Monday, March 2, 2015

จัดพอร์ตลงทุนหุ้นเติบโต สไตล์ลุงแมวน้ำ


แนวคิดในการจัดพอร์ตลงทุนแนวหุ้นเติบโตของลุงแมวน้ำ แบ่งเป็น 4 เซ็กเตอร์หรือ 4 กลุ่มอุตสาหกรรมเพื่อการกระจายความเสี่ยง

ตลาดหุ้นไทยแพงแล้วหรือ


เมื่อถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2558 ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนประจำปี 2557 ก็ทยอยประกาศกันเป็นส่วนใหญ่แล้ว มีหุ้นจำนวนไม่น้อยที่มีผลประกอบการไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไร มีทั้งแบบกำไรน้อยลง ไม่มีกำไร หรือขาดทุน มีหมดนั่นแหละ ที่กำไรสวยงามตามคาดหมายนั้นก็มีแต่เป็นส่วนน้อยกว่า สาเหตุก็เป็นผลมาจากปัจจัยแวดล้อมทางด้านเศรษฐกิจนั่นเอง

จากการที่ผลประกอบการน่าประทับใจน้อยไปสักนิดนี่เอง ทำให้เมื่อค่าพีอีของดัชนีเซ็ตเดิมอยู่ที่ประมาณ 19 กว่าๆ (ค่าพีอีที่พูดถึงนี้คือพีอีจากผลประกอบการย้อนหลังหรือที่เรียกว่า trailing P/E ratio) พอนำผลประกอบการล่าสุดนี้ไปร่วมคำนวณด้วย ค่าพีอีก็ขยับขึ้นมากลายเป็น 21.6 เท่า จึงกลายเป็นว่าค่าพีอีย้อนหลังของตลาดหุ้นไทยแพงยิ่งขึ้นไปอีก

ตลาดหุ้นไทยแพงแล้วหรือ ถ้าพีอี 21.6 เท่าก็แพงอยู่เหมือนกัน ส่วนพีอีของตลาด MAI ตอนนี้อยู่ที่ 85.5 เท่า ถือว่าแพงมาก

ถ้ายังงั้นทำยังไงดีล่ะ จะไปลงทุนต่างประเทศตอนนี้ก็ไม่ง่ายแล้ว ที่ว่าไม่ง่ายไม่ได้หมายถึงขั้นตอนหรือกระบวนการ เพราะว่าแค่ซื้อกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศก็ได้แล้ว แต่ที่ว่าไม่ง่ายนั้นลุงแมวน้ำหมายถึงว่าการสร้างผลตอบแทนนั้นไม่ง่าย เพราะอัตราแลกเปลี่ยนหรือปัจจัยด้านค่าเงินสกุลต่างๆ ตลาดหุ้นในยุคคิวอีท่วมโลกนั้นทำให้อัตราแลกเปลี่ยนผันผวนมาก นอกจากปัญหาเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนที่ทำให้ผลตอบแทนการลงทุนอาจลดลงแล้ว แม้แต่ตัวหุ้นที่เราไปลงทุนไว้ในต่างประเทศเองก็ต้องมาทบทวนและประเมินกันใหม่ เนื่องจากหลายกิจการก็มีความสามารถในการแข่งขันลดลงเนื่องจากผลของอัตราแลกเปลี่ยนด้วย ดังนั้นอัตราแลกเปลี่ยนในยุคนี้ทำให้การสร้างผลตอบแทนจากลงทุนในต่างประเทศไม่ง่ายนัก

อย่ากระนั้นเลย หุ้นไทยก็ยังมีเสน่ห์อยู่ ความได้เปรียบของหุ้นไทยคือเรามีความคุ้นเคย หาข้อมูลก็ง่าย ไปคุยกับผู้บริหารก็ไม่ยาก บางทีโทรไปที่นักลงทุนสัมพันธ์ ผู้บริหารก็คุยสายให้ข้อมูลเองเลย หรือไม่อย่างนั้นก็ไปเจอกันในวันอ๊อปเดย์ (opportunity day) ก็ได้ ไปซักถามกันในวันนั้น

ตลาดหุ้นไทยนั้นใช่ว่าจะเป็นหุ้นแพงทุกหุ้น หุ้นที่ยังลงทุนได้ก็มี หากจะเลือกหุ้นสำหรับลงทุนในตอนนี้ ต้องเน้นที่ดีและถูก หุ้นที่ดีแต่แพงก็ไม่ไหว

หุ้นถูกและดียังมีอยู่หรือ ในวิกฤติย่อมมีโอกาส วิกฤตของบางกิจการคือโอกาสของบางกิจการ นอกจากนี้ ในภาวะที่หลายๆคนมองว่าหุ้นไทยแพงและจ้องขายกันอยู่นั้น หุ้นดีๆที่พลอยฟ้าพลอยฝนถูกขายไปด้วยราคาถูกๆก็มี ที่เรียกว่าหุ้นต่ำกว่ามูลค่า (undervalued stock) ไง

วันนี้ลุงแมวน้ำอยากคุยเรื่องการจัดพอร์ตการลงทุนสำหรับปี 2558 หลังจากที่ผลประกอบการตลอดทั้งปี 2557 ออกมาเรียบร้อยแล้วกัน กลายเป็นว่าตลาดหุ้นไทยแพง ดังนั้นการลงทุนต้องระวังมากยิ่งขึ้น

ที่ลุงแมวน้ำจะคุยในวันนี้คงไม่ได้คุยไปถึงการจัดสรรเงินออมมาลงทุนว่าต้องจัดสรรอย่างไร เพราะนั่นจะเป็นเรื่องยาวมาก เอาเป็นว่าเรามาตั้งต้นกันที่ว่าหากเรามีเงินก้อนหนึ่งที่เตรียมไว้สำหรับการลงทุนในหุ้นแล้ว เราจะจัดพอร์ตการลงทุนยังไงดี


จัดพอร์ตลงทุนด้วยหุ้นเติบโต (Growth Stock)


แนวทางของพอร์ตการลงทุนก็มีหลายแนว แบบอนุรักษ์นิยมเน้นที่หุ้นปลอดภัย แนวนี้ก็ได้ผลตอบแทนน้อยหน่อย คือความเสี่ยงต่ำผลตอบแทนต่ำก็ว่ายังงั้นเถอะ อย่างเช่น หุ้นสาธารณูปโภค กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (กองรีทส์) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ฯลฯ ที่เน้นผลตอบแทนจากเงินปันผล ดังที่เราเคยคุยกันมาบ้างแล้ว

หากหวังผลตอบแทนที่สูงขึ้นมาอีกระดับหนึ่งก็คงต้องจัดพอร์ตแนวหุ้นเติบโต ที่หวังผลตอบแทนจากราคาหุ้นที่สูงขึ้น (และหากได้ปันผลด้วยก็ยิ่งดี)

ตอนนี้ยังมีหุ้นแนวเติบโตที่ดีและถูกอยู่อีกไหม ลุงแมวน้ำลองเล็งๆดูแล้วยังมีอยู่จริง เราลองมาจัดพอร์ตกัน

ลุงแมวน้ำจัดพอร์ตการลงทุนเป็นหุ้น 4 กลุ่มธุรกิจ (สี่เซ็กเตอร์) เพื่อการกระจายความเสี่ยง หากหุ้นกระจุกอยู่ในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน หากธุรกิจนั้นได้รับผลกระทบแรงเราก็โดนไปเต็มๆเลย กระจายสักหน่อยดีกว่า ลุงแมวน้ำคิดว่า 4 กลุ่มกำลังเหมาะ รวมแล้วมีหุ้น 4-6 ตัว อย่าให้มากเกินไป เพราะจะดูแลไม่ไหว


ตัวอย่างพอร์ตลงทุนแนวหุ้นเติบโตแบบที่ 1


เราลองมาจัดพอร์ตหุ้นเติบโตแบบแรกกัน ตามภาพนี้เลย


แนวคิดในการจัดพอร์ตลงทุนแนวหุ้นเติบโตของลุงแมวน้ำ แบ่งเป็น 4 เซ็กเตอร์หรือ 4 กลุ่มอุตสาหกรรมเพื่อการกระจายความเสี่ยง


เรามาดูเหตุผลกันว่าทำไมลุงแมวน้ำจึงเลือก 4 กลุ่มนี้จัดเป็นพอร์ต

กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ น้ำหนักในพอร์ตคือ 25% ที่เลือกกลุ่มนี้ก็เพราะตอบโจทย์ชุมชนเมืองเติบใหญ่นั่นเอง กลุ่มนี้ยังแบ่งเป็นกลุ่มย่อยอีก นั่นคือ รับเหมาก่อสร้าง ที่อยู่อาศัย และนิคมอุตสาหกรรม ในแต่ละกลุ่มย่อย ลุงแมวน้ำพิจารณาแล้วยังมีหุ้นที่ดีและราคาถูก สามารถลงทุนได้อยู่หลายตัวทีเดียว จากสามกลุ่มย่อยนี้เลือกมา 2 หุ้นก็แล้วกัน (หมายถึงว่าหุ้น 2 ตัวรวมกันเป็นน้ำหนัก 25% เท่ากับว่าลงทุนหุ้นตัวละ 12.5% ของเงินลงทุนนั่นเอง)

กลุ่มสื่อสารโทรคมนาคม น้ำหนักในพอร์ตคือ 25% ที่เลือกกลุ่มนี้เพราะตอบโจทย์ชุมชนเมืองเติบใหญ่ ประกอบกับภาครัฐมีนโยบายเร่งรัดเรื่องเศรษฐกิจดิจิทัล หุ้นสื่อสารใหญ่ที่ได้รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจดิจิทัลแต่ถูกขายทิ้งแบบไม่ใยดีจนราคาต่ำน่าสนใจก็ยังมีอยู่ เลือกไว้ 1 ตัวละกัน

หุ้นกลุ่มขนส่งทางเรือ น้ำหนักในพอร์ตคือ 25% ลุงแมวน้ำเน้นที่ขนส่งทางเรือ ไม่เลือกเครื่องบินหรืออื่นๆ กลุ่มนี้เป็นหุ้นฟื้นไข้ตามเศรษฐกิจโลก เลือกเรือเทกองสักลำ เรือตู้คอนเทนเนอร์สักลำ รวมเป็น 2 ตัว

หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลหรือสาธารณูปโภคพลังงานทดแทน น้ำหนักในพอร์ตคือ 25% ที่จริงหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลและกลุ่มสาธารณูปโภค โดยทั่วไปแล้วจัดเป็นหุ้นเน้นความปลอดภัยหรือว่า defensive stock แต่กลุ่มโรงพยาบาลตอบโจทย์ประชากรสูงวัย จะมองว่าเป็นหุ้นเติบโตก็ได้ ปลอดภัยด้วยเติบโตได้ด้วย ทูอินวันก็ดีเหมือนกัน ^_^

ส่วนหุ้นสาธารณูปโภคพลังงานทดแทน (เน้นที่พลังงานทดแทน) นั้นก็ทำนองเดียวกัน ปัจจุบันภาครัฐสนับสนุนด้านพลังงานทดแทน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตรับซื้อตามสัญญาที่ผูกพัน

หุ้นในกลุ่มโรงพยาบาลหรือพลังงานทดแทนนี้เลือกไว้ 1 ตัวก็พอ

รวมแล้ว 4 กลุ่มแต่มีหุ้น 6 ตัว

หากถามลุงแมวน้ำว่าทำไมต้องเป็น 4 กลุ่มนี้ คำตอบก็คือเพราะว่า 4 กลุ่มนี้เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีโอกาสเติบโต อีกทั้ง 4 กลุ่มกระจายความเสี่ยงได้และไม่มากเกินไปจนดูแลไม่ไหว รวมทั้งยังมีหุ้นดีราคาถูกให้เลือก และที่สำคัญคือ ลุงแมวน้ำคิดว่าหุ้นใน 4 กลุ่มนี้ไม่ค่อยขึ้นอยู่กับกระแสเงินของต่างชาตินัก คือเผื่อไว้ในกรณีที่เงินต่างชาติเข้าน้อยหรือไม่เข้ากลุ่มเหล่านี้ก็ยังพอไปได้ เพราะเป็นกลุ่มที่นักลงทุนรายย่อยและสถาบันลงทุนกัน อีกทั้งแต่ละกลุ่มก็มีสตอรีของตนเองอยู่พอสมควร ลุงแมวน้ำจึงนำเสนอไว้เป็นแนวคิด


ตัวอย่างพอร์ตลงทุนแนวหุ้นเติบโตแบบที่ 2


นอกจากนี้ก็ยังมีการจัดพอร์ตแบบที่สอง ดัดแปลงจากแบบแรกนิดหน่อย ตามนี้เลย




นั่นคือ ตัดกลุ่มเรือออกไปและเปลี่ยนเป็นหุ้นอื่นๆแทน หมายความว่าหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมอะไรก็ได้ ที่เราพิจารณาแล้วว่ามีศักยภาพในการแข่งขัน มีโอกาสเติบโต และราคาถูก หากเราเจอหุ้นแบบนี้ก็ไม่ต้องสนใจกลุ่มอุตสาหกรรมก็ได้ ก็เลือกเอาไว้เลย


แนวคิดในการเลือกหุ้น


เมื่อเราได้กลุ่มอุตสาหกรรมแล้ว คราวนี้ก็มาถึงการเลือกหุ้น การเลือกหุ้นนี้ต้องใช้ปัจจัยพื้นฐานจึงจะรู้ว่าเป็นหุ้นดีราคาถูกหรือไม่ หากใช้ปัจจัยทางเทคนิคจะบอกไม่ได้

การพิจารณาก็ต้องพิจารณาถึงธรรมาภิบาล ความสามารถในการแข่งขัน พิจารณาค่าพีอีต่ำ พีอีนี้ที่เป็นผลการดำเนินงานจริงๆ ไม่ใช่คำนวณจากการที่มีกำไรพิเศษมากมาย ดังที่เราเคยคุยกันแล้ว นอกจากนี้แล้วก็อาจพิจารณาค่าผลตอบแทนเงินลงทุน (ROE, return on equity) เลือกที่สูงหน่อย ขณะเดียวกันก็ต้องมีหนี้ต่ำๆ (คือมีค่า D/E ต่ำ) ข้อมูลปัจจัยพื้นฐานเหล่านี้เป็นข้อมูลที่หาดูได้ง่าย ทำความเข้าใจได้ง่ายด้วย ไม่จำเป็นต้องถึงขั้นอ่านงบการเงินเป็น

ก็ดูข้อมูลปัจจัยพื้นฐานไม่กี่ค่านี่แหละ ที่สำคัญที่สุดน่าจะเป็นการประเมินความสามารถในการแข่งขันของการกิจมากกว่า และสังเกตว่าลุงแมวน้ำพูดเรื่องธรรมาภิบาลเป็นเรื่องแรก ซึ่งลุงถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด สำคัญเหนือกว่าปัจจัยพื้นฐานอื่นๆ หากธรรมาภิบาลไม่ผ่าน อย่างอื่นก็ไม่ต้องพิจารณา

นี่แหละ การจัดพอร์ตลงทุนหุ้นไทยแบบแมวน้ำๆ ก็เป็นแนวคิดที่อาจลองนำไปพิจารณาดู เรื่องการเลือกหุ้นต้องใช้ปัจจัยพื้นฐาน ส่วนจังหวะเข้าออกการลงทุนเราใช้ปัจจัยทางเทคนิคก็ได้ผลดี เอาไว้ตอนหน้ามาคุยกันต่อคร้าบ

Tuesday, February 24, 2015

หุ้นสองกลุ่มสองมุม อุ่นใจหรือฟื้นไข้



ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังไม่ไปไหน ป้วนเปี้ยนอยู่แถว 1600 จุด เริ่มเสียวๆกันแล้วใช่ไหมว่าจะอาจจะไปต่อไม่ไหว ^_^

ใจเย็นๆนะคร้าบ วันหน้าต้องดีกว่าวันนี้ แต่แน่นอน หุ้นคงไม่ได้ขึ้นทุกวัน มีขึ้นมีลงสลับกันไป ลุงแมวน้ำก็ยังเผื่อใจไว้ว่าอาจต้องปรับตัวลงก่อนสักรอบหนึ่งก่อนที่จะฝ่าด่าน 1600 จุดไปได้

ลุงแมวน้ำกำลังเขียนบทความชุดใหม่อยู่ แต่ช่วงหลังนี้บทความแต่ละตอนลุงแมวน้ำใช้ข้อมูลค่อนข้างมาก ดังนั้นการเขียนจึงไปได้ช้าๆ ตามประสาแมวน้ำอุ้ยอ้าย ก่อนที่จะมีบทความตอนใหม่ในชุด "ทะยานสู่พรมแดนใหม่" เรามาดูหุ้นสองกลุ่มสองสไตล์เป็นการสลับฉากกันก่อน

ชอบอุ่นใจ ดูพวกสาธารณูปโภค กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน


สำหรับผู้ที่มีนิสัยรักความปลอดภัย พูดง่ายๆคือไม่ชอบเสี่ยง ชอบอะไรที่ความเสี่ยงต่ำ แต่อยากสร้างผลตอบแทนให้ดีกว่าเงินฝาก หลายๆคนอาจชอบผ่อนทาวน์เฮาส์หรือคอนโดแล้วปล่อยเช่า เอาค่าเช่าที่ได้มาผ่อนธนาคาร ค่าเช่าที่ได้อาจเท่าค่าผ่อนหรือมีกำไรจากค่าเช่าหักค่าผ่อนแล้วนิดๆหน่อยๆ แต่วัตถุประสงค์หลักมักเป็นว่าได้อสังหาริมทรัพย์นั้นมาเป็นสมบัติ นั่นคือเป้าหมายระยะยาว

ก็น่าแปลกที่ผู้ที่ซื้อคอนโดปล่อยเช่าซึ่งหวังเป้าหมายระยะยาวเหล่านี้ พอมาลงทุนในตลาดหุ้นเท่านั้นแหละ สามวันหุ้นไม่ขยับก็บ่นแล้ว ตลาดหุ้นนี่ทำให้คนใจร้อนขึ้นได้เหมือนกันนะเนี่ย ^_^

สำหรับผู้ที่รักความเสี่ยงต่ำๆ ก็เน้นที่หุ้นที่สร้างรายได้สม่ำเสมอเอาไว้ดีกว่า หุ้นในกลุ่มนี้ก็มักเป็นหุ้นในกลุ่มสาธารณูปโภค พวกขายไฟฟ้า ขายน้ำประปา กับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ หรือที่เรียกว่ารีทส์ (REITs) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน

พวกหุ้นสาธารณูปโภคมีรายได้จากการขายสาธารณูปโภคซึ่งเป็นสิ่งจำเป็น ดังนั้นรายได้จึงค่อนข้างแน่นอน พวกรีทส์นี้มักมีรายได้จากการเก็บค่าเช่า เช่น รีทส์ที่ลงทุนในศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน เป็นต้น ราคาของกองรีทส์มักไม่ค่อยหวือหวา แต่ละปีก็จ่ายเงินปันผลในราว 7% (โดยประมาณ) พวกกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานก็ให้ผลตอบแทนประมาณ 7-8% เช่นกัน ลองมองพวกนี้ไว้ก็ไม่เลว พวกนี้เป็นหุ้นมั่นคง ไม่หวือหวา ผลตอบแทนก็เรื่อยๆมาเรียงๆ ไม่หวือหวาเช่นกัน จะหวัง สามเด้ง ห้าเด้ง คงยากมาก การเลือกต้องพิจารณาเป็นรายตัวนะคร้าบ ไม่ใช่หุ้นไหนหรือว่ากองทุนรวมไหนก็ได้





ตัวอย่างของหุ้นแนวนี้ก็เช่น SPCG เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์หรือโรงไฟฟ้าโซลาร์นั่นเอง ปัจจุบันมี P/E 15.2 เท่า ราคานี้ซื้อปัจจุบัน ไม่ได้ซื้ออนาคตไปล่วงหน้านานๆ ธรรมาภิบาลก็ใช้ได้ ลุงแมวน้ำอยากให้มองและเลือกหุ้นแนวพลังงานทดแทนเป็นหุ้นมั่นคงปลอดภัยมากกว่าหุ้นเก็งกำไร เพราะตัวกิจการเองโดยธรรมชาติมักมีรายได้สม่ำเสมอ คล้ายกับการเก็บค่าเช่าหอพักทำนองนั้น ไม่ควรไปไล่ล่าราคาจนพีอีเป็นหลายสิบเท่าหรือร้อยกว่าเท่า


หุ้นสายการเดินเรือฟื้นไข้ ได้ปัจจัยราคาน้ำมันถูกเสริม


สำหรับผู้ที่รักผลตอบแทนที่สูงขึ้นละรับความเสี่ยงได้มากขึ้น นอกจากหุ้นในธีมชุมชนเมืองเติบใหญ่แล้ว ยังมีหุ้นอีกกลุ่มหนึ่งที่น่าจะจัดเป็นหุ้นฟื้นไข้ น่าสนใจอยู่เหมือนกัน ลุงขอยกตัวอย่างกรณีศึกษาสักหนึ่งราย นั่นคือ หุ้นสายการเดินเรือคอนเทนเนอร์ หรือสายเรือตู้ 







จำได้ไหมที่ลุงแมวน้ำเคยคุยเรื่องเรือเทกอง เรือเทกอง (เรือที่ขนส่งวัตถุดิบ เช่น แร่ สินค้าเกษตร ฯลฯ) มีดัชนีค่าระวางเรือคือ BDI ส่วนเรือคอนเทนเนอร์หรือเรือตู้นี้ เป็นเรือขนส่งสินค้าสำเร็จรูปหรือสินค้าที่ผลิตแล้ว ค่าระวางเรือคอนเทนเนอร์ดูได้จาก ดัชนีโฮว์รอบินสัน (Howe Robinson Container Index, HRCI) 

จากกราฟ HRCI จะเห็นว่าค่าระวางเรือตู้ค่อยๆดีขึ้นมาหลายปีแล้ว แม้จะค่อยๆขยับขึ้นช้าๆ แต่ก็ดูมั่นคงดี สะท้อนภาพของเศรษฐกิจโลกที่ค่อยๆฟื้นตัวอย่างช้าๆ แม้ช้าแต่ก็ฟื้นตัวได้ละน่า

ปัจจัยที่น่าสนใจของเรือตู้นี้ก็คือ ราคาน้ำมันที่ร่วงแรง แต่ราคาค่าระวางเรือไม่ลด นั่นคือราคาขายเพิ่มขึ้นและต้นทุนลดลง ยังงี้กำไรก็มากขึ้นสิ ก็คาดการณ์กันว่าหุ้นเรือตู้น่าจะมีผลประกอบการที่น่าประทับใจในปี 2015 นี้




หุุ้นเรือตู้ที่อยู่ในตลาดหุ้นไทยมีเพียงหุ้นเดียว คือ RCL ดังกราฟที่ลุงแมวน้ำนำมาให้ดู หุ้นนี้เป็นหุ้นเก่าแก่ ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก สามารถเอาตัวรอดมาได้จนทุกวันนี้ บ่งบอกถึงฝีมือการทำงานที่ไม่ธรรมดา อีกทั้งธรรมาภิบาลก็ใช้ได้ ราคาตอนนี้ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีเสียอีก ค่าพีอียังไม่มีเนื่องจากขาดทุนอยู่ แต่ต้องดูงบ 2014 ทั้งปี (ยังไม่ออก) อาจพลิกเป็นมีกำไรนิดหน่อยจากไตรมาสสุดท้าย หุ้นนี้ก็เป็นแนวฟุ้นฟื้นไข้ที่น่าสนใจคร้าบ