อ่านบทความนี้อย่างใจเย็นนะครับ อย่าใจร้อน ค่อยๆอ่าน ดูสีเขียวให้ใจเย็นก่อน ^__^
ประมาณวันพฤหัส (14/02/2013) วันวาเลนไทน์พอดี ส่งกันแต่ดอกไม้สีแดง บอกแล้วให้ส่งดอกไม้สีเขียว เพราะสีแดงเป็นพิษต่อพอร์ตการลงทุน ^__^ เอ้อ ไม่ใช่ วันพฤหัสหรือวันศุกร์นี่แหละ ลุงแมวน้ำอ่านข่าวที่เผยแพร่ในวงกว้าง นั่นคือมีทั้งตีพิมพ์และออกเป็นข่าวออนไลน์ เรื่องที่จอร์จ โซรอส นักลงทุนผู้บริหารกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่เป็นต้นเหตุของวิกฤตต้มยำกุ้งของเรานั่นเอง เนื้อข่าวก็คือว่าโซรอสขายหน่วยลงทุนที่ลงทุนในกองทุนทองคำเอสพีดีอาร์ (SPDR gold trust) ซึ่งเป็นกองทุนทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยขายไปถึงประมาณครึ่งหนึ่ง ในไตรมาสสี่ แล้วก็มีข่าวเคียงอีกข่าวหนึ่งคือโซรอสคนนี้เพิ่งได้กำไรจากการเก็งกำไรค่าเงินเยนถึงราวๆพันล้านดอลลาร์ สรอ
เมื่อวันศุกร์ ตอนกลางคืน ราคาทองคำไหลลงอย่างรวดเร็ว มีหลุดจาก 1600 ดอลลาร์ สรอ ลงไปอีก อยู่ที่ประมาณ 1595 ดอลลาร์ สรอ จากนั้นก็รีบาวด์ไปปิดเหนือ 1600 ดอลลาร์ สรอ ได้ ลองมาดูกราฟราคาทองคำเมื่อวันศุกร์กัน
ลุงแมวน้ำก็คิดว่าเดี๋ยวคงมีคนแห่ขายทองคำกันจ้าละหวั่นแน่ เพราะอ่านข่าวแล้วชวนให้หวั่นไหว ว่าราคาทองคำน่าจะเดี้ยงแน่ เพราะอาจขายตามโซรอส แต่เมื่อก่อนหน้านี้ไม่นาน หนังสือพิมพ์ยังตีพิมพ์ข่าวว่านักวิเคราะห์ทองคำหลายคนมองว่าราคาทองคำจะไปถึง 1900 ดอลลาร์ สรอ บางรายก็มองไปถึง 2100 ดอลลาร์ โน่นเลย เอ๊ะ ยังไงกันแน่ ทำไมภายในช่วงเวลาไม่นาน สถานการณ์เปลี่ยนมากมายจากขาวเป็นดำขนาดนั้นเลยเชียวหรือ
วันนี้ลุงแมวน้ำจึงจะคุยเรื่องสถานการณ์ตลาดหุ้น ทองคำ และค่าเงินหรือว่าอัตราแลกเปลี่ยนอีกครั้งหนึ่ง ที่จริงเรื่องการวิเคราะห์สถานการณ์ก็ต้องหมั่นวิเคราะห์อยู่เสมอ เพราะโลกเปลี่ยนไปอยู่เรื่อย ประกอบกับสัปดาห์นี้ 18-23 กพ. อาจเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อได้ ลองมาดูกันนะคร้าบ
ก่อนอื่น ลุงแมวน้ำขอทำความเข้าใจก่อน ลุงแมวน้ำใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นหลัก แต่แนวทางการวิเคราะห์และตีความในเชิงเทคนิคของลุงแมวน้ำนั้นอาจแตกต่างจากผู้อื่นอยู่บ้าง เนื่องจากในทัศนะของลุงแมวน้ำนั้น รูปแบบทางเทคนิคไม่ใช่ของศักดิ์สิทธิ์ที่จะต้องเกิดเหมือนกับในอดีต อย่างเช่น เรื่องการนับคลื่นย่อย ถ้าเราดูกราฟดัชนีอะไรสักรูปหนึ่ง แล้วกราฟตอนนั้นอยู่ในคลื่นย่อย 3 ของคลื่นใหญ่ 5 นี่สมมตินะ ลุงแมวน้ำคงไม่บอกว่าดัชนีนี้ยังจบคลื่น 5 ไม่ได้เพราะว่าคลื่นย่อยยังไม่ครบ คือปกติก็น่าจะทำคลื่นย่อยให้ครบแล้วค่อยจบ แต่ก็ไม่ใช่สูตรตายตัว เพราะกรรมเป็นเครื่องสร้างรูปแบบทางเทคนิค ไม่ใช่รูปแบบทางเทคนิคมากำหนดกรรม ซึ่งประเด็นนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะผู้ที่มองว่ารูปแบบทางเทคนิคมากำหนดกรรมก็ย่อมวิเคราะห์ไปแบบหนึ่ง ส่วนผู้ที่มีทัศนคติว่ากรรมเป็นเครื่องกำหนดรูปแบบทางเทคนิคก็ย่อมมองอีกแบบหนึ่ง
กรรมกำหนดรูปแบบทางเทคนิคหมายความว่าการกระทำในปัจจุบันนี่เองที่เป็นผู้สร้างรูปแบบทางเทคนิคขึ้นมา ดังนั้นแม้รูปแบบในอดีตเป็นมาอย่างไรก็ตาม แต่การกระทำในปัจจุบันย่อมสร้างรูปแบบใหม่ได้ สมมติตัวอย่างให้เห็นได้ชัดก็คือ เดิมลุงแมวน้ำมองว่าตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาอยู่ในคลื่น B แต่พออเมริกามี QE ขึ้นมา ในที่สุดลุงแมวน้ำก็อาจต้องปรับมุมมองว่าคลื่นปัจจุบันนี้เป็นคลื่น 5 ไม่ใช่ B ดังนี้เป็นต้น
เอาละ ทำความเข้าใจให้ตรงกันไว้ก่อน ทีนี้เรามาคุยกันที่ราคาทองคำกัน แล้วเดี๋ยวจะวกไปคุยเรืองหุ้นกับเงินตรา
มาทบทวนกันก่อน ว่าปัจจัยอะไรที่ทำให้ราคาทองคำเป็นขาขึ้นบ้าง ในความเห็นของลุงแมวน้ำมีปัจจัยดังนี้
- เงินดอลลาร์ สรอ อ่อนค่า
- เงินเฟ้อ
- ราคาน้ำมันดิบเป็นขาขึ้น
- ตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น
ทีนี้เมื่อดอลลาร์ สรอ ด้อยค่า คือว่าอ่อนค่าลง ทองคำก็ขึ้น ในขณะเดียวกัน การที่ดอลลาร์ สรอ อ่อนค่า ก็ทำให้เศรษฐกิจอเมริกันเกิดภาวะเงินเฟ้อได้ และเมื่อค่าเงินอ่อน ก็ต้องซื้อน้ำมันดิบแพงขึ้น และตอนที่เงินด้อยค่า ประชาชนก็คิดว่านอนกินดอกเบี้ยพันธบัตรไม่ไหวแล้ว เพราะต้านเงินเฟ้อไม่ไหว ต้องหาทางทำให้เงินงอกเงยเร็วกว่าเดิมเพื่อสู้กับเงินเฟ้อ ก็นำเงินออกมาเก็งกำไรในตลาดหุ้นและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ดังนั้น ในภาวะการที่เงินดอลลาร์ สรอ ด้อยค่า เราจึงมักเห็นราคาทองคำ ราคาน้ำมันดิบ สินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ รวมทั้งตลาดหุ้นเป็นขาขึ้นไปในทิศทางเดียวกัน
แล้วปัจจัยอะไรที่ทำให้ราคาทองคำลดลงบ้าง
- เศรษฐกิจถดถอย
- ดอลลาร์ สรอ แข็งค่า
- เงินเฟ้อน้อยหรือติดลบ หรือภาวะเงินฝืด
- ราคาน้ำมันดิบเป็นขาลงใหญ่
- ตลาดหุ้นเป็นขาลงใหญ่
ในภาวะที่เงินหายาก ที่เรียกว่าภาวะเงินฝืด เช่นตอนที่เศรษฐกิจถดถอย ตอนนั้นเงินดอลลาร์ สรอ จะแพง พอดอลลาร์ สรอ มีค่ามากขึ้น อำนาจซื้อก็มากขึ้น เงินเฟ้อก็ไม่เกิด คืออาจเกิดน้อยหรือติดลบไปเลย ยิ่งกว่านั้น เมื่อดอลลาร์ สรอ มีค่ามากขึ้น ก็ซื้อน้ำมันดิบได้ในราคาถูกลง หรืออาจมองว่าในภาวะที่เงินฝืดเป็นช่วงเศรษฐกิจถดถอย ภาวะเช่นนั้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจน้อยลง น้ำมันดิบก็ราคาลงอยู่แล้วตามกลไกตลาด มองแบบนั้นก็ได้
และเมื่อเศรษฐกิจถดถอย ใครๆก็อยากถือเงินดอลลาร์ สรอ เพราะว่าเงินฝืด เงินหายาก เจ้าหนี้มาทวงหนี้จะเอาเงินที่ไหนมาใช้หนี้ล่ะ ดังนั้น ใครมีหุ้นก็ต้องขายหุ้น ใครมีทองคำก็ต้องขายทองคำ เพราะต้องการแลกเป็นเงินสดมาใช้หนี้หรือเพื่อซื้อของอื่นๆ
สัปดาห์นี้อาจเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ
ทำไมลุงแมวน้ำจึงมองว่าสัปดาห์นี้อาจเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่ตลาดหลายๆตลาดอาจกลับทิศได้ เราลองมาดูกราฟทางเทคนิคกัน มาดูที่ค่าเงินดอลลาร์ สรอ กันก่อน
ดัชนี ดอลลาร์ สรอ (USD index) กำลังติดแนวชายธงด้านบน ช่วงนี้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นมา |
ค่าเงินดอลลาร์ สรอ จากนี้จะไปทางใด เมื่อกลางปี 2013 ในช่วงที่สหรัฐอเมริกาอยู่ภายใต้มาตรการอัดฉีด QE 2 ค่าเงินดอลลาร์ สรอ อ่อนค่าลง แต่เมื่อหลังจากที่ออก QE 3 แล้ว ค่าเงินดอลลาร์ สรอ แทนที่จะอ่อนต่อเนื่อง กลับแกว่งขึ้นลงในกรอบ จนก่อตัวเป็นรูปแบบสามเหลี่ยมชายธง อาจอธิบายได้ว่าในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ชาติใหญ่ ทั้งญี่ปุ่น ยุโรป อังกฤษ ต่างก็อัดฉีดเงินตราเข้าระบบเศรษฐกิจของตนเช่นกัน เรื่องค่าเงินเป็นเรื่องเปรียบเทียบกัน สงครามค่าเงินทำให้อัตราแลกเปลี่ยนผันผวน ยูโรแนวโน้มกลับแข็งค่า เงินเยนแนวโน้มอ่อนค่า เมื่อเงินตราสกุลหลักมีทั้งอ่อนและแข็ง ดอลลาร์ สรอ จึงอ่อนค่าไม่มากนัก แต่แกว่งในกรอบ
แต่อย่างไรก็ตาม ในทางเทคนิค หากดอลลาร์ สรอ ทะลุชายธงขึ้นไปด้านบนได้ ดอลลาร์ สรอ อาจเป็นขาขึ้นที่กินเวลายาวนอนพอควรได้
ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา กำลังจะทดสอบยอดคลื่นเดิม คือ 14,300 จุด เหลืออีกเพียงประมาณ 300 จุดเท่านั้น |
ราคาน้ำมันดิบเบรนต์ ผ่านแนวต้าน 116.7 ดอลลาร์ สรอ/บาเรล มาได้แล้ว แนวโน้มเป็นขาขึ้น |
ทีนี้เรามาดูกันอีกสองตลาด คือตลาดหุ้น กับน้ำมันดิบ
ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJI) กำลังทดสอบจุดสูงสุดตลอดกาลเดิมที่เคยทำไว้ก่อนวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ หากผ่านไปได้ แปลว่าเราอยู่ในคลื่น 5 ตลาดหุ้นอาจไปต่อได้อีก แต่หากผ่านไม่ได้ แสดงว่าเราอยู่ในคลื่น B และกำลังเข้าสู่คลื่น C
ส่วนราคาน้ำมันดิบน้ำคงตามตลาดหุ้น หากตลาดหุ้นวาย ราคาน้ำมันดิบก็วายไปด้วย แต่หากตลาดหุ้นขึ้นต่อได้ ราคาน้ำมันดิบก็เก็งกำไรกันต่อ อาจไปเกินกว่ายอดคลื่นเดิมที่ 147 ดอลลาร์ สรอ/บาเรลก็เป็นได้ และเมื่อราคาน้ำมันดิบขึ้น นั่นก็หมายถึงอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้น
สรุปความเห็นของลุงแมวน้ำก็คือ ให้ดูตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาในสัปดาห์นี้ต่อเนื่องถึงสัปดาห์หน้า น่าจะพอเห็นอะไรได้ เพราะเหลืออีกประมาณ 300 จุดก็จะทดสอบยอดคลื่นเดิมแล้ว ลุงแมวน้ำวาดภาพไว้สองภาพ ดังนี้
ภาพแรก หากดัชนี DJI ผ่านยอดคลื่นเดิมไปได้ โอกาสไปต่อมีสูง นั่นหมายถึงการเก็งกำไรในตลาดหุ้นจะรุนแรง ต่อไปจะเก็งกำไรในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ด้วย ทั้งราคาน้ำมันดิบ ทองคำ สินค้าเกษตรจะขึ้นตาม ส่วนเงินดอลลาร์ สรอ จะอ่อนค่าลง แต่จะอ่อนมากหรืออ่อนน้อยต้องดูเงินตราสกุลอื่นประกอบด้วย คงตอบตอนนี้ได้ยาก
ภาพที่สอง หากดัชนี DJI ไม่ผ่านยอดคลื่นเดิม และมีการกลับทิศเป็นขาลง นั่นหมายความว่าตลาดทุกตลาดวายหมด เรื่องนี้มีโอกาสเป็นไปได้ เพราะว่าทุกวันนี้การแก้ปัญหาเศรษฐกิจของ สรอ และยุโรป ยังไม่เห็นอะไรเป็นรูปธรรม คงมีแต่กำลังใจและกำลังเงินที่ดันตลาดหุ้นเท่านั้น เปรียบเหมือนกับ โลกตะวันตกเกิดฝี ฝียังไม่ยุบ แต่กำลังใจมาโข ก็ดูเหมือนกับว่าน่าจะหายได้ แต่หากในความเป็นจริงเกิดฝีแตกขึ้นมาเมื่อไรก็ยังเป็นเรื่องได้อีก ดังนั้น โลกตะวันตกหากเกิดอุบัติเหตุทางเศรษฐกิจอะไรขึ้นมาอีก ก็อาจกลับทิศตลาดได้ทุกตลาด รวมทั้งส้งผลต่อตลาดหุ้นเอเชียด้วย
ในภาพที่สองนี้ คือเมื่อวิกฤติเศรษฐกิจประทุอีก โลกจะเข้าสู่คลื่น C เมื่อถึงตอนนั้น ค่าเงินดอลลาร์ สรอ จะแข็งค่า เพราะถึง สรอ พิมพ์เงินออกมาอย่างไร คนอื่นก็พิมพ์เช่นกัน เมื่อพิมพ์เงินต่อพิมพ์เงิน ตัวเลือกมีเท่านี้ ดอลลาร์ สรอ ก็ยังน่าเชื่อถือกว่าสกุลอื่น ดอลลาร์ สรอ จึงแข็งค่าได้ ตลาดหุ้นร่วง ทองคำกับน้ำมันดิบและสินค้าโภคภัณฑ์จะร่วงตามเพราะนักลงทุนต้องการเงินสด จะเอาไปใช้หนี้หรือจะถือเอาไว้อุ่นใจก็ตามที ในภาวะเช่นนี้ไม่มีใครกอดสินทรัพย์เสี่ยงรวมทั้งทองคำ ต่างพากันแห่ถือเงินสด
ต่อไปข้างหน้าจะเป็นภาพใด ภาพแรกหรือภาพที่สอง
คำถามต่อมาก็คือ แล้วข้างหน้าจะเป็นภาพใด ลุงแมวน้ำก็ตอบว่าไม่รู้เหมือนกัน แต่จากการประเมินหลายๆด้านประกอบกัน ลุงแมวน้ำยังให้น้ำหนักภาพแรกว่าเป็นไปได้มากกว่าในช่วงนี้ แต่... แต่... และแต่... อะไรก็เกิดขึ้นได้ อย่ามองโลกในแง่ดีเกินไป รวมทั้งอย่ามองด้านเดียว การลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ เราต้องเผื่อทางถอยให้แก่ตนเองด้วย
ในความเห็นของลุงแมวน้ำก็ดูไปเป็นขั้นๆ ผ่านไปได้ขั้นหนึ่ง ก็ดูขั้นถัดไป ดังนี้
- ดู DJI ผ่าน 14,300 จุดได้ไหม ผ่านได้ก็ตามไปเรื่อยๆ ผ่านไม่ได้ก็เตรียมตัวเอาไว้ว่าทุกตลาดอาจวายพร้อมกันหมด กำหนดจุดหยุดยั้งความเสียหาย (stop loss price) หรือจุดขายของทุกสินทรัพย์ต่างๆเอาไว้เลย
- ดู USD index ผ่าน 81.30 ได้ไหม หากผ่านได้พร้อมกับ DJI ร่วง ก็เตรียมตัว
ลุงแมวน้ำก็ว่าดูตัวชี้วัดสำคัญสองตัวนี้แหละ
แล้วตลาดหุ้นไทยจะกระทบไหม? ถามได้ ก็โดนด้วยอยู่แล้ว
แล้วจะเอายังไงกับทองคำดี?
หากว่ากันเฉพาะราคาทองคำ คือไม่ว่าภาพเหตุการณ์จะเป็นไปในภาพที่หนึ่งหรือภาพที่สองก็ตาม แต่สินทรัพย์เสี่ยงแต่ละตัวของเราต้องมีจุดหยุดยั้งความเสียหายเสมอ ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นภาพหนึ่ง (คือตลาดขึ้น) หรือภาพสอง (คือตลาดวาย) ก็ตาม ราคาทองคำต้องมีจุด stop loss price ของตนเอง ซึ่งเราเองนั่นแหละเป็นผู้กำหนด แต่ต้องกำหนดอย่างมีหลักวิชา ไม่ใช่กำหนดตามอารมณ์
ลองดูภาพต่อไปนี้
กราฟราคาทองคำ ระยะกลางกำลังอยู่ในช่องขาลง (กรอบสีแดง) ระยะยาวอยู่ในปลายล่างของสามเหลี่ยมชายธง |
หากตอนนี้ยังถือครองทำองคำอยู่ จุดตัดสินใจน่าจะมีสองจุด แล้วแต่นโยบายการถือทองคำ หากเล่นเก็งกำไร คือถือไม่นาน หรือสายป่านสั้น ก็น่าจะดูที่ 1590 ดอลลาร์ สรอ ซึ่งหากหลุดจากราคานี้ก็คือหลุดจากปลายชายธงไปแล้ว ใช้ราคานี้เป็นจุดหยุดความเสียหายก็ได้
กับอีกตำแหน่งหนึ่ง สำหรับผู้ที่มีนโยบายถือยาว หรือซื้อขายไม่คล่องตัว เช่น ทองคำแท่ง กองทุนทองคำบางกองทุน หรือกลัวว่าราคาที่ 1590 เป็นราคา slippage คือหลุดแบบเผลอไผล ไม่ได้หลุดถาวร ก็อาจรอดูจน 1536 ดอลลาร์ สรอ ซึ่งเป็นแนวรับใหญ่ เพื่อให้แน่ใจว่าหลุดชายธงสู่แนวโน้มขาลงแล้วจริงๆก็ได้ แต่ก็ต้องพร้อมรับความเสียหายที่เพิ่มขึ้น
เรื่องข่าว อย่าให้น้ำหนักกับข่าวประเภทนี้ ข่าวเหล่านี้อาจทำให้เขวมากกว่า เรื่องของเรื่องคือโซรอสทำไปแล้วค่อยเป็นข่าว ขายทองไปแล้วค่อยมีข่าว ตอนนี้อาจกำลังซื้อทองกลับอยู่ก็ได้ ใครจะรู้ ดังนั้นไม่ควรยินดียินร้าย ดีใจ เสียใจ กับข่าว ใช้หลักวิชาการดีกว่า ไม่ว่าปัจจัยพื้นฐานหรือปัจจัยทางเทคนิคก็ได้
หากขายไปแล้วเกิดมันเด้งขึ้นมา ไม่ต้องตาม ขายแล้วขายเลย ตั้งหลักกันใหม่ก่อน มีเวลาคิดอีกเยอะ ลุงแมวน้ำย้ำว่าหากขายแล้วเด้งต้องเลยตามเลย ไม่ต้องตาม
บทความชิ้นนี้อาจยาวและยากสักนิด แต่อยากให้อ่านจนจบ ที่จริงอยากเขียนยาวกว่านี้แต่เมื่อยครีบจัง
อ่านใจเย็นๆนะคร้าบ ใจเย็น ค่อยๆไล่เรียงสถานการณ์ เหตุผล และกำหนดกลยุทธ์ ใจเย็นแล้วคิดออก หากใจร้อน ใจแกว่ง อาจตัดสินใจผิดพลาดได้คร้าบ ^__^