Sunday, June 28, 2015

เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ บะหมี่พ่อมึงตาย สร้างจุดขายแบบหลุดโลก












เช้าวันหยุดวันนี้เรามาคุยเรื่องเบาๆกัน เป็นเรื่องอาหารการกินที่มีแง่มุมทางการตลาดที่น่าสนใจ

ที่จังหวัดเชียงใหม่ ในอำเภอเมือง แถวๆซอยเจ็ดยอด-ช้างเคี่ยน มีร้านบะหมี่ในห้องแถวขนาดคูหาเดียวอยู่ร้านหนึ่งที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ คนไปต่อคิวกันกันยาวเฟื้อย นั่นคือร้านเฮียฮ้ง หรือชื่อที่ปรากฏตามป้ายในร้านเขียนว่า เฮียฮ๋ง

เวลาเราไปอบรมหลักสูตรที่เกี่ยวกับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เราก็มักถูกสอนว่าธุรกิจเอสเอ็มอีที่จะแจ้งเกิดหรือเป็นที่รู้จักและสร้างยอดขายได้นั้นต้องมีการ สร้างความแตกต่าง หรือที่ภาษาอังกฤษว่า differentiation เพราะหากทำเหมือนๆกันไปหมดก็คงไม่มีอะไรโดดเด่นให้ลูกค้าจดจำหรือมาอุดหนุน แต่การสร้างความแตกต่างนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย บางทีคิดจึงหัวผุก็คิดไม่ออก หรือบางทีคิดออกแต่พอเอาไปทำจริงแล้วก็ไม่ประสบผล

สำหรับร้านบะหมี่เฮียฮ้งนั้นถือว่าประสบความสำเร็จในการสร้างความแตกต่าง โดยใช้ความแปลกหลุดโลกเป็นจุดขาย ซึ่งไม่ใช่แปลกหลุดโลกเพียงเรื่องเดียว แต่ในร้านนี้มีเรื่องหลุดโลกรวมกันอยู่หลายอย่าง หลายคนคงรู้จักร้านนี้กันมาแล้ว เราลองมาดูกันว่ามีอะไรบ้าง

เมนูชื่อพิสดาร เมนูดังของร้านนี้เป็นชื่อแปลกๆ เช่น บะหมี่โคตรโง่ โคตรเฮี่ย พ่อมึงตาย ฯลฯ

อาหารขนาดไม่ปกติ จานใหญ่เว่อ บะหมี่โคตรโง่ใช้บะหมี่ 24 ก้อน กินได้ 5 คน ราคา 250 บาท

เมนูโคตรเฮี่ยใช้บะหมี่ 36 ก้อน ราคา 350 บาท

เมนูพ่อมึงตายใช้บะหมี่ 60 ก้อน ราคา 600 บาท กินกันได้สิบกว่าคน

และล่าสุดเพิ่งออกเมนู จะไปตามหาพ่อมึง ใช้บะหมี่ 84 ก้อน ราคา 1200 บาท

เจ้าของร้านมีบุคลิกโผงผาง พูดจาตรง ใช้สรรพนามกู-มึงกับลูกค้า บางทีก็ใช้ลูกค้าให้ช่วยงานในร้าน

เปิดร้าน 23 น - ตีสาม อันเป็นเวลานอนของคนทั่วไป

เท่าที่อ่านดู เจ้าของร้านพูดจาไม่ค่อยไพเราะ เมนูชามใหญ่มาก กินเข้าไปยังไงไหว แถมเปิดร้านในยามวิกาลซึ่งเป็นเวลาที่คนส่วนใหญ่นอนกัน รวมความแล้วร้านนี้ไม่น่าจะมีลูกค้า เพราะผิดหลักการตลาดหมดเลย แต่มีถูกอยู่เรื่องเดียว นั่นคือ การสร้างความแตกต่าง

แต่ปรากฏว่าร้านนี้ขายดิบขายดี คนมาเข้าคิวกิน บางคนรอชั่วโมงกว่า ดึกดื่นก็ยังมากินกัน แถมชามใหญ่คนเดียวกินไม่หมด ไม่เป็นไร นัดเพื่อนมาเป็นกลุ่ม สั่งแล้วมากินด้วยกันเหมือนสังสรรค์กัน กลายเป็นดีเสียอีก

เรื่องพูดจาไม่ไพเราะนั้น บางคนก็บอกว่าแปลกดี จริงใจดี เป็นกันเองดี หาฟังไม่ได้จากร้านอื่น อ้าว เกิดถูกใจตลาดอีก

รวมความแปลกหลุดโลกหลายๆอย่าง (แต่ที่สำคัญที่สุดซึ่งยังเป็นพื้นฐาน นั่นก็คืออาหารต้องอร่อย) ลูกค้าที่ไปกินก็นำไปเผยแพร่ในเครือข่ายสังคมออนไลน์ สื่อมวลชนก็มาทำข่าว สุดท้ายก็ดังและติดตลาดได้ ลูกค้าบางคนก็ตั้งฉายาว่าบะหมี่มาเฟีย บางคนก็ตั้งฉายาให้ว่าบะหมี่ปากหมาน (เอา น หนู ออก >.<)

เครือข่ายสังคมออนไลน์มีบทบาทในยุคนี้อย่างสูง เรื่องอะไรที่โดนใจและนำไปแชร์กันมากๆจะมีคนไปอุดหนุนกันมาก เพราะอยากรู้อยากลอง ทำให้แจ้งเกิดได้อย่างรวดเร็ว ตอนนี้ถือว่าแจ้งเกิดได้แล้ว ความยากในขั้นต่อไปก็คือจะรักษายอดขายเอาไว้ได้อย่างไรในระยะยาว ทำอย่างไรจึงจะให้ลูกค้าที่มาทดลองใช้บริการเพราะอยากสัมผัสความแปลกใหม่หลุดโลกกลายมาเป็นลูกค้าขาประจำ

ร้านนี้ลุงยังไม่เคยไปกินนะคร้าบ และนี่ก็ไม่ได้เอามาโฆษณา ลุงแมวน้ำไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียแต่อย่างใด เพียงแต่เห็นว่าเป็นกรณีศึกษาทางการตลาดที่น่าสนใจ เลยนำมาฝากกัน

อ้อ แถมท้ายอีกนิด สมัยก่อน ราวๆ 20 ปีมาแล้ว แถวเยาวราชดูเหมือนจะมีร้านก๋วยเตี๋ยวอยู่ร้านหนึ่ง คนก็เรียกกันว่าบะหมี่ปากหมาน เพราะเจ้าของร้านชอบด่าลูกค้า จะไปเร่งหรือเปลี่ยนเมนูไม่ได้ เป็นต้องโดนด่า แต่คนก็ไปกินกันแน่นร้าน มีอยู่วันหนึ่งเจ้าของร้านก็โดนดักตีหัว คงเพราะไปด่าเขานั่นแหละ แต่พอรักษาตัวเรียบร้อยแล้วก็กลับมาด่าตามเดิม ปัจจุบันคงเลิกไปแล้วเพราะนานมากแล้ว นี่ก็เล่าขำ ลุงก็ไม่เคยไปกินเช่นกันคร้าบ ^_^






Friday, June 26, 2015

ตลาดหุ้นจีนแพงแล้ว ส่งออกไทยหดตัวต่อเนื่อง






วันนี้เรามาคุยกันถึงเรื่องจีนกันอีกครั้ง ทั้งตลาดหุ้นและภาคเศรษฐกิจจริงที่กระทบต่อเศรษฐกิจไทยและต่อตลาดหุ้น คุยกันหลายเรื่องทีเดียว

มาเริ่มกันที่ตลาดหุ้นจีนก่อน ตอนนี้ตลาดหุ้นจีนผันผวนหนัก เหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงเป็นรถไฟเหาะตีลังกา ขึ้นลงวันละหลายเปอร์เซ็นต์ทีเดียว

ลองมาดูกราฟตลาดหุ้นจีนกัน กราฟนี้มี 3 เส้น เพราะมี 3 ดัชนี มาดูกันทีละดัชนีแล้วจะรู้ว่าตลาดหุ้นจีนตอนนี้แพงจริง

เส้นแรก สีน้ำเงินเป็นดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต (shanghai composite index) ที่พวกเราชอบดูกันนั่นแหละ เวลาพูดถึงดัชนีตลาดหุ้นจีนมักอ้างอิงดัชนีตัวนี้กัน ตอนนี้ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตมีค่าพีอี (P/E ratio) ประมาณ 23.7 เท่า เห็นค่า 20 กว่าเท่านี่เราก็บอกว่าแพงกันแล้ว เพราะเมื่อปลายปีที่แล้วยังเทรดกันที่ 8-9 เท่ากันอยู่แลย

แต่ถ้ามาดูดัชนีเซืนเจินคอมโพสิต (Shenzhen composite index) ดัชนีนี้มักถูกพูดถึงน้อยกว่า แต่ดัชนีเซินเจินนี้มีค่าพีอีสูงถึง 69.2 เท่า ยิ่งแพงกว่าดัชนีเซี่ยงไฮ้มาก

มาทำความเข้าใจกันก่อน ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตนี้ถ่วงน้ำหนักด้วยหุ้นในกลุ่มธนาคารค่อนข้างมาก ปกติแล้วหุ้นธนาคารเทรดกันที่พีอีต่ำหน่อย มักต่ำกว่าเซ็กเตอร์อื่นๆ  ส่วนดัชนีเซินเจินนั้นถ่วงน้ำหนักด้วยหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตค่อนข้างมาก ซึ่งรวมหุ้นไอทีและหุ้นไฮเทคโนโลยีด้วย (หุ้นไอทีและหุ้นไฮเทคมักเก็งกำไรกันอย่างหนัก เทรดกันที่พีอีสูงมาก) นี่ขนาดเป็นหุ้นที่เทรดกันที่พีอีต่ำเช่นหุ้นในตลาดเซี่ยงไฮ้ยังปาเข้าไป 20 กว่าเท่า ดังนั้นเมื่อเรามองสองดัชนีนี้ประกอบกันทำให้มองเห็นภาพได้ชัดขึ้นว่าตอนนี้ตลาดหุ้นจีนเก็งกำไรกันอย่างสุดเหวี่ยง

ยังมีดัชนีอีกดัชนีหนึ่ง ลุงไม่ได้นำกราฟมาให้ดู เป็นดัชนี CSI 700 mid & smallcap คือเป็นดัชนีพวกกลุ่ม SME น่ะ ดัชนีนี้ก็มีค่าพีอี 52 เท่า ยิ่งช่วยเสริมให้เห็นว่าตลาดหุ้นจีนตอนนี้แพงมากแล้ว

ถามว่าตลาดหุ้นจีนไปต่อได้อีกไหม ลุงแมวน้ำคิดว่าในปีนี้คงยาก ตลาดหุ้นจีนในปีนี้ หมายถึงว่าต่อจากนี้จนสิ้นปี น่าจะเป็นตคลาดขาลง เพราะหากดูจากมูลค่าแล้วถือว่าแพงถึงแพงมาก ซื้ออนาคตกันไปมากแล้ว และยิ่งตอนนี้เศรษฐกิจจีนชะลอตัวด้วย และเมื่อดูรูปแบบทางเทนิค ก็น่าจะเป็นคลื่น 4 หรือคลื่น A ซึ่งเป็นคลื่นขาลง ดังนั้นควรระมัดระวังในการเข้าลงทุน

เส้นสุดท้าย ตลาดหุ้นฮ่องกง พีอี 11.3 เท่า ยังไม่สูง แต่ว่ารูปแบบทางเทคนิคคล้อยตามตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ผสมกับตลาดหุ้นจีนนิดๆ ดังนั้นลุงแมวน้ำก็คิดว่าตลาดหุ้นฮ่องกงในปีนี้ยังไม่ไปไหนเช่นกัน น่าจะลงเสียมากกว่า

มาพูดกันถึงภาคเศรษฐกิจจริงกันสักนิด แล้วเดี๋ยวจะโยงไปตลาดหุ้นไทย วันนี้กระทรวงพาณิชย์จะประกาศตัวเลขการส่งออกของไทยในเดือนพฤษภาคม ซึ่งคาดว่าติดลบต่อเนื่องอีก แปลว่าส่งออกของเรายังไม่กระเตื้องเลย มีแต่ถอยลง

คู่ค้าที่สำคัญของไทยในช่วงหลังหลายปีมานี้คือจีน แต่จีนนำเข้าสินค้าจากไทยน้อยลงและน้อยลง นี่คือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ยอดส่งออกของไทยหดตัวลงด้วย และข่าวร้ายล่าสุดก็คือ จีนกับเกาหลีใต้ทำข้อตกลงลดภาษีสินค้าอุปโภคบริโภคระหว่างกัน เรื่องนี้มีความสำคัญทีเดียวเพราะปีที่แล้ว 2014 จีนนำเข้าสินค้าจากเกาหลีใต้ประมาณ 200,000 ล้านดอลลาร์ สรอ และนำเข้าสินค้าไทยราว 40,000 ล้านดอลลาร์ สรอ แค่นี้ก็เห็นว่าสินค้าเกาหลีใต้ได้รับความนิยมในจีนมาก และหากมีการลดภาษีระหว่างกันอีก สินค้าเกาหลีใต้จะยิ่งได้เปรียบเรื่องต้นทุน ดังนั้นเป็นไปได้ว่ายอดส่งออกของไทยจะหดตัวต่อเนื่องไปอีกเพราะสินค้าเกาหลีใต้เบียดสินค้าไทย สินค้าไทยที่มีโอกาสถูกสินค้าเกาหลีใต้ตีตลาดในจีนก็คือ สินค้าแฟชัน เครื่องสำอาง เครื่องใช้ภายในบ้าน และอาหาร




หากยอดส่งออกของไทยหดตัวต่อเนื่อง ย่อมส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยและกระทบตลาดหุ้นไทย ตลาดหุ้นไทยก็อาจฟื้นตัวช้าลงอีก แต่กระทบขนาดไหน และช้านานขนาดไหนยังประเมินยาก ต้องตามดูไปก่อนอีกสักระยะหนึ่ง

ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน ที่คาดไว้ก็ผิดคาด ที่หวังเอาไว้ก็ผิดหวัง เป็นเรื่องปกติ ก็ต้องปรับกลยุทธ์เอาตัวรอดกันไป ที่สำคัญคือต้องเอารอดให้ได้คร้าบ