปื่อย ถึงตอนนี้ก็เป็นตอนที่ 3 แล้ว แต่ก็อย่างว่าแหละ วันหยุดเป็นวันพักผ่อน ผ่อนชีวิตให้ช้าลงสักนิดในวันหยุด ไม่ต้องรีบ ทำอะไรเรื่อยๆเปื่อยๆ ช้าบ้างก็ดีเหมือนกัน



ผิวผ่องใส ลดริ้วรอย ด้วยการผลัดเซลล์ผิว


การผลัดเซลล์ผิวหนังชั้นขี้ไคลหรือที่ภาษาฝรั่งเรียกว่าชั้นสตราตัมคอร์เนียม (stratum corneum) หรือบางทีก็เรียกว่าชั้นฮอร์นีเลเยอร์ (horny layer) นั้นเป็นกระบวนการธรรมชาติ เพื่อลอกเซลล์เก่าที่ตายแล้วออกไป โดยปกติกระบวนการผลัดเซลล์ผิวหนังนี้ใช้เวลาประมาณ 28 วันหรือคิดง่ายๆก็คือ 1 เดือน

ผลดีของการผลัดเซลล์ผิว เปรียบเทียบเพื่อให้เห็นภาพ เซลล์ผิวหนังชั้นขี้ไคลนั้นก็เปรียบเสมือนเกราะบางๆที่่ห่อหุ้มผิวกายเอาไว้ เกราะนี้สัมผัสกับสิ่งแวดล้อมภายนอกโดยตรง หากเปรียบกับรถยนต์เราคงนึกภาพออกว่าหากเราใช้รถยนต์โดยไม่ปัดฝุ่นหรือไม่ล้างเลยผลจะเป็นอย่างไร รถก็คงเขลอะมอมแมมเนื่องจากฝุ่นละออง

ฉันใดก็ฉันนั้น ผิวหนังของเราก็เช่นกัน เกราะชั้นนอกสุดของเรานั้นเนื่องจากสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมภายนอก ไม่ว่าจะเป็นอากาศ ฝุ่นละออง สารเคมี ความร้อน ความเย็น ฯลฯ ดังนั้นจึงมักหมองมัว ประกอบกับตัวเซลล์ชั้นขี้ไคลเองเป็นเซลล์ที่หมดอายุไปแล้ว ดังนั้นสิ่งที่หมดอายุไปแล้วสภาพก็ดูจะไม่ค่อยดีนัก

และเหตุผลอีกประการก็คือ คนในวัยผู้ใหญ่ขึ้นไป ก็คืออายุประมาณ 30 ปีขึ้นไป กระบวนการผลัดเซลล์ผิวนั้นจะค่อยๆช้าลง ยิ่งอายุมากขึ้น กระบวนการผลัดเซลล์ผิวก็จะยิ่งช้าลง เนื่องจากสังขารและกระบวนการต่างๆย่อมเสื่อมไปตามวัยนั่นเอง

ผลจากการที่สูงวัยขึ้น และกระบวนการผลัดเซลล์ผิวช้าลง ทำให้เซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วมาสะสมอยู่ที่ชั้นขี้ไคลมากขึ้นก่อนที่จะได้ผลัดทิ้งไป ทำให้ผิวชั้นขี้ไคลมีความหนากว่าสมัยหนุ่มสาว ผลจากชั้นขี้ไคลที่สะสมตัวหนาขึ้นนี้สามารถสังเกตได้ด้วยสายตา คือผิวหนังจะดูหมอง คล้ำ กระดำกระด่าง ไม่ผ่อง ไม่เนียน

และนอกจากนี้ การที่ชั้นขี้ไคลสะสมหนาตัวขึ้น ทำให้ช่วยขับเน้นริ้วรอย ร่อง และรอยย่นบนผิวหนังให้เด่นชัดขึ้นอีกด้วย ดังภาพประกอบด้านบน

ดังนั้น ในวัยผู้ใหญ่ขึ้นไป การเร่งการผลัดเซลล์ผิวจึงมีประโยชน์ เพราะทำให้ชั้นขี้ไคลซึ่งสะสมหนาตัวนั้นผลัดออกไปเร็วขึ้น ทำให้ผิวหนังดูผ่องใส และสามารถช่วยลดริ้วรอยลงได้นิดหน่อย ทำให้ผิวหนังดูเรียบเนียนขึ้น ดังกลไกที่ลุงแมวน้ำได้อธิบายไปแล้ว

ลุงแมวน้ำขอย้ำว่าโดยข้อเท็จจริงแล้ว การผลัดเซลล์ผิวช่วยลดริ้วรอยเล็กๆ (line) ได้เท่านั้น ส่วนร่อง (wrinkle) หรือรอยย่น (fold) นั้นแค่ช่วยให้ดูดีขึ้น เพราะร่องและรอยย่นเกิดในผิวหนังระดับลึกลงไป เกี่ยวข้องกับโปรตีนคอลลาเจน (collagen) และอิลาสติน (elastin) ซึ่งการผลัดเซลล์ผิวไม่ได้แก้ไขที่ต้นเหตุ 



โยเกิร์ตนมถั่วเหลือง กรดผลไม้ ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว


หลังจากที่เราทำความเข้าใจกับเรื่องส่วนประกอบของผิวหนัง และที่มาที่ไปของการผลัดเซลล์ผิวแล้ว ทีนี้เราก็จะมาดูกันว่า หากต้องเร่งการผลัดเซลล์ผิวเราจะทำอย่างไร

การเร่งการผลัดเซลล์ผิวนั้นหากศัพท์วิชาการในภาษาอังกฤษจะเรียกว่า exfoliation ซึ่งตรงกับคำว่าผลัดเซลล์ผิวในภาษาไทย แต่คำภาษาอังกฤษที่มักใช้ในภาษาทั่วไปหรือในการโฆษณาผลิตภัณฑ์มักใช้คำว่า skin peeling นั้นหมายถึงการลอกหรือปอกผิวออกไป เหมือนกับปอกเปลือกผลไม้ 

ปกติคนวัยหนุ่มสาวการผลัดเซลล์ผิวก็เป็นไปตามปกติอยู่แล้ว แต่ในวัยผู้ใหญ่ การผลัดเซลล์ผิวจะช้าลง ดังนั้นการเร่งการผลัดเซลล์ผิวก็คือการช่วยให้กระบวนการผลัดเซลล์ผิวดำเนินไปตามปกติเหมือนในวัยหนุ่มสาวนั่นเอง ปกติการผลัดเซลล์ผิวนั้นมีสองแบบ หากเร่งการผลัดเซลล์ผิวอย่างรวดเร็ว จำเป็นต้องใช้สารเคมีที่มีฤทธิ์รุนแรง กรณีนี้ต้องให้แพทย์ผิวหนังทำ

ส่วนการเร่งแบบนิดๆหน่อยๆ เราสามารถทำเองได้โดยใช้กรดผลไม้ หรือที่เรียกว่า fruity acid (ยกเว้นกรดผลไม้ที่ใช้ในปริมาณเข้มข้นในรูปสารสกัด ก็ให้ผลรุนแรงได้เช่นกัน แต่ที่มีในธรรมชาติไม่ได้เข้มข้นขนาดนั้น)

มนุษย์ค้นพบมานานแล้วว่าผลไม้บางชนิดสามารถช่วยบำรุงผิวพรรณได้ ดังนั้นเราจึงพบว่าตำรับบำรุงผิวแบบชาวบ้านที่ตกทอดกันมานั้นมีตำรับที่เกี่ยวกับผลไม้อยู่หลายตำรับทีเดียว เช่น การใช้แตงกวาแปะผิว แอปเปิ้ลแปะผิว การใช้น้ำมะขามบำรุงผิว ฯลฯ ซึ่งต่อมานักวิทยาศาสตร์จึงค้นพบว่าสารที่ช่วยในการบำรุงผิวพรรณที่อยู่ในผลไม้เหล่านี้ก็คือกรดอ่อนๆที่ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวนั่นเอง โดยกรดอ่อนที่อยู่ในผลไม้นี้มีอยู่หลายชนิดที่มีสรรพคุณช่วยผลัดเซลล์ผิวได้ ซึ่งเรียกรวมๆกันว่า กรดผลไม้ หรือ fruity acid

กรดผลไม้นั้น ในทางเคมี คือกลุ่มของกรดที่เรียกว่ากรดอัลฟาไฮดรอกซี (alpha hydroxy acids) หรือที่เรียกว่า เอเอชเอ (AHA) นั่นเอง มาถึงตอนนี้หลายคนคงร้องอ๋อแล้ว เพราะว่าเอเอชเอนั้นเป็นส่วนผสมที่นิยมกันมากในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเมื่อหลายปีที่ผ่านมา 

ดังที่ลุงแมวน้ำบอกแล้วว่ากรดผลไม้นี้มีอยู่หลายชนิด กรดผลไม้แต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติแตกต่างกันไปบ้าง รวมทั้งขนาดโมเลกุลก็แตกต่างกันด้วย เรามาดูกันว่ากรดผลไม้ที่นิยมใช้กันนั้นมีอะไรบ้าง


โครงสร้างโมเลกุลของกรดผลไม้ชนิดต่างๆ




  • กรดไกลคอลิก (glycolic) เป็นกรดผลไม้ที่มีขนาดโมเลกุลเล็กที่สุดในกลุ่ม AHA มีในอ้อย
  • กรดแลกติก (lactic acid) เป็นกรดที่จัดอยู่ในกลุ่มกรดผลไม้ที่ขนาดโมเลกุลเล็กเป็นอันดับสองรองลงมาจากกรดไกลคอลิก ตามชื่อแล้วก็คิดว่าน่าจะพบในผลไม้ แต่ที่จริงไม้ใช่ กรดแลกติกนี้แม้อยู่ในกลุ่ม fruity acid แต่เป็นกรดที่มีในโยเกิร์ต
  • กรดมาลิก (malic acid) มีในแอปเปิล มีขนาดโมเลกุลใหญ่ขึ้นมาอีก
  • กรดทาร์มาริก (tartaric acid) มีในมะขาม องุ่น มีขนาดโมเลกุลใหญ่ขึ้นมาอีก
  • กรดซิตริก (citric acid) มีในส้มต่างๆและมะนาวต่างๆ มีขนาดโมเลกุลใหญ่ที่สุดในกลุ่ม


ขนาดของโมเลกุลกรดมีผลต่อการซึมลงไปในชั้นผิวหนัง กรดโมเลกุลเล็กทำงานได้ดีกว่ากรดโมเลกุลใหญ่ ดังนั้นจะเห็นว่ากลุ่มกรดไกลคอลิกมีศักยภาพในการผลัดเซลล์ผิวได้ดีที่สุด แต่การหาอ้อยมาใช้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ผลไม้ที่หาซื้อง่ายเป็นพวกมะขาม ส้ม มะนาว แต่ก็มีขนาดโมเลกุลใหญ่ ดั้งนั้นตัวเลือกที่ดีที่สุดน่าจะเป็นกรดแลกติกเพราะว่ามีขนาดโมเลกุลเล็กและหาซื้อได้ง่าย ทำเองก็ยังได้

กลไกที่กรดผลไม้ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวอยู่ที่ว่ากรดเหล่านี้จะไปทำให้ชั้นขี้ไคลอ่อนตัวลง มีแรงยึดเกาะกันน้อยลง ทำให้หลุดลอกออกได้ง่ายขึ้น



โยเกิร์ตนมถั่วเหลือง ไม่ได้แค่ผลัดเซลล์ผิว ยังช่วยสร้างคอลลาเจนลดริ้วรอย


ดังที่ลุงแมวน้ำเล่ามาแล้วว่าหน้าที่หลักของกรดผลไม้นั้นคือเร่งการผลัดเซลล์ผิว และกรดผลไม้ที่หาง่าย ใช้สะดวก อีกทั้งมีคุณสมบัติที่ดี นั่นคือโยเกิร์ต เพราะว่ากรดแลกติกมีขนาดเล็ก โยเกิร์ตที่ว่านี้หมายถึงโยเกิร์ตนมวัวทั่วไป

แต่ว่าโยเกิร์ตนมถั่วเหลือง (soy yogurt) นั้นมีดีมากกว่านั้นอีก เพราะว่านอกจากช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวผ่องแล้ว ยังมีคุณสมบัติเพิ่มเติมอีก นั่นคือ ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยลดริ้วรอยในระดับร่องและรอยย่นที่อยู่ในระดับลึกได้อีกด้วย 

คุณสมบัติในการลดริ้วรอยระดับลึกนั้นเกิดจากคุณสมบัติของตัวกรดเอง จากงานวิจัยใหม่ๆ พบว่า กรดไกลคอลิก กรดแลกติก และกรดซิตริก ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ (dermis) ได้อีกด้วย

และนอกจากนี้ ในโยเกิร์ตนมถั่วเหลือง ยังมีสารธรรมชาติที่เรียกว่าเจนิสทีน (genistein สารนี้ไม่มีในนมวัว) ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอีกด้วย อันเป็นคุณสมบัติลดริ้วรอย (anti wrinkle) รวมทั้งยังมีสารเลซิทิน (lecithin สารนี้มีในนมวัวด้วย) ที่ช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง

ดังนั้นการใช้โยเกิร์ตนมถั่วเหลืองเป็นครีมบำรุงผิว นอกจากช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวพรรณดูผ่องใสแล้ว การใช้ในระยะยาวยังช่วยลดริ้วรอยได้อีกด้วย



โยเกิร์ตนมถั่วเหลืองลุงแมวน้ำ เพิ่มภูมิต้านทานแก่ผิวหนังด้วยจุลินทรีย์โพรไบโอติก


ที่สำคัญที่สุดที่เป็นข้อดีของโยเกิร์ตนมถั่วเหลืองสูตรลุงแมวน้ำ ที่ไม่มีในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวชนิดอื่น ก็คือ มีจุลินทรีย์ในกลุ่มแลกติกแอซิดแบกทีเรีย (lactic acid bateria) ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ประจำถิ่นบนผิวหนังนั่นเอง และที่พิเศษไปกว่านั้น คือเสริมด้วยจุลินทรีย์ในกลุ่มโพรไบโอติก (probiotic bacteria) ซึ่งเท่ากับว่าโยเกิร์ตนมถั่วเหลืองสูตรลุงแมวน้ำสามารถช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้แก่ผิวหนังได้อีกด้วย 

จุลินทรีย์ประจำถิ่นและภูมิคุ้มกันบนผิวหนังนี้สำคัญนักเชียว เนื่องจาก ด่านแรกที่สกัดกั้นการรุกรานจากจุลินทรีย์ภายนอกไม่ให้เข้ามาทางผิวหนังก็คือกลุ่มจุลินทรีย์ประจำถิ่นและภูมิคุ้มกันบนผิวหนังนั่นเอง ดังนั้นการบำรุงผิวด้วยโยเกิร์ตนมถั่วเหลืองสูตรโพรไบโอติกนี้จะช่วยให้ผิวพรรณมีสุขภาพดีขึ้นแบบองค์รวม และช่วยลดการอักเสบและติดเชื้อบนผิวหนังได้



ครีมบำรุงผิวโยเกิร์ตสูตรโพรไบโอติก ใช้อย่างไร


วิธีใช้ก็ไม่ยาก ก็เอาโยเกิร์ตนมถั่วเหลืองสูตรโพรไบโอติกที่เรากินนั่นแหละ แบ่งมาหน่อยนึง ชโลมตัวให้ทั่วหลังอาบน้ำ จากนั้นทิ้งไว้สัก 10-15 นาที หรือจะนานกว่านั้นก็ได้ จากนั้นล้างออกด้วยน้ำเปล่า ไม่ต้องใช้ครีมอาบน้ำซ้ำ

หลังจากใช้ครีมบำรุงผิวโยเกิร์ตที่ว่านี้ เพียงแค่ครั้งหรือสองครั้ง จะสังเกตพบว่าผิวหนังชุ่มชื้นมากขึ้น แถมมีกลิ่นหอมอ่อนๆด้วย น่ากินดี (กลิ่นโยเกิร์ตนั่นเอง) ^_^

หากใช้ในระยะยาว จะช่วยให้ผิวพรรณผ่องใสขึ้น ลดริ้วรอย ลดการอักเสบติดเชื้อของผิวหนังลงได้ ผิวหนังจะมีสุขภาพดีขึ้น

แถมเคล็ดลับนิดนึง ใครที่มือเท้าแช่น้ำ โดนผงซักฟอกบ่อยๆ มือเท้ามักอักเสบ หรือที่เรียกว่าน้ำกัดมือ น้ำกัดเท้า นั่นเอง พยายามใส่ถุงมือหรือรองเท้า ลดการโดนน้ำลง และใช้โยเกิร์ตชโลมมือเท้าบ่อยๆ ผิวหนังจะหายอักเสบเร็วขึ้น

และที่ลุงแมวน้ำอยากฝากให้ไปทดลองกันหน่อย ก็คือ ผลในการระงับกลิ่นอับในจุดซ่อนเร้น โดยทฤษฎีแล้วน่าจะช่วยได้บ้างนะ ก็ฝากเอาไปทดลองกัน



ครีมบำรุงผิวโยเกิร์ตนมถั่วเหลือง สูตรโพรไบโอติกของลุงแมวน้ำ หาซื้อได้ที่ไหน


ไม่มีขายคร้าบ ของดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอาเอง แต่ว่าทำไม่ยากหรอก ตามนี้เลย วิธีทำอยู่ในตอนที่ 3

เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ ทำโยเกิร์ตโพรไบโอติกสูตร (เกือบ) เจกินเองกันดีกว่า (ตอนที่ 1)

เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ ทำโยเกิร์ตโพรไบโอติกสูตร (เกือบ) เจกินเองกันดีกว่า (ตอนที่ 2)

เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ ทำโยเกิร์ตโพรไบโอติกสูตร (เกือบ) เจกินเองกันดีกว่า (ตอนที่ 3)


ท้ายที่สุดนี้ ลุงแมวน้ำอยากบอกว่านี่ไม่ใช่ของวิเศษนะคร้าบ ดังนั้น ต้องเข้าใจว่าการใช้นั้นต้องใช้อย่างต่อเนื่องเป็นประจำ และเข้าใจประสิทธิผลว่าช่วยบำรุงผิวพรรณให้ดีขึ้นได้บ้างเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรก็ตาม สังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยง ย่อมเปลี่ยนไปตามวัย จะเหนี่ยวรั้งได้ก็แค่นิดหน่อย และที่สำคัญอีกประการก็คือ ปัจจัยอื่นก็มีผลด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น หากผิวไปออกแดดอยู่เป็นประจำ ผลของรังสียูวีในแดดที่ไปทำลายคอลลาเจนและอิลาสตินในผิวหนังย่อมมีสูง เมื่ออัตราการทำลายสูงกว่าการสร้าง ผิวหนังก็ย่อมเหี่ยวลงๆ ใช้อะไรก็ช่วยไม่ไหว การหลีกเลี่ยงแสงแดดจ้าจึงเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดกว่า และใช้ครีมบำรุงเพื่อปรับปรุงสภาพผิวให้ฟื้นขึ้นบ้าง


เอาละ จบเสียที ลองเอาไปใช้กันดูนะคร้าบ ^_^