Sunday, April 12, 2015

ตลาดกระทิงกำลังมา (1)


เมื่อวานวันจันทร์ 6 เมษายน เป็นวันที่ตลาดหุ้นทั่วโลกอลเวงอีกวันหนึ่ง

เรื่องก็คือเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาเป็นวันศุกร์ประเสริฐ Good Friday ของทางคริสต์ศาสนา อันเป็นวันที่พระเยซูถูกตรึงกางเขน และหลังจากนั้นในวันที่สามคือวันอาทิตย์ก็เป็นวันฟื้นคืนพระชนม์ ซึ่งก็คือวันอีสเตอร์ที่มีไข่หลากสีสดสวยนั่นเอง

วันศุกร์ประเสริฐเป็นวันหยุด ตลาดทำการนิดเดียวและปิดก่อนเวลาปกติ แต่ที่สำคัญก็คือมีการประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของอเมริกาด้วย ซึ่งตัวเลขที่ออกมานั้นไม่ค่อยดีนัก คือการจ้างงานใหม่ลดลง แต่ตลาดตอบสนองไม่ทันเนื่องจากวันศกร์ปิดเร็ว ก็มาป่วนเอาในวันจันทร์ ค่าเงินดอลลาร์ สรอ ดิ่งแรง เพราะนักลงทุนเก็งกันว่าเฟดคงยังไม่ขึ้นดอกเบี้ย ขณะเดียวกันตลาดหุ้นอเมริกาก็ดิ่งด้วย นี่ก็แปลก เนื่องจากปกติหากเงินดอลลาร์อ่อน ตลาดหุ้นอเมริกาจะขึ้น

จากนั้นตลาดหุ้นอเมริกาคงตั้งหลักได้แล้ว ว่าเงินดอลลาร์่อ่อนตลาดควรขึ้น ตลาดหุ้นจึงกลับมาเขียวขจี ^_^

เท่านั้นไม่พอ ประธานเฟดสาขานิวยอร์ก ก็ให้สัมภาษณ์ว่า ตัวเลขการจ้างงานที่ดูไม่ค่อยดีนั้นต้องไปดูในรายละเอียดก่อนว่าตัวเลขนั้นที่มาเป็นอย่างไร อาจไม่มีนัยสำคัญก็ได้ คือเป็นภาวการณ์ชั่วคราว ไม่ได้หมายความว่าตลาดแรงงานอ่อนแอ (แปลว่าเรื่องกำหนดการขึ้นดอกเบี้ยเฟดอาจไม่เปลี่ยนก็ได้) เท่านั้นเองเงินดอลลาร์ก็แข็งค่าทันใด

นี่เล่าให้ฟังสนุกๆ ว่าตลาดหุ้นกับตลาดเงินตรา รวมทั้งทองคำ อลเวงเพียงใด หากติดตามตลาดระยะสั้นเวียนหัวแย่ จับทางไม่ถูก ดังนั้นเราต้องจับหลักให้มั่น มองด้วยสายตาที่ยาวไกลออกไป


สัญญาณที่ขัดแย้ง หากเงินกำลังไหลกลับสหรัฐอเมริกา ทำไมตลาดหุ้นอเมริกาจึงยังไม่ขึ้น




เรามาดูภาพนี้กัน GSPC ภาพนี้เป็นดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นอเมริกา ลุงแมวน้ำอยากให้สังเกตว่าตั้งแต่ต้นปี 2015 ตลาดอเมริกาเป็นตลาดไร้ทิศทาง เกิดกรอบสามเหลี่ยมชายธง 2 ครั้ง และตอนนี้ก็กำลังเดินอยู่ในปลายสามเหลี่ยมชายธง ตั้งแต่ต้นปีจนถึงตอนนี้ ตลาดหุ้นอเมริกาเปลี่ยนแปลงไปเพียง +0.39%

คำถามของลุงแมวน้ำก็คือ ก็ในเมื่อเฟดกำลังจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย ก็เขาว่ากันว่าเงินทั่วโลกจะไหลกลับอเมริกา ถ้าเงินไหลกลับก็ต้องไปเข้าตลาดหุ้นบ้าง แต่ทำไมตลาดไม่ขึ้น




เอาละ มาดูภาพต่อมากัน ภาพ DX อันเป็นภาพค่าเงินดอลลาร์ สรอ จะเห็นว่าในช่วงเดือนมีนาคม ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวเป็นแนวโน้มขาลง คำถามก็คือ ยิ่งใกล้เวลาที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย เงินไหลกลับเข้าประเทศ แต่ทำไมค่าเงินกลับอ่อนตัวลง



ทีนี้มาดูภาพต่อมาอีกภาพหนึ่ง กราฟ TNX ภาพนี้เป็นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอเมริกัน อายุ 10 ปี US 10 year government bond yield เดือนมีนาคมบอนด์ยีลด์เป็นขาลง แปลว่ามีแรงซื้อเข้ามาในตลาดพันธบัตร (ตลาดพันธบัตรเป็นตลาดกระทิงนั่นเอง) คำถามก็คือ เมื่อเฟดใกล้ขึ้นอัตราดอกเบี้ย ตลาดพันธบัตรควรเกิดแรงขาย และบอนด์ยีลด์ควรปรับตัวสูงขึ้น แต่ทำไมตลาดมีแรงซื้อ

ทั้งตลาดหุ้น ค่าเงิน และตลาดพันธบัตรอเมริกา นี่คือสัญญาณจากตลาดที่แย้งกับการขึ้นดอกเบี้ยของป้าเจน ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ???


เมื่อเงินไหลออกจากเอเชีย ทำไมตลาดหุ้นเกิดใหม่ของเอเชียจึงขึ้น


เอาละ ทีนี้มาดูภาพใหญ่ภาพนี้กัน




ภาพนี้เปรียบเทียบตลาดหุ้นหลายตลาด โดยเทียบตั้งแต่ปีใหม่มาจนปัจจุบัน จะเห็นว่าตลาดอเมริกาทรงตัว แทบไม่ไปไหน +0.39% ส่วนไทย อินโด อินเดีย เกาะกลุ่มกัน บวกไปราวๆ 3% ถึง 6% ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น เกาะกลุ่มกัน บวกไปราว 11% ถึง 12%
ส่วนจีนกับเยอรมนีบวกไปราว 20%

แต่ลองสังเกตดูดีๆจะเห็นว่าตั้งแต่กลางเดือนมีนาคมเป็นต้นมา ตลาดหุ้นญี่ปุ่นกับเยอรมนีชะงักไปเลย ขณะเดียวกันตลาดหุ้นฝั่งเอเชียเริ่มก่อแนวโน้มขาขึ้น (ยกเว้นจีนที่ขึ้นโลดมาเป็นเดือนแล้ว)

อธิบายได้ว่าค่าเงินดอลลาร์ สรอ เป็นเหตุ เดิมทีค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า ทำให้เงินยูโรกับเยนอ่อนลง (หรือจะพูดว่ายูโรกับญี่ปุ่นปั๊มเงินคิวอีออกมาทำให้เงินยูโรกับเยนอ่อน และดอลลาร์แข็ง จะพูดยังงั้นก็ได้) เศรษฐกิจญี่ปุ่นกับยุโรปดีขึ้นเพราะส่งออกได้ดี ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เยอรมนี จึงขึ้น

แต่เมื่อดอลลาร์แข็งค่าเกินไป กลับเป็นผลเสียต่อเศรษฐกิจอเมริกา ตลาดหุ้นเซเนื่องจากเงินแข็งทำให้แนวโน้มผลประกอบการลดลง เมื่อตลาดหุ้นไม่ไป เงินก็ไม่รู้จะไปไหน ก็ออกจากอเมริกาไปหาผลตอบแทนที่อื่น ทำให้เงินดอลอ่อนตัวลงบ้าง เมื่อเงินดอลอ่อนตัวลง เงินเยน ยูโรก็แข็งค่าขึ้น เป็นผลเสียต่อตลาดหุ้นทั้งสอง ตลาดหุ้นญี่ปุ่นกับยุโรปจึงไปต่อได้ยาก ตรงนี้แหละที่ตลาดใหญ่ต่างๆกำลังหาจุดสมดุลอยู่ ซึ่งเราคุยกันไปแล้วในเรื่อง dynamic equilibrium หรือดุลยภาพแบบพลวัตร

สรุปว่าเงินดอล ยูโร เยน และตลาดหุ้นทั้งสามกำลังหาดุลยภาพอยู่ ถามว่าถ้าอย่างนั้นเงินจะไปไหนดี เรามาดูภาพนี้กัน


ตลาดกระทิงกำลังเยือนเอเชีย




ภาพแผนที่โลกนี้เป็นคาดการณ์ของไอเอมเอฟเมื่อมกราคม 2015 คาดการณ์การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ จะเห็นว่าตลาดเกิดใหม่เอเชียโดดเด่นที่สุด เงินไม่มาแถวนี้แล้วจะไปที่ไหน อีกทั้งย่านนี้ค่อนข้างร่มเย็นด้วย ไม่ค่อยมีไฟสงครามหรือการก่อการร้าย

และนี่เองที่ในช่วงเดือนมีนาคมนี้ตลาดหุ้นแถวๆนี้ค่อยๆก่อแนวโน้มขาขึ้น ตอนนี้ลุงว่าต้องมองเลยเหตุการณ์เฟดขึ้นดอกเบี้ยไปดีกว่า ขึ้นก็ดี ไม่ขึ้นก็ได้ ยังไงเงินก็ต้องมาแถวนี้เนื่องจากเศรษฐกิจโดดเด่นกว่า

ลุงแมวน้ำคาดว่าจากนี้ไป ตลาดหุ้นแถวบ้านเราจะเป็นแนวโน้มขาขึ้น มาเร็วกว่าที่คิด เดิมว่าจะมาไตรมาสสาม ลุงขอแจงเป็นข้อดังนี้

1. ตลาดหุ้นกับอเมริกาคงแกว่งในกรอบ เป็นไหนไม่ได้มาก เงินนอกเข้าไปแสวงหากำไรจากอเมริกายากแล้วเนื่องจากเหตุผลข้างต้น

2. เงินคิวอียูโรน่าจะเกิดจุดต่ำสุดไปแล้ว ต่อไปจะแกว่งในกรอบ เงินยูโรเข้าตลาดหุ้นเยอรมนีบางส่วน เข้าอเมริกาซื้อพันธบัตรบางส่วน เข้าเอเชียบางส่วน ซื้อทั้งหุ้นและพันธบัตร กระจายกันไป

3. เงินเยนคิวอีญี่ปุ่น น่าจะเกิดจุดต่ำสุดไปแล้ว ต่อไปจะแกว่งในกรอบ เงินเยนเข้าตลาดหุ้นญี่ปุ่นบางส่วน เข้าอเมริกาซื้อพันธบัตรบางส่วน เข้าเอเชียบางส่วน ซื้อทั้งหุ้นและพันธบัตร กระจายกันไป

4. ตลาดหุ้นในย่านนี้ไปต่อได้ รวมทั้งไทย เงินบาทน่าจะแข็งค่าได้อีกหน่อย

5. ที่สำคัญ เงินต้นทุนต่ำทั้งดอล ยูโร เยน น่าจะไหลเข้าไปเก็งกำไรในตลาดโภคภัณฑ์ สังเกตจากรูปแบบกราฟของทองคำและน้ำมันดิบที่เคลื่อนไหวค่อนข้างแรง

6. เงินดอลลาร์จะอ่อนตัวลงได้อีกนิดหน่อย แต่คงไม่หลุด 90 จุด (USD index น่าจะอยู่ในกรอบ 90-104 จุด) ทองคำคงไปต่อได้แต่ไม่น่าเกิน 1340 ดอล

7. น้ำมันดิบน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว หุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรจะเป็นกลุ่มดันดัชนีในตอนต้นของตลาดขาขึ้น

Wednesday, March 25, 2015

ธปท ปรับลดคาดการณ์จีดีพี หุ้นในตลาด SET น่าสนใจกว่า MAI


คาดการณ์การเติบโตจีดีพีเป็นร้อยละ (%) ในปี 2015, 2016 ของบางประเทศในย่านเอเชียตะวันออก ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ไอเอมเอฟ (IMF) ปรับปรังล่าสุดเมื่อ มกราคม 2015


เมื่อไม่กี่วันมานี้ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์จีดีพีปี 2015 อยู่ที่ 3.8% เป็นตัวเลขใหม่ที่ปรับลดคาดการณ์ลงมา ในขณะเดียวกันศูนย์วิจัยธนาคารกสิกรไทยก็คาดการณ์การเติบโตของไทยปี 2015 ไว้ที่ 2.8% โห ยิ่งต่ำลงมาอีก สาเหตุก็เพราะงบลงทุนไหลออกมาช้า ส่งออกไม่ค่อยดี ราคาผลผลิตทางเกษตรตกต่ำ ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจลดลง หนี่ครัวเรือนสูง บลา บลา บลา ก็ถือว่าตัวเลขที่ประเมินใหม่นี้สะท้อนภาพเศรษฐกิจในเชิงบวกน้อยลง

วันนี้ขอลุงคุยในภาคเศรษฐกิจจริงบ้าง จากที่ลุงแมวน้ำสังเกตมาในงานบ้านและคอนโด งานท่องเที่ยว พบว่าคนเดินบางตาลง เวลาลุงแมวน้ำเดินทางไปที่ไหนมักชอบสอบถามชาวบ้านร้านค้าต่างๆ ก็พบว่ายอดขายลดลง แท้กซี่ก็มีผู้โดยสารลดลง (แต่ลุงก็แอบสงสัยว่าผู้โดยสารน้อยไหงเลือกรับผู้โดยสารจัง >.<) นี่ก็กำลังจะมีงานหนังสือที่ศูนย์สิริกิตติ์อีกแล้ว ในวันพรุ่งนี้ ลุงก็จะลองไปสังเกตการค้าขายในงานดูอีกสักงาน แต่อีกภาพหนึ่ง หากเดินไปในห้าง ลุงแมวน้ำก็จะพบว่าร้านอาหารหรูบางร้านก็ยังมีคนต่อคิวยาว ซึ่งนั่นเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากผู้ที่มีกำลังซื้อก็ยังมีอยู่

ปัญหาหลักเกิดจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจ การแก้ปัญหาต้องดำเนินไปทั้งระยะสั้นและระยะยาว เช่น หากปวดหัวมาก ทำงานไม่ได้ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก็คือกินยาแก้ปวดไปก่อน แต่นั่นก็แค่หายปวดชั่วคราว ไม่ได้แก้ที่ต้นตอของปัญหา หากจะแก้ที่ต้นตอก็เป็นเรื่องยาว ต้องไปตรวจรักษากันอีกยาว

ฉันใดก็ฉันนั้น ปัญหาเศรษฐกิจของไทยตอนนี้สะสมทั้งเรื่องเฉพาะหน้าและปัญหาเชิงโครงสร้าง ปัญหาเชิงโครงสร้างก็ต้องแก้กันยาว แต่อาการเฉพาะหน้าคือรายได้ชักหน้าไม่ถึงหลัง สายป่านหมด ก็จำเป็นต้องเร่งบรรเทา ใครมาบริหารก็คงหนักใจเพราะต้องดูแลทั้งปัญหาเฉพาะหน้าและปัญหาระยะยาว อย่างเรื่องส่งไม่ออกนี้ส่วนใหญ่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง เนื่องจากอุตสาหกรรมของเราเสียศักยภาพในการแข่งขันไปมาก ยกเว้นอุตสาหกรรมอาหารที่ยังพอได้อยู่ หากไม่แก้ที่โครงสร้างแม้จะลดค่าเงินบาทก็ยากที่จะเร่งยอดขายให้เติบโตต่อไปได้

และที่สำคัญมากก็คือเรื่องการศึกษา การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ บ้านเรายิ่งนานการศึกษาก็ยิ่งแย่ ซึ่งการแก้ปัญหาก็ไม่ใช่ง่ายๆ

วันนี้ลุงแมวน้ำเอาภาพคาดการณ์การเติบโตในปี 2015 และ 2016 ของไอเอมเอฟที่อัปเดตล่าสุด มกราคม 2015 มาให้ดูกัน ตอนนั้นของไทยยังถูกคาดการณ์ไว้ที่ 4 กว่าๆ แต่อีกไม่นานไอเอ็มเอฟอาจปรับลดลง แต่ประเทศเพื่อนบ้านเราการเติบโตสวยงามทั้งนั้น นี่แหละที่ลุงแมวน้ำบอกว่าประเทศในย่านนี้น่าสนใจกว่ายุโรปและอเมริกา ที่จริงไทยเราสามารถอาศัยโมเมนตัมของการเติบโตในภูมิภาคนี้เติบโตเกาะไปด้วยได้ นั่นคือ ทำตัวเป็นหน้าด่านของ CLM นั่นคือ เป็นหน้าด่านหรือประตูสู่พม่า ลาว และกัมพูชา เพราะโดยชัยภูมิแล้วเราอยู่ในตำแหน่งที่ดี ทำตัวเป็นขาใหญ่ในกลุ่ม TCLM ได้ และหากขยายการค้าให้ไกลออกไปอีก ก็เชื่อมไปได้ถึงอินเดีย จีนตอนใต้ และจีนตะวันตก เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ และหากขายไปอีกก็ไปถึงบังคลาเทศ ปากีสถาน ศรีลังกา พวกนี้อัตราเติบโตสูงทั้งนั้น

เอาละ ทีนี้มาพูดถึงการลงทุนกันบ้าง บริษัทในตลาดหุ้นส่วนใหญ่มีความสามารถในการแข่งขันสูงกว่าบริษัททั่วไปอยู่แล้ว ดังนั้น หากบริษัททั่วไปบ่นว่าส่งไม่ออก แต่บริษัทในตลาดหุ้นที่ส่งออกไม่กระทบก็มี เนื่องจากโมเดลธุรกิจอาศัยโมเมนตัมของการเติบโตของเพื่อนบ้านและโตไปด้วย ที่จริงแล้วก็ยังมีบริษัทที่มีการเติบโตที่ดีให้เลือกลงทุน เสียแต่ว่าหลายตัวก็แพงแล้ว

จังหวะที่ตลาดปรับตัวนี่แหละ ทำให้หุ้นดีราคาแพงมีราคาลดลงมาให้อยู่ในระดับที่พอซื้อหาได้ ดังนั้น สำหรับนักลงทุนแล้ว นี่คือโอกาส เรื่องกลยุทธิ์การลงทุนจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะหลายคนก็กลัวตลาด หลายคนก็ติดหุ้นในราคาสูง เมื่อโอกาสดีๆมาถึงก็ไม่สามารถลงทุนเพิ่มได้ นอกจากนี้ตอนนี้นักลงทุนหลายคนอาจตัดสินใจออกจากตลาดไปเลยเพราะหุ้นบางชนิดที่หวือหวานั้นลงไปลึกมาก นักลงทุนบางรายก็ถึงขั้นถอดใจ

ตอนนี้โลกเปลี่ยนไป หุ้นที่น่าสนใจคือหุ้นที่มีความสามารถในระดับที่สามารถแข่งขันในระดับภูมิภาคได้ ซึ่งมักเป็นหุ้นที่มีมาร์เกตแคปใหญ่หน่อย หุ้นขนาดเล็กทุนน้อย แข่งขันยากขึ้น ดังนั้นหากพูดรวมๆแล้วหุ้นที่น่าสนใจคือหุ้นในตลาด SET โดยเฉพาะหุ้นนอก SET 50 ที่มาร์เก็ตแคปใหญ่หน่อย ส่วนหุ้นในตลาด mai ลุงกลับเห็นว่าต้องพิจารณาให้ดี เพราะแพงแล้ว อีกทั้งผลประกอบการสะท้อนว่าความสามารถในการแข่งขันไม่สูงนัก นี่พูดในภาพรวมๆนะคร้าบ ข้อยกเว้นย่อมมี เพียงแต่เราต้องไปลงในรายละเอียดกัน