แนวคิดในการจัดพอร์ตลงทุนแนวหุ้นเติบโตของลุงแมวน้ำ แบ่งเป็น 4 เซ็กเตอร์หรือ 4 กลุ่มอุตสาหกรรมเพื่อการกระจายความเสี่ยง |
ตลาดหุ้นไทยแพงแล้วหรือ
เมื่อถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2558 ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนประจำปี 2557 ก็ทยอยประกาศกันเป็นส่วนใหญ่แล้ว มีหุ้นจำนวนไม่น้อยที่มีผลประกอบการไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไร มีทั้งแบบกำไรน้อยลง ไม่มีกำไร หรือขาดทุน มีหมดนั่นแหละ ที่กำไรสวยงามตามคาดหมายนั้นก็มีแต่เป็นส่วนน้อยกว่า สาเหตุก็เป็นผลมาจากปัจจัยแวดล้อมทางด้านเศรษฐกิจนั่นเอง
จากการที่ผลประกอบการน่าประทับใจน้อยไปสักนิดนี่เอง ทำให้เมื่อค่าพีอีของดัชนีเซ็ตเดิมอยู่ที่ประมาณ 19 กว่าๆ (ค่าพีอีที่พูดถึงนี้คือพีอีจากผลประกอบการย้อนหลังหรือที่เรียกว่า trailing P/E ratio) พอนำผลประกอบการล่าสุดนี้ไปร่วมคำนวณด้วย ค่าพีอีก็ขยับขึ้นมากลายเป็น 21.6 เท่า จึงกลายเป็นว่าค่าพีอีย้อนหลังของตลาดหุ้นไทยแพงยิ่งขึ้นไปอีก
ตลาดหุ้นไทยแพงแล้วหรือ ถ้าพีอี 21.6 เท่าก็แพงอยู่เหมือนกัน ส่วนพีอีของตลาด MAI ตอนนี้อยู่ที่ 85.5 เท่า ถือว่าแพงมาก
ถ้ายังงั้นทำยังไงดีล่ะ จะไปลงทุนต่างประเทศตอนนี้ก็ไม่ง่ายแล้ว ที่ว่าไม่ง่ายไม่ได้หมายถึงขั้นตอนหรือกระบวนการ เพราะว่าแค่ซื้อกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศก็ได้แล้ว แต่ที่ว่าไม่ง่ายนั้นลุงแมวน้ำหมายถึงว่าการสร้างผลตอบแทนนั้นไม่ง่าย เพราะอัตราแลกเปลี่ยนหรือปัจจัยด้านค่าเงินสกุลต่างๆ ตลาดหุ้นในยุคคิวอีท่วมโลกนั้นทำให้อัตราแลกเปลี่ยนผันผวนมาก นอกจากปัญหาเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนที่ทำให้ผลตอบแทนการลงทุนอาจลดลงแล้ว แม้แต่ตัวหุ้นที่เราไปลงทุนไว้ในต่างประเทศเองก็ต้องมาทบทวนและประเมินกันใหม่ เนื่องจากหลายกิจการก็มีความสามารถในการแข่งขันลดลงเนื่องจากผลของอัตราแลกเปลี่ยนด้วย ดังนั้นอัตราแลกเปลี่ยนในยุคนี้ทำให้การสร้างผลตอบแทนจากลงทุนในต่างประเทศไม่ง่ายนัก
อย่ากระนั้นเลย หุ้นไทยก็ยังมีเสน่ห์อยู่ ความได้เปรียบของหุ้นไทยคือเรามีความคุ้นเคย หาข้อมูลก็ง่าย ไปคุยกับผู้บริหารก็ไม่ยาก บางทีโทรไปที่นักลงทุนสัมพันธ์ ผู้บริหารก็คุยสายให้ข้อมูลเองเลย หรือไม่อย่างนั้นก็ไปเจอกันในวันอ๊อปเดย์ (opportunity day) ก็ได้ ไปซักถามกันในวันนั้น
ตลาดหุ้นไทยนั้นใช่ว่าจะเป็นหุ้นแพงทุกหุ้น หุ้นที่ยังลงทุนได้ก็มี หากจะเลือกหุ้นสำหรับลงทุนในตอนนี้ ต้องเน้นที่ดีและถูก หุ้นที่ดีแต่แพงก็ไม่ไหว
หุ้นถูกและดียังมีอยู่หรือ ในวิกฤติย่อมมีโอกาส วิกฤตของบางกิจการคือโอกาสของบางกิจการ นอกจากนี้ ในภาวะที่หลายๆคนมองว่าหุ้นไทยแพงและจ้องขายกันอยู่นั้น หุ้นดีๆที่พลอยฟ้าพลอยฝนถูกขายไปด้วยราคาถูกๆก็มี ที่เรียกว่าหุ้นต่ำกว่ามูลค่า (undervalued stock) ไง
วันนี้ลุงแมวน้ำอยากคุยเรื่องการจัดพอร์ตการลงทุนสำหรับปี 2558 หลังจากที่ผลประกอบการตลอดทั้งปี 2557 ออกมาเรียบร้อยแล้วกัน กลายเป็นว่าตลาดหุ้นไทยแพง ดังนั้นการลงทุนต้องระวังมากยิ่งขึ้น
ที่ลุงแมวน้ำจะคุยในวันนี้คงไม่ได้คุยไปถึงการจัดสรรเงินออมมาลงทุนว่าต้องจัดสรรอย่างไร เพราะนั่นจะเป็นเรื่องยาวมาก เอาเป็นว่าเรามาตั้งต้นกันที่ว่าหากเรามีเงินก้อนหนึ่งที่เตรียมไว้สำหรับการลงทุนในหุ้นแล้ว เราจะจัดพอร์ตการลงทุนยังไงดี
จัดพอร์ตลงทุนด้วยหุ้นเติบโต (Growth Stock)
แนวทางของพอร์ตการลงทุนก็มีหลายแนว แบบอนุรักษ์นิยมเน้นที่หุ้นปลอดภัย แนวนี้ก็ได้ผลตอบแทนน้อยหน่อย คือความเสี่ยงต่ำผลตอบแทนต่ำก็ว่ายังงั้นเถอะ อย่างเช่น หุ้นสาธารณูปโภค กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (กองรีทส์) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ฯลฯ ที่เน้นผลตอบแทนจากเงินปันผล ดังที่เราเคยคุยกันมาบ้างแล้ว
หากหวังผลตอบแทนที่สูงขึ้นมาอีกระดับหนึ่งก็คงต้องจัดพอร์ตแนวหุ้นเติบโต ที่หวังผลตอบแทนจากราคาหุ้นที่สูงขึ้น (และหากได้ปันผลด้วยก็ยิ่งดี)
ตอนนี้ยังมีหุ้นแนวเติบโตที่ดีและถูกอยู่อีกไหม ลุงแมวน้ำลองเล็งๆดูแล้วยังมีอยู่จริง เราลองมาจัดพอร์ตกัน
ลุงแมวน้ำจัดพอร์ตการลงทุนเป็นหุ้น 4 กลุ่มธุรกิจ (สี่เซ็กเตอร์) เพื่อการกระจายความเสี่ยง หากหุ้นกระจุกอยู่ในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน หากธุรกิจนั้นได้รับผลกระทบแรงเราก็โดนไปเต็มๆเลย กระจายสักหน่อยดีกว่า ลุงแมวน้ำคิดว่า 4 กลุ่มกำลังเหมาะ รวมแล้วมีหุ้น 4-6 ตัว อย่าให้มากเกินไป เพราะจะดูแลไม่ไหว
ตัวอย่างพอร์ตลงทุนแนวหุ้นเติบโตแบบที่ 1
เราลองมาจัดพอร์ตหุ้นเติบโตแบบแรกกัน ตามภาพนี้เลย
แนวคิดในการจัดพอร์ตลงทุนแนวหุ้นเติบโตของลุงแมวน้ำ แบ่งเป็น 4 เซ็กเตอร์หรือ 4 กลุ่มอุตสาหกรรมเพื่อการกระจายความเสี่ยง |
เรามาดูเหตุผลกันว่าทำไมลุงแมวน้ำจึงเลือก 4 กลุ่มนี้จัดเป็นพอร์ต
กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ น้ำหนักในพอร์ตคือ 25% ที่เลือกกลุ่มนี้ก็เพราะตอบโจทย์ชุมชนเมืองเติบใหญ่นั่นเอง กลุ่มนี้ยังแบ่งเป็นกลุ่มย่อยอีก นั่นคือ รับเหมาก่อสร้าง ที่อยู่อาศัย และนิคมอุตสาหกรรม ในแต่ละกลุ่มย่อย ลุงแมวน้ำพิจารณาแล้วยังมีหุ้นที่ดีและราคาถูก สามารถลงทุนได้อยู่หลายตัวทีเดียว จากสามกลุ่มย่อยนี้เลือกมา 2 หุ้นก็แล้วกัน (หมายถึงว่าหุ้น 2 ตัวรวมกันเป็นน้ำหนัก 25% เท่ากับว่าลงทุนหุ้นตัวละ 12.5% ของเงินลงทุนนั่นเอง)
กลุ่มสื่อสารโทรคมนาคม น้ำหนักในพอร์ตคือ 25% ที่เลือกกลุ่มนี้เพราะตอบโจทย์ชุมชนเมืองเติบใหญ่ ประกอบกับภาครัฐมีนโยบายเร่งรัดเรื่องเศรษฐกิจดิจิทัล หุ้นสื่อสารใหญ่ที่ได้รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจดิจิทัลแต่ถูกขายทิ้งแบบไม่ใยดีจนราคาต่ำน่าสนใจก็ยังมีอยู่ เลือกไว้ 1 ตัวละกัน
หุ้นกลุ่มขนส่งทางเรือ น้ำหนักในพอร์ตคือ 25% ลุงแมวน้ำเน้นที่ขนส่งทางเรือ ไม่เลือกเครื่องบินหรืออื่นๆ กลุ่มนี้เป็นหุ้นฟื้นไข้ตามเศรษฐกิจโลก เลือกเรือเทกองสักลำ เรือตู้คอนเทนเนอร์สักลำ รวมเป็น 2 ตัว
หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลหรือสาธารณูปโภคพลังงานทดแทน น้ำหนักในพอร์ตคือ 25% ที่จริงหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลและกลุ่มสาธารณูปโภค โดยทั่วไปแล้วจัดเป็นหุ้นเน้นความปลอดภัยหรือว่า defensive stock แต่กลุ่มโรงพยาบาลตอบโจทย์ประชากรสูงวัย จะมองว่าเป็นหุ้นเติบโตก็ได้ ปลอดภัยด้วยเติบโตได้ด้วย ทูอินวันก็ดีเหมือนกัน ^_^
ส่วนหุ้นสาธารณูปโภคพลังงานทดแทน (เน้นที่พลังงานทดแทน) นั้นก็ทำนองเดียวกัน ปัจจุบันภาครัฐสนับสนุนด้านพลังงานทดแทน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตรับซื้อตามสัญญาที่ผูกพัน
หุ้นในกลุ่มโรงพยาบาลหรือพลังงานทดแทนนี้เลือกไว้ 1 ตัวก็พอ
รวมแล้ว 4 กลุ่มแต่มีหุ้น 6 ตัว
หากถามลุงแมวน้ำว่าทำไมต้องเป็น 4 กลุ่มนี้ คำตอบก็คือเพราะว่า 4 กลุ่มนี้เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีโอกาสเติบโต อีกทั้ง 4 กลุ่มกระจายความเสี่ยงได้และไม่มากเกินไปจนดูแลไม่ไหว รวมทั้งยังมีหุ้นดีราคาถูกให้เลือก และที่สำคัญคือ ลุงแมวน้ำคิดว่าหุ้นใน 4 กลุ่มนี้ไม่ค่อยขึ้นอยู่กับกระแสเงินของต่างชาตินัก คือเผื่อไว้ในกรณีที่เงินต่างชาติเข้าน้อยหรือไม่เข้ากลุ่มเหล่านี้ก็ยังพอไปได้ เพราะเป็นกลุ่มที่นักลงทุนรายย่อยและสถาบันลงทุนกัน อีกทั้งแต่ละกลุ่มก็มีสตอรีของตนเองอยู่พอสมควร ลุงแมวน้ำจึงนำเสนอไว้เป็นแนวคิด
ตัวอย่างพอร์ตลงทุนแนวหุ้นเติบโตแบบที่ 2
นอกจากนี้ก็ยังมีการจัดพอร์ตแบบที่สอง ดัดแปลงจากแบบแรกนิดหน่อย ตามนี้เลย
นั่นคือ ตัดกลุ่มเรือออกไปและเปลี่ยนเป็นหุ้นอื่นๆแทน หมายความว่าหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมอะไรก็ได้ ที่เราพิจารณาแล้วว่ามีศักยภาพในการแข่งขัน มีโอกาสเติบโต และราคาถูก หากเราเจอหุ้นแบบนี้ก็ไม่ต้องสนใจกลุ่มอุตสาหกรรมก็ได้ ก็เลือกเอาไว้เลย
แนวคิดในการเลือกหุ้น
เมื่อเราได้กลุ่มอุตสาหกรรมแล้ว คราวนี้ก็มาถึงการเลือกหุ้น การเลือกหุ้นนี้ต้องใช้ปัจจัยพื้นฐานจึงจะรู้ว่าเป็นหุ้นดีราคาถูกหรือไม่ หากใช้ปัจจัยทางเทคนิคจะบอกไม่ได้
การพิจารณาก็ต้องพิจารณาถึงธรรมาภิบาล ความสามารถในการแข่งขัน พิจารณาค่าพีอีต่ำ พีอีนี้ที่เป็นผลการดำเนินงานจริงๆ ไม่ใช่คำนวณจากการที่มีกำไรพิเศษมากมาย ดังที่เราเคยคุยกันแล้ว นอกจากนี้แล้วก็อาจพิจารณาค่าผลตอบแทนเงินลงทุน (ROE, return on equity) เลือกที่สูงหน่อย ขณะเดียวกันก็ต้องมีหนี้ต่ำๆ (คือมีค่า D/E ต่ำ) ข้อมูลปัจจัยพื้นฐานเหล่านี้เป็นข้อมูลที่หาดูได้ง่าย ทำความเข้าใจได้ง่ายด้วย ไม่จำเป็นต้องถึงขั้นอ่านงบการเงินเป็น
ก็ดูข้อมูลปัจจัยพื้นฐานไม่กี่ค่านี่แหละ ที่สำคัญที่สุดน่าจะเป็นการประเมินความสามารถในการแข่งขันของการกิจมากกว่า และสังเกตว่าลุงแมวน้ำพูดเรื่องธรรมาภิบาลเป็นเรื่องแรก ซึ่งลุงถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด สำคัญเหนือกว่าปัจจัยพื้นฐานอื่นๆ หากธรรมาภิบาลไม่ผ่าน อย่างอื่นก็ไม่ต้องพิจารณา
นี่แหละ การจัดพอร์ตลงทุนหุ้นไทยแบบแมวน้ำๆ ก็เป็นแนวคิดที่อาจลองนำไปพิจารณาดู เรื่องการเลือกหุ้นต้องใช้ปัจจัยพื้นฐาน ส่วนจังหวะเข้าออกการลงทุนเราใช้ปัจจัยทางเทคนิคก็ได้ผลดี เอาไว้ตอนหน้ามาคุยกันต่อคร้าบ