Friday, November 5, 2010

04/11/2010 * RSS3, GC, Commodity Index, ฟิวเจอร์ส ออปชัน การเก็งกำไรและการบริหารความเสี่ยง (3)

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1.031.61 จุด เพิ่มขึ้น 17.41 จุด เป็นวันที่มีปริมาณซื้อขายถึงกว่า 5 หมื่นล้านบาทอีกวันหนึ่ง

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ ADVANC ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 35 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ ดัชนีฟุตซี FTSE100 ของอังกฤษเกิดสัญญาณซื้อ ตลาดหุ้นสำคัญทั่วโลก ทั้งตลาดพัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่พุ่งทะยาน

วันนี้ดัชนีดาวโจนส์ (DJI) ของสหรัฐอเมริกาพุ่งแรงถึง 219 จุด ค่าเงินดอลลาร์อ่อนยวบ ราคาทองคำ โลหะเงิน น้ำมันดิบ สินค้าเกษตร และสินค้าโภคภัณฑ์ (commodities) ต่างๆปรับตัวขึ้นแรง

สำหรับตลาดหุ้นของไทยนั้น แม้ดัชนี SET จะเพิ่มขึ้นถึง 17.41 จุด แต่หากพิจารณาหลักทรัพย์ในกลุ่ม SET 50 แล้วพบว่ามี 27 ตัวที่ปิดเขียว และ 23 ตัวที่ปิดแดง ดัชนีตลาดที่เพิ่มขึ้นเกิดจากน้ำหนักของหุ้นตัวใหญ่เพียงบางตัวเท่านั้น

ยางพารา RSS พิจารณาจากการนับคลื่นและ fibonacci อาจจะไปจบคลื่น 5 (สีน้ำตาล) ที่ประมาณ 150 บาท



ทองคำ (GC) อาจจบคลื่น 5 ที่แถว 1,400 ดอลลาร์/ออนซ์นี้ก็ได้ แต่ไม่ควรกังวลมาก ตราบใดที่ยังไม่มีสัญญาณขายและไม่มีสัญญาณกลับทิศแนวโน้มก็ไม่ต้องทำอะไร



ดัชนีดอลลาร์ สรอ (DX) หลุดระดับ fibonacci 78.6% มาแล้วและปกติที่ระัดับ 100% ก็มักหยุดไม่อยู่ มักหลุดต่ำกว่านั้นอีก นั่นหมายความว่าเป็นไปได้ที่จะลงไปถึงระดับ 66 จุด



ดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์ค่อยๆปรับตัวขึ้น ที่เห็นในภาพเป็นดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์ดาวโจนส์ยูเอสบี (DJ-USB Commodity Index) อันเป็นดัชนีที่คำนวณจากสินค้าโภคภัณฑ์หลายๆชนิด ทำให้เห็นแนวโน้มในภาพรวม จะเห็นว่าขณะนี้เพิ่งอยู่ต้นคลื่น น่าจะเป็นต้นคลื่น 3 ซึ่งยังสามารถไปต่อได้อีกมาก จากภาพนี้สะท้อนให้เห็นถึงภาวการณ์เงินเฟ้ออันน่ากลัวที่จะตามมาในอนาคต





ฟิวเจอร์ส ออปชัน การเก็งกำไรและการบริหารความเสี่ยง (3)


“ก็บอกแต่แรกแล้วว่าการลงทุนมีความเสี่ยง เธอก็เข้าใจแล้วนี่นา เธอยังบอกเองเลยว่าเธอยังสาว สามารถรับความเสี่ยงได้ จะได้ช่วยลุงแมวน้ำ” ลิงชิมแปนซีพูด

“ก็ตอนนั้นมันตอนนั้น ส่วนตอนนี้มันก็ตอนนี้” ยีราฟสาวโวยวายน้ำลายฟ่อด “นี่ราคามันลงไป 5 บาทแล้วนะ แค่นี้ก็พอรับไหวหรอก แต่ถ้าหากมันร่วงลงไปมากกว่านี้อีกล่ะ ฉันทำใจไม่ได้หรอก ดีไม่ดีเงิน 10 บาทที่วางประกันเอาไว้กันเธอจะหายหมด”

“ก็ตกลงกันไปแล้วนี่นา จะให้ฉันทำยังไงล่ะ” ลิงบ่นด้วยความอิดหนาระอาใจกับอาการโวยวายของยีราฟสาว

“ไม่รู้ล่ะ ฉันอยากเลิกสัญญา ไม่เอาแล้ว ถั่วฝักยาวก็ไม่ได้ ซ้ำยังขาดทุนบานเบอะ” ยีราฟสาวบอกความต้องการออกมา

“เธอจะเลิกได้ยังไง ก็สัญญากับลุงแมวน้ำเอาไว้แล้ว ลุงแกไม่ได้คิดจะเลิกด้วยนี่” ลิงชิมแปนซีพยายามอธิบาย

“ไม่รู้ล่ะ ไม่เอาแล้ว เธอต้องหาทางเลิกสัญญาให้ฉันด้วย ฉันรับการขาดทุนได้เพียงแค่นี้เท่านั้น มากกว่านี้ไม่ไหวแล้ว” ยีราฟยื่นคำขาด

“เฮอะ ทีกำไรก็จะเอา ทีขาดทุนกลับไม่ยอม” ลิงประชด “เอายังงี้ ในเมื่อลุงแมวน้ำไม่ได้ผิดอะไร จู่ๆเธอจะไปเลิกสัญญาซื้อขายล่วงหน้ากับลุงแมวน้ำมันก็ไม่เหมาะ เรามาหาคนช่วยรับสัญญาซื้อขายล่วงหน้าให้ลุงแมวน้ำแทนเธอกันดีกว่า”

“เออๆๆ เอายังไงก็ได้ แต่ฉันขอพอเท่านี้”

ลิงชิมแปนซีจึงชวนยีราฟสาวจอมโวยวายไปหาปลาทองน้อย ดาวเด่นอีกตัวหนึ่งของคณะละครสัตว์ ปลาทองน้อยตัวอ้วนกลมกำลังว่ายน้ำดุ๊กดิ๊กอวดพุงอยู่ในโหลใสแจ๋ว

“นี่ ปลาทองน้อย อยากลงทุนไหม เผื่อจะได้กำไรเอาไว้ซื้อลูกน้ำกินเล่นแก้กลุ้ม” ลิงชิมแปนซีเริ่มโน้มน้าว

“ไม่เอาหรอก ผมไม่ได้กินลูกน้ำ ผมกินซากุระ ตัวจะได้เป็นสีส้มสวย กินลูกน้ำเดี๋ยวเป็นไข้เลือดออก” ปลาทองน้อยพูดพลางกระดิกครีบหางสีส้มสดโชว์ให้ดู

“บ๊องใหญ่แล้ว กินลูกน้ำจะเป็นไข้เลือดออกได้ยังไง เป็นไข้เลือดออกต้องโดนยุงกัด” ลิงแย้ง

“นี่จะทักทายกันอีกนานไหมเนี่ย ฉันร้อนใจอยู่นะ” ยีราฟสาวหงุดหงิดอีก น้ำลายของเธอหยดลงในโหลปลาทอง ปลาทองน้อยทำหน้าเบ้เพราะน้ำลายของเธอทำให้น้ำขุ่นแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรเนื่องจากยีราฟตัวโตกว่ามาก

ลิงเล่าเรื่องการลงทุนด้วยการตกลงราคายางพาราและทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้ากับลุงแมวน้ำให้แก่ปลาทองน้อยฟัง พร้อมกับเล่าเรื่องของยีราฟสาวที่ต้องการหาคนมารับทำสัญญาแทนเธอ

“ฮึ ผมไม่โง่หรอกนะ ปลาทองน้อยแสนฉลาด ตอนนี้ราคายางพาราในท้องตลาดกิโลกรัมละ 125 บาท จะให้ผมรับซื้อล่วงหน้าจากลุงแมวน้ำแทนแม่ยีราฟได้ยังไง ก็เธอตกลงราคากับลุงเอาไว้ที่ 130 บาท ถ้าผมรับซื้อในราคานั้นมีความเสี่ยงสูงมั่กๆ แบบนี้ไม่บ๊องก็เมา”

ยีราฟสาวหน้าเสียที่ปลาทองน้อยไม่ยอมตกลงด้วย

“เอายังงี้ก็แล้วกัน” ลิงชิมแปนซีเสนอความคิด “นี่ แม่ยีราฟ สมมติว่าหากลุงแมวน้ำขายยางพาราตอนนี้ ก็จะขายได้ที่ราคา 125 บาท เธอต้องจ่ายให้ลุงแมวน้ำอีก 5 บาท ตามที่เธอประกันราคาไว้ที่ 130 บาท ถูกไหม”

ยีราฟพยักหน้า

“ก็ถือเสียว่าเธอบอกล้างสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเสียตอนนี้ที่ราคา 125 บาท แล้วจ่ายส่วนต่างมา 5 บาทให้ฉันเก็บเอาไว้ แล้วนับแต่นี้ไปให้ปลาทองน้อยทำสัญญากับลุงแมวน้ำต่อที่ราคา 125 บาท เธอก็ออกจากการซื้อขายไปที่ราคา 125 บาท ส่วนปลาทองน้อยก็โดดเข้ามาในในการซื้อขายที่ราคา 125 บาท อย่างนี้ปลาทองน้อยก็จะมีความเสี่ยงลดลง แบบนี้จะจูงใจให้ปลาทองน้อยอยากลงทุนมากขึ้น ดีไหม” ลิงพูด

ยีราฟเอียงหน้างงเพราะคิดตามไม่ทัน “ยังไงกัน ฉันไม่เข้าใจ”

“ก็คือเสมือนกับว่า... แค่เสมือนกับเท่านั้นนะ... เสมือนกับว่าเธอกับลุงแมวน้ำชำระราคาสิ้นสุดสัญญากันตอนนี้เลยไง ราคาตอนนี้เป็น 125 บาท เธอก็ยอมขาดทุน 5 บาทชดเชยให้ลุงแมวน้ำไป เอาแค่ขั้นตอนนี้ก่อน เข้าใจไหม” ลิงถาม ยีราฟสาวคิดตามแล้วพยักหน้า

“เธอก็จบกันไป ไม่ต้องมาเกี่ยวข้องอะไรแล้ว ต่อไปก็ให้ปลาทองน้อยมาตกลงราคาทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้ากับลุงแมวน้ำแทน ลุงแมวน้ำต้องการขายที่ราคา 130 บาท แต่ปลาทองน้อยรับซื้อที่ 125 บาท ก็เสมือนกับว่ายอมซื้อยางพาราจากลุงแมวน้ำที่ราคา 125 บาท” ลิงอธิบายต่อ

“แล้วต่อไปจะเป็นยังไง”

“ก็สมมติว่านับแต่นี้ต่อไป เมื่อถึงเดือนมีนาคม ราคายางพาราในตลาดเป็น 130 บาท ปลาทองน้อยก็จ่ายลุงแมวน้ำ 125 บาท เท่าที่ตกลงราคากัน แล้วอีก 5 บาทก็ได้จากเธอที่ฉันหักเก็บเอาไว้นั่นแหละ รวมแล้วลุงแมวน้ำจะได้เงิน 130 บาทตามที่แกต้องการ ส่วนปลาท้องน้อยก็ได้ยางพารา 1 กิโลกรัมมาในราคา 125 บาท เอาไปขายต่อในตลาดได้ 130 บาท ก็ได้กำไร 5 บาท สรุปว่าลุงแมวน้ำได้ตามที่ต้องการ ปลาทองน้อยได้กำไร 5 บาท ส่วนเธอขาดทุน 5 บาท” ลิงชิมแปนซีพยายามอธิบาย

ปลาทองน้องพยักหน้าเข้าใจ ส่วนยีราฟสาวน้ำลายยืดเพราะฟังจนเกือบหลับ

“ถ้างั้นฉันถามใหม่ สมมติว่าเมื่อถึงเดือนมีนาคม แล้วราคายางพาราเป็น 120 บาท แล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ใครจะเป็นอย่างไร” ยีราฟถาม

“ถ้าตอนนั้นราคา 120 บาท ลุงแมวน้ำก็จะต้องได้ 130 บาทเท่าที่มีการตกลงราคาซื้อขายล่วงหน้าเอาไว้ โดยปลาทองน้อยจ่ายชดเชยให้ลุงแมวน้ำ 5 บาท เพราะยอมรับซื้อไว้ที่ 125 บาท อีก 5 บาทก็เอามาจากเงินของเธอที่ขาดทุนไง สรุปว่าหากราคายางพาราเหลือ 120 บาท ลุงแมวน้ำก็ได้ 130 บาท ปลาทองน้อยขาดทุน 5 บาท และเธอขาดทุน 5 บาท” ลิงอธิบายอีก

“เอาเถอะ ถ้ายังงั้นฉันขอบอกล้างสัญญาตอนนี้แล้วยอมขาดทุนไป 5 บาทก็แล้วกัน แล้วให้ปลาทองน้อยทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าต่อไป” ยีราฟสาวพูดแบบถอดใจ

“ได้ๆ ยังงั้นฉันทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่ราคา 125 บาทนับแต่ตอนนี้” ปลาทองน้อยพูดพลางส่ายพุงไปมา

“อะ ถ้ายังงั้นนายลิง เธอก็หักเงินที่ฉันวางประกันไว้กับเธอไป ที่เหลือก็คืนฉันมาซะดีๆ” ยีราฟทวงเงิน

“การที่แม่ยีราฟบอกล้างสัญญา และการที่ปลาทองน้อยเข้าทำสัญญา ฉันต้องขอค่าเหนื่อย 0.45 บาทนะ ปลาทองน้อยจ่ายมา วางเงินประกัน 10 บาทและค่าเหนื่อย 0.45 บาท ส่วนแม่ยีราฟฉันคืนเงินเธอไป 4.55 บาท ไม่ใช่คืน 5 บาท เพราะว่าหักค่าเหนื่อยด้วย”

“โอ๊ย ทำไมหน้าเลือดยังงี้” ยีราฟสาวร้องกรี๊ด “ครั้งก่อนก็เก็บทีหนึ่งแล้ว นี่ฉันขาดทุนแล้วเธอยังมาเก็บค่าเหนื่อยอีก งกสุดๆ”

“แล้วที่พาเธอมาเจรจากับปลาทองน้อยอ้วนกลม จนทำให้เธอบอกล้างสัญญา หยุดการขาดทุนเอาไว้ได้ ไม่ใช่เพราะฝีมือฉันเหรอ ฉันก็เหนื่อยนะ” ลิงชิมแปนซีขึ้นเสียงบ้างเพราะไม่พอใจในความขี้เหนียวของยีราฟสาว ยีราฟเมื่อเห็นลิงเอาจริงจึงเงียบไป ยอมจ่ายแต่โดยดี

เวลาผ่านไป เดือนมีนาคม 2554

ราคายางพาราในท้องตลาดในตอนนั้นเป็น 135 บาทต่อกิโลกรัม ลุงแมวน้ำได้เงินไป 130 บาทตามที่ตกลงราคาซื้อขายล่วงหน้าเอาไว้ ส่วนปลาทองน้อยเอายางพาราไปขายได้กำไรส่วนต่างมา 10 บาท เพราะลงทุนเอาไว้ที่ราคา 125 บาท ส่วนยีราฟสาวขาดทุนไป 5 บาท ส่วนลิงชิมแปนซีได้เงินมา 2.70 บาท (0.45 คูณ 2 คูณ 3) อันเนื่องมาจากค่าบริการที่แต่ละตัวทำสัญญาและบอกล้างสัญญากัน

หากว่าลุงแมวน้ำไม่มีสินค้าจริงส่งมอบ ลุงแมวน้ำต้องขาดทุน เนื่องจากเสมือนกับว่าลุงแมวน้ำทำสัญญาขายยางพาราที่ราคา 130 บาทในขณะที่มือเปล่า ไม่มีของอยู่ในมือจริงๆ พอครั้นเมื่อถึงกำหนดส่งมอบ ลุงแมวน้ำต้องไปหาซื้อยางพาราในตลาดที่ราคา 135 บาทเพื่อมาส่งมอบให้แก่คู่สัญญาและรับเงินมาจากคู่สัญญา 130 ตามที่ตกลงกันเอาไว้ล่วงหน้า ในกรณีที่ไม่มีสินค้าจริงส่งมอบ ลุงแมวน้ำจะขาดทุน 5 บาท แต่เมื่อมีสินค้าจริงที่ลุงแมวน้ำผลิตเองส่งมอบก็เท่ากับว่าลุงแมวน้ำขายสินค้าได้ในราคาที่ต้องการแต่ว่าต่ำกว่าราคาตลาดในตอนนั้น

ลุงแมวน้ำนำเงินที่ได้ไปซื้อหูกระต่ายอันใหม่สำหรับใส่ตอนแสดง ปลาทองน้อยซื้ออาหารปลาแสนอร่อยมากินแก้มยุ้ยตลอดทั้งวัน ลิงชิมแปนซีซื้อกล้วยมากินสบายใจ ส่วนยีราฟสาวหน้าละห้อยเพราะต้องลดการกินถั่วฝักยาวของโปรดลงเนื่องจากต้องการประหยัด


จากที่เล่ามานี้คือกลไกของการซื้อขายสินค้าล่วงหน้าหรือกลไกของฟิวเจอร์ส โดยเริ่มจากที่ไม่มีบริษัทประกันภัยใดที่สามารถรับประกันอะไรต่ออะไรไปได้ทุกอย่าง แต่เนื่องจากมีคนหลายๆที่ต้องการหลักประกันเพื่อลดความเสี่ยง กลไกของการซื้อขายล่วงหน้าระหว่างเอกชนหรือระหว่างบุคคลต่อบุคคลด้วยกันจึงเกิดขึ้น ซึ่งก็คือตลาดฟิวเจอร์สนั่นเอง ในตลาดฟิวเจอร์สนั้นไม่ได้มีแต่นักเก็งกำไร ตรงกันข้าม ตลาดฟิวเจอร์สจะเกิดขึ้นได้ต้องประกอบด้วยบุคคลที่รู้จักพอ ขอแค่นี้ก็พอใจแล้ว ส่วนหนึ่ง และประกอบด้วยนักเก็งกำไรส่วนหนึ่ง อีกทั้งยังต้องมีบุคคลกลางที่มีส่วนช่วยในการดำเนินการด้วย กลไกตลาดจึงเกิดขึ้นได้ เมื่อมองในเชิงอุดมคติแล้วตลาดฟิวเจอร์สมีประโยชน์มากกว่าโทษ เพราะทำให้คนมีหลักประกัน และขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดธุรกิจ มีการกระจายรายได้ เศรษฐกิจก็สามารถดำเนินไปได้ โทษนั้นมักเกิดจากการใช้ตลาดในทางที่ไม่สร้างสรรค์ เช่น การเก็งกำไรกันจนเกินสมควร ความไม่รู้จักพอ รวมทั้งการเอาเปรียบอันเนื่องจากความไม่เท่าเทียมกัน เป็นต้น ส่วนออปชันนั้นก็ใช้หลักการเดียวกันกับฟิวเจอร์สเพียงแต่เทคนิคในการตกลงราคาและการซื้อขายล่วงหน้าที่แตกต่างกันบ้าง แต่ก็ยังคงหลักการเดียวกัน นั่นคือ การประกันความเสี่ยงกับการเก็งกำไร

คงยังจำบริษัทประกันที่ลุงแมวน้ำไปติดต่อในตอนแรกได้ หากบริษัทประกันไม่เข้ามายุ่งเกี่ยว ลุงแมวน้ำ ลิงชิมแปนซี ยีราฟ และปลาทองน้อย ก็ทำธุรกิจร่วมกันและก่อให้เกิดกลไกตลาดฟิวเจอร์สขึ้นมาได้ แต่หากบริษัทประกันเกิดรับประกันราคาขึ้นมา ลุงแมวน้ำก็อาจไปพึ่งบริษัทประกันแทน กลไกตลาดก็ไม่เกิด ฉันใดก็ฉันนั้น หากเปลี่ยนตัวละครบริษัทประกันเป็นหน่วยงานภาครัฐ หากรัฐมีกลไกพิเศษ เช่น การประกันราคา การรับจำนำสินค้าเกษตร ฯลฯ กลไกการซื้อขายล่วงหน้าก็จะถูกบิดเบือน ตลาดฟิวเจอร์สก็จะไม่เกิดหรือเกิดแล้วก็โตไม่ได้ กลไกที่จะทำให้เอกชนหรือบุคคลกระจายความเสี่ยงและบริหารความเสี่ยงกันเองทั้งยังก่อให้เกิดธุรกิจก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างจริงคือข้าวขาว 5% และข้าวหอมมะลิ ที่แม้ว่าเรามีตลาดฟิวเจอร์สอยู่แต่กลไกของตลาดก็ดำเนินไปไม่ได้เนื่องจากกลไกราคาของรัฐแทรกแซงอยู่ ซึ่งคิดว่าไม่น่าเป็นผลดี ตลาดฟิวเจอร์สใช้ลดความเสี่ยงได้ดีอยู่แล้วหากรู้จักวิธีการใช้ ส่วนหน้าที่ของรัฐควรส่งเสริมเกษตรกรให้ใช้ตลาดฟิวเจอร์ส เกษตรกรก็จะได้ประโยชน์อย่างแท้จริง การใช้กลไกราคาแทรกแซงของรัฐมักเกิดการทุจริต ผลประโยชน์มักไม่ถึงมือเกษตรกรเท่าที่ควร

ส่งท้าย...

หลังจากที่ลุงแมวน้ำขายยางพาราได้กำไรมาบ้างแล้วก็เปลี่ยนแนวไปปลูกพืชอายุสั้นแทนเนื่องจากเก็บเกี่ยวได้ไว ไม่ต้องรอ 8 ปีเหมือนกับการปลูกยางพารา

ลุงแมวน้ำจึงไปหายีราฟสาวเจ้าเก่า คราวนี้ถือร่มไปด้วยเพราะว่าคราวก่อนที่คุยกับยีราฟหัวของลุงแมวน้ำเปียกโชกไปหมด

“นี่ แม่สาวยีราฟ” ลุงแมวน้ำทักทายพลางกางร่มออก “ลุงคิดจะปลูกถั่วฝักยาวน่ะ เห็นว่าเธอชอบกิน ตอนนี้เดือนมีนาคม ปลูกตอนนี้อีก 2 เดือนก็เก็บเกี่ยวได้แล้ว”

“อุ๊ย ก็ดีสิคะลุง พูดแล้วน้ำลายไหล อยากกินๆ” ยีราฟสาวพูดพลางมีน้ำลายหยดใส่ร่มติ๋งๆ

“ถั่วฝักยาวหน้าแล้งแพงนะ บางทีก็ขาดตลาด ปีที่แล้วกิโลกรัมละ 70 กว่าบาทเชียว ถ้าลุงได้ราคาสักกิโลกรัมละ 55 บาทลุงก็พอใจแล้ว อยากให้เธอตกลงราคาและทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้ากับลุงอีก ใช้วิธีแบบเดิม เรียกนายลิงมาดำเนินการให้” ลุงแมวน้ำยื่นข้อเสนอ “สนใจมั้ย”

“อ๊าย” ยีราฟสาวร้องลั่น “ไม่เอาแล้ว คราวก่อนโดนไป 5 บาทยังเข็ดอยู่เลย หนูไม่เอาแล้วล่ะลุง” ยีราฟสาวรีบปฏิเสธ

“ลุงเห็นว่าเธอชอบกินถั่วฝักยาว เลยคิดจะปลูกให้เธอกิน ถ้าได้ราคาพอสมควรก็จะได้ลงมือปลูก เธอเองถ้าทำสัญญาล่วงหน้ากับลุงก็เป็นการลดความเสี่ยงของเธอด้วยเหมือนกันนะ คือลดความเสี่ยงเรื่องการขาดแคลนถั่วฝักยาวในหน้าแล้งไปได้ส่วนหนึ่งไงล่ะ แต่ถ้าเธอไม่สนใจ ยังงั้นลุงปลูกอย่างอื่นที่ตลาดต้องการและมีคนทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้ากับลุงดีกว่า ลุงไม่ปลูกอะไรส่งเดชหรอก ลุงต้องวางแผนก่อนปลูก หากมีตลาดแน่นอนและได้ราคาที่น่าพอใจลุงจึงจะลงมือปลูก ไม่อย่างนั้นทำแล้วไม่รู้จะไปขายใครหรือไม่รู้ว่าจะได้ราคาเท่าไร ดีไม่ดีทำไปแล้วขาดทุน สู้นอนเลี้ยงลูกบอลเล่นดีกว่า”

และนี่ก็คือประโยชน์ของตลาดฟิวเจอร์สที่สามารถใช้หลักของการรับประกันราคามาช่วยในการวางแผนการดำเนินงาน ทำให้สามารถผลิตสินค้าที่รู้ตลาดและราคาแน่นอนแล้ว อันเป็นการปิดความเสี่ยง ไม่ใช่ทำไปโดยไม่รู้เหนือรู้ใต้

การใช้กลไกของตลาดฟิวเจอร์สไม่ได้ใช้กับสินค้าเกษตรเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังใช้ปิดความเสี่ยงกับเรื่องอื่นๆได้อีกมากมาย ยกตัวอย่างเช่น การป้องกันการผันผวนของค่าเงินก็ใช้ฟิวเจอร์สเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อประกันอัตราแลกเปลี่ยนในระดับที่เราต้องการ การป้องกันความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยก็ใช้ฟิวเจอร์สอัตราดอกเบี้ย ผู้ผลิตตู้และวงกบอะลูมิเนียมก็สามารถใช้ฟิวเจอร์สของราคาอะลูมิเนียมตลาดโลกเพื่อปิดความเสี่ยงไม่ให้ต้นทุนวัตถุดิบผันผวนได้ แม้แต่กองทุนรวมหุ้นระยะยาวหรือ LTF ที่เอาไว้ลงทุนเพื่อการประหยัดภาษีก็มีบางกองทุนที่ใช้กลไกฟิวเจอร์สมาช่วยลดความเสี่ยงของราคาหุ้นที่ผันผวน เป็นต้น


Thursday, November 4, 2010

03/11/2010 * SET, CL, ฟิวเจอร์ส ออปชัน การเก็งกำไรและการบริหารความเสี่ยง (2)

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1.014.20 จุด เพิ่มขึ้น 8.62 จุด เป็นวันที่มีปริมาณซื้อขายถึงกว่า 5 หมื่นล้านบาท

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ MAKRO, SCC ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 34 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

TDEX อันเป็นกองทุนอีทีเอฟของ SET50 เกิดสัญญาณซื้อ

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ตลาดญี่ปุ่นหยุดทำการ ธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกากำหนดมาตรการอัดฉีดเงินเข้าในระบบเศรษฐกิจของประเทศด้วยการพิมพ์เงินเพิ่มเพื่อไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลมูลค่า 6 แสนล้านดอลลาร์ สรอ ซึ่งเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับที่นักวิเคราะห์และสื่อมงลชนคาดการณ์เอาไว้

ดัชนีดาวโจนส์ (DJI) ของสหรัฐอเมริกาไม่ค่อยตอบสนองต่อข่าวนี้เท่าไรนัก ปรับตัวขึ้นเพียง 26.41 จุด แต่อย่างไรก็ดี ดัชนีดาวโจนส์ที่ระดับ 11,215.13 จุดนี้ถือว่าผ่านแนวต้านใหญ่หรือจุดยอดคลื่นเดิมที่เคยสร้างเอาไว้ที่ 11,205.03 จุดไปได้ ดังนั้นทางเทคนิคจึงถือว่าน่าจะไปได้ต่อ และน่าจะไปได้ไกลอีกด้วย

ทางด้านดัชนี SET นั้นยังไม่มีสัญญาณแนวโน้มกลับทิศที่มีน้ำหนัก ดังนั้นใครที่ถืออะไรเอาไว้ก็ถือไปก่อน ไม่มีสัญญาณอะไรขายไปก็เสียโอกาสโดยใช่เหตุ การคาดการณ์ของดัชนี SET นั้นหากประเมินด้วยเครื่องมือ fibonacci แล้ว SET มีโอกาสกลับทิศแนวโน้มแถวดัชนี 1,000 จุดนี้ก็ได้ หรือไม่อย่างนั้นก็แถวๆ 1,060 - 1,080 จุด ซึ่งช่วงนี้มีน้ำหนักพอควรเนื่องจากเป็นช่วงดัชนีที่เส้น fibonacci หลายชุดมาชุมนุมกัน เรียกว่ามีความสอดคล้องของค่า fibonacci ถัดจากนั้นก็คงเป็นที่ระดับ 1,250 - 1,350 จุด ต้องดูไปทีละด่าน




ทางด้านน้ำมันดิบ (CL) วันนี้ผ่านด่าน 85 ดอลลาร์/บาเรลมาได้ แต่ก็ยังไม่หลุดจากกรอบ SEC ดังนั้นอาจแกว่งขึ้นแกว่งลงต่อไปได้อีก ต้องรอให้ผ่านราคา 86.84 ดอลลาร์/บาเรลให้ได้เสียก่อนจึงจะเห็นความชัดเจนมากกว่านี้



ช่วงนี้เป็นช่วงปลายปี ผู้ที่มีเงินได้สูงและต้องการประหยัดภาษีมักลงทุนในกองทุน LTF, RMF กันในช่วงปลายปีเช่นนี้ แม้ตลาดหุ้นจะคึกคักแต่ก็อย่าประมาทและมองโลกในแง่ดีจนเกินไป ควรพิจารณาเลือกลงทุนในบริษัทจัดการกองทุนรวมที่สามารถเปลี่ยนไปถือกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงต่ำได้โดยสะดวก ดังที่ลุงแมวน้ำเคยคุยให้ฟังไปแล้วเมื่อนานมาแล้ว เอาไว้อีกสองสามวันจะเอากลับมาคุยให้ฟังกันอีกครั้งหนึ่ง



ฟิวเจอร์ส ออปชัน การเก็งกำไรและการบริหารความเสี่ยง (2)

วันนี้เรามาดูเรื่องฟิวเจอร์สต่อกัน ที่ลุงแมวน้ำเล่าเกี่ยวกับฟิวเจอร์สด้วยการผูกเป็นเรื่องก็เนื่องจากว่าเรื่องฟิวเจอร์สนี้ซับซ้อนอยู่บ้างและต้องใช้การคำนวณด้วย หากอธิบายเป็นเชิงวิชาการเกรงว่าจะน่าเบื่อ อีกประการ ลุงแมวน้ำต้องการถ่ายทอดมุมมองและทัศนคติเกี่ยวกับการเทรดฟิวเจอร์สด้วยซึ่งหากผูกเป็นเรื่องและมีตัวละครจะทำให้ถ่ายทอดได้ง่ายกว่าการเขียนเป็นบทความวิชาการ


ลุงแมวน้ำกลับคณะละครสัตว์ด้วยความผิดหวังที่ไม่สามารถประกันราคายางพาราได้ และได้เล่าเรื่องนี้ให้ลิงชิมแปนซีเจ้าปัญญา ดาราตัวหนึ่งของคณะละครสัตว์ฟัง

“ผมพอมีวิธี ลุงแมวน้ำไปหาแม่สาวยีราฟด้วยกัน ผมอยากคุยกับเธอหน่อย” ลิงชิมแปนซีพูด

ลุงแมวน้ำกับลิงชิมแปนซีจึงพากันไปหายีราฟสาวซึ่งเป็นดาราในคณะอีกตัวหนึ่ง

“นี่ ยีราฟจ๊ะ เธออยากลงทุนมั้ย หากมีกำไรจะได้เอาไปซื้อถั่วฝักยาวกินเล่น” ลิงชิมแปนซีเอ่ยชักชวน

“ถั่วฝักยาวเหรอ ดีจัง แล้วต้องลงทุนยังไงล่ะ” สาวยยีราฟก้มหัวลงมาถาม หากไม่ก้มคงคุยกันไม่รู้เรื่องเพราะว่าหัวของเธอนั้นสูงมาก

“คือยังงี้” ลิงอธิบาย “ลุงแมวน้ำปลูกยางพาราเอาไว้ ต้องการกรีดขายในเดือนมีนาคม ปีหน้า ลุงแกอยากขายที่ราคา 130 บาทต่อกิโลกรัม แต่กลัวว่าจะขายไม่ได้ตามนั้นเพราะราคาพืชผลเกษตรมันไม่แน่นอน ลุงแกแก่แล้ว สุขภาพก็ไม่ค่อยดีด้วย ถ้าได้ราคาต่ำกว่านี้ก็คงแย่ คงหมดทุนกันพอดี”

“แล้วหนูจะช่วยอะไรได้ล่ะ ไม่รู้เรื่องยางพาราสักนิด ถ้าเรื่องถั่วฝักยาวของโปรดก็ว่าไปอย่าง” ยีราฟสาวพูดพลางเอาลิ้นยาวๆเลียริมฝีปาก น้ำลายของเธอหยดใส่หัวลุงแมวน้ำไปหลายหยด

“เธอก็รับความเสี่ยงแทนลุงแมวน้ำเอาไว้สิ โดยสัญญาซื้อขายเป็นการล่วงหน้ากับลุงแมวน้ำล่วงหน้าเอาไว้ตั้งแต่ตอนนี้ว่าเมื่อกรีดยางได้จะซื้อยางพาราจากลุงแมวน้ำที่ราคากิโลกรัมละ 130 บาท” ลิงชิมแปนซีอธิบาย “แล้วเธอก็เอายางพาราไปขายต่อ นี่คือการเก็งกำไร หากตอนเดือนมีนาคมปีหน้า ราคาตลาดดีกว่า 130 บาท เธอจะได้กำไรในส่วนที่เกิน 130 บาทไป ลุงแมวน้ำแกพอใจที่ราคา 130 บาท ไม่ต้องการมากกว่านี้หรอก”

“แล้วถ้าตอนนั้นราคายางพาราเกิดต่ำกว่า 130 บาทล่ะ” ยีราฟสาวถาม

“เท่ากับว่าเธอซื้อล่วงหน้ามาในราคาแพง และขายในราคาตลาดที่ถูกกว่า เธอก็ขาดทุนไปน่ะสิ การลงทุนก็มีความเสี่ยงนั่นแหละ เมื่อมีโอกาสทำกำไรก็มีความเสี่ยงในการขาดทุนด้วย” ลิงอธิบายต่อ

ยีราฟเอียงหัวน้ำลายยืด คิดอยู่ครู่หนึ่ง

“เอ้า ลองดูก็ได้ ถือว่าช่วยลุงแมวน้ำด้วย เพราะว่าแกรับความเสี่ยงไม่ไหว ส่วนหนูยังสาวอยู่ ถึงขาดทุนก็มีโอกาสแก้ไขสถานการณ์ได้” ยีราฟสาวตัดสินใจที่จะลงทุนโดยรับซื้อยางพาราล่วงหน้าจากลุงแมวน้ำในราคา 130 บาท

“อ้อ เ ดี๋ยวก่อน ถ้าหากว่าเมื่อถึงเดือนมีนาคม ถ้าราคาตลาดสูงกว่า 130 บาทแล้วลุงแมวน้ำเกิดเบี้ยวหนูขึ้นมา เอายางพาราไปขายคนอื่นโดยไม่เอามาให้หนูล่ะ จะทำยังไง” ยีราฟเกิดสงสัยขึ้นมา

“ฮึ ลุงแมวน้ำ ดาวเด่นของคณะละครสัตว์เนี่ยนะจะเบี้ยวเธอ” ลุงแมวน้ำชักเคือง “ก็หากถึงตอนนั้นราคาไม่ดี แล้วเธอเกิดเบี้ยวไม่ยอมรับของจากลุงล่ะ เธอจะว่ายังไง เธอกังวลได้ ลุงก็กังวลได้เหมือนกัน”

เรื่องราวมีทีท่าว่าจะตกลงกันไม่ได้เพราะต่างฝ่ายก็กลัวอีกฝ่ายหนึ่งเบี้ยวสัญญา ลิงชิมแปนซีเจ้าปัญญาจึงเข้ามาไกล่เกลี่ย

“เอายังงี้ก็แล้วกัน ลุงแมวน้ำกับแม่ยีราฟต่างก็วางเงินประกันเอาไว้กับผมคนละ 10 บาทก็แล้วกัน” ลิงพูด

“วางประกัน 10 บาทจะไปพออะไร ยางพาราราคาตั้ง 130 บาทนะ” ยีราฟสาวแย้ง

“แล้วถ้าให้แต่ละตัววางเงินทั้งก้อน 130 บาท เงินมันเยอะ จะเอายังงั้นเหรอ” ลิงชิมแปนซีตั้งคำถาม ทั้งลุงแมวน้ำและยีราฟสาวจึงเงียบไป

“แค่นี้ก็พอแล้วล่ะ สมมติว่าเมื่อถึงเวลา ยางพาราราคากิโลกรัมละ 135 บาท เธอก็ได้กำไร 5 บาทจากราคาที่ตกลงกับลุงแกเอาไว้ ถูกไหม หากลุงแมวน้ำเบี้ยว ฉันก็เอาเงินประกันของลุงแมวน้ำไปจ่ายให้เธอ 5 บาท เท่าที่เธอควรจะได้กำไร เธอสบายเสียอีก ไม่ต้องรับยางแผ่นรมควันของจริงมา หรือหากลุงแมวน้ำไม่เบี้ยว เมื่อถึงเวลาเธอจะเลือกรับแค่ส่วนต่างที่เธอได้กำไรหรือจะรับยางแผ่นรมควันที่เป็นสินค้าจริงๆมาก็ได้ มีทางเลือกที่สะดวกให้ด้วย หากรับสินค้าจริงมา เธอรู้จักแต่ถั่วฝักยาวแล้วจะเอายางแผ่นไปขายที่ไหน” ลิงเจ้าปัญญากล่อมแม่สาวยีราฟ

จากนั้นลิงก็หันมาพูดกับลุงแมวน้ำต่อ “แล้วลุงก็เหมือนกัน สมมติว่าตอนนั้นราคาเหลือ 125 บาท หากแม่ยีราฟเบี้ยว ผมก็เอาเงินวางประกันของแม่ยีราฟนี่แหละชดเชยให้ลุง เสมือนว่าลุงขายได้ 130 บาท นั่นคือชดเชยให้ลุง 5 บาท หรือถ้าแม่ยีราฟไม่เบี้ยว ลุงจะเลือกส่งมอบยางแผ่นให้เธอแล้วรับเงินมา 130 บาท หรือถ้าแม่ยีราฟไม่อยากรับสินค้าจริง ลุงจะเลือกรับแต่ส่วนต่างแล้วเอายางแผ่นสินค้าจริงไปขายใครในราคาตลาดก็ได้ ยังงี้ดีไหมครับ”

ทั้งลุงแมวน้ำและสาวยีราฟเห็นว่าการวางเงินประกันกับคนกลางเพียงส่วนเดียวเป็นวิธีที่ยุติธรรมดีและป้องกันการเบี้ยวภายหลังได้ อีกทั้งยังไม่ต้องใช้เงินมากนัก ทั้งยังมีข้อดีที่จะเลือกรับส่วนต่างของกำไรขาดทุนโดยไม่ต้องรับมอบส่งมอบสินค้ากันจริงๆก็ได้ เมื่อเห็นดีเห็นงามกันเช่นนี้จึงเป็นอันตกลงกัน

“อ้อ แต่ว่าผมขอค่าเหนื่อยหน่อยนะ รักษาเงินของทั้งสองคนมันก็เหนื่อยเหมือนกัน ขอค่าดูแลเงินจากลุงแมวน้ำและยีราฟคนละ 0.45 บาท ก็แล้วกัน โปรดจ่ายมาก่อนเลย อิอิอิ” ลิงชิมแปนซีพูดแล้วก็หัวเราะด้วยเสียงแบบดาวร้ายในหนัง

“ฮึ นึกว่าจะใจดีอยากช่วยลุงแมวน้ำ ที่แท้ก็จะหารายได้เหมือนกัน” ยีราฟประชด “ยังมาหัวเราะอีก”

“อย่ามองฉันในแง่ร้ายขนาดนั้นสิ ทุกคนร่วมมือกัน ต่างก็ได้สมประโยชน์ของตน เมื่อพอใจกันทุกฝ่ายจะมาคิดอะไรมากล่ะ ฉันช่วยหาช่องทางลงทุนให้เธอ แล้วได้ช่วยลดความเสี่ยงให้ลุงแมวน้ำ อีกอย่าง การรักษาเงินประกันให้ลุงกับเธอฉันก็มีความเสี่ยงนะ หากเงินหายฉันก็ต้องรับผิดชอบ ทำอะไรให้ตั้งหลายอย่างก็ให้ค่าเหนื่อยฉันบ้างก็แล้วกัน ฉันจะได้เอาไปซื้อกล้วยกิน” ลิงชิมแปนซีอธิบาย

ลุงแมวน้ำได้ฟังลิงอธิบายก็เข้าใจในเหตุผลและเห็นด้วยกับเรื่องค่าดูแล และแล้ว ลุงแมวน้ำ ยีราฟ และลิงชิมแปนซีก็สามารถตกลงลงเงื่อนไขกันได้ในที่สุด

กาลเวลาผ่านไป จนถึงเดือนมกราคม 2554 ยีราฟก็วิ่งห้อมาหาลิงชิมแปนซีที่กำลังนั่งกินกล้วยซึ่งซื้อมาด้วยเงินค่านายหน้าอยู่บนต้นไม้อย่างสบายใจ

“แย่แล้วๆนายลิง” ยีราฟสาวเอะอะโวยวาย

“มีเรื่องอะไรเหรอ” ลิงชิมแปนซีถาม “วิ่งคอยาวมาเชียว”

“ถึงไม่วิ่งคอก็ยาวอยู่แล้ว” ยีราฟสาวค้อน “ฉันดูข่าวทีวี เห็นว่าราคายางพาราตอนนี้ตกลงมาเหลือกิโลกรัมละ 125 บาทเอง โอย ฉันขาดทุน ตายแน่ๆๆๆๆ” ยีราฟสาวโวยวายไม่หยุด