Tuesday, June 25, 2013

25/06/2013 * สภาพคล่องจีนทำตลาดแดงเดือดซ้ำ และสรุปตลาดประสำสัปดาห์ (17/06/2013 - 21/06/2013)


หลังจากจากที่ลุงเบนให้ความชัดเจนเกี่ยวกับการชะลอและยุติการอัดฉีดสภาพคล่องหรือ QE3 ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมทั้งตลาดหุ้นเอเชียก็ตื่นตระหนกไปแล้วรอบหนึ่ง ความวัวยังไม่ทันจะหาย ความควายก็เข้ามาแทรกอีก นั่นคือ ธนาคารในประเทศจีนเกิดปัญหาขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง อัตราการกู้ยืมระหว่างธนาคารด้วยกันพุ่งกระฉูด สาเหตุมาจากปัญหาหนี้เน่าที่ทับถมธนาคารอยู่ ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าเท่าไรกันแน่ เพราะทางการจีนก็ไม่บอก แต่ขยะที่ซุกอยู่ใต้พรมนั้น วันนี้ไม่ใช่ขยะแล้ว แต่กลายเป็นระเบิดที่ซ่อนอยู่ใต้พรมแทน เนื่องจากธนาคารจีนขาดสภาพคล่อง ครั้นจะกู้ยืมระหว่างธนาคาร ธนาคารแต่ละแห่งต่างก็ไม่ไว้ใจกัน เพราะไม่รู้ว่าใครซุกหนี้เน่าเอาไว้เท่าไร ต่างก็ไมยอมให้ยืมกัน เพราะเรกงว่ายืมแล้วจะไม่ได้คืน ดังนั้นเงินสดจึงหายาก อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่างธนาคารจึงพุ่งสูง ซึ่งเดิมทีทางธนาคารกลางของจีนบอกว่าจะไม่อัดฉีดเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอีก เพราะเกรงปัญหาฟองสบู่ จีนต้องการเติบโตอย่างยั่งยืน แม้ว่าอัตราการเติบโตจะช้าลงบ้างก็ดีกว่าโตเร็วแต่มีปัญหาฟองสบู่

พอไม่อัดฉีด ก็กลายเป็นว่าธนาคารขนาดกลางและเล็กขาดสภาพคล่องถึงขั้นวิกฤต ถึงขั้นธนาคารอาจล้มได้ ในที่สุดธนาคารกลางของจีนก็ยอมอัดฉีดสภาพคล่องเข้าไปช่วยเหลือเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังไม่รู้ว่าจำนวนเท่าไร แต่ดูเหมือนจะยังไม่พอ เพราะนี่เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น อาการป่วยของระบบธนาคารที่แท้จริงคือเรื่องหนี้เน่ายังไม่มีการแก้ไขแต่อย่างใด ดังนั้นจึงระเบิดที่ซุกอยู่ใต้พรมตอนนี้ยังทำงานอยู่ และหากทางการจีนไม่รีบถอดชนวน ระบบเศรษฐกิจจีนอาจมีปัญหารุนแรง และมีหวังได้เห็นตลาดหุ้นแดงเดือดกันทั่วโลกอีกรอบหนึ่ง

จากปัญหาของจีนที่เพิ่งประทุขึ้นมานี้เอง ที่เป็นเหมือนความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก เรื่องยุติ QE3 ของลุงเบนยังไม่ทันจะฝุ่นจาง ปัญหาเรื่องสภาพคล่องของธนาคารจีนก็เข้ามาอีก

เมื่อวาน 24/06/2013 ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลงในวันเดียวกว่า -5% โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารลงหนักว่านั้น ประมาณ -8% และพลอยฉุดให้ตลาดหุ้นอื่นแดงไปด้วย รูปแบบทางเทคนิคเสียหายไปแล้ว ดังภาพต่อไปนี้


ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลงอย่างรวดเร็วจากปัญหาธนาคารขาดสภาพคล่อง เดิมทีทางการจีนบอกว่าจะไม่อัดฉีดสภาพคล่องเพราะไม่ต้องการให้เกิดปัญหาฟองสบู่ แต่ต้องการเติบโตอย่างยั่งยืนแม้ว่าจะเติบโตช้าลงบ้าง แต่ในที่สุดก็ต้องยอมอัดฉีดเงินเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาซึ่งยังไม่รู้จำนวนเงินที่ใช้ แต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่เพียงพอ ตลาดหุ้นจีนดิ่งลง -17.9% แล้วนับจากยอดคลื่นเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม


ถ้าดัชนี CSI 300 ของจีนหลุดจาก 2110 จุดก็เป็นเรื่อง เพราะแปลว่ายังลงได้อีกมาก กลายเป็นคลื่นใหญ่ขาลงทีเดียว และแนวโน้มจะหลุดจาก 2110 ก็มีสูงเสียด้วย แต่ว่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นอื่นๆมากมายเพียงใดยังยากบอกได้

ขณะเดียวกัน เมื่อวาน 24/06/2013 ตลาดหุ้นทั่วโลกก็รับข่าวเศรษฐกิจจีน ตลาดหุ้นอเมริกาปรับตัวลงประมาณ -0.9% ที่จริงลงลึกกว่านี้อีกในระหว่างวัน แต่ดีดกลับมาได้ตอนท้ายตลาด ขณะเดียวกัน ราคาพันธบัตรรัฐบาลอายุยาวของอเมริกาก็ร่วงลงไปอีก


ตลาดหุ้นอเมริกาฝุ่นตลบต่อจากผลของปัญหาเศรษฐกิจของจีน จนถึงวันนี้ 24/06/2013 ตลาดหุ้นอเมริกาปรับตัวลงจากยอดคลื่นล่าสุด -4.87% แล้ว และราคาพันธบัตรรัฐบาลอเมริกัน อายุ 10 ปี และ 30 ปี ก็ปรับตัวลงจากยอดคลื่นล่าสุดเมื่อต้นเพือนพฤษภาคม -5.4% กับ -9.6% ตามลำดับ




ขณะเดียวกัน ทางฝั่งยุโรปก็แดงเช่นกัน ตลาดหุ้นเยอรมนีปรับตัวลงไปแล้ว -9.8% 


ตลาดหุ้นเยอรมนีปรับตัวลงจากยอดคลื่นล่าสุดเมื่อเดือนพฤษภาคม -9.8% แล้ว


เมื่อวาน 24/06/2013 ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงต่อ ดัชนี SET ปิดที่ 1364.09 จุด ซึ่งเดิมทีแม้ว่าดัชนีจะเคยไหลลงถึง 1350 จุดแต่ก็เป็นในระหว่างวันเท่านั้น หากคิดจากราคาปิด ดัชนี SET ยังไม่เคยหลุดจาก 1400 จุด เมื่อวานเป็นวันแรกที่ดัชนีปิดต่ำกว่า 1400 จุด 


ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงจากยอดคลื่นล่าสุด -17% แล้ว


ราคาทองคำหลุดจากกรอบสามหลี่ยมชายธงลงมาแล้ว อาจลงไปได้ถึง 1160 ดอลลาร์ สรอ/ทรอยออนซ์


ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนผันผวนหนัก ราคาทองคำในที่สุดก็หลุดจากสามเหลี่ยมชายธงลงมาข้างล่าง พร้อมกับดอลลาร์ สรอ แข็งค่า แต่ขณะนี้ดอลลาร์ สรอ ดูจะเริ่มนิ่งแล้ว ทำให้เงินตราสกุลอื่นพลอยเริ่มนิ่งไปด้วย แต่ก็ยังไม่น่าวางใจ ดอลลาร์ สรอ อาจแข็งค่าต่อพร้อมกับราคาทองคำร่วงต่อ



อัตราแลกเปลี่ยนและราคาทองคำในเชิงเปรียบเทียบ



สำหรับสรุปในรอบสัปดาห์ที่แล้วเราก็คงคุยกันมามากแล้ว ประเด็นหลักในสัปดาห์ที่แล้วก็คือความปั่นป่วนจากการประกาศของเฟดเรื่องการชะลอและยุติ QE3 ซึ่งถือว่าชัดเจนขึ้นมากแล้ว ตลาดในสัปดาห์ที่แล้วปรับตัวลงรับข่าวนี้เป็นหลัก ตลาดหุ้นอเมริกาเองตลอดสัปดาห์ปรับตัวลงไม่มาก ประมาณ -2% ในขณะที่ตลาดหุ้นอื่นลงหนักกว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงถึง -4.4%

สำหรับสัปดาห์นี้ ประเด็นจะไปอยู่ที่เศรษฐกิจจีนเป็นหลัก ต้องมาดูกันว่าตลาดหุ้นทั่วโลกจะตอบสนองกับข่าวทางจีนมากน้อยเพียงใด ส่วนตลาดหุ้นไทยนั้นลุงแมวน้ำไม่ค่อยแน่ใจแล้วว่า 1350 จุดจะรับไหวไหม รวมทั้งไม่แน่ใจว่า window dressing ตอนสิ้นเดือนมิถุนายนจะทำงานได้จริงหรือไม่ เพราะรายย่อยก็รอขายตอนทำ window dressing อยู่นี่แหละ เมื่อรอขายกันทั้งประเทศก็อาจขึ้นไม่ไหว แต่อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ตอนนี้ คิดว่าหากหลุด 1350 จุดก็คงไม่หลุด 1310 จุด ทั้งนี้ ลุงแมวน้ำดูจากราคาพันธบัตรรัฐบาลที่เริ่มนิ่งแล้ว ประกอบกับค่าเงินบาทก็เริ่มนิ่ง ดังนั้นตลาดหุ้นก็น่าจะเริ่มนิ่งได้แล้ว

ดัชนีราคาพันธบัตรรัฐบาลไทย อายุ 7-10 ปี จากที่ราคาไหลลงแรง ตอนนี้เริ่มนิ่งแล้ว หมายความว่าแรงขายเริ่มชะลอตัวแล้ว ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยด้วย


ตลาดตอนนี้ผันผวนมาก อะไรก็เกิดได้ทั้งนั้น ก็ต้องรอดูตลาดอเมริกาเป็นหลัก เมื่อไรที่ตลาดอเมริกาไปต่อได้ ตลาดหุ้นทั่วโลกก็จะตั้งหลักและไปต่อได้





 photo s5021062013weeklyreportcopy.gif

Sunday, June 23, 2013

23/06/2013 เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ บำรุงผิวพรรณ ผ่องใส ลดริ้วรอย ด้วยโยเกิร์ตนมถั่วเหลือง (เจ/มังสวิรัติ) (1)


เช้าวันหยุดในช่วงฤดูฝนอากาศเย็นสบาย ไม่ร้อนอบอ้าวเหมือนเมื่อช่วงเดือนเมษายน พฤษภาคมที่ผ่านมา ลุงแมวน้ำตื่นแต่เช้ามานั่งจิบกาแฟชมสวน พลางนึกถึงบทความในวันหยุด

ลุงแมวน้ำคิดจะเขียนบทความเกี่ยวกับวิธีบำรุงผิวพรรณแบบง่ายๆ ได้ผล และราคาประหยัดมาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่ได้เขียนสักที เอาละ วันนี้เรามาคุยเรื่องนี้กันดีกว่า



ครีมผิวขาวใส ตลาดแดงเดือดกับโฆษณาเว่อ


ผลิตภัณฑ์พวกสกินแคร์หรือว่าผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเครื่องสำอางบำรุงผิวพรรณนั้นจัดเป็นกลุ่มสินค้าที่มียอดขายเติบโตดีมาก เพราะคนเราไม่ว่าชายหรือหญิงย่อมมีนิสัยรักสวยรักงาม ไม่ใช่แต่เฉพาะคนไทย แต่ว่าเป็นกระแสของทั่วโลกเลยทีเดียว และเมื่อเป็นธุรกิจที่มียอดขายดี แน่นอน ผู้ประกอบการทุกขนาด ไม่ว่าเล็ก กลาง ใหญ่ ยักษ์ ต่างก็กระโจนเข้ามาในสนามเครื่องสำอางบำรุงผิวพรรณกัน ดังนั้น จะว่าไปแล้ว ธุรกิจเครื่องสำอางบำรุงผิวพรรณในปัจจุบันจัดว่าเป็นน่านน้ำทะเลแดง (red ocean market) เพราะว่ามีการแข่งขันกันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน ดังที่เราคงเห็นกันว่า ไม่ว่าจะไปที่ไหน ไม่ว่าจะดูทีวี ฟังวิทยุ ขึ้นรถไฟฟ้า ยืนตามป้ายรถเมล์ ฯลฯ ต่างก็เห็นโฆษณาเครื่องสำอางกลุ่มสกินแคร์เต็มไปหมด

โดยเฉพาะวัฒนธรรมของไทยนั้นนิยมผิวขาว ดังนั้นผลิตภัณฑ์ที่บำรุงผิวพรรณเพื่อให้ผิวขาว ลดความหมองคล้ำ ลดริ้วรอย เหล่านี้จึงเป็นที่นิยมในหมู่ผู้บริโภคชาวไทย ดังจะเห็นได้จากโฆษณาผลิตภัณฑ์ผิวขาวทั้งหลายที่กระหน่ำโฆษณาถี่ราวกับต้องการล้างสมองผู้บริโภค ลุงแมวน้ำขึ้นรถไฟฟ้า ในระยะเวลาเพียงแค่ 40 นาทีที่อยู่ในรถไฟฟ้า แต่ดูโฆษณาผลิตภัณฑ์ผิวขาวไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ ดูจนเวียนหัว ต้องหันหน้าไปดูอย่างอื่นแทน

ถามว่าผลิตภัณฑ์บำรุงผิวขาวที่โฆษณากันอยู่นี้ทำให้ผิวขาวได้จริงไหม ลุงแมวน้ำก็อยากถามกลับว่า คนที่ใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ที่เห็นในโฆษณานั้น พรีเซ็นเตอร์มีผิวขาวราวเป็นประกายราวกับหลอดฟลูออเรสเซ็นต์เดินได้ แล้วผู้ที่ซื้อไปใช้มีใครเคยใช้แล้วได้ผลแบบนั้นหรือไม่ ทำไมเราไม่เห็นหลอดฟลูอออเรสเซ็นต์เดินได้กันเต็มเมืองแล้วล่ะ เพราะผู้ที่ซื้อใช้ก็มีมากมาย

หลายคนอาจบอกว่า อ้าว ในโฆษณามีผลวิจัยด้วยนะ ผู้หญิงกว่า 90% ใช้แล้วได้ผล อะไรนั่น ลุงแมวน้ำก็อยากบอกว่า ให้สังเกตคำพูดที่ใช้ในโฆษณาให้ดี ในโฆษณาจะพูดว่า "จากผลการสำรวจ ผู้หญิง 90% ที่ใช้รู้สึกว่าผิวของตนเองดูกระจ่างสดใสขึ้น..."

ลุงแมวน้ำมีข้อสังเกตเกี่ยวกับผลสำรวจที่มักยกมาอ้างในงานโฆษณา นั่นก็คือ ผู้บริโภคต้องฟังดูดีๆ เพราะว่าไม่มีโฆษณาชิ้นใดเลยที่บอกว่า "ใช้แล้วผิวขาวขึ้น" มีแต่บอกว่า "ใช้แล้วรู้สึกว่า..." ดังนั้น แท้ที่จริงแล้วผลสำรวจนี้เป็นการสำรวจความพึงพอใจของผู้บริโภคต่างหาก คือเป็นการถามความรู้สึก ไม่ได้เป็นข้อเท็จจริงว่าผิวขาวขึ้นหรือไม่ หากจะพิสูจน์ว่าขาวจริงหรือไม่ต้องใช้เครื่องตรวจวัดสภาพผิวมาวัดกันเลยจึงจะบอกได้

และข้อสังเกตอีกประการก็คือ ไม่มีโฆษณาชิ้นใดที่บอกว่าใช้แล้วผิวขาว มีแต่บอกว่า "แลดูขาว, แลดูกระจ่างสดใส" ใช้คำว่า "แลดู" ไม่ได้บอกว่าขาวจริงๆ

หรือบางทีโฆษณาก็ทำเหนือชั้น ทำหนังโฆษณาแบบไม่พูดตรงๆ แต่เอาอะไร ขาวๆ ชมพูๆ มาใส่ไว้ในโฆษณา แล้วให้ผู้ชมคิดเชื่อมโยงเอาเอง ว่า เออ นี่ใช้แล้วผิวขาวนะ ใช้แล้วผิวอมชมพูนะ ซึ่งที่จริงโฆษณาแนวนี้ไม่พูดตรงๆเพราะว่ากฎหมายห้ามเอาไว้ คือ กฎ อย. ห้ามบรรยายสรรพคุณในลักษณะของยา ดังนั้นจะบอกว่าใช้แล้วผิวขาว แบบนี้ไม่ได้ อย่างนั้นต้องไปขึ้นทะเบียนยา ก็เลี่ยงไปใช้การสื่อความหมายโดยให้ผู้ชมไปตีความเอาเอง แบบนี้ก็เลี่ยงกฎ อย. ไปได้ แต่ถือว่าเป็นการเลี่ยงบาลี

เอาละ แล้วทีนี้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้แล้วทำให้ผิวขาวนั้นมีจริงหรือเปล่า คำตอบก็คือ มีจริง แต่ว่าส่วนใหญ่ช่วยให้ขาวขึ้นได้นิดหน่อยเท่านั้น ไม่ได้มากมายอะไร หากใช้เครื่องตรวจสภาพผิว จะพบว่าผิวขาวขึ้น แต่หากดูด้วยตา บางทีดูไม่ออกหรอก แค่รู้สึกว่าผ่องๆขึ้นนิดหน่อยเท่านั้นเอง ซึ่งเรื่องนี้มีปัจจัยอื่นประกอบด้วย เช่น หากเลี่ยงการออกแดดได้ด้วย ก็มีส่วนช่วยให้ผิวพรรณขาวขึ้นได้ ซึ่งการเลี่ยงออกแดดนี้สำคัญกว่าการใช้เครื่องสำอางผิวขาวเสียอีก เพราะว่าการที่ผิวหนังของแต่ละคนมีสีอะไรนั้นขึ้นอยู่กับชาติพันธุ์กำหนด จากนั้นสภาพแวดล้อม คือการออกแดด จะช่วยเสริมให้ผิวคล้ำมากขึ้น ดังนั้นหากเลี่ยงออกแดดได้ ผิวก็ขาวขึ้นบ้างอยู่แล้วโดยธรรมชาติ



กลไกในการทำให้ผิวขาวขึ้นนั้นทำได้อย่างไร


พูดเรื่องนี้แล้วก็ยาว เอาแบบสั้นๆ เข้าใจง่าย แบบแมวน้ำๆละกัน สีผิวเกิดจากปริมาณของเม็ดสี (melanin, เมลานิน) ในชั้นผิวหนัง เรามาดูภาพเพื่อทำความเข้าใจกับการเกิดสีผิวกันก่อน เป็นเชิงวิชาการอยู่บ้าง แต่ทนอ่านเอาหน่อยก็แล้วกัน เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง

สีผิวของมนุษย์หากแบ่งอย่างกว้างๆก็สามารถแบ่งได้เป็น 6 ระดับ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับชาติพันธุ์ด้วย ดังนี้
กลุ่มฝรั่งยุโรปอเมริกา หรือที่เรียกว่ากลุ่มคอเคเชียน (caucasian บางทีก็เรียกว่ากลุ่มยุโรป european) เป็นกลุ่มที่มีสีผิวอ่อนที่สุด คืออยู่ในระดับที่ 1 ถึง 3
ส่วนอีกกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งคือกลุ่มเอเชียมีผิวเหลืองถึงดำแดง พวกนี้เป็นผิวระดับ 4 ถึง 5
กลุ่มชาติพันธุ์ที่ผิวเข้มที่สุดคือกลุ่มแอฟริกัน มีระดับความเข้มที่ระดับ 6



ลักษณะเซลล์ผิวผนังของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ คือ แอฟริกัน เอเชีย และกลุ่มคอเคเชียน (ยุโรป) จะเห็นว่าภายในเซลล์ผิวหนังประกอบด้วยเม็ดสี (เมลานิน, melanin) ซึ่งเม็ดสีนี้มีปริมาณและความเข้มต่างกันไป เม็ดสีนี่เองที่ทำให้สีผิวของแต่ละเชื้อชาติแตกต่างกันออกไป




ภาพวาดแสดงภาคตัดขวางของผิวหนังมนุษย์ เปรียบเทียบระหว่างผิวหนังสีเข้ม (ซ้าย) กับผิวหนังสีอ่อน (ขวา)
จะเห็นว่าผิวหนังนั้นประกอบด้วยเซลล์ผิวหนังเรียงตัวซ้อนกันอยู่เป็นจำนวนมาก และในเซลล์ผิวหนังสีเข้มจะมีเม็ดสีหรือเมลานินมากกว่าและเข้มกว่าในเซลล์ผิวหนังสีอ่อน



การทำให้ผิวขาวขึ้นมากๆนั้น ต้องทำโดยใช้ยาไปกดการสร้างเม็ดสี โดยผลของยาจะทำให้เม็ดสีในผิวหนังมีน้อยลง ผิวก็จะขาวขึ้น กรณีนี้ต้องใช้ยา อย่างเช่น ไฮโดรควิโนน ซึ่งแพทย์เป็นผู้ใช้เท่านั้น เพราะมีอันตราย

กรณีที่ทำให้ผิวผ่องใสขึ้น กรณีนี้ก็คือผิวขาวขึ้นนิดหน่อย ดูผ่องๆ นวลๆ ดีกว่าเดิม แบบนี้สามารถใช้เครื่องสำอางช่วยได้ ซึ่งกลไกที่จะทำให้ผิวผ่องใสขึ้นนั้นสามารถทำได้ 3 ทาง คือ

  1. ใช้สารที่ลดการสร้างเม็ดสีลงนิดหน่อย (skin lightening) ต้องเน้นว่าลดเม็ดสีลงนิดหน่อยเท่านั้น จึงจะเติมลงไปในเครื่องสำอางได้ อย่างเช่น ไวตามินซี (vitamin c) จึงเรียกว่าเป็น skin lightening หากเป็นสารที่ลดการสร้างเม็ดสีลงมากๆจะจัดเป็นยา
  2. การผลัดเซลล์ผิว (skin foliage หรือ skin peeling) โดยทำให้เซลล์ผิวชั้นนอกสุดซึ่งเป็นชั้นขี้ไคล ลอกออกเร็วขึ้น และลอกได้เกลี้ยงเกลาขึ้น ผลก็คือจะทำให้ผิวผ่องใสขึ้นได้
  3. ใช้สารที่มีขนาดเล็กทาเพื่อคลุมผิวไว้ อำพรางสีผิวจริง 

วิธีแรกกับวิธีที่สองนั้นเห็นผลช้า อย่างน้อยก็ต้อง 3 สัปดาห์จึงจะเริ่มเห็นผล ส่วนวิธีที่สามคล้ายกับการใช้แป้งทารองพื้น แต่วัสดุที่ใช้นั้นเล็กละเอียดกว่ามาก ทำให้ดูไม่ออกว่าโปะรองพื้นไว้อีกชั้นหนึ่ง วิธีที่สามนี้เห็นผลเร็ว ทาปุ๊บเห็นผลปั๊บ แต่ไม่มีผลกับสีผิวจริง

ที่เราจะมาคุยกันก็จะเป็นวิธีที่สองนี่แหละ



ครีมมะขามเปียกบำรุงผิวผ่อง ของดีราคาประหยัด


คนในสมัยโบราณมีวิธีทำให้ผิวผ่องใสขึ้น ด้วยวิธีง่ายๆ ไม่สิ้นเปลืองมาก นั่่นคือการใช้น้ำมะขามเปียกทาผิวเป็นประจำ บางคนก็ใช้น้ำมะขามเปียกผสมกับนมสด มะขามเปียกก็ซื้อเอาตามตลาด ที่ใช้ทำอาหารน่ะ เอามาผสมน้ำ ยีเนื้อมะขามเปียกกับน้ำให้เนื้อเละ จากนั้นคั้นเอาแต่น้ำมาใช้ เพียงเท่านี้ก็ได้ครีมบำรุงผิวชั้นดีใช้แล้ว อย่าดูถูกว่าเป็นวิธีโบราณเชียว วิธีนี้ใช้ได้ผลดีทีเดียว ปัจจุบันก็ยังมีผู้ใช้อยู่ ถือว่าเป็นวิธีบำรุงผิวให้ผ่องใสที่ได้ผล เพียงแต่ว่าทำยุ่งยากนิดหน่อย อีกทั้งยังเก็บไว้ไม่ได้นาน แล้วก็อีกอย่างคือ บางคนใช้แล้วแพ้ ใบหน้าแดงเชียว เพราะฤทธิ์กรดที่อยู่ในมะขามเปียกนั่นเอง

วิธีทำน้ำมะขามเปียกเพื่อนำมาใช้เป็นครีมบำรุงผิว เริ่มด้วยการหาซื้อมะขามเปียกมาจากตลาด (ที่จริงตามซูเปอร์มาร์เก็ตก็มีขาย ไม่ต้องไปหาในตลาดสดหรอก) จากนั้นเอามาผสมน้ำ ยีจนเนื้อมะขามเละ และคั้นเอาแต่น้ำ จะได้น้ำปนเนื้อมะขามออกมา นี่เองที่เรียกว่าน้ำมะขามเปียก เอามาทาผิว หรือผสมกับนมด้วยก็ได้


ที่จริงหากใครจะใช้วิธีนี้ เดี๋ยวนี้ก็ไม่ยุ่งยากแล้ว เพราะว่ามีน้ำมะขามเปียกสำเร็จรูปขายเป็นขวด มีอยู่ตามซูเปอร์มาร์เก็ต เปิดขวดแล้วผสมน้ำนิดหน่อย ทาหน้าได้เลย ถูกอนามัยอีกต่างหาก เพราะว่าน้ำมะขามเปียกที่เป็นขวดเหล่านี้ผ่านกระบวนการผลิตอย่างถูกสุขลักษณะ สามารถเก็บไว้ใช้ได้นาน


น้ำมะขามเปียกสำเร็จรูป เปิดขวดใช้ได้เลย สะดวกกว่าสมัยก่อนมาก

มะขามเปียกมีข้อเสียอยู่บ้าง นั่นคือ มีความเป็นกรดค่อนข้างสูง ระคายเคืองผิวบางคน ดังนั้นบางคนอาจใช้ไม่ได้ ใช้แล้วจะเกิดอาการแพ้ หน้าแดง ลุงยังมีครีมบำรุงผิวอีกขนิดหนึ่งที่ใช้ดีกว่าน้ำมะขามเปียกมาก นั่นก็คือ โยเกิร์ตนมถั่วเหลืองสูตรเจ/มังสวิรัติ ที่ลุงแมวน้ำเคยสอนวิธีทำไปเมื่อนานมาแล้วนั่นเอง

ลุงคุยโน่นคุยนี่มาตั้งนาน ยังไม่ได้ไปถึงไหนเลย ยังไม่ได้เข้าเรื่องครีมบำรุงผิวโยเกิร์ตนมถั่วเหลือง ว่ามีคุณสมบัติดีเด่นประการใด ก็คุยกันวันหยุดละนะ สบายๆ ไม่รีบเร่งอะไร บอกสั้นๆก่อนว่า โยเกิร์ตนี้ใช้ดีมาก ช่วยให้ผิวผ่องใส นุ่ม เนียน และลื่นขึ้น ลดริ้วรอยได้ และที่สำคัญคือ ช่วยปรับสภาพผิว เพิ่มภูมิคุ้มกันให้แก่ผิวหนัง อย่างเช่นใครที่มือเท้าแช่น้ำบ่อยหรือสัมผัสผงซักฟอกบ่อย มักมีอาการมือหรือเท้าอักเสบ หรือที่เรียกว่าน้ำกัดมือ น้ำกัดเท้านั่นเอง ใช้ครีมโยเกิร์ตนี้แล้วช่วยให้ผิวหนังดีขึ้น หายเร็วขึ้น 

เอาไว้คุยกันต่อคราวหน้าก็แล้วกันนะคร้าบ วันนี้ลุงเมื่อยครีบแล้ว คราวหน้ามาดูรายละเอียดกันว่าครีมนี้ดีอย่างไร ทำอย่างไร และใช้อย่างไร ไม่ยากหรอก ที่สำคัญคือ ของดีแบบนี้หาซื้อที่ไหนไม่ได้ แต่ก็ทำได้ง่ายๆ ไม่ต้องกลัวว่ายาก ลุงแมวน้ำเองก็ไม่ค่อยขยัน ไม่ชอบอะไรยากๆอยู่แล้ว ^_^