หลังจากจากที่ลุงเบนให้ความชัดเจนเกี่ยวกับการชะลอและยุติการอัดฉีดสภาพคล่องหรือ QE3 ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมทั้งตลาดหุ้นเอเชียก็ตื่นตระหนกไปแล้วรอบหนึ่ง ความวัวยังไม่ทันจะหาย ความควายก็เข้ามาแทรกอีก นั่นคือ ธนาคารในประเทศจีนเกิดปัญหาขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง อัตราการกู้ยืมระหว่างธนาคารด้วยกันพุ่งกระฉูด สาเหตุมาจากปัญหาหนี้เน่าที่ทับถมธนาคารอยู่ ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าเท่าไรกันแน่ เพราะทางการจีนก็ไม่บอก แต่ขยะที่ซุกอยู่ใต้พรมนั้น วันนี้ไม่ใช่ขยะแล้ว แต่กลายเป็นระเบิดที่ซ่อนอยู่ใต้พรมแทน เนื่องจากธนาคารจีนขาดสภาพคล่อง ครั้นจะกู้ยืมระหว่างธนาคาร ธนาคารแต่ละแห่งต่างก็ไม่ไว้ใจกัน เพราะไม่รู้ว่าใครซุกหนี้เน่าเอาไว้เท่าไร ต่างก็ไมยอมให้ยืมกัน เพราะเรกงว่ายืมแล้วจะไม่ได้คืน ดังนั้นเงินสดจึงหายาก อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่างธนาคารจึงพุ่งสูง ซึ่งเดิมทีทางธนาคารกลางของจีนบอกว่าจะไม่อัดฉีดเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอีก เพราะเกรงปัญหาฟองสบู่ จีนต้องการเติบโตอย่างยั่งยืน แม้ว่าอัตราการเติบโตจะช้าลงบ้างก็ดีกว่าโตเร็วแต่มีปัญหาฟองสบู่
พอไม่อัดฉีด ก็กลายเป็นว่าธนาคารขนาดกลางและเล็กขาดสภาพคล่องถึงขั้นวิกฤต ถึงขั้นธนาคารอาจล้มได้ ในที่สุดธนาคารกลางของจีนก็ยอมอัดฉีดสภาพคล่องเข้าไปช่วยเหลือเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังไม่รู้ว่าจำนวนเท่าไร แต่ดูเหมือนจะยังไม่พอ เพราะนี่เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น อาการป่วยของระบบธนาคารที่แท้จริงคือเรื่องหนี้เน่ายังไม่มีการแก้ไขแต่อย่างใด ดังนั้นจึงระเบิดที่ซุกอยู่ใต้พรมตอนนี้ยังทำงานอยู่ และหากทางการจีนไม่รีบถอดชนวน ระบบเศรษฐกิจจีนอาจมีปัญหารุนแรง และมีหวังได้เห็นตลาดหุ้นแดงเดือดกันทั่วโลกอีกรอบหนึ่ง
จากปัญหาของจีนที่เพิ่งประทุขึ้นมานี้เอง ที่เป็นเหมือนความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก เรื่องยุติ QE3 ของลุงเบนยังไม่ทันจะฝุ่นจาง ปัญหาเรื่องสภาพคล่องของธนาคารจีนก็เข้ามาอีก
เมื่อวาน 24/06/2013 ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลงในวันเดียวกว่า -5% โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารลงหนักว่านั้น ประมาณ -8% และพลอยฉุดให้ตลาดหุ้นอื่นแดงไปด้วย รูปแบบทางเทคนิคเสียหายไปแล้ว ดังภาพต่อไปนี้
ถ้าดัชนี CSI 300 ของจีนหลุดจาก 2110 จุดก็เป็นเรื่อง เพราะแปลว่ายังลงได้อีกมาก กลายเป็นคลื่นใหญ่ขาลงทีเดียว และแนวโน้มจะหลุดจาก 2110 ก็มีสูงเสียด้วย แต่ว่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นอื่นๆมากมายเพียงใดยังยากบอกได้
ขณะเดียวกัน เมื่อวาน 24/06/2013 ตลาดหุ้นทั่วโลกก็รับข่าวเศรษฐกิจจีน ตลาดหุ้นอเมริกาปรับตัวลงประมาณ -0.9% ที่จริงลงลึกกว่านี้อีกในระหว่างวัน แต่ดีดกลับมาได้ตอนท้ายตลาด ขณะเดียวกัน ราคาพันธบัตรรัฐบาลอายุยาวของอเมริกาก็ร่วงลงไปอีก
ขณะเดียวกัน ทางฝั่งยุโรปก็แดงเช่นกัน ตลาดหุ้นเยอรมนีปรับตัวลงไปแล้ว -9.8%
ตลาดหุ้นเยอรมนีปรับตัวลงจากยอดคลื่นล่าสุดเมื่อเดือนพฤษภาคม -9.8% แล้ว |
เมื่อวาน 24/06/2013 ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงต่อ ดัชนี SET ปิดที่ 1364.09 จุด ซึ่งเดิมทีแม้ว่าดัชนีจะเคยไหลลงถึง 1350 จุดแต่ก็เป็นในระหว่างวันเท่านั้น หากคิดจากราคาปิด ดัชนี SET ยังไม่เคยหลุดจาก 1400 จุด เมื่อวานเป็นวันแรกที่ดัชนีปิดต่ำกว่า 1400 จุด
ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงจากยอดคลื่นล่าสุด -17% แล้ว |
ราคาทองคำหลุดจากกรอบสามหลี่ยมชายธงลงมาแล้ว อาจลงไปได้ถึง 1160 ดอลลาร์ สรอ/ทรอยออนซ์ |
ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนผันผวนหนัก ราคาทองคำในที่สุดก็หลุดจากสามเหลี่ยมชายธงลงมาข้างล่าง พร้อมกับดอลลาร์ สรอ แข็งค่า แต่ขณะนี้ดอลลาร์ สรอ ดูจะเริ่มนิ่งแล้ว ทำให้เงินตราสกุลอื่นพลอยเริ่มนิ่งไปด้วย แต่ก็ยังไม่น่าวางใจ ดอลลาร์ สรอ อาจแข็งค่าต่อพร้อมกับราคาทองคำร่วงต่อ
อัตราแลกเปลี่ยนและราคาทองคำในเชิงเปรียบเทียบ |
สำหรับสรุปในรอบสัปดาห์ที่แล้วเราก็คงคุยกันมามากแล้ว ประเด็นหลักในสัปดาห์ที่แล้วก็คือความปั่นป่วนจากการประกาศของเฟดเรื่องการชะลอและยุติ QE3 ซึ่งถือว่าชัดเจนขึ้นมากแล้ว ตลาดในสัปดาห์ที่แล้วปรับตัวลงรับข่าวนี้เป็นหลัก ตลาดหุ้นอเมริกาเองตลอดสัปดาห์ปรับตัวลงไม่มาก ประมาณ -2% ในขณะที่ตลาดหุ้นอื่นลงหนักกว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงถึง -4.4%
สำหรับสัปดาห์นี้ ประเด็นจะไปอยู่ที่เศรษฐกิจจีนเป็นหลัก ต้องมาดูกันว่าตลาดหุ้นทั่วโลกจะตอบสนองกับข่าวทางจีนมากน้อยเพียงใด ส่วนตลาดหุ้นไทยนั้นลุงแมวน้ำไม่ค่อยแน่ใจแล้วว่า 1350 จุดจะรับไหวไหม รวมทั้งไม่แน่ใจว่า window dressing ตอนสิ้นเดือนมิถุนายนจะทำงานได้จริงหรือไม่ เพราะรายย่อยก็รอขายตอนทำ window dressing อยู่นี่แหละ เมื่อรอขายกันทั้งประเทศก็อาจขึ้นไม่ไหว แต่อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ตอนนี้ คิดว่าหากหลุด 1350 จุดก็คงไม่หลุด 1310 จุด ทั้งนี้ ลุงแมวน้ำดูจากราคาพันธบัตรรัฐบาลที่เริ่มนิ่งแล้ว ประกอบกับค่าเงินบาทก็เริ่มนิ่ง ดังนั้นตลาดหุ้นก็น่าจะเริ่มนิ่งได้แล้ว
ดัชนีราคาพันธบัตรรัฐบาลไทย อายุ 7-10 ปี จากที่ราคาไหลลงแรง ตอนนี้เริ่มนิ่งแล้ว หมายความว่าแรงขายเริ่มชะลอตัวแล้ว ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยด้วย |
ตลาดตอนนี้ผันผวนมาก อะไรก็เกิดได้ทั้งนั้น ก็ต้องรอดูตลาดอเมริกาเป็นหลัก เมื่อไรที่ตลาดอเมริกาไปต่อได้ ตลาดหุ้นทั่วโลกก็จะตั้งหลักและไปต่อได้