เมื่อสองตอนที่แล้วลุงแมวน้ำได้แนะนำให้รู้จักการใช้เครื่องมือทางสายการวิเคราะห์ทางเทคนิคคือเครื่องมือฟิโบนาชชี เครื่องมือทางสายปัจจัยพื้นฐาน นั่นคือค่าพีอีล่วงหน้า นำมาใช้ร่วมกันในการประเมินราคาเป้าหมาย พร้อมกับยกกรณีศึกษาหุ้น Spali มาให้ดูกัน ในตอนนี้ลุงแมวน้ำจะลองยกกรณีศึกษามาให้ดูกันอีกหลายกรณี กรณีศึกษาที่จะยกมานี้ลุงแมวน้ำจะไปอย่างรวดเร็ว คือไม่อธิบายมากเหมือนในกรณี Spali เพราะถือว่ามีประสบการณ์มาบ้างแล้ว
กรณีศึกษา EA
EA เป็นหุ้นที่ดำเนินกิจการเกี่ยวกับพลังงานทดแทน มีทั้งการผลิตไบโอดีเซลและโรงไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ที่เป็นโซลาร์ฟาร์มแบบพีวี (Photovoltaic solar farm)
หุ้นในแนวผลิตโรงไฟฟ้านั้นที่จริงเป็นหุ้นมั่นคง (defensive stock) ทั้งนี้ เนื่องจากเมื่อตั้งโรงงานสำเร็จและดำเนินการผลิตไฟฟ้าขายแล้วจะสร้างรายได้ค่อนข้างสม่ำเสมอ เนื่องจากทำสัญญาขายไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าไว้แล้ว และโรงงานหนึ่งก็ผลิตไฟฟ้าได้ในปริมาณที่ค่อนข้างคงที่ คือเต็มกำลังการผลิตเท่าไรก็เท่านั้น จะไปเร่งรัดให้ผลิตมากกว่านั้นก็ไม่ได้ ดังนั้นรายได้ในอนาคตจึงมักคงที่และสม่ำเสมอ ไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ แต่สำหรับตลาดหุ้นไทยนั้นเก็งกำไรในหุ้นพลังงานทดแทนโดยเฉพาะโซลาร์ฟาร์มกันอย่างดุเดือด
หุ้นพลังงานทดแทนโดยเฉพาะโซลาร์ฟาร์มนั้นสามารถคาดการณ์ผลประกอบการได้ค่อนข้างใกล้เคียง เนื่องจากการก่อสร้างโซลาร์ฟาร์มใช้เวลาประมาณ 9-12 เดือน ดังนั้นผู้ที่สร้างโซลาร์ฟาร์มในปี 2014 นี้ก็สามารถคาดการณ์รายได้ในปี 2015 ได้อย่างใกล้เคียง ส่วนผู้ที่สร้างในปี 2015 ไม่น่ารับรู้รายได้ทันในปี 2015
ลองมาดูแนวโน้มประมาณการผลประกอบการปี 2015 ของหุ้น EA กัน เข้าไปที่เว็บไซต์ settrade.com จะได้ค่าออกมาดังนี้
มีโบรกเกอร์ 2 รายประเมินกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ของ EA ในปี 2015 เฉลี่ยแล้วได้ EPS 2015F เป็น 0.80 บาท/หุ้น เราก็นำมาใส่ในตารางคำนวณ P/E ล่วงหน้า ดังนี้
หากมองจากค่า P/E ล่วงหน้า ราคาหุ้น 20 บาท forward P/E ที่ 25 เท่าก็ซื้ออนาคตปี 2015 ไปในราคาที่เรียกว่าไม่ถูกนัก
ทีนี้ลองมาดูการวิเคราะห์ทางเทคนิคดูบ้าง ดูภาพต่อไปนี้
จากเครื่องมือฟิโบนาชชีเป้าหมาย ราคาที่เป็นไปได้ในปี 2015 คือที่ระดับ 161.8% คือ 27.5 บาท หรือที่ระดับ 261.8% คือ 30.5 บาท
พิจารณาจากพีอีล่วงหน้าและระดับฟิโบนาชชีแล้ว ราคาที่เป็นไปได้และรองรับอนาคตปี 2015 คือที่ 27.5 บาท ซึ่งที่ราคานี้เป็นระดับพีอีล่วงหน้าประมาณ 35 เท่า ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่ซื้ออนาคตอย่างแพงทีเดียว
ทีนี้มาดูกันต่อไปอีกนิดหนึ่ง ลองมานับคลื่นประกอบด้วย ดังภาพต่อไปนี้
จะเห็นว่าราคา 27.5 บาทในตอนนี้เป็นระดับราคาเป้าหมายที่ค่อนข้างแพงแล้ว รวมทั้งยังอาจจะจบคลื่น 5 อันเป็นคลื่นขาขึ้นลูกสุดท้ายแถวๆนี้ด้วย
กรณีศึกษา SPCG
SPCG เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์หรือที่เรียกว่าโซลาร์ฟาร์มแบบพีวี จากการประเมินคาดว่าราคาเป้าหมายที่รองรับผลประกอบการปี 2015 น่าจะเป็น 56 บาท ซึ่งราคาแถวๆนี้เป็นพีอีล่วงหน้าประมาณ 22.5 เท่า จัดว่าเป็นราคาที่สมเหตุผล
กรณีศึกษา KTB
กลุ่มโรงไฟฟ้าเป็นกลุ่มที่คาดการณ์ผลประกอบการณ์ได้ง่าย เพราะแหล่งที่มาของรายได้ค่อนข้างแน่นอน ส่วนกิจการธนาคารนั้นคาดการณ์ผลประกอบการณ์ให้แม่นยำได้ยาก เนื่องจากรายได้หรือว่าผลประกอบการณ์ในอนาคตนั้นขึ้นกับภาวะเศรษฐกิจและการแข่งขันของธุรกิจธนาคารด้วยกัน ดังนั้นการประเมินจึงมีโอกาสคลาดเคลื่อนได้มาก ยิ่งการคาดการณ์ทางปัจจัยพื้นฐานยากขึ้น การประเมินทางเทคนิคก็ยิ่งมีส่วนช่วย
กิจการธนาคารปกติไม่ค่อยดูค่าพีอีกัน แต่จะดูค่า P/B มากกว่า แต่อย่างไรก็ตาม การประเมินของเราก็ยังใช้ค่าพีอีล่วงหน้า
เราจะไปกันอย่างเร็วๆ วิธีประเมินก็เช่นเดียวกับกรณีศึกษาก่อนหน้า แต่มีข้อควรระวังไว้นิดหนึ่ง นั่นก็คือ กิจการธนาคารมักเทรดกันที่พีอีไม่สูง แม้ในตลาดขาขึ้นแรงๆ พีอีของธนาคารก็มักต่ำกว่าพีอีของกิจการในอุตสาหกรรมอื่นๆ ดังนั้น ราคาประเมินควรกำหนดกรอบพีอีอย่าให้พีอีสูงนัก ในกรณีศึกษานี้ลุงแมวน้ำให้ค่าพีอีล่วงหน้าที่เหมาะสมไม่เกิน 15 เท่า
ผลการประเมิน เราก็ได้ราคาเป้าหมายที่รองรับผลประกอบการปี 2015 ของ KTB นั่นคือ หากปีหน้าภาวะตลาดเป็นขาขึ้น KTB ควรไปได้ถึงประมาณ 34 บาท
ลุงแมวน้ำยังมีกรณีศึกษาอีกนิดหน่อย คราวหน้าเราจะมาดูกรณีที่ประเมินยากๆ รวมทั้งการประเมินราคาเป้าหมายในยามตลาดขาลง