Sunday, May 26, 2013

26/05/2013 เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ ทำต้มยำเจ/มังสวิรัติแนวสุขภาพกินเองง่ายๆ


เช้าวันนี้เป็นวันหยุดที่อากาศดี สวนข้างโขดหินของลุงเขียวสดใส กระรอกวิ่งไล่กันสนุกสนาน นกร้องเพลงกันเจื้อยแจ้ว

วันนี้ลุงแมวน้ำอยากกินต้มยำ แต่อากาศสดใสยามเช้าแบบนี้ทำให้ลุงไม่อยากหมกอยู่ในครัว อย่ากระนั้นเลย วันนี้เราจะไปทำครัวในสวนกัน

เมนูวันนี้เป็นต้มยำเจ/มังสวิรัติ ทำแบบง่ายๆ มีเพียงหม้อต้มใบเดียวก็ทำได้แล้ว หรือหากไม่มีหม้อต้ม จะใช้เตาไมโครเวฟทำก็ได้เช่นกัน ใช้เวลาเพียงไม่นานก็ทำเสร็จแล้ว เหมาะกับเช้าอันแสนจะขี้เกียจ ไม่ต้องทำอะไรมาก จะได้ไม่ต้องล้างจานมาก ^_^

ที่ทำได้ง่ายก็เนื่องจากส่วนใหญ่ใช้ของสำเร็จรูป ชีวิตสมัยนี้สะดวกสบาย มีของสำเร็จรูปให้เลือกใช้มากมาย อย่างเช่นต้มยำหม้อนี้

ลุงแมวน้ำก็เตรียมวัตถุดิบนิดหน่อย จากนั้นก็ลากสายไฟกับโต๊ะเล็กๆ เอาไปทำในสวนเลย ทำไปก็ชื่นชมกับบรรยากาศในสวนไป สบายอารมณ์

ก่อนที่จะลงมือทำอาหารกัน ลุงแมวน้ำขอทำความเข้าใจกันก่อน คือเรื่องเมนูสูตรเจนั้น คำว่าเจเป็นคำที่ลุงติดปาก เพราะว่าสั้นๆ เรียกง่าย พิมพ์ก็ง่าย แต่ในความเป็นจริงแล้วอาหารเจนั้นใช่ว่าเพียงไม่มีเนื้อสัตว์ก็เป็นเจแล้ว แต่อาหารเจมีรายละเอียดอื่นอีก เช่น ผักกลิ่นแรงก็ไม่ได้ อย่างกระเทียม เป็นต้น ดังนั้นอาหารใส่กระเทียมแม้จะไม่มีเนื้อสัตว์แต่ก็ไม่ใช่อาหารเจแล้ว

ที่จริงลุงแมวน้ำกินอาหารในแนวมังสวิรัติ ไม่กินนม ไม่กินไข่ มากกว่า พวกกระเทียมและผักกลิ่นแรงที่เป็นข้อห้ามของเจลุงก็กิน แต่บางเมนูก็จัดว่าเป็นอาหารเจได้ เพราะว่าไม่มีของต้องห้ามของเจ ดังนั้นต่อไปลุงก็เรียกรวมๆกันไปละกัน

สำหรับเมนูต้มยำวันนี้ที่จริงคือมังสวิรัติ เพราะว่ามีกระเทียม ลุงทำเป็นต้มยำน้ำข้น คือใส่กะทิ แต่หากตัดกะทิออกไปก็จะเป็นต้มยำน้ำใส แต่ถึงเป็นต้มยำกะทิก็ไม่ต้องห่วงเพราะว่าเมนูของลุงแมวน้ำในวันนี้เป็นเมนูสุขภาพ ใช้กะทิธัญพืชแทน

เรามาดูวัตถุดิบกันก่อน วัตถุดิบที่เราใช้ก็มีดังนี้ ดูตามรูปไปเลยนะคร้าบ







เรามาดูรายละเอียดวัตถุดิบปริมาณที่ใช้กัน ไม่ต้องมีทั้งหมดตามนี้ก็ได้ มีอะไรก็ใช้อย่างนั้น อะไรที่ไม่มีก็ได้ลุงจะเขียนบอกเอาไว้


  1. ใบมะกรูดสด ประมาณ 4-6 ใบ ลุงเด็ดจากต้นมะกรูดที่อยู่ในสวนนั่นเอง ช่วยให้กลิ่นของต้มยำหอมขึ้น หากไม่มีก็ไม่ต้องใส่
  2. แครอท ครึ่งหัว อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ราคาประมาณกิโลกรัมละ 25 บาท
  3. เห็ดนางฟ้า นิดหน่อย เห็ดนางฟ้านี้ใส่ได้ตามอัธยาศัย ราคาประมาณกิโลกรัมละ 50-120 บาท แล้วแต่เกรดของเห็ดและแล้วแต่ว่าซื้อที่ไหน บางที่ก็ขายแพงเว่อ ปกติต้มยำใช้เห็ดฟาง แต่ว่าเห็ดฟางแพง ลุงจะเอาประหยัด เลยใช้เห็ดนางฟ้าแทน ^_^
  4. ไส้หมูเจ 1 แท่ง เป็นโปรตีนจากข้าวสาลี (กลูเทน)  หายากหน่อย ไม่มีก็ไม่เป็นไร
  5. ไส้กรอกเจ 1  แท่งเป็นโปรตีนจากถั่วเหลือง (หากไม่มีไส้หมูเจก็ใส่ไส้รอกเจรวมเบ็ดเสร็จเป็น 2-3 แท่ง) 
  6. ข้าวโพดแห้ง ครึ่งถ้วย ไม่มีก็ไม่เป็นไร
  7. กะทิธัญพืช 50 มิลลิลิตร (ประมาณ 3 ช้อนโต๊ะครึ่ง) ก็คือกะทิปลอมนั่นเอง แต่เหมือนจริงมาก ทำจากน้ำมันรำข้าว มีกรดไขมันอิ่มตัวไม่เยอะ กรดไขมันไม่อิ่มตัวเยอะกว่า ดีต่อสุขภาพ 
  8. น้ำเปล่า 450 มิลลิลิตร (หากเตรียมด้วยถ้วยตวงก็รินกะทิให้ได้ 3.5 ช้อนโต๊ะ จากนั้นเติมน้ำตามไปจนได้น้ำ+กะทิ รวมแล้วเป็น 2 ถ้วย)
  9. เครื่องต้มยำสำเร็จรูป 1 ซอง เครื่องต้มยำนี้ลุงใช้ยี่ห้อกนกวรรณ ตามภาพนั่นแหละ ราคาซองละ 20 บาท ที่เลือกใช้ยี่ห้อนี้เพราะว่าดูส่วนผสมแล้วเป็นเครื่องต้มยำมังสวิรัติ คือไม่มีส่วนผสมของเนื้อสัตว์ เครื่องต้มยำส่วนใหญ่มีส่วนผสมของน้ำปลาและกะปิ แต่ของกนกวรรณนี่ไม่มี


เอาละ ทีนี้ก็มาดูขั้นตอนการทำ

ลุงใช้หม้อต้มน้ำแบบไฟฟ้า แต่หากไม่มีจะต้มด้วยเตาอบไมโครเวฟก็ได้ ก็พลิกแพลงเอาหน่อย




ใส่กะทิ น้ำเปล่า ข้าวโพด ใบมะกรูด เครื่องต้มยำสำเร็จรูป ลงไปในหม้อ




จากนั้นต้มให้เดือด คนเรื่อยๆเพื่อให้เครื่องต้มยำละลาย ตอนนี้จะเริ่มได้กลิ่นหอมจากใบมะกรูดลอยนำมาก่อนเลย จากนั้นเป็นกลิ่นเผ็ดของเครื่องต้มยำลอยตามมา อูย น้ำลายไหล ^_^




พอเดือดได้สักพักแล้วก็ใส่เห็ดนางฟ้า ไส้กรอก ไส้หมู แครอท ที่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆแล้วตามลงไป จากนั้นเคี่ยวให้เดือดต่อไปอีกระยะหนึ่ง




เอาละ เสร็จแล้ว ปิดไฟ หอมฉุยน่ากินเชียว กินกับข้าวสวยร้อนๆ หรือจะกินเป็นซุปโดยไม่กินข้าวเลยก็ได้




เคล็ดลับความอร่อย แถมอีกนิด หากใส่น้ำพริกเผาสูตรเจเพิ่มลงไป มากน้อยตามใจชอบ จะช่วยให้อร่อย แซ่บยิ่งขึ้น แต่หากไม่มีก็ไม่เป็นไร

ต้มยำกะทิเจ/มังสวิรัติ สูตรสุขภาพหม้อนี้กินได้ราว 2-3 คน แต่ถ้ากินคนเดียวก็ได้สัก 2-3 มื้อ ทำครั้งหนึ่งสบายไปได้หลายมื้อ วัตถุดิบทั้งหมดนี้หาซื้อได้ตามซูเปอร์มาร์เก็ต ยกเว้นไส้หมูเจที่หายากหน่อย แต่ก็ตัดออกได้ มีอะไรก็ใช้อย่างนั้นแหละ ลุงพยายามไม่ใช้วัตถุดิบที่หาง่าย จะได้อร่อยกันได้โดยไม่ลำบาก

เห็นลุงเขียนเสียยาว ที่จริงทำไม่ยากหรอกนะคร้าบ ลองทำกันดู วันหยุดกับเมนูง่ายๆ แถมได้ลดการเบียดเบียนอีกด้วย ^_^

Thursday, May 23, 2013

23/05/2013 * กระทิงอเมริกาวิ่งไล่กระทิงไทย ระวังตลาดพันธบัตร


อ่านชื่อหัวข้อแล้วงงไหม ถ้างงก็ไม่เป็นไร อ่านต่อไปแล้วก็จะหายงงไปเอง ^__^

เมื่อปีที่แล้ว ปี 2012 ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้น +35.8% หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือปีที่แล้วดัชนี SET ของตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทน +35.8% ก็เยอะนะ เพราะว่าตลาดหุ้นไทยถือว่าเป็นตลาดเอเชียที่ให้ผลตอบแทนสูงมากในปีที่แล้ว ตลาดหุ้นตุรกีแรงสุด +62% ที่แรงพอๆกับไทยก็คือตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ +33% ตลาดหุ้นอื่นๆในเอเชียแปซิฟิกก็ลดหลั่นกันลงไป

ส่วนตลาดหุ้นอเมริกาในปี 2012 นั้น แม้ว่าเฟด โดยลุงเบน เฮลิคอปเตอร์ จะอัดฉีดทั้งมาตรการ QE 2 ต่อด้วย operation twist และตามด้วย QE 3 แต่ตลอดทั้งปี 2012 ตลาดหุ้นอเมริกา ดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทน +13.4% ส่วนดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJI) ให้ผลตอบแทน +7.3% ซึ่งถือว่าไม่มากเมื่อเทียบกับเงินอัดฉีดที่ลุงเบนทุ่มลงไป

แต่ว่าปี 2013 นี้สภาพการณ์ต่างกันออกไป หากนับกันตั้งแต่ต้นปีจนถึงเมื่อวานนี้ (22/05/2013) ดัชนี SET ให้ผลตอบแทน +17.2% ในขณะที่ดัชนี S&P 500 และ DJI ให้ผลตอบแทนพอๆกันคือประมาณ +17% ซึ่งก็ใกล้เคียงกับของตลาดหุ้นไทย และมากกว่าผลตอบแทนตลอดปีที่แล้วทั้งปีของ S&P 500 และ DJI เองเสียอีก ดังนั้นแนวโน้มในช่วง 5 เดือนแรกนี้น่าจะพอทำให้เห็นได้แล้วว่าตลาดหุ้นอเมริกาในปีนี้เริ่มมาแรงแล้ว

ลุงแมวน้ำมองว่าในช่วงที่เหลือของปี 2013 นี้ตลาดหุ้นของอเมริกาน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดี ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นทั่วโลกรวมทั้งตลาดหุ้นไทยด้วย หลายเดือนต่อจากนี้ไปกระทิงน่าจะวิ่งแรงทีเดียว และที่ควรระวังก็คือตลาดพันธบัตร ลองมาดูเหตุผลกัน

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอเมริกัน อายุ 10 ปี เมื่อวันที่ 22/05/2013 ผลตอบแทนปรับตัวขึ้น +4.2% ในคืนเดียว บ่งบอกถึงแรงขายพันธบัตร


ภาพบนนี้เป็นภาพอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอเมริกัน อายุ 10 ปี เฉพาะเมื่อคืน (เวลาบ้านเรา) คือวันที่ 22/05/2013 ของสหรัฐอเมริกา อัตราผลตอบแทนพุ่งในวันเดียวถึง +4.2% อันหมายถึงว่ามีแรงขายพันธบัตรออกมา สาเหตุก็เนื่องมาจากในวันดังกล่าวเฟดได้เปิดเผยรายงานการประชุมฉบับสิ้นเดือนเมษายน

เรื่องที่นักลงทุนกลัวอยู่ก็คือกลัวว่าเฟดจะยุติโครงการอัดฉีดเงิน QE ดังนั้นไม่ว่าเฟดมีประชุมหรือแถลงอะไร ทุกคนก็ให้ความสนใจว่าลุงเบนหรือเจ้าหน้าที่เฟดคนอื่นจะส่งสัญญาณอะไรออกมาบ้าง บางทีพูดคลุมเครือ ตลาดพันธบัตรก็ตกใจเทขายพันธบัตรออกมา จนอัตราผลตอบแทนพุ่ง

ส่วนตลาดหุ้นของอเมริกาในวันเดียวกันนี้ ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวลง -0.5% ส่วนดัชนี S&P 500 ปรับตัวลง -0.8% ชี้ให้เห็นว่าตลาดพันธบัตรอ่อนไหวและมีปฏิกิริยาต่อการยุติ QE รุนแรงกว่าตลาดหุ้นมาก

สาเหตุที่ความกังวลเรื่องการยุติ QE ส่งผลถึงตลาดพันธบัตรก็เพราะว่าเฟดทุ่มเงินซื้อพันธบัตรมาโดยตลอด ตามโครงการ operation twist กับ operation twist ส่วนขยาย (แต่หลายๆคนก็เรียกรวมๆกันว่า QE) ตลาดพันธบัตรก็มีการเก็งกำไรกันสูง เพราะว่ามีเฟดคอยทุ่มเงินซื้ออยู่ ผลก็คือราคาพันธบัตรสูงขึ้น (หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่าอัตราผลตอบแทนลดลง ตรงนี้อย่างง ก็เหมือนกันซื้อหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลนั่นเอง ถ้าซือหุ้นมาในราคาสูง ก็หมายถึงว่าอัตราผลตอบแทนจากปันผลลดลงนั่นเอง)

ทีนี้หากเฟดยุติโครงการ QE จะเกิดอะไรขึ้น แน่นอน เฟดก็ต้องค่อยๆทยอยขายพันธบัตรซึ่งถืออยู่เป็นจำนวนมหาศาลออกมา เพราะหมดโครงการแล้วก็ไม่รู้ว่าจะถือไว้ทำไมมากมาย นักลงทุนก็เกรงกันว่าเมื่อขาใหญ่ขายพันธบัตรออกมาเป็นจำนวนมาก ราคาพันธบัตรย่อมต้องลดลง (คืออัตราผลตอบแทนปรับตัวสูงขึ้น) ซึ่งมันก็เหมือนกับหุ้นนั่นเอง เมื่อขาใหญ่ทิ้งหุ้นปันผล วงก็แตก ราคาหุ้นปันผลก็ต้องร่วง ก็ทำนองนั้นแหละ

นี่เองคือเรื่องที่เฟดเองก็ยังพะวง และยังแสดงความอึมครึมอยู่เสมอว่าจะยุติโครงการ QE เมื่อไรกันแน่ เพราะหากไม่มีมาตรการที่เป็นขั้นตอน ตลาดพันธบัตรต้องปั่นป่วนแน่

แล้วจะเกิดอะไรกับตลาดหุ้น???

ก่อนที่จะคุยกันต่อ ลุงแมวน้ำอยากให้ดูภาพนี้ก่อน

กราฟแสดงราคาฟิวเจอร์สของดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (YM) ราคาพันธบัตรรัฐบาลอเมริกากันอายุ 10 ปี กับ 30 ปี และส่วนต่างของ YM กับ DJI


ภาพนี้มี 3 ส่วน ส่วนล่างคือราคาฟิวเจอร์สของดัชนีอุตามหกรรมดาวโจนส์ ตัวดัชนีใช้ตัวย่อว่า DJI  ส่วนฟิวเจอร์สของดัชนีใช้ตัวย่อว่า YM จะเห็นว่าตั้งแต่กลางปี 2011 เป็นต้นมา หลังจากที่เฟดใช้ operation twist ตลาดหุ้นอเมริกาก็ขึ้นมาเรื่อยๆโดยตลอด

เอาละ ทีนี้้มาดูภาพส่วนกลาง เป็นราคาพันธบัตรรัฐบาลอเมริกัน อายุ 10 ปี กับ 30 ปี กราฟนี้คือราคานะ ไม่ใช่ผลตอบแทน ก็คือดูแบบราคาหุ้น ถ้าราคาสูงก็แปลว่าคนอยากได้และแย่งกันซื้อ ถ้าราคาตกก็แปลว่าคนแห่กันขาย ไม่อยากถือ

จะเห็นว่า หลังจากที่เฟดใช้มาตรการ operation twist (เริ่มประมาณกันยายน 2011) ราคาพันธบัตรรัฐบาลอเมริกันอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ตลาดพันธบัตรมีการเก็งกำไรกันเพราะรู้ว่ามีขาใหญ่คอยรับซื้ออยู่

แต่สังเกตว่าตั้งแต่เดือนกันยายน 2012 เป็นต้นมา ราคาพันธบัตรอยู่ในกรอบแนวโน้มขาลง ที่เป็นเช่นนี้น่าจะเป็นเพราะว่านักลงทุนเริ่มทยอยลดความเสี่ยงจากการยุติ QE ถือไปนานๆก็หนาว ก็เลยทยอยขายออกมาเรื่อยๆ ขณะเดียวกันตลาดหุ้นอเมริกาก็ขึ้นต่อไปเรื่อยๆ และกราฟยิ่งนานก็ยิ่งชันขึ้น

ที่ลุงแมวน้ำตั้งคำถามข้างบนไว้ว่าหากเฟดยุติ QE ตลาดหุ้นจะเกิดอะไรขึ้น หากวิเคราะห์จากกราฟแล้วลุงแมวน้ำเห็นว่าตอนนี้นักลงทุนทยอยขายพันธบัตรเพื่อลดความเสี่ยงและมีเงินจำนวนหนึ่งไหลเข้ามาในตลาดหุ้น ดังนั้นเหตุการณ์ข้างหน้าน่าจะเป็นว่าตลาดพันธบัตรอ่อนตัวลงเรื่อยๆ ในขณะที่ตลาดหุ้นยังคงขึ้นต่อไป เนื่องจากเงินในตลาดพันธบัตรย้ายมาเก็งกำไรในตลาดหุ้นมากขึ้นเรื่อยๆ

ทีนี้มาดูกราฟเส้นบนสุดในภาพ ที่เขียนไว้ว่า DJI future - DJI

กราฟเส้นนั้นคือผลต่างของราคาฟิวเจอร์สของดัชนี ลบด้วยราคาของดัชนี พูดง่ายๆก็คือจะดูว่าตอนนี้ฟิวเจอร์สของ DJI แพงกว่าตัวดัชนี DJI อยู่เท่าไรนั่นเอง

โดยปกติในตลาดกระทิง ฟิวเจอร์สมักแพงกว่าดัชนี แต่จากกราฟจะเห็นว่าฟิวเจอร์สส่วนใหญ่ราคาถูกกว่าดัชนีมาโดยตลอด แสดงถึงความกล้าๆกลัวๆ ยังไม่ใช่กระทิงเต็มที่ ดังนั้นลุงแมวน้ำจึงเห็นว่าตลาดหุ้นของเมริกายังไปได้อีกพักใหญ่ ต่อไปเงินน่าจะไหลมาเข้ามาในตลาดหุ้นมากขึ้น และตลาดเข้าสู่ภาวะกระทิงเต็มที่ ถึงตอนนั้นจะเห็นฟิวเจอร์สแพงกว่าดัวดัชนีต่อเนื่องกันเป็นเวลานานๆ ลุงแมวน้ำว่าภาวะที่ว่าน่าจะใกล้มาถึงแล้วล่ะ



ผลต่างของราคาฟิวเจอร์สเซ็ต 50 (S50) กับดัชนี SET50 เป็นไปได้ว่าตลาดหุ้นไทยกำลังเข้าภาวะกระทิงเต็มที่แล้ว

ทีนี้มาดูตลาดหุ้นไทยกันบ้าง ของเราก็มีฟิวเจอร์สเช่นกัน นั่นคือฟิวเจอร์สของดัชนีเซ็ต 50 (ใช้ตัวย่อว่า S50) ปีที่แล้ว 2012 ราคาฟิวเจอร์ส S50 ถูกกว่า SET50 เป็นส่วนใหญ่ แต่ว่าตอนนี้ราคาฟิวเจอร์สเริ่มแพงกว่าดัชนีแล้ว หากแพงกว่าอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานก็บ่งชี้ถึงภาวะกระทิงเต็มที่ได้ทางหนึ่ง ดังนั้นลุงแมวน้ำก็มองว่าตลาดหุ้นไทยยังไปต่อได้อีกเช่นกัน ประกอบกับว่าหากตลาดหุ้นอเมริกาวิ่งโลดจริง ตลาดหุ้นอื่นๆก็ย่อมได้อานิสงส์ไปด้วย

แต่... แต่... และแต่... การลงทุนย่อมมีความเสี่ยง เหตุไม่คาดหมายอาจเกิดขึ้นได้เสมอ ดังนั้น เมื่อได้อ่านบทความนี้ของลุงแมวน้ำ จะอย่างไรก็ต้องรักษาวินัยในการลงทุน อย่าเทรดเกินตัวเป็นอันขาด เพราะความประมาทย่อมทำให้เกิดความเสียหายที่ใหญ่หลวงได้