Saturday, March 1, 2014

01/03/2014 เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ : วัวแสนสุข




ช่วงนี้ลุงแมวน้ำห่างหายไปจากพวกเราบ้าง ไม่ค่อยได้อัปเดตเรื่องตลาดหุ้นและการลงทุนถี่เหมือนอย่างเคย ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าตลาดหุ้นยังไม่ค่อยมีปัจจัยอะไรใหม่ ก็ยังเป็นปัจจัยเดิมๆอยู่ มุมมองที่ลุงแมวน้ำเขียนเอาไว้แล้วจึงยังไม่เปลี่ยน ก็เลยไม่ค่อยมีเรื่องอะไรมาอัปเดตนัก อีกอย่างหนึ่งก็คือลุงแมวน้ำงานเยอะขึ้นกว่าเดิมน่ะ แบ่งเวลามาเขียนอะไรต่ออะไรได้น้อยลง และอีกอย่างหนึ่งก็คือ (แหม่ หลายอย่างจริง ^_^) ลุงแมวน้ำกำลังปรับปรุงแนวทางในพูดคุยและนำเสนอเกี่ยวกับการลงทุนทั้งในเว็บบล็อกและในเฟซบุ๊ก ทั้งนี้เพราะว่าทำอะไรแล้วย่ำอยู่กับที่นานๆก็ไม่ค่อยดี เมื่อโลกก้าวไปข้างหน้า การที่เราหยุดอยู่กับที่ก็เหมือนกับเป็นการถอยหลังนั่นเอง ถือว่าเป็นการปรับปรุงฉลองเว็บบล็อกครบ 4 ปีและย่างเข้าสู่ปีที่ 5 ก็แล้วกัน ประเด็นหลักที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัดคือ ลุงแมวน้ำจะโกอินเตอร์ คือชวนพวกเราไปลงทุนในต่างประเทศกัน เพราะปัจจุบันธนาคารแห่งประเทศไทยผ่อนคลายเรื่องนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศลงมาก นักลงทุนรายย่อยอย่างพวกเราก็สามารถกระจายความเสี่ยงด้วยการไปลงทุนในต่างประเทศได้ด้วยตนเองด้วยการซื้อหุ้นและอีทีเอฟ (etf) ในตลาดต่างประเทศ

รออีกนิดเดียว ลุงแมวน้ำเตรียมข้อมูลไปได้มากพอควรแล้ว อีกไม่นานเราจะได้มาคุยกัน ^_^

สำหรับวันนี้ เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ แถมยังเป็นต้นเดือนอีกด้วย ลุงแมวน้ำละชอบจริงๆ วันหยดแถมยังรับเงินเดือนมาหมาดๆ คืนนี้ว่าจะไปสั่งลาเวทีอโศกสักหน่อย เพราะว่ากำนันสุเทพประกาศคืนพื้นที่จราจร ยุบเวทีต่างๆลง คือที่สีลม อโศก ปทุมวัน ราชดำเนิน ราชประสงค์ และย้ายไปตั้งเป็นเวทีเดียวที่ภายในสวนลุมแทน ส่วนเวทีแจ้งวัฒนะกับเวที คปท ที่หน้าทำเนียบนั้นยังคงมีอยู่ต่อไป เพราะสองเวทีนั้นดำเนินการเป็นอิสระจาก กปปส

ลุงจะไปส่งท้ายที่เวทีอโศก เพราะว่าเป็นเวทีที่ไปค่อนข้างน้อย จะไปถ่ายรูปและซื้อของที่ระลึกมาเก็บไว้สักหน่อย และสัปดาห์หน้าเป็นต้นไป ชาวกรุงเทพฯก็คงได้ดำเนินชีวิตที่สะดวกสบายตามเดิม รถเมล์ก็กลับมาวิ่งในเส้นทางปกติได้ หลังจากที่ต้องปรับเส้นทางจนผู้โดยสารงงไปหมด

แต่อย่างไรก็ดี อย่าประมาทนะคร้าบ ยังต้องระวังเหตุรุนแรงอยู่ตลอดช่วงเดือนมีนาคม

เอาละ เรามาคุยเรื่องเบาๆในเช้าวันหยุดกันดีกว่า ^_^

คลิปวีดิโอข้างบนที่ลุงแมวน้ำนำมาฝากนั้นเป็นคลิปจากเยอรมัน เสียงพูดเป็นภาษาเยอรมันแต่มีคำบรรยายภาษาอังกฤษกำกับอยู่ด้วย ฟังไม่ออกก็ไม่เป็นไร ลุงแมวน้ำพากย์ไทยให้ฟังเอง

คลิปนี้มีชื่อว่าวัวแสนสุข หากเดาไม่ออกว่าวัวฝูงนี้มีความสุขกันเพียงใด ลองดูคลิปให้จบ ยาว 3 นาทีเอง ใครดูแล้วไม่อมยิ้มในความน่ารักของวัวเหล่านี้ก็ใจแข็งแล้ว >.<

วัวเหล่านี้เดิมเป็นวัวนมที่กำลังจะถูกส่งเข้าโรงฆ่าสัตว์ เหตุเกิดในฟาร์มโคนมใกล้เมืองโคโลญจ์ ในปี 2012 โดยฟาร์มแห่งนี้มีปัญหาด้านการเงินและจำเป็นต้องขายวัวนมและลูกวัวเข้าโรงฆ่าสัตว์ หญิงชาวเยอรมันในคลิปนี้อยู่ใกล้ฟาร์มโคนม ทนดูวัวเหล่านี้เข้าโรงฆ่าไม่ได้ จึงทำเป็นมูลนิธิขึ้นและซื้อวัวเหล่านี้มาเลี้ยงไว้

วัวเหล่านี้รอดพ้นจากโรงฆ่าสัตว์อย่างหวุดหวิด และกลับได้มีชีวิตอย่างสุขสบายและมีอิสระเสรี และดูเหมือนว่าพวกวัวเหล่านี้จะรู้ตัวว่าเรื่องร้ายๆได้ผ่านพ้นไปแล้ว พวกเธอจึงมีชีวิตอย่างมีความสุข... มีความสุขกันเพียงใดลุงเชื่อว่าใครที่ได้ดูคลิปนี้ก็จะดูออก

นักวิชาการปศุสัตว์บอกว่าวัวเหล่านี้มีความสุขมากกว่าปกติ คือวัวทั่วไปไม่แสดงออกถึงความสุขด้วยการโลดเต้นมากมายขนาดนี้ ก็แน่ล่ะ เพราะนี่คือคุณค่าของเสรีภาพนั่นเอง

ลุงแมวน้ำจะขอเล่าขยายความสักหน่อย เพื่อให้พวกเราเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องวัว คือปกติวัวปศุสัตว์นั้นแบ่งออกเป็นสองอย่าง นั่นคือ วัวเนื้อกับวัวนม (พวกวัวอเนกประสงค์อันหมายถึงวัวที่เลี้ยงแบบชาวบ้านและใช้ประโยชน์สารพัดแบบไม่เจาะจง ทั้งใช้แรงงานและให้นม พวกนั้นไม่นับ เพราะไม่ค่อยมีแล้ว)

วัวเนื้อก็จะมีพันธุ์วัวและวิธีเลี้ยงตามแบบของวัวเนื้อ เพื่อให้มีเนื้อวัวที่มีคุณภาพดีทั้งเนื้อสัมผัสและรสชาติ ส่วนวัวนมก็จะมีพันธุ์และวิธีการเลี้ยงในแบบวัวนมโดยเน้นที่การให้นมเป็นหลัก และนมนั้นก็เป็นที่มาของผลิตภัณฑ์มากมาย เช่น นม เนย โยเกิร์ต ชีส ครีมชีส ฯลฯ

เอาละ ทีนี้ลุงแมวน้ำขอแวะมาพูดเรื่องมังสวิรัติสักหน่อย คือการบริโภคอาหารมังสวิรัตินั้นก็ยังแบ่งเป็นกลุ่มย่อยอีก นั่นคือ พวกที่กินอาหารมังสวิรัติแบบเคร่งครัด นั่นคือ กินแต่พืชเท่านั้น กับพวกมังสวิรัติที่กินผลิตภัณฑ์นมได้ และมังสวิรัติที่กินไข่ได้ ลุงก็แบ่งกว้างๆเป็นพวกที่ไม่กินนมและไข่ กับพวกที่กินนมและไข่ก็แล้วกัน ทีจริงยังมีมังสวิรัติแบบกินปลาได้อีกด้วย แต่ยังไม่พูดถึงละกัน

พวกมังสวิรัติที่กินนมและไข่เพราะมองว่าการกินนมและไข่นั้นไม่ได้ฆ่าสัตว์ ดังนั้นจึงกินได้ ก็แล้วแต่มุมมอง

แต่ลุงแมวน้ำจะเล่าให้ฟังว่าในกระบวนการผลิตนมนั้นทำกันอย่างไร

เริ่มแรกก็ต้องเลี้ยงวัวนมเสียก่อน แม่วัวสาวในฟาร์มโคนมที่อายุประมาณปีกว่าๆก็พร้อมที่จะเจริญพันธุ์ได้แล้ว และเมื่อายุประมาณ 2 ปีกว่าๆก็สามารถตกลูกและให้น้ำนมได้แล้ว

ทีนี้เมื่อแม่วัวนมคลอดลูก ลูกวัวก็จะถูกแยกจากแม่ในเวลาอันรวดเร็ว เพราะหากอยู่กับแม่นานแม่วัวจะผูกพันและหวงลูก รวมถึงมีผลกับปริมาณน้ำนมที่จะผลิตได้

ทีนี้ลูกวัวที่คลอดออกมาไปไหน คำตอบก็คือ หากลูกวัวเป็นลูกวัวตัวเมียและสุขภาพแข็งแรง ลูกวัวเหล่านี้ก็จะถูกเลี้ยงเพื่อให้เป็นวัวนมรุ่นต่อไป

แล้วลูกวัวเพศเมียที่ไม่แข็งแรงกับลูกวัวตัวผู้ไปไหนล่ะ คำตอบก็คือ เข้าโรงฆ่าสัตว์ เอาไปทำลูกวัวหันหรืออย่างอื่นก็ว่ากันไป


ลูกวัวน่ารัก แต่ใครจะรู้บ้างว่าลูกวัวที่น่ารักเหล่านี้อาจอยู่ดูโลกได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้นเพราะคำว่า "ลดต้นทุนการผลิต"


สำหรับแม่วัวนมเองนั้นก็มีอายุการทำงาน โดยปกติจะให้นมได้เพียง 5-7 ปี ก็จะกลายเป็นแม่วัววัยกลางวัว (ก็เหมือนวัยกลางคนนั่นเอง) ซึ่งประสิทธิภาพการให้น้ำนมจะลดต่ำลง น้ำนมคุณภาพตกลงไป ซึ่งประสิทธิภาพและคุณภาพนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะมันหมายถึงต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ดังนั้นแม่วัวเมื่อให้นมไป 5-7 ปีก็จะถูกปลดระวาง

แล้วแม่วัวที่ถูกปลดระวางไปอยู่ที่ไหน เพื่อประสิทธภาพและการลดต้นทุนและสร้างผลกำไรแก่ฟาร์มโคนม โดยทั่วไปแล้วแม่วัวนมที่ถูกปลดระวางก็จะถูกขายออกไป และถูกส่งเข้าโรงฆ่าสัตว์ เนื้อพวกนี้เป็นเนื้อวัวเกรดรอง ดังนั้นราคาจึงถูกกว่าเนื้อจากวัวเนื้อ แต่ก็สามารถเอาไปขายได้

แม่วัวนมที่หนีจากโรงฆ่าสัตว์ แต่ก็ถูกตามจับกลับมาได้ ถูกจับใส่เครนห้อยต่องแต่งมาเข้าโรงฆ่าเช่นเดิม แต่ตัวนี้โชคดีหน่อย สุดท้ายมีผู้ใจบุญไถ่ชีวิตให้


นี่แหละ ชะตาชีวิตของวัวนม รวมทั้งชะตาชีวิตของไก่ไข่ก็ทำนองเดียวกัน ดังนั้น ผู้ที่กินมังสวิรัติบางคนไม่กินนมและไข่ก็เพราะมองว่าเป็นการฆ่าสัตว์ทางอ้อมนั่นเอง ก็คงแล้วแต่มุมมอง

ตลาดนัดวัวควายในต่างจังหวัดของไทย แหล่งซื้อขายวัวควายในท้องถิ่น

วัวจากคอกต่างๆจะถูกบรรทุกในรถบรรทุกอย่างแออัด เพื่อนำไปขายในตลาดนัดวัวควาย วัวควายเหล่านี้ชะตาีวิตถูกกำหนดไว้แล้วให้ต้องเข้าโรงฆ่า ยกเว้นจะมีผู้มาไถ่ชีวิต

สำหรับลุงแมวน้ำ ลุงแมวน้ำอยู่ในกลุ่มที่ก้ำๆกึ่งๆ ลุงแมวน้ำเลิกกินเนื้อแกะมาประมาณ 10 ปีแล้ว ไม่กินเลยโดยสิ้นเชิง ส่วนเนื้อวัวกับเนื้อหมู นมและไข่นั้นค่อยๆลดการบริโภคมาโดยตลอด ปีนี้แทบไม่ได้กินเลย แรงบันดาลใจของลุงที่หันมากินมังสวิรัติก็เพราะเห็นสัตว์เข้าโรงฆ่านั่นแหละ ที่ลุงทำเบเกอรี่กินเองก็เพราะว่าจะได้ทำเป็นสูตรมังสวิรัติ ไม่ต้องใส่นมและไข่ได้ ส่วนยามไปกินข้างนอกก็เลี่ยงได้ยาก ส่วนอาหารนั้นลุงก็ทำอาหารมังสวิรัติใส่กล่องไปกินข้างนอกยามรับจ๊อบ ก็ทำเท่าที่ทำได้

โดยรวมแล้วการทำอาหารกินเองช่วยลดการเบียดเบียนได้มาก รวมทั้งอาหารที่ทำกินเองยังมีคุณภาพดีกว่าอาหารที่ซื้อกินข้างนอกด้วย ก็ทำให้สุขภาพดีขึ้นกว่าเดิม พออายุเลย 30 ปีแล้วควรระวังเรื่องอาหารมากขึ้น ไม่ต้องรอจนแก่แล้วค่อยระวังหรอก การลดเนื้อสัตว์ใหญ่เป็นคุณแก่ร่างกายด้วย เพราะโปรตีนสัตว์ใหญ่มีกรดยูริกสูงหน่อย กินไปเยอะๆเมื่ออายุมากขึ้นก็เสี่ยงที่จะเป็นโรคเก๊าต์มากขึ้น ไขมันที่แทรกในเนื้อสัตว์ก็ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งการกินโปรตีนสัตว์ใหญ่อย่างไม่บันยะบันยัง ส่งผลให้ไตทำงานหนัก ทำให้ไตเสื่อมไวอีกด้วย ผลเสียของการกินเนื้อสัตว์ใหญ่มีหลายอย่างทีเดียว


บรรยากาศในโรงฆ่าสัตว์


ลุงแมวน้ำยังกินปลาอยู่บ้าง ก็กินเพื่อยังชีพน่ะ เป็นแมวน้ำก็ต้องกินปลา ยังต้องการโปรตีนจากปลาบ้าง แต่ก็กินเป็นครั้งคราวพอยังชีพเท่านั้น ส่วนใหญ่ลุงกินโปรตีนถั่วเหลืองเป็นหลัก เรากินพอเพียงหรือกินมากเกินไป สังเกตง่ายๆที่น้ำหนัก โดยใช้น้ำหนักในช่วงอายุ 20-25 ปีเป็นเกณฑ์ ตอนนั้นคนเราโดยทั่วไปมักหุ่นยังดีอยู่ คือรูปร่างกลางๆ ไม่อ้วนไม่ผอม แต่หลังจาก 25 ปีไปแล้ว หากน้ำหนักเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้น นั่นล่ะ กินมากเกินไปแล้ว 

ดูคลิปนี้กันแล้ว หวังว่าคงสร้างแรงบันดาลใจให้พวกเราลดการบริโภคเนื้อสัตว์ลงได้บ้าง ไม่ต้องถึงกับเลิกหรอก เอาแค่ลดลงได้ก็ดีโขแล้ว คือดีทั้งกับสุขภาพของเราเอง และเท่ากับลดการเบียดเบียน ลุงแมวน้ำก็เดินทางสายกลาง ไม่ได้สุดโต่งว่าต้องกินมังสวิรัติเคร่ง ใครเลิกไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ขอเพียงแค่ลดการบริโภคลง ลดมากลดน้อยตามแต่กำลังใจ ก็ถือว่าดีมากแล้ว และเป็นประโยชน์แก่สุขภาพของเราเองด้วย















Sunday, January 26, 2014

26/01/2014 เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ: ตำนานเพลง สู้ไม่ถอย



กุลศักดิ์ เรืองคงเกียรติ หรือจิ้น กรรมาชน ในวัยต่างๆ


เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ในวัยต่างๆ

ลุงแมวน้ำว่างเว้นไม่ได้เขียนบทความลงในเว็บบล็อกมาพักใหญ่ เผลอเดี๋ยวเดียวก็ว่างเว้นมาเดือนกว่าแล้ว ที่จริงลุงแมวน้ำก็ไม่ได้หายไปไหนหรอก เพียงแต่ว่าช่วงหลังเนื่องจากลุงแมวน้ำมีเวลาเขียนอะไรต่ออะไรน้อยลง จึงมักโพสต์ในเฟสบุ๊กเป็นหลัก

วันนี้ลุงแมวน้ำอยากเขียนบทความให้พวกเราอ่านกันเพลินๆในวันหยุด แต่อาจจะยาวเกินไปสำหรับโพสต์ในเฟซบุ๊ก ก็เลยมาเขียนในเว็บบล็อกดีกว่า

สู้เข้าไปอย่าได้ถอย มวลชนคอยเอาใจช่วยอยู่
รวมพลังทำลายเหล่าศัตรู พวกเราสู้เพื่อความยุติธรรม...

ช่วงนี้เพลงฮิตติดตลาดเพลงหนึ่งที่ติดหูชาวกรุงเทพฯส่วนใหญ่ก็คงหนีไม่พ้นเพลง สู้ไม่ถอย เพลงนี้กลายเป็นเพลงปลุกใจของเหล่ามวลชน กปปส และต่อมาภายหลังเสมือนกับเป็นเพลงประจำตัวของลุงกำนัน สุเทพ เทือกสุบรรณ เนื่องจากเมื่อใดที่ลุงกำนันปรากฏตัวบนเวทีปราศรัยก็จะมีเพลงสู้ไม่ถอยนี้เปิดนำและปิดท้ายการปราศรัยทุกครั้ง รวมทั้งเมื่อใดที่ลุงกำนันออกเดินถนนเยี่ยมประชาชนก็จะมีรถเครื่องขยายเสียงคอยเปิดเพลงนี้คลออยู่ตลอด

ที่จริงแล้วเพลงนี้ไม่ใช่เพลงใหม่แต่อย่างใด ตรงกันข้าม หากนับจนถึงปี พ.ศ. 2557 เพลงนี้ก็มีอายุถึง 41 ปีแล้ว เรามาดูกันว่าเพลงนี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไร

ในบทความชุด 14 ตุลา 2516 ที่ลุงแมวน้ำเขียน หากพวกเรายังจำกันได้ ลุงแมวน้ำได้เล่าเอาไว้ว่ามีเหตุการณ์หลายๆอย่างเกิดขึ้นในประเทศเหมือนแม่น้ำร้อยสายที่ไหลมารวมกันจนกลายเป็นเหตุการณ์มหาวิปโยค 14 ตุลาคม 2516 ในที่สุด และส่วนหนึ่งของเหตุการณ์เหล่านั้นก็คือการที่นิสิตนักศึกษากลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติในยุคนั้น ได้ออกหนังสือตีแผ่ข้อเท็จจริงที่ชื่อว่า ‘บันทึกลับจากทุ่งใหญ่’ โดยเปิดโปงกรณีเฮลิคอปเตอร์ตกจากกรณีทุ่งใหญ่นเรศวร ในช่วงปลายเดือนเมษายน 2516 และรัฐบาลในยุคนั้นอ้างว่าเฮลิคอปเตอร์เข้าไปปฏิบัติราชการ แท้ที่จริงแล้วเป็นการเข้าป่าล่าสัตว์ของข้าราชการและนักการเมือง

จากนั้นนักศึกษารามคำแหงก็ออกหนังสือออกมาบ้างในช่วงกลางปี 2516 ชื่อว่า ‘มหาวิทยาลัยไม่มีคำตอบ’ โดยมีเนื้อหาเสียดสีจอมพลถนอม นายกรัฐมนตรี

อธิการบดีในยุคนั้นสั่งลบชื่อนักศึกษารามคำแหง 9 คนที่เป็นแกนนำในการออกหนังสือเล่มนั้นเพื่อเป็นการลงโทษที่ออกหนังสือเสียดสีนายกรัฐมนตรี จนเกิดเหตุการณ์ประท้วงของนิสิตนักศึกษากันวุ่นวายที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในเวลาต่อมา อันเป็นเดือนมิถุนายน 2516 และท้ายที่สุด อธิการบดีรามคำแหงในตอนนั้นต้องคืนสภาพนักศึกษาทั้งเก้าคน และตนเองก็ลาออกจากตำแหน่งอธิการบดี



การประท้วงของนักศึกษา กรณีนักศึกษารามคำแหง 9 คนถูกสั่งลบชื่อ เนื่องจากเป็นแกนนำในการออกหนังสือ มหาวิทยาลัยไม่มีคำตอบ


เพลง สู้ไม่ถอย ก็แต่งขึ้นเพื่อปลุกเร้าให้กำลังใจแก่มวลชนในการประท้วงในเหตุการณ์ขับนักศึกษารามคำแหงในครั้งนั้นนั่นเอง โดยผู้ที่แต่งเพลงนี้คือ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ผู้นำนักศึกษาในยุคนั้น โดยในตอนนั้นเป็นนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 โดยแต่งทั้งเนื้อร้องและทำนอง

ต่อมา หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม ในปลายปี 2516 นั้นเอง เหตุการณ์ 14 ตุลา ได้ส่งผลต่อสังคมอย่างมาก โดยเฉพาะในหมู่นิสิตนักศึกษา แนวคิดเพื่อสังคม เพื่อมวลชน รับใช้ประชาชน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำของสังคมระหว่างเมืองกรุงอันสุขสบายกับชนบทอันยากไร้ได้แผ่ขยายอย่างกว้างขวางและรวดเร็วในหมู่นิสิตนักศึกษา และในช่วงนั้นเองที่เกิดแนวเพลงเพื่อชีวิตขึ้น และวงดนตรีเพื่อชีวิตยุคแรกก็เกิดขึ้นในช่วงนั้นนั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น วงคาราวาน กรรมาชน ฯลฯ

ในปี 2517 เป็นช่วงที่เพลงแนวเพื่อชีวิตเฟื่องฟูมาก และในมหาวิทยาลัยมหิดลก็ได้ก่อกำเนิดวงดนตรีเพื่อชีวิตวงหนึ่งขึ้น มีกุลศักดิ์ เรืองคงเกียรติ ซึ่งมีชื่อเล่นว่าจิ้น เป็นหัวหน้าวง โดยวงดนตรีนี้เปิดการแสดงเป็นครั้งแรกในงาน  14 ตุลาคม 2517 อันเป็นงานที่ระลึกครบรอบปีของเหตุการณ์ 14 ตุลาคม ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

วงดนตรี กรรมาชน วงดนตรีที่ก่อตั้งในยุคหลัง 14 ตุลา อันเป็นยุคที่แนวเพลงเพื่อชีวิตได้รับความนิยม


หลังจากการแสดงเปิดตัวในครั้งนั้น ชื่อเสียงของวงกรรมาชนก็ขจรขจาย แม้จะเป็นวงใหม่แต่ก็โด่งดังมาก ด้วยแนวเพลงเพื่อชีวิตแบบเร่าร้อน สนุกสนาน ทำให้ได้รับความนิยม ตระเวนเล่นตามงานต่างๆอย่างต่อเนื่อง และได้ออกอัลบัมชุดแรกในปีนั้นเอง โดยเป็นเทปคาสเซ็ต มีชื่อว่า กรรมาชน ชุดที่ 1 ในช่วงปลายปีนั้นเอง

ปกเทปอัลบัม กรรมาชน ชุดที่ 1 ซี่งมีเพลง คนกับควาย เป็นเพลงเอก และมีเพลง สู้ไม่ถอย กับ มาร์ชประชาชนเดิน รวมอยู่ในอัลบัมด้วย

เพลงเอกของกรรมาชน ชุดที่ 1 คือ คนกับควาย และ เพลงสู้ไม่ถอย ก็ถูกบรรจุอยู่ในอัลบัมนี้ด้วยเช่นกัน และนอกจากนั้นก็ยังมีเพลง มาร์ชประชาชนเดิน อีกด้วย รวมทั้งยังมีเพลงอื่นๆอีก เช่นเพลง แสง ที่แต่งขึ้นเพื่อระลึกถึง แสง รุ่งนิรันดร์กุล หนึ่งใน 9 นักศึกษารามคำแหงที่ถูกลบชื่อออกจากสถาบันในปี 2516 ซึ่งต่อมาถูกลอบสังหารจนเสียชีวิต และหลังจากนั้นวงกรรมาชนยังได้ออกอัลบัมตามมาอีกหลายชุด

วงกรรมาชนมีบทบาทเคลื่อนไหวในทางการเมืองด้วย ดังนั้น เมื่อเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2516 ที่ขวาพิฆาตซ้าย วงกรรมาชนจึงต้องสลายตัว สมาชิกในวงต่างต้องหลบหนีกระจัดกระจายกันเข้าป่าไป รวมทั้งเสกสรรค์ ประเสริฐกุล ผู้แต่งเพลงสู้ไม่ถอยก็ต้องหลบหนีเข้าป่าด้วยเช่นกัน

กาลเวลาผ่านไป ในที่สุด นักศึกษาที่หลบหนีเข้าป่าก็ได้กลับมาสู่อ้อมอกของมาตุภูมิอีกครั้งหนึ่ง แต่ละคนก็มีเส้นทางเดินในชีวิตที่แตกต่างกันไป จนในปี 2532 วงกรรมาชนก็ได้กลับมรวมวงกันอีกครั้งหนึ่งและเปิดการแสดงในหอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2532 เนื่องในโอกาสรำลึกถึงเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 โดยการแสดงในปี 2532 นั้นมีเพลง สู้ไม่ถอย อยู่ด้วย และการแสดงในวันนั้นก็ได้ออกเป็นเทปบันทึกการแสดงสดในเวลาต่อมา



อัลบัมบันทึกการแสดงสดของวงกรรมาชน ในปี พ.ศ. 2532


เทปคาสเซ็ตชุดกรรมาชนในยุคแรก รวมทั้งอัลบัมการแสดงสด 2532 ต่างเป็นเทปชุดที่หายากในปัจจุบัน เพลงสู้ไม่ถอยที่เปิดกันในเวที กปปส ปัจจุบันนี้คือเพลงที่นำมาจากการแสดงสดในปี 2532 นั่นเอง และเพลง สู้ไม่ถอย นี้มักเป็นเพลงที่นำมาร้องกันในงานรำลึกถึงเหตุการณ์ 14 ตุลาคม ของทุกปี

นอกจากนี้ ยังมีข้อเท็จจริงอีกหลายเรื่องที่เราอาจไม่ยังรู้ นั่นก็คือ

ข้อที่ 1.
เนื้อเพลงท่อน

เร็วเร็วมา มาร่วมกันเดิน
เรามาเดิน เหล่าประชาชน...

เพลงท่อนนี้เป็นต้นไป ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของเพลง สู้ไม่ถอย แต่เป็นเพลง มาร์ชประชาชนเดิน อันเป็นเพลงในอัลบัม กรรมาชน ชุดที่ 1 เช่นกัน ปัจจุบันเรามักนำมาร้องต่อกันไปจากเพลงสู้ไม่ถอย จนทำให้หลายคนเข้าใจผิดไปว่าเพลงท่อนหลังนั้นคือส่วนหนึ่งของเพลงสู้ไม่ถอย

ข้อที่ 2.
เสกสรรค์ ประเสริญกุล หรือ ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุลในปัจจุบัน ไม่ได้มีความคิดเห็นทางการเมืองในแนวทางเดียวกับ กปปส

ข้อที่ 3.
กุลศักดิ์ เรืองคงเกียรติ หรือจิ้น กรรมาชน ได้แต่งเพลงให้แก่ นปช หลายเพลงในช่วงปี 2553  เช่น มาร์ชแดงทั้งแผ่นดิน, นักสู้ธุลีดิน, เดิมพัน, ปณิธานแห่งเสรีชน, เอาคืน, สีแดง, วันของเรา ฯลฯ


เพลง สู้ไม่ถอย จากอัลบัม กรรมาชน ชุดที่ 1 ถือว่าเป็นเพลงสู้ไม่ถอยเวอร์ชันดั้งเดิม


เพลง สู้ไม่ถอย จากอัลบัม บันทึกการแสดงสด ปี 2532 เป็นเวอร์ชันที่นำมาเปิดกันในปัจจุบัน


เพลง มาร์ชประชาชนเดิน จากอัลบัม กรรมาชน ชุดที่ 1 ปี 2517



เพลง สู้ไม่ถอย

สู้เข้าไปอย่าได้ถอย มวลชนคอยเอาใจช่วยอยู่
รวมพลังทำลายเหล่าศัตรู พวกเราสู้เพื่อความยุติธรรม
เราเดินเคียงบ่าเคียงไหล่ สู้ต่อไปด้วยใจมุ่งมั่น
เขาจะฟาดเขาจะฟัน เราไม่พรั่นพวกเราสู้ตาย
สู้เข้าไปอย่าได้หนี เพื่อเสรีภาพอันยิ่งใหญ่
รวมพลังผองเราเหล่าชาวไทย สู้เข้าไปพวกเราเสรีชน


เพลง มาร์ชประชาชนเดิน

เร็วเร็วมา มาร่วมกันเดิน
เรามาเดิน เหล่าประชาชน
จงร่วมใจ เดินเข้าไป
จงคว้าชัยมาให้มวลชน
ความตายนั่นหรือ
เราไม่กลัว เราไม่เกรง
ใครมาข่มเหง เราจะสู้เราไม่ถอย
เราจะสู้จนชีพหลุดลอย
ไทยจะต้องเป็นไทย