Monday, June 29, 2015

วิกฤตหนี้กรีซใกล้เส้นตาย เศรษฐกิจไทยอาจชะลอยาว (1)


ประชาชนกรีซกำลังเข้าคิวถอนเงินจากตู้เอทีเอ็มหลังจากที่กรีซและทรอยกาตกลงกันไม่ได้ และกรีซประกาศปิดทำการตลาดหุ้นและธนาคารในวันจันทร์ที่ 29 มิถุนายนนี้ ประชาชนถอนเงินได้จากตู้เอทีเอ็มเท่านั้น ซึ่งข่าวล่าสุดตอนนี้เงินหมดตู้แล้ว


นายกรัฐมนตรี อล็กซิส ซีปราส ของกรีซ



เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ผลการประชุมกรณีปัญหาหนี้ของกรีซ ระหว่างกลุ่มเจ้าหนี้คือทรอยกา และลูกหนี้คือกรีซ ปรากฏว่าขิงก็ราข่าก็แรง ไม่มีใครยอมใคร ปัญหาวิกฤตหนี้กรีซที่มีเส้นตายวันที่ 30 มิถุนายนดูเหมือนว่าจะไม่มีทางออก ทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ต่างก็จะเดินตามทางของตน คือพังเป็นพัง


ทบทวนวิกฤตหนี้กรีซ


เรามาทบทวนวิกฤตหนี้กรีซกันอย่างสั้นๆก่อน เพื่อให้ติดตามเรื่องได้สะดวก

กรีซประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ และได้รับเงินช่วยเหลือ (ก็คือเงินกู้ยืมนั่นเอง) จากกลุ่มสถาบันการเงินของยุโรปที่เรียกว่ากลุ่มทรอยกา ได้แก่้ ไอเอ็มเอฟ ธนาคารกลางยุโรป และสหภาพยุโรป เพื่อบรรเทาปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาหนี้สินต่างๆกับเจ้าหนี้ที่เป็นเอกชน รวมแล้วเป็นเงินประมาณ 240,000 ล้านยูโร โดยกรีซต้องแลกกับการปฏิรูปเศรษฐกิจและรัดเข็มขัดตามแผนการฟื้นฟูของกลุ่มทรอยกา แต่กรีซก็ไม่สามารถทำตามแผนปฏิรูปเศรษฐกิจได้ โดยเฉพาะเรื่องมาตรการรัดเข็มขัดต่างๆที่ทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนกรีซลดลงจากเดิม โดยนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน อเล็กซิส ซีปราส ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนก็เพราะประกาศนโยบายไม่เอามาตรการรัดเข็มขัดจนประชาชนสนับสนุน

เมื่อซีปราสได้เป็นนายกรัฐมนตรีก็พยายามขอลดหย่อนมาตรการรัดเข็มขัดกับกลุ่มเจ้าหนี้ แต่กลุ่มเจ้าหนี้ไม่ยอม ซ้ำยังบังคับให้กรีซเพิ่มมาตรการรัดเข็มขัดเสียอีกด้วยเพราะการปฏิรูปเศรษฐกิจไม่้ก้าวหน้าเท่าที่ควร


ทำไม 30 มิถุนายนจึงมีความสำคัญ ถือเป็นเส้นตาย 


ประเด็นที่เป็นปัญหาอยู่สำหรับตอนนี้ก็คือ กรีซถึงกำหนดต้องชำระหนี้เงินกู้บางส่วนให้แก่ไอเอ็มเอฟ ในวันที่ 30 มิถุนายนนี้ มูลค่าประมาณ 1,600 ล้านยูโร ซึ่งคาดว่ากรีซไม่น่าจะมีเงินจ่าย ทางกลุ่มทรอยกาก็บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน หากยินยอมเพิ่มมาตรการรัดเข็มขัดให้ตึงยิ่งขึ้นไปอีก เงินงวดที่ต้องชำระคืนในสิ้นเดือนนี้ก็ให้ยืดหนี้ไปได้อีก 5 เดือน พร้อมกันนั้นจะขยายวงเงินช่วยเหลือเพิ่มให้อีก 15,000 ล้านยูโร แถมยังพร้อมให้เงินกู้ฉุกเฉินที่เบิกจ่ายได้ในทันที 1,800 ล้านยูโร แต่ซีปราสไม่ต้องการ ซีปราสต้องการขอผ่อนปรนหนี้พร้อมทั้งผ่อนปรนมาตรการรัดเข็มขัดด้วย

การต่อรองดำเนินไปอย่างเข้มข้น สุดท้ายซีปราสงัดมุขประชามติออกมาใช้ โดยบอกแก่กลุ่มเจ้าหนี้ว่าถ้าเจรจากันไม่สำเร็จก็ขอให้ประชาชนชาวกรีซลงประชามติก็แล้วกันว่าจะตัดสินใจยอมรับภาระหนี้และมาตรการต่างๆที่จะมาบังคับกับประชาชนกรีซหรือไม่ โดยจะกำหนดวันลงประชามติ 5 ก.ค. นี้ ปลายเดือน ก.ค. ก็จะรู้ผล ดังนั้นขอผ่อนผันการชำระหนี้ออกไปก่อนอีก 1 เดือน

หลังจากเจรจากันอย่างหนัก กลุ่มเจ้าหนี้ไม่ยินยอมรับเงื่อนไขของซีปราส โดยบอกว่า หากไม่เพิ่มมาตรการรัดเข็มขัด เรื่องเงินก็ไม่ต้องคุยกัน และนั่นหมายความว่ากรีซคงต้องผิดนัดชำระหนี้ในวันที่ 30 มิ.ย. นี้ ซึ่งการผิดนัดชำระหนี้งวดนี้แม้จะเป็นเงินไม่มากเมื่อเทียบกับเงินกู้ทั้งหมด แต่ก็เท่ากับกรีซเบี้ยวหนี้แล้ว คือเสียเครดิตไปเลย นอกจากนี้ ภายในเดือน ก.ค. นี้กรีซยังมีหนี้เงินกู้และยังมีพันธบัตรกรีซที่ครบกำหนดซึ่งต้องจ่ายคืนอีกหลายพันล้านยูโร  ซึ่งก็คงต้องเบี้ยวหนี้ไปด้วย

ผลจากการเบี้ยวหนี้ก็คือกรีซคงต้องออกจากกลุ่มยูโรโซน เลิกใช้เงินยูโร ปัญหาจะตามมาอีกมากมายโดยเฉพาะการสะสางปัญหาหนี้สินจะยิ่งวุ่นวายมากขึ้นไปอีก  ประชาชนคงแห่กันไปถอนเงินจากธนาคาร ซึ่งหากกรีซไม่มีการจัดการอะไรเลย ธนาคารในกรีซคงล้ม ซึ่งข่าวล่าสุด กรีซประกาศให้ธนาคารและตลาดหุ้นปิดทำการในวันจันทร์นี้ ประชาชนจะถอนเงินได้จากตู้เอทีเอ็มเท่านั้น นี่คือมาตรการรับมือฉุกเฉินเพื่อป้องกันเงินทุนไหลออกเบื้องต้น หลังจากนี้คงมีมาตรการอื่นๆตามมาอีก แต่สถานการณ์ล่าสุดคือเงินหมดตู้เอทีเอ็ม ถอนเงินไม่ได้แล้ว




นี่คือที่มาที่ไปแบบสั้นๆของวิกฤตหนี้กรีซและสิ่งที่กำลังจะเกิดในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้


ถ้ากรีซเบี้ยวหนี้จริงจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นแค่ไหน แล้วจะทำยังไงต่อดี


ที่จริงเรื่องหนี้กรีซนั้นลุงแมวน้ำก็ยังคิดว่าน่าจะคุยกันได้ แม้ในตอนที่พิมพ์บทความอยู่นี้ก็ยังคิดว่าน่าจะตกลงกันได้ เพราะการที่กรีซยังอยู่ในยูโรโซนจะทำให้ทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ได้ประโยชน์ทั้งคู่ ดีกว่าที่กรีซต้องออกจากกลุ่มไป แต่เอาเถอะ หากตกลงกันไม่ได้จริงๆ เมื่อกลุ่มเจ้าหนี้เล่นไม้แข็ง ไม่ยอมผ่อนผันลูกหนี้อีกแล้ว คิดว่ากลุ่มเจ้าหนี้คงมีมาตรการรองรับผลกระทบไว้บ้างแล้ว เรื่องกรีซเบี้ยวหนี้นั้นจำนวนเงินไม่สำคัญเท่ากับเรื่องที่ว่าอาจเป็นชนวนให้ยูโรโซนล่มสลาย ต้องจับตาผลกระทบที่ตามมาเป็นลูกโซ่

ผลกระทบระยะสั้นต่อตลาดหุ้นก็คงมี เพราะตลาดหุ้นอ่อนไหวต่อปัจจัยทางจิตวิทยา คือตกใจง่าย แต่จะมากหรือน้อยลุงแมวน้ำก็ยังดูไม่ออก คงต้องค่อยดูและประเมินสถานการณ์กันไป ปรับกลยุทธ์กันไป

เรื่องคาดการณ์นั้นย่อมมีผิดมีถูก แต่จะคาดการณ์ผิดหรือถูกก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าเราเตรียมรับมือกับความเสี่ยงได้ดีเพียงใด ยกตัวอย่างเช่นเรื่องกรีซนี้ แม้เรามองว่าน่าจะตกลงกันได้ แต่ถ้าหากตกลงกันไม่ได้แล้วเราจะรับมือได้หรือไม่

ที่จริงตอนนี้เศรษฐกิจไทยและตลาดหุ้นไทยมีปัญหาที่ส่งผลกระทบมากกว่ากรณีกรีซอยู่หลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่แนวโน้มชะลอมากกว่าที่คาด การส่งออกของไทยที่ชะลอตัวมากกว่าที่คาด และล่าสุดคือเรื่องปัญหาภัยแล้วที่รุนแรงกว่าที่คาด เหล่านี้ล้วนแต่เกินความคาดหมายทั้งสิ้น และนอกจากนี้ ยังมีเรื่องการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดที่ยังไม่รู้วันเวลาแน่ชัดอีก วันใดที่เฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็คงส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลกรวมทั้งตลาดหุ้นไทย เราเตรียมการรับมือกับความเสี่ยงที่ไม่คาดหมายเหล่านี้หรือไม่ และอย่างไร

สำหรับลุงแมวน้ำ ช่วงหลังนี้ลุงแมวน้ำเห็นสัญญาณเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดีแบบเกินความคาดหมายหลายอย่าง เช่น  การค้าขายฝืดเคืองต่อเนื่องและยังไม่ค่อยเห็นการฟื้นตัว ปริมาณเอ็นพีแอลในระบบธนาคารเพิ่มขึ้น ระดับน้ำในเขื่อนใหญ่ที่ต่ำจนถึงระดับวิกฤต ฯลฯ ทางด้านจีนเองก็ชะลอตัวกว่าที่คาด ประกอบกับเรื่องการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเฟดที่ยังอึมครึม เหล่านี้ล้วนแต่มีผลลบต่อเศรษฐกิจไทยและตลาดหุ้นไทยทั้งสิ้น ซึ่งลุงแมวน้ำได้ทยอยนำมาคุยให้ฟังและปรับมุมมองอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งแนะนำให้ถือเงินสดเอาไว้บ้าง ในบทความของลุงแมวน้ำก่อนหน้านี้

ลุงแมวน้ำเองก็ลดพอร์ตลงอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้ถือเงินสดเกินกว่า 50% ของพอร์ต นี่คือการวางกลยุทธ์เพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในช่วงนี้ หากตลาดหุ้นลงแรงลุงแมวน้ำก็จะทยอยกลับเข้าไปลงทุน ก็เตรียมทำการบ้านเอาไว้ล่วงหน้าว่ากรณีที่ตลาดหุ้นลงจะทำอย่างไร

ยังไม่จบนะคร้าบ ติดตามอ่านพรุ่งนี้

Sunday, June 28, 2015

เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ บะหมี่พ่อมึงตาย สร้างจุดขายแบบหลุดโลก












เช้าวันหยุดวันนี้เรามาคุยเรื่องเบาๆกัน เป็นเรื่องอาหารการกินที่มีแง่มุมทางการตลาดที่น่าสนใจ

ที่จังหวัดเชียงใหม่ ในอำเภอเมือง แถวๆซอยเจ็ดยอด-ช้างเคี่ยน มีร้านบะหมี่ในห้องแถวขนาดคูหาเดียวอยู่ร้านหนึ่งที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ คนไปต่อคิวกันกันยาวเฟื้อย นั่นคือร้านเฮียฮ้ง หรือชื่อที่ปรากฏตามป้ายในร้านเขียนว่า เฮียฮ๋ง

เวลาเราไปอบรมหลักสูตรที่เกี่ยวกับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เราก็มักถูกสอนว่าธุรกิจเอสเอ็มอีที่จะแจ้งเกิดหรือเป็นที่รู้จักและสร้างยอดขายได้นั้นต้องมีการ สร้างความแตกต่าง หรือที่ภาษาอังกฤษว่า differentiation เพราะหากทำเหมือนๆกันไปหมดก็คงไม่มีอะไรโดดเด่นให้ลูกค้าจดจำหรือมาอุดหนุน แต่การสร้างความแตกต่างนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย บางทีคิดจึงหัวผุก็คิดไม่ออก หรือบางทีคิดออกแต่พอเอาไปทำจริงแล้วก็ไม่ประสบผล

สำหรับร้านบะหมี่เฮียฮ้งนั้นถือว่าประสบความสำเร็จในการสร้างความแตกต่าง โดยใช้ความแปลกหลุดโลกเป็นจุดขาย ซึ่งไม่ใช่แปลกหลุดโลกเพียงเรื่องเดียว แต่ในร้านนี้มีเรื่องหลุดโลกรวมกันอยู่หลายอย่าง หลายคนคงรู้จักร้านนี้กันมาแล้ว เราลองมาดูกันว่ามีอะไรบ้าง

เมนูชื่อพิสดาร เมนูดังของร้านนี้เป็นชื่อแปลกๆ เช่น บะหมี่โคตรโง่ โคตรเฮี่ย พ่อมึงตาย ฯลฯ

อาหารขนาดไม่ปกติ จานใหญ่เว่อ บะหมี่โคตรโง่ใช้บะหมี่ 24 ก้อน กินได้ 5 คน ราคา 250 บาท

เมนูโคตรเฮี่ยใช้บะหมี่ 36 ก้อน ราคา 350 บาท

เมนูพ่อมึงตายใช้บะหมี่ 60 ก้อน ราคา 600 บาท กินกันได้สิบกว่าคน

และล่าสุดเพิ่งออกเมนู จะไปตามหาพ่อมึง ใช้บะหมี่ 84 ก้อน ราคา 1200 บาท

เจ้าของร้านมีบุคลิกโผงผาง พูดจาตรง ใช้สรรพนามกู-มึงกับลูกค้า บางทีก็ใช้ลูกค้าให้ช่วยงานในร้าน

เปิดร้าน 23 น - ตีสาม อันเป็นเวลานอนของคนทั่วไป

เท่าที่อ่านดู เจ้าของร้านพูดจาไม่ค่อยไพเราะ เมนูชามใหญ่มาก กินเข้าไปยังไงไหว แถมเปิดร้านในยามวิกาลซึ่งเป็นเวลาที่คนส่วนใหญ่นอนกัน รวมความแล้วร้านนี้ไม่น่าจะมีลูกค้า เพราะผิดหลักการตลาดหมดเลย แต่มีถูกอยู่เรื่องเดียว นั่นคือ การสร้างความแตกต่าง

แต่ปรากฏว่าร้านนี้ขายดิบขายดี คนมาเข้าคิวกิน บางคนรอชั่วโมงกว่า ดึกดื่นก็ยังมากินกัน แถมชามใหญ่คนเดียวกินไม่หมด ไม่เป็นไร นัดเพื่อนมาเป็นกลุ่ม สั่งแล้วมากินด้วยกันเหมือนสังสรรค์กัน กลายเป็นดีเสียอีก

เรื่องพูดจาไม่ไพเราะนั้น บางคนก็บอกว่าแปลกดี จริงใจดี เป็นกันเองดี หาฟังไม่ได้จากร้านอื่น อ้าว เกิดถูกใจตลาดอีก

รวมความแปลกหลุดโลกหลายๆอย่าง (แต่ที่สำคัญที่สุดซึ่งยังเป็นพื้นฐาน นั่นก็คืออาหารต้องอร่อย) ลูกค้าที่ไปกินก็นำไปเผยแพร่ในเครือข่ายสังคมออนไลน์ สื่อมวลชนก็มาทำข่าว สุดท้ายก็ดังและติดตลาดได้ ลูกค้าบางคนก็ตั้งฉายาว่าบะหมี่มาเฟีย บางคนก็ตั้งฉายาให้ว่าบะหมี่ปากหมาน (เอา น หนู ออก >.<)

เครือข่ายสังคมออนไลน์มีบทบาทในยุคนี้อย่างสูง เรื่องอะไรที่โดนใจและนำไปแชร์กันมากๆจะมีคนไปอุดหนุนกันมาก เพราะอยากรู้อยากลอง ทำให้แจ้งเกิดได้อย่างรวดเร็ว ตอนนี้ถือว่าแจ้งเกิดได้แล้ว ความยากในขั้นต่อไปก็คือจะรักษายอดขายเอาไว้ได้อย่างไรในระยะยาว ทำอย่างไรจึงจะให้ลูกค้าที่มาทดลองใช้บริการเพราะอยากสัมผัสความแปลกใหม่หลุดโลกกลายมาเป็นลูกค้าขาประจำ

ร้านนี้ลุงยังไม่เคยไปกินนะคร้าบ และนี่ก็ไม่ได้เอามาโฆษณา ลุงแมวน้ำไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียแต่อย่างใด เพียงแต่เห็นว่าเป็นกรณีศึกษาทางการตลาดที่น่าสนใจ เลยนำมาฝากกัน

อ้อ แถมท้ายอีกนิด สมัยก่อน ราวๆ 20 ปีมาแล้ว แถวเยาวราชดูเหมือนจะมีร้านก๋วยเตี๋ยวอยู่ร้านหนึ่ง คนก็เรียกกันว่าบะหมี่ปากหมาน เพราะเจ้าของร้านชอบด่าลูกค้า จะไปเร่งหรือเปลี่ยนเมนูไม่ได้ เป็นต้องโดนด่า แต่คนก็ไปกินกันแน่นร้าน มีอยู่วันหนึ่งเจ้าของร้านก็โดนดักตีหัว คงเพราะไปด่าเขานั่นแหละ แต่พอรักษาตัวเรียบร้อยแล้วก็กลับมาด่าตามเดิม ปัจจุบันคงเลิกไปแล้วเพราะนานมากแล้ว นี่ก็เล่าขำ ลุงก็ไม่เคยไปกินเช่นกันคร้าบ ^_^