Thursday, May 23, 2013

23/05/2013 * กระทิงอเมริกาวิ่งไล่กระทิงไทย ระวังตลาดพันธบัตร


อ่านชื่อหัวข้อแล้วงงไหม ถ้างงก็ไม่เป็นไร อ่านต่อไปแล้วก็จะหายงงไปเอง ^__^

เมื่อปีที่แล้ว ปี 2012 ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้น +35.8% หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือปีที่แล้วดัชนี SET ของตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทน +35.8% ก็เยอะนะ เพราะว่าตลาดหุ้นไทยถือว่าเป็นตลาดเอเชียที่ให้ผลตอบแทนสูงมากในปีที่แล้ว ตลาดหุ้นตุรกีแรงสุด +62% ที่แรงพอๆกับไทยก็คือตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ +33% ตลาดหุ้นอื่นๆในเอเชียแปซิฟิกก็ลดหลั่นกันลงไป

ส่วนตลาดหุ้นอเมริกาในปี 2012 นั้น แม้ว่าเฟด โดยลุงเบน เฮลิคอปเตอร์ จะอัดฉีดทั้งมาตรการ QE 2 ต่อด้วย operation twist และตามด้วย QE 3 แต่ตลอดทั้งปี 2012 ตลาดหุ้นอเมริกา ดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทน +13.4% ส่วนดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJI) ให้ผลตอบแทน +7.3% ซึ่งถือว่าไม่มากเมื่อเทียบกับเงินอัดฉีดที่ลุงเบนทุ่มลงไป

แต่ว่าปี 2013 นี้สภาพการณ์ต่างกันออกไป หากนับกันตั้งแต่ต้นปีจนถึงเมื่อวานนี้ (22/05/2013) ดัชนี SET ให้ผลตอบแทน +17.2% ในขณะที่ดัชนี S&P 500 และ DJI ให้ผลตอบแทนพอๆกันคือประมาณ +17% ซึ่งก็ใกล้เคียงกับของตลาดหุ้นไทย และมากกว่าผลตอบแทนตลอดปีที่แล้วทั้งปีของ S&P 500 และ DJI เองเสียอีก ดังนั้นแนวโน้มในช่วง 5 เดือนแรกนี้น่าจะพอทำให้เห็นได้แล้วว่าตลาดหุ้นอเมริกาในปีนี้เริ่มมาแรงแล้ว

ลุงแมวน้ำมองว่าในช่วงที่เหลือของปี 2013 นี้ตลาดหุ้นของอเมริกาน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดี ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นทั่วโลกรวมทั้งตลาดหุ้นไทยด้วย หลายเดือนต่อจากนี้ไปกระทิงน่าจะวิ่งแรงทีเดียว และที่ควรระวังก็คือตลาดพันธบัตร ลองมาดูเหตุผลกัน

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอเมริกัน อายุ 10 ปี เมื่อวันที่ 22/05/2013 ผลตอบแทนปรับตัวขึ้น +4.2% ในคืนเดียว บ่งบอกถึงแรงขายพันธบัตร


ภาพบนนี้เป็นภาพอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอเมริกัน อายุ 10 ปี เฉพาะเมื่อคืน (เวลาบ้านเรา) คือวันที่ 22/05/2013 ของสหรัฐอเมริกา อัตราผลตอบแทนพุ่งในวันเดียวถึง +4.2% อันหมายถึงว่ามีแรงขายพันธบัตรออกมา สาเหตุก็เนื่องมาจากในวันดังกล่าวเฟดได้เปิดเผยรายงานการประชุมฉบับสิ้นเดือนเมษายน

เรื่องที่นักลงทุนกลัวอยู่ก็คือกลัวว่าเฟดจะยุติโครงการอัดฉีดเงิน QE ดังนั้นไม่ว่าเฟดมีประชุมหรือแถลงอะไร ทุกคนก็ให้ความสนใจว่าลุงเบนหรือเจ้าหน้าที่เฟดคนอื่นจะส่งสัญญาณอะไรออกมาบ้าง บางทีพูดคลุมเครือ ตลาดพันธบัตรก็ตกใจเทขายพันธบัตรออกมา จนอัตราผลตอบแทนพุ่ง

ส่วนตลาดหุ้นของอเมริกาในวันเดียวกันนี้ ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวลง -0.5% ส่วนดัชนี S&P 500 ปรับตัวลง -0.8% ชี้ให้เห็นว่าตลาดพันธบัตรอ่อนไหวและมีปฏิกิริยาต่อการยุติ QE รุนแรงกว่าตลาดหุ้นมาก

สาเหตุที่ความกังวลเรื่องการยุติ QE ส่งผลถึงตลาดพันธบัตรก็เพราะว่าเฟดทุ่มเงินซื้อพันธบัตรมาโดยตลอด ตามโครงการ operation twist กับ operation twist ส่วนขยาย (แต่หลายๆคนก็เรียกรวมๆกันว่า QE) ตลาดพันธบัตรก็มีการเก็งกำไรกันสูง เพราะว่ามีเฟดคอยทุ่มเงินซื้ออยู่ ผลก็คือราคาพันธบัตรสูงขึ้น (หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่าอัตราผลตอบแทนลดลง ตรงนี้อย่างง ก็เหมือนกันซื้อหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลนั่นเอง ถ้าซือหุ้นมาในราคาสูง ก็หมายถึงว่าอัตราผลตอบแทนจากปันผลลดลงนั่นเอง)

ทีนี้หากเฟดยุติโครงการ QE จะเกิดอะไรขึ้น แน่นอน เฟดก็ต้องค่อยๆทยอยขายพันธบัตรซึ่งถืออยู่เป็นจำนวนมหาศาลออกมา เพราะหมดโครงการแล้วก็ไม่รู้ว่าจะถือไว้ทำไมมากมาย นักลงทุนก็เกรงกันว่าเมื่อขาใหญ่ขายพันธบัตรออกมาเป็นจำนวนมาก ราคาพันธบัตรย่อมต้องลดลง (คืออัตราผลตอบแทนปรับตัวสูงขึ้น) ซึ่งมันก็เหมือนกับหุ้นนั่นเอง เมื่อขาใหญ่ทิ้งหุ้นปันผล วงก็แตก ราคาหุ้นปันผลก็ต้องร่วง ก็ทำนองนั้นแหละ

นี่เองคือเรื่องที่เฟดเองก็ยังพะวง และยังแสดงความอึมครึมอยู่เสมอว่าจะยุติโครงการ QE เมื่อไรกันแน่ เพราะหากไม่มีมาตรการที่เป็นขั้นตอน ตลาดพันธบัตรต้องปั่นป่วนแน่

แล้วจะเกิดอะไรกับตลาดหุ้น???

ก่อนที่จะคุยกันต่อ ลุงแมวน้ำอยากให้ดูภาพนี้ก่อน

กราฟแสดงราคาฟิวเจอร์สของดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (YM) ราคาพันธบัตรรัฐบาลอเมริกากันอายุ 10 ปี กับ 30 ปี และส่วนต่างของ YM กับ DJI


ภาพนี้มี 3 ส่วน ส่วนล่างคือราคาฟิวเจอร์สของดัชนีอุตามหกรรมดาวโจนส์ ตัวดัชนีใช้ตัวย่อว่า DJI  ส่วนฟิวเจอร์สของดัชนีใช้ตัวย่อว่า YM จะเห็นว่าตั้งแต่กลางปี 2011 เป็นต้นมา หลังจากที่เฟดใช้ operation twist ตลาดหุ้นอเมริกาก็ขึ้นมาเรื่อยๆโดยตลอด

เอาละ ทีนี้้มาดูภาพส่วนกลาง เป็นราคาพันธบัตรรัฐบาลอเมริกัน อายุ 10 ปี กับ 30 ปี กราฟนี้คือราคานะ ไม่ใช่ผลตอบแทน ก็คือดูแบบราคาหุ้น ถ้าราคาสูงก็แปลว่าคนอยากได้และแย่งกันซื้อ ถ้าราคาตกก็แปลว่าคนแห่กันขาย ไม่อยากถือ

จะเห็นว่า หลังจากที่เฟดใช้มาตรการ operation twist (เริ่มประมาณกันยายน 2011) ราคาพันธบัตรรัฐบาลอเมริกันอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ตลาดพันธบัตรมีการเก็งกำไรกันเพราะรู้ว่ามีขาใหญ่คอยรับซื้ออยู่

แต่สังเกตว่าตั้งแต่เดือนกันยายน 2012 เป็นต้นมา ราคาพันธบัตรอยู่ในกรอบแนวโน้มขาลง ที่เป็นเช่นนี้น่าจะเป็นเพราะว่านักลงทุนเริ่มทยอยลดความเสี่ยงจากการยุติ QE ถือไปนานๆก็หนาว ก็เลยทยอยขายออกมาเรื่อยๆ ขณะเดียวกันตลาดหุ้นอเมริกาก็ขึ้นต่อไปเรื่อยๆ และกราฟยิ่งนานก็ยิ่งชันขึ้น

ที่ลุงแมวน้ำตั้งคำถามข้างบนไว้ว่าหากเฟดยุติ QE ตลาดหุ้นจะเกิดอะไรขึ้น หากวิเคราะห์จากกราฟแล้วลุงแมวน้ำเห็นว่าตอนนี้นักลงทุนทยอยขายพันธบัตรเพื่อลดความเสี่ยงและมีเงินจำนวนหนึ่งไหลเข้ามาในตลาดหุ้น ดังนั้นเหตุการณ์ข้างหน้าน่าจะเป็นว่าตลาดพันธบัตรอ่อนตัวลงเรื่อยๆ ในขณะที่ตลาดหุ้นยังคงขึ้นต่อไป เนื่องจากเงินในตลาดพันธบัตรย้ายมาเก็งกำไรในตลาดหุ้นมากขึ้นเรื่อยๆ

ทีนี้มาดูกราฟเส้นบนสุดในภาพ ที่เขียนไว้ว่า DJI future - DJI

กราฟเส้นนั้นคือผลต่างของราคาฟิวเจอร์สของดัชนี ลบด้วยราคาของดัชนี พูดง่ายๆก็คือจะดูว่าตอนนี้ฟิวเจอร์สของ DJI แพงกว่าตัวดัชนี DJI อยู่เท่าไรนั่นเอง

โดยปกติในตลาดกระทิง ฟิวเจอร์สมักแพงกว่าดัชนี แต่จากกราฟจะเห็นว่าฟิวเจอร์สส่วนใหญ่ราคาถูกกว่าดัชนีมาโดยตลอด แสดงถึงความกล้าๆกลัวๆ ยังไม่ใช่กระทิงเต็มที่ ดังนั้นลุงแมวน้ำจึงเห็นว่าตลาดหุ้นของเมริกายังไปได้อีกพักใหญ่ ต่อไปเงินน่าจะไหลมาเข้ามาในตลาดหุ้นมากขึ้น และตลาดเข้าสู่ภาวะกระทิงเต็มที่ ถึงตอนนั้นจะเห็นฟิวเจอร์สแพงกว่าดัวดัชนีต่อเนื่องกันเป็นเวลานานๆ ลุงแมวน้ำว่าภาวะที่ว่าน่าจะใกล้มาถึงแล้วล่ะ



ผลต่างของราคาฟิวเจอร์สเซ็ต 50 (S50) กับดัชนี SET50 เป็นไปได้ว่าตลาดหุ้นไทยกำลังเข้าภาวะกระทิงเต็มที่แล้ว

ทีนี้มาดูตลาดหุ้นไทยกันบ้าง ของเราก็มีฟิวเจอร์สเช่นกัน นั่นคือฟิวเจอร์สของดัชนีเซ็ต 50 (ใช้ตัวย่อว่า S50) ปีที่แล้ว 2012 ราคาฟิวเจอร์ส S50 ถูกกว่า SET50 เป็นส่วนใหญ่ แต่ว่าตอนนี้ราคาฟิวเจอร์สเริ่มแพงกว่าดัชนีแล้ว หากแพงกว่าอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานก็บ่งชี้ถึงภาวะกระทิงเต็มที่ได้ทางหนึ่ง ดังนั้นลุงแมวน้ำก็มองว่าตลาดหุ้นไทยยังไปต่อได้อีกเช่นกัน ประกอบกับว่าหากตลาดหุ้นอเมริกาวิ่งโลดจริง ตลาดหุ้นอื่นๆก็ย่อมได้อานิสงส์ไปด้วย

แต่... แต่... และแต่... การลงทุนย่อมมีความเสี่ยง เหตุไม่คาดหมายอาจเกิดขึ้นได้เสมอ ดังนั้น เมื่อได้อ่านบทความนี้ของลุงแมวน้ำ จะอย่างไรก็ต้องรักษาวินัยในการลงทุน อย่าเทรดเกินตัวเป็นอันขาด เพราะความประมาทย่อมทำให้เกิดความเสียหายที่ใหญ่หลวงได้ 



Tuesday, May 21, 2013

21/05/2013 * ตลาดหุ้นไปต่อ ลุ้นลดอัตราดอกเบี้ย และสรุปตลาดในรอบสัปดาห์ (13/05/2013 - 18/05/2013)


ในรอบสัปดาห์ที่แล้ว (13/05/2013 - 18/05/2013) ตลาดหุ้นในภาพรวมยังเดินหน้าต่อไป ไม่ค่อยมีอะไรหวือหวา ที่ขึ้นก็ขึ้นต่อไป ดูได้ง่ายๆ จากตารางรายงานด้านล่างก็พอจะเห็นว่ารายการในตารางเป็นสัญญาณซื้อเกือบทุกรายการ มีสัญญาณขายเพียงไม่กี่รายการเท่านั้น สะท้อนว่าตลาดทุนทั้งโลกเป็นขาขึ้นอยู่

ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้น 2.1% แม้ว่าตัวเลขทางเศรษฐกิจบางตัวจะออกมาไม่ค่อยดีนัก อย่างเช่นยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานซึ่งมีมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์เอาไว้ รวมทั้งดัชนีราคาบ้านในสัปดาห์ที่แล้วก็คงตัว ไม่ขยับขึ้น ทำให้หลายคนกเริ่มกังวลว่าเศรษฐกิจอเมริกาจะไปต่อไหวไหม แต่ตลาดหุ้นก็ขึ้นต่อได้เพราะตลาดหุ้นเชื่อว่ามาตรการ QE 3 จะทำให้หุ้นขึ้นต่อไปได้นั่นเอง

เช่นเดียวกับตลาดหุ้นในยุโรป แม้ว่าสัปดาห์ที่แล้วจะยังไม่มีข่าวดีอะไรใหม่ๆ แต่นักลงทุนคงถือคติว่าการไม่มีข่าวร้ายก็คือเป็นข่าวดีกระมัง ดังนั้นตลาดหุ้นในยุโรปจึงปรับตัวขึ้นต่อ ตอนนี้ตลาดหุ้นในยุโรปส่วนใหญ่เป็นแนวโน้มขาขึ้นแล้ว ตลาดหุ้นเยอรมนี ดัชนีแดกซ์ +1.4% ตลาดหุ้นกรีซ +11.4% ตลาดหุ้นออสเตรียและโปแลนด์บวกันไป +2.3% เท่าๆกัน เป็นต้น

ทางด้านตลาดหุ้นย่านเอเชียแปซิฟิก ส่วนใหญ่ก็เป็นแนวโน้มขาขึ้นแล้วเช่นกัน คงมีบางตลาด เช่น ตลาดหุ้นรัสเซีย ที่ยังดูไม่ค่อยดี ในสัปดาห์ที่แล้วตลาดหุ้นย่านเอเชียแปซิฟิกเสียงแตก มีทั้งปรับตัวขึ้นและปรับตัวลง ตลาดหุ้นญี่ปุ่นยังขึ้นแรงต่อไป +3.6% ตลาดหุ้นจีนสัปดาห์ที่แล้วก็แรง +2%

ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นเพียงเล็กน้อย +0.34% แต่ต่างชาติเริ่มซื้อสุทธิอย่างต่อเนื่องแล้ว ปริมาณการซื้อขายที่ไม่สูงนักในสัปดาห์ก่อนหน้า เริ่มมีมากขึ้น เหล่านี้เป็นสัญญาณว่าตลาดหุ้นยังไปต่อได้ รวมทั้งในช่วงต่อไปน่าจะขึ้นแรงหากต่างชาติเข้ามาไล่ซื้ออย่างจริงจัง

นอกจากนี้ ในภาคเศรษฐกิจจริง ตัวเลขทางเศรษฐกิจของไทยไตรมาสแรกไม่ค่อยดีนัก อัตราการเจริญเติบโตรวมทั้งยอดส่งออก ล้วนแต่ต่ำกว่าเป้าที่คาดเอาไว้ ดังนั้น ในสัปดาห์นี้ นักเศรษฐศาสตร์ รวมทั้งนักวิเคราะห์จากหลายโบรกเกอร์ ต่างก็มองว่าธนาคารแห่งประเทศไทยอาจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงหนึ่งสลึงถึงสองสลึง ซึ่งการลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ไม่ใช่เหตุผลจากเรื่องเงินบาทแข็งค่า แต่เป็นการลดเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และหากมีการลดอัตราดอกเบี้ยจริง ก็จะมีผลดีต่อตลาดหุ้น ทำให้ตลาดหุ้นเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้น บางโบรกเกอร์ก็เริ่มปรับเป้าดัชนี SET ณ สิ้นปีกันอีกแล้ว เช่น บางรายก็ให้ไว้ 1750 จุด

มาดูทางด้านตลาดตราสารหนี้กันบ้าง ตลาดตราสารหนี้ของสหรัฐอเมริกา เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับสูงขึ้นตลอดทั้งเส้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุคงเหลือ 10 ปี อยู่ที่ 1.95% สูงขึ้น +2.6% หมายความว่ามีแรงขายพันธบัตรออกมาในทุกช่วงอายุ ซึ่งสันนิษฐานได้ว่าเงินจากตราสารหนี้น่าจะไหลไปเข้าตลาดหุ้นนั่นเอง

ส่วนตลาดตราสารหนี้ของไทย สัปดาห์ที่แล้วเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Thai gov bond yield curve) ปรับตัวขึ้นตลอดทั้งเส้น พร้อมกับปริมาณซื้อขายที่ลดลง แสดงว่ามีเงินย้ายออกจากตลาดตราสารหนี้

ด้านตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ สินค้าเกษตรยังไม่มา ตอนนี้ยังบอกว่าเป็นขาขึ้นไม่ได้ คงเป็นตลาดไร้ทิศทางอยู่ ต้องรอดูไปอีก

ราคาน้ำมันดิบเป็นแนวโน้มขาขึ้นแล้ว ราคาคงปรับตัวขึ้นต่อไปได้อีก

ราคาทองคำ สัมพันธ์กับค่าเงินดอลลาร์ สรอ ตอนนี้เงินดอลลาร์ สรอ เป็นแนวโน้มแข็งค่า ดังนั้นราคาทองคำน่าจะปรับตัวลง

ทางด้านอัตราแลกเปลี่ยน สัปดาห์ที่แล้วค่าเงินไม่ค่อยผันผวนนัก เงินดอลลาร์ สรอ แข็งค่า เงินยูโรกับเงินเยนอ่อนค่า ส่วนเงินบาทก็อ่อนค่าลงนิดหน่อย ไม่ค่อยผันผวน

สำหรับสัปดาห์นี้ ตลาดหุ้นไทยยังเดินหน้าต่อไป ฝรั่งยังไม่เข้ามาซื้อเยอะๆเลย ตั้งแต่ต้นปีมีแต่ยอดขายสุทธิ ดังนั้นลุงแมวน้ำมองว่าตลาดยังไปต่อได้

ที่จริงตลาดหุ้นช่วงที่ผ่านมาขึ้นได้เพราะรายย่อยไทยทั้งนั้น ที่จริงแล้วรายย่อยนั่นแหละเป็นกลุ่มที่มีน้ำหนักต่อทิศทางตลาดมากที่สุด แต่การดูยอดซื้อสุทธิของต่างชาตินั้นช่วยสะท้อนภาพรวมของทิศทางตลาดโลกได้ส่วนหนึ่ง

ตลาดหุ้นอเมริกากับจีนดูดี น่าเข้าลงทุน ปีนี้สองตลาดนี้อาจแรงกว่าตลาดหุ้นไทย ส่วนของญี่ปุ่นนั้นไม่ต้องพูดถึง แรงอยู่แล้ว แต่ช่องทางการเข้าลงทุนมีน้อย ของอเมริกากับจีนหาช่องทางการเข้าลงทุนว่ายกว่ากันมาก

สัปดาห์นี้ วันพุธ จะมีการประชุมของเฟด ทุกคนรอดูว่าลุงเบนเครางามจะพูดถึงการเลิก QE3 หรือไม่ ตลาดอาจชะลอบ้างเพื่อรอฟังผลจากการประชุมนี้ แต่ลุงแมวน้ำว่า QE3 นี้เป็นยาเสพย์ติดไปแล้ว ถึงแม้ว่าอยากเลิกแต่ก็ใช่ว่าจะเลิกกันได้ง่ายๆ

ดัชนีตลาดหุ้นจีน น่าจะเข้าสู่คลื่น 3 แล้ว คราวนี้ไปได้อีกไกล


เงินดอลลาร์ สรอ แนวโน้มแข็งค่า ดัชนีดอลลาร์ สรอ ที่ระดับ 85.5 จุด คงได้เห็น และถ้าแรงมากอาจได้เห็น 87.5 จุด ซึ่งแปลว่าเงินยูโกับเงินเยนจะอ่อนค่าลงได้อีก รวมทั้งราคาทองคำก็ยังลงได้อีก ส่วนเงินบาทแนวโน้มของเงินบาทตอนนี้เป็นแนวโน้มอ่อนค่าอยู่ แต่ตอบยากว่าต่อไปจะอ่อนหรือจะแข็ง เพราะขึ้นอยู่กับเงินเยนด้วย หากมีเงินเยนไหลเข้ามามาก เงินบาทก็แข็งค่าได้แม้ว่าดอลลาร์อเมริกันจะแข็งค่า ก็เหมือนกับในช่วงที่ผ่านมานั่นเอง

ราคาน้ำมันดิบ WTI เป็นแนวโน้มขาขึ้นแล้ว แม้ว่าตอนนี้ภาพรวมของสินคาโภคภัณฑ์ทั้งกลุ่มยังดูไม่ค่ยน่าเข้าลงทุน แต่ว่าน้ำมันดิบนั้นเริ่มมาแล้ว โมเมนตัมด้านขาขึ้นเริ่มแรงขึ้น หากตัดทะลุกรอบสามเหลี่ยมชายธง (เส้นแดงด้านบน) ขึ้นไปได้ก็คงไปได้อีกไกล เตรียมจ่ายค่าน้ำมันแพงกันได้เลย


อัตราแลกเปลี่ยนสกุลสำคัญต่างๆและราคาทองคำในเชิงเปรียบเทียบ เมื่อเงินดอลลาร์ สรอ แข็ง เงินสกุลอื่นรวมทั้งทองคำก็อ่อนค่า โดยเฉพาะตอนนี้เงินดอลลาร์ออสเตรเลียกำลังอ่อนค่าอย่างรวดเร็ว


 photo s5021052013weeklyreportcopy.gif