Sunday, April 12, 2015

ตลาดกระทิงกำลังมา (2)


ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ (ทองคำ น้ำมันดิบ สินค้าเกษตร) ฟื้นตัว


วันนี้ลุงแมวน้ำเกี่ยวกับสัญญาณบางประการในกคลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ มีภาพมาฝากหลายภาพเช่นเคย เรามาดูกันทีละภาพ



ภาพแรก กราฟอีทีเอฟน้ำมัน (กราฟ DBO) กราฟนี้เป็นตัวแทนราคาน้ำมันดิบ ปกติลุงมักแสดงราคาน้ำมันดิบด้วยกราฟฟิวเจอร์สน้ำมันไนเม็กซ์ตลาดนิวยอร์ก  แต่วันนี้นำกราฟ DBO อันเป็นอีทีเอฟมาให้ดูแทนเนื่องจากต้องการให้สังเกตปริมาณซื้อขาย ดูกราฟนี้จะเห็นได้ชัดดี

จากกราฟ DBO เราจะเห็นว่าเมื่อน้ำมันดิบ WTI ร่วงมาอยู่ที่ 44 ดอล ในวันที่ 18 มีนาคม 2115 ราคาอีทีเอฟร่วงลงมาและเกิดแรงรับซื้อในปริมาณมาก ดูแท่งปริมาณซื้อขายจะเห้นว่าแรงซื้อโดดเด่น (volume spike) ขึ้นมา และหลังจากนั้นราคาก็ไม่ลงต่อ ทำให้เกิดเป็นรูปแบบท้องคลื่นคู่ (bouble bottom) สองกรณีนี้ประกอบกันบ่งชี้ว่าแนวรับทางจิตวิทยาที่ระดับนี้แข็งแรงมาก หากไม่มีเหตุการณ์พิเศษอื่นๆ ก็คาดว่าตรงนี้อาจเป็นจุดกลับแนวโน้มขาขึ้น

หากราคาน้ำมันดิบกลับเป็นขาขึ้นจริง WTI อาจไปได้ถึง 60-70 ดอลลาร์จากโมเมนตัมของแรงเก็งกำไร น่าจะทำให้ช่วงครึ่งหลังของปีมีอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น กิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี จะเป็นกลุ่มที่ดันดัชนี และแน่นอน ป้าเจนคงขึ้นอัตราดอกเบี้ยเฟดกลางปีนี้หรือปลายปี แต่ลุงคิดว่าขึ้นก็ดี ไม่ขึ้นก็ได้ ไม่ค่อยมีผลอะไรแล้ว



ต่อมาดูที่กราฟ DBA อันเป็นอีทีเอฟสินค้าเกษตร จะเห็นว่าในวันที่ 18 มีนาคม วันเดียวกับที่น้ำมันดิบเด้ง ราคาอีทีเอฟสินค้าเกษตรก็เด้ง และมีปริมาณซื้อขายพุ่งพรวด (volume spike) ทำนองเดียวกับน้ำมันดิบ แสดงว่าระดับราคาแถวนี้เป็นแนวรับทางจิตวิทยาที่สำคัญมาก และเป็นไปได้ว่าราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกจะฟื้นตัวขึ้นและกลับเป็นแนวโน้มขาขึ้นแล้ว

หากสินค้าเกษตรในตลาดโลกขึ้น (ส่วนใหญ่เป็นพวกถั่วเหลือง ข้าวโพด ข้าวสาลี โกโก้ กาแฟ น้ำตาล ฝ้าย ฯลฯ) โมเมนตัมนี้มาจากราคาน้ำมันดิบ ก็จะช่วยให้ราคาพืชผลเกษตรโดยรวมดีขึ้น ราคายางพารา น้ำมันปาล์ม น่าจะดีขึ้น จะดีมากหรือน้อยก็ตาม แต่น่าจะทำให้เกษตรกรไทยหายใจได้คล่องขึ้น ยกเว้นข้าว ลุงไม่ค่อยแน่ใจนัก เพราะแข่งขันราคากันหนัก >.<



ทีนี้ก็มาดูราคาทองคำ ดูกราฟ GC ผลจากดอลลาร์ สรอ อ่อนค่าทำให้ราคาทองคำขึ้น แต่เท่าที่ลุงสังเกต ราคาทองคำปรับตัวแรงกว่าการอ่อนค่าของดอลลาร์ แปลว่ามีแรงเก็งกำไรเข้ามาในทองคำค่อนข้างเยอะ

ประกอบกับตอนนี้เงินคิวอีล้นโลก เงินดอลลาร์ สรอ ที่ทำคิวอียังไม่ได้เก็บกลับ ยังหมุนเวียนอยู่ในตลาด เงินคิวอีญี่ปุ่นกับยูโรไหลเพิ่มเข้ามาในตลาด แต่ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น เก็งกำไรได้จำกัดแล้ว ดังนั้น แรงเก็งกำไรส่วนหนึ่งจึงย้ายมาในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์เพราะตกต่ำมาหลายปีแล้ว อาจเป็นการเก็งกำไรในช่วงเพียงไม่กี่เดือน แต่การขึ้นก็มีกรอบการขึ้นที่จำกัด เช่น น้ำมันดิบคงไม่เกิน 70 ดอล ทองคำคงไม่เกิน 1340 ดอล แต่เงินไม่มีที่ไปน่ะ ดังนั้นตลาดไหนพอมีช่องทางให้เก็งกำไรได้เงินก็จะไหลไป

ดังนั้นลุงแมวน้ำมองว่าตลาดกระทิงน่าจะมาแล้ว เร็วกว่าที่คิดสองสามเดือน กระจายไปทั้งตลาดหุ้นในตลาดเกิดใหม่เอเชียกับสินค้าโภคภัณฑ์ ตลาดหุ้นไทยและเศรษฐกิจไทยจะได้อานิสงส์ไปด้วย ส่วนตลาดหุ้นอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น คงขึ้นได้นิดหน่อย ไม่แรงเท่าเอเชีย ติดแนวต้านบ้างอะไรบ้างก็ย่อตัวลงไปแล้วขึ้นต่อ


ดัชนีเซ็ต SET Index อาจเห็น 1700 จุดในปี 2015



สำหรับตลาดหุ้นไทย ดูกราฟ SET หากเป็นไปตามสมมติฐานข้างบนนี้ ดัชนีคงไปที่ 1700 จุดได้ในปีนี้ แต่ลุงแมวน้ำไม่ได้มองแค่นั้น ลุงแมวน้ำตีตั๋วนั่งรถไฟสาย 2000 อยู่ ยังไม่เปลี่ยน ภายในสองสามปีคงเห็น ^_^

ลองติดตามดูกันนะคร้าบ อีกไม่นานสภาพความจริงจะยืนยัน

ตลาดกระทิงกำลังมา (1)


เมื่อวานวันจันทร์ 6 เมษายน เป็นวันที่ตลาดหุ้นทั่วโลกอลเวงอีกวันหนึ่ง

เรื่องก็คือเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาเป็นวันศุกร์ประเสริฐ Good Friday ของทางคริสต์ศาสนา อันเป็นวันที่พระเยซูถูกตรึงกางเขน และหลังจากนั้นในวันที่สามคือวันอาทิตย์ก็เป็นวันฟื้นคืนพระชนม์ ซึ่งก็คือวันอีสเตอร์ที่มีไข่หลากสีสดสวยนั่นเอง

วันศุกร์ประเสริฐเป็นวันหยุด ตลาดทำการนิดเดียวและปิดก่อนเวลาปกติ แต่ที่สำคัญก็คือมีการประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของอเมริกาด้วย ซึ่งตัวเลขที่ออกมานั้นไม่ค่อยดีนัก คือการจ้างงานใหม่ลดลง แต่ตลาดตอบสนองไม่ทันเนื่องจากวันศกร์ปิดเร็ว ก็มาป่วนเอาในวันจันทร์ ค่าเงินดอลลาร์ สรอ ดิ่งแรง เพราะนักลงทุนเก็งกันว่าเฟดคงยังไม่ขึ้นดอกเบี้ย ขณะเดียวกันตลาดหุ้นอเมริกาก็ดิ่งด้วย นี่ก็แปลก เนื่องจากปกติหากเงินดอลลาร์อ่อน ตลาดหุ้นอเมริกาจะขึ้น

จากนั้นตลาดหุ้นอเมริกาคงตั้งหลักได้แล้ว ว่าเงินดอลลาร์่อ่อนตลาดควรขึ้น ตลาดหุ้นจึงกลับมาเขียวขจี ^_^

เท่านั้นไม่พอ ประธานเฟดสาขานิวยอร์ก ก็ให้สัมภาษณ์ว่า ตัวเลขการจ้างงานที่ดูไม่ค่อยดีนั้นต้องไปดูในรายละเอียดก่อนว่าตัวเลขนั้นที่มาเป็นอย่างไร อาจไม่มีนัยสำคัญก็ได้ คือเป็นภาวการณ์ชั่วคราว ไม่ได้หมายความว่าตลาดแรงงานอ่อนแอ (แปลว่าเรื่องกำหนดการขึ้นดอกเบี้ยเฟดอาจไม่เปลี่ยนก็ได้) เท่านั้นเองเงินดอลลาร์ก็แข็งค่าทันใด

นี่เล่าให้ฟังสนุกๆ ว่าตลาดหุ้นกับตลาดเงินตรา รวมทั้งทองคำ อลเวงเพียงใด หากติดตามตลาดระยะสั้นเวียนหัวแย่ จับทางไม่ถูก ดังนั้นเราต้องจับหลักให้มั่น มองด้วยสายตาที่ยาวไกลออกไป


สัญญาณที่ขัดแย้ง หากเงินกำลังไหลกลับสหรัฐอเมริกา ทำไมตลาดหุ้นอเมริกาจึงยังไม่ขึ้น




เรามาดูภาพนี้กัน GSPC ภาพนี้เป็นดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นอเมริกา ลุงแมวน้ำอยากให้สังเกตว่าตั้งแต่ต้นปี 2015 ตลาดอเมริกาเป็นตลาดไร้ทิศทาง เกิดกรอบสามเหลี่ยมชายธง 2 ครั้ง และตอนนี้ก็กำลังเดินอยู่ในปลายสามเหลี่ยมชายธง ตั้งแต่ต้นปีจนถึงตอนนี้ ตลาดหุ้นอเมริกาเปลี่ยนแปลงไปเพียง +0.39%

คำถามของลุงแมวน้ำก็คือ ก็ในเมื่อเฟดกำลังจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย ก็เขาว่ากันว่าเงินทั่วโลกจะไหลกลับอเมริกา ถ้าเงินไหลกลับก็ต้องไปเข้าตลาดหุ้นบ้าง แต่ทำไมตลาดไม่ขึ้น




เอาละ มาดูภาพต่อมากัน ภาพ DX อันเป็นภาพค่าเงินดอลลาร์ สรอ จะเห็นว่าในช่วงเดือนมีนาคม ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวเป็นแนวโน้มขาลง คำถามก็คือ ยิ่งใกล้เวลาที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย เงินไหลกลับเข้าประเทศ แต่ทำไมค่าเงินกลับอ่อนตัวลง



ทีนี้มาดูภาพต่อมาอีกภาพหนึ่ง กราฟ TNX ภาพนี้เป็นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอเมริกัน อายุ 10 ปี US 10 year government bond yield เดือนมีนาคมบอนด์ยีลด์เป็นขาลง แปลว่ามีแรงซื้อเข้ามาในตลาดพันธบัตร (ตลาดพันธบัตรเป็นตลาดกระทิงนั่นเอง) คำถามก็คือ เมื่อเฟดใกล้ขึ้นอัตราดอกเบี้ย ตลาดพันธบัตรควรเกิดแรงขาย และบอนด์ยีลด์ควรปรับตัวสูงขึ้น แต่ทำไมตลาดมีแรงซื้อ

ทั้งตลาดหุ้น ค่าเงิน และตลาดพันธบัตรอเมริกา นี่คือสัญญาณจากตลาดที่แย้งกับการขึ้นดอกเบี้ยของป้าเจน ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ???


เมื่อเงินไหลออกจากเอเชีย ทำไมตลาดหุ้นเกิดใหม่ของเอเชียจึงขึ้น


เอาละ ทีนี้มาดูภาพใหญ่ภาพนี้กัน




ภาพนี้เปรียบเทียบตลาดหุ้นหลายตลาด โดยเทียบตั้งแต่ปีใหม่มาจนปัจจุบัน จะเห็นว่าตลาดอเมริกาทรงตัว แทบไม่ไปไหน +0.39% ส่วนไทย อินโด อินเดีย เกาะกลุ่มกัน บวกไปราวๆ 3% ถึง 6% ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น เกาะกลุ่มกัน บวกไปราว 11% ถึง 12%
ส่วนจีนกับเยอรมนีบวกไปราว 20%

แต่ลองสังเกตดูดีๆจะเห็นว่าตั้งแต่กลางเดือนมีนาคมเป็นต้นมา ตลาดหุ้นญี่ปุ่นกับเยอรมนีชะงักไปเลย ขณะเดียวกันตลาดหุ้นฝั่งเอเชียเริ่มก่อแนวโน้มขาขึ้น (ยกเว้นจีนที่ขึ้นโลดมาเป็นเดือนแล้ว)

อธิบายได้ว่าค่าเงินดอลลาร์ สรอ เป็นเหตุ เดิมทีค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า ทำให้เงินยูโรกับเยนอ่อนลง (หรือจะพูดว่ายูโรกับญี่ปุ่นปั๊มเงินคิวอีออกมาทำให้เงินยูโรกับเยนอ่อน และดอลลาร์แข็ง จะพูดยังงั้นก็ได้) เศรษฐกิจญี่ปุ่นกับยุโรปดีขึ้นเพราะส่งออกได้ดี ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เยอรมนี จึงขึ้น

แต่เมื่อดอลลาร์แข็งค่าเกินไป กลับเป็นผลเสียต่อเศรษฐกิจอเมริกา ตลาดหุ้นเซเนื่องจากเงินแข็งทำให้แนวโน้มผลประกอบการลดลง เมื่อตลาดหุ้นไม่ไป เงินก็ไม่รู้จะไปไหน ก็ออกจากอเมริกาไปหาผลตอบแทนที่อื่น ทำให้เงินดอลอ่อนตัวลงบ้าง เมื่อเงินดอลอ่อนตัวลง เงินเยน ยูโรก็แข็งค่าขึ้น เป็นผลเสียต่อตลาดหุ้นทั้งสอง ตลาดหุ้นญี่ปุ่นกับยุโรปจึงไปต่อได้ยาก ตรงนี้แหละที่ตลาดใหญ่ต่างๆกำลังหาจุดสมดุลอยู่ ซึ่งเราคุยกันไปแล้วในเรื่อง dynamic equilibrium หรือดุลยภาพแบบพลวัตร

สรุปว่าเงินดอล ยูโร เยน และตลาดหุ้นทั้งสามกำลังหาดุลยภาพอยู่ ถามว่าถ้าอย่างนั้นเงินจะไปไหนดี เรามาดูภาพนี้กัน


ตลาดกระทิงกำลังเยือนเอเชีย




ภาพแผนที่โลกนี้เป็นคาดการณ์ของไอเอมเอฟเมื่อมกราคม 2015 คาดการณ์การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ จะเห็นว่าตลาดเกิดใหม่เอเชียโดดเด่นที่สุด เงินไม่มาแถวนี้แล้วจะไปที่ไหน อีกทั้งย่านนี้ค่อนข้างร่มเย็นด้วย ไม่ค่อยมีไฟสงครามหรือการก่อการร้าย

และนี่เองที่ในช่วงเดือนมีนาคมนี้ตลาดหุ้นแถวๆนี้ค่อยๆก่อแนวโน้มขาขึ้น ตอนนี้ลุงว่าต้องมองเลยเหตุการณ์เฟดขึ้นดอกเบี้ยไปดีกว่า ขึ้นก็ดี ไม่ขึ้นก็ได้ ยังไงเงินก็ต้องมาแถวนี้เนื่องจากเศรษฐกิจโดดเด่นกว่า

ลุงแมวน้ำคาดว่าจากนี้ไป ตลาดหุ้นแถวบ้านเราจะเป็นแนวโน้มขาขึ้น มาเร็วกว่าที่คิด เดิมว่าจะมาไตรมาสสาม ลุงขอแจงเป็นข้อดังนี้

1. ตลาดหุ้นกับอเมริกาคงแกว่งในกรอบ เป็นไหนไม่ได้มาก เงินนอกเข้าไปแสวงหากำไรจากอเมริกายากแล้วเนื่องจากเหตุผลข้างต้น

2. เงินคิวอียูโรน่าจะเกิดจุดต่ำสุดไปแล้ว ต่อไปจะแกว่งในกรอบ เงินยูโรเข้าตลาดหุ้นเยอรมนีบางส่วน เข้าอเมริกาซื้อพันธบัตรบางส่วน เข้าเอเชียบางส่วน ซื้อทั้งหุ้นและพันธบัตร กระจายกันไป

3. เงินเยนคิวอีญี่ปุ่น น่าจะเกิดจุดต่ำสุดไปแล้ว ต่อไปจะแกว่งในกรอบ เงินเยนเข้าตลาดหุ้นญี่ปุ่นบางส่วน เข้าอเมริกาซื้อพันธบัตรบางส่วน เข้าเอเชียบางส่วน ซื้อทั้งหุ้นและพันธบัตร กระจายกันไป

4. ตลาดหุ้นในย่านนี้ไปต่อได้ รวมทั้งไทย เงินบาทน่าจะแข็งค่าได้อีกหน่อย

5. ที่สำคัญ เงินต้นทุนต่ำทั้งดอล ยูโร เยน น่าจะไหลเข้าไปเก็งกำไรในตลาดโภคภัณฑ์ สังเกตจากรูปแบบกราฟของทองคำและน้ำมันดิบที่เคลื่อนไหวค่อนข้างแรง

6. เงินดอลลาร์จะอ่อนตัวลงได้อีกนิดหน่อย แต่คงไม่หลุด 90 จุด (USD index น่าจะอยู่ในกรอบ 90-104 จุด) ทองคำคงไปต่อได้แต่ไม่น่าเกิน 1340 ดอล

7. น้ำมันดิบน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว หุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรจะเป็นกลุ่มดันดัชนีในตอนต้นของตลาดขาขึ้น