Thursday, August 25, 2011
23/08/2011
วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,057.28 จุด ลดลง 10.56 จุด ต่างชาติขายสุทธิอีก
หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 23 ตัว
กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณขาย KBANK
ตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดย่านเอเชียส่วนใหญ่ปิดเขียว นำโดยไต้หวันและเกาหลีใต้ ตลาดหุ้นไทยวันนี้ไม่ตามเพื่อนบ้าน ตลาดฝั่งยุโรปต้นตลาดปรับตัวขึ้นแรงแต่ท้ายตลาดก็อ่อนตัว กลายเป็นปิดแดงเป็นส่วนใหญ่ แต่ดัชนี DAX ของเยอรมนีปิดเขียวได้ +1% ด้านตลาดฝั่งทวีปอเมริกาส่วนใหญ่ปิดเขียว ดัชนีดาวโจนส์รีบาวด์ ปิดบวกได้ถึง +3%
ทองคำปรับตัวลงแรงหลังจากที่ไปทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 1917.9 ดอลลาร?/ทรอยออนซ์ วันนี้ปรับลดลง 1.6%
Wednesday, August 24, 2011
22/08/2011 * การลงทุนในคลื่นเศรษฐกิจ C (3)
วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,067.84 จุด ลดลง 1.36 จุด ต่างชาติขายสุทธิอีก
หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซิ้อ TCAP และขาย TTW ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 23 ตัว
กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย
ตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดย่านเอเชียส่วนใหญ่ปิดแดง ยุโรปและอเมริกาส่วนใหญ่ปิดเขียว ความเคลื่อนไหวของดัชนีในยุโรปและสหรัฐอเมริกาในวันนี้คล้ายๆกัน นั่นคือ เปิดตลาดปรับตัวขึ้นแรง DAX ของเยอรมนีปรับตัวขึ้นไปประมาณ 1.5% ในช่วงต้นตลาด แต่เมื่อปิดตลาดแล้วดัชนีแทบไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อน ดัชนีดาวโจนส์ก็เช่นกัน ตอนต้นตลาดบวกไปเกือบ 200 จุด สุดท้ายก็ปิดที่ +37 จุด
สังเกตค่า vi (volatility index) ในตารางของลุงแมวน้ำ จะเห็นว่าค่า vi ของดัชนี ฟิวเจอร์ส และหุ้นต่างๆ ปรับตัวสูงขึ้น แสดงให้เห็นว่าตลาดโดยรวมมีความผันผวนมากขึ้น
การลงทุนในคลื่นเศรษฐกิจ C (3)
ตามที่ลุงแมวน้ำได้กล่าวในตอนที่แล้วว่ามีปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจหลายประการที่สนับสนุนสมมติฐานที่ว่าขณะนี้สหรัฐอเมริกาและยุโรปกำลังอยู่ในคลื่นเศรษฐกิจ C อีกทั้งยังเป็นในระดับคลื่นใหญ่อีกด้วย ที่จริงแล้วยังมีสัญญาณอีกหลายประการที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและยุโรปอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกครั้งหนึ่ง เช่น จีดีพี อัตราการว่างงาน ดัชนีการผลิต ดัชนีการบริโภค อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ลดลง ฯลฯ แต่ทั้งหมดนี้ลุงแมวน้ำใช้เพื่อเป็นเหตุผลสนับสนุนเท่านั้น เหตุผลหลักของลุงแมวน้ำยังคงเป็นมุมมองเชิงปัจจัยทางเทคนิค
หากเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและยุโรปเข้าสู่คลื่นเศรษฐกิจ C นักลงทุนควรรับมืออย่างไร
ก่อนจะอ่านแนวคิดของลุงแมวน้ำต่อไปนี้ อยากขอทำความเข้าใจก่อนว่าความเห็นของลุงแมวน้ำนี้มีสมมติฐานมาจาก
- สภาพเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและยุโรปมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของเอเชียและของไทย
- ดัชนีตลาดหุ้นของสหรัฐอเมริกามีผลกระทบต่อดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลก รวมทั้งเอเชีย และไทยด้วย
- ความคิดเห็นนี้เป็นความคิดเห็นของผู้ที่ลงทุนด้วยปัจจัยทางเทคนิคและเป็นแบบตามแนวโน้ม
หากถามว่าคลื่นเศรษฐกิจ C นี้จะตกต่ำถึงเพียงใด วิธีประเมินของลุงแมวน้ำคือใช้ดัชนีดาวโจนส์ (DJI) เป็นหลัก ลุงแมวน้ำประเมินว่าดัชนีดาวโจนส์อาจลงไปได้ถึง 5,000 ถึง 5,500 จุด
และถ้าดาวโจนส์ลงไปขนาดนั้น ดัชนี SET ของไทยจะลงไปได้มากน้อยเพียงใด คำถามนี้ตอบได้ยากเนื่องจากกราฟของ SETI เป็นรูปแบบที่ไม่ปกตินัก จึงทำให้นับคลื่นได้ยาก หากดาวโจนส์เป็นคลื่น C แล้ว SETI จะเป็นคลื่นอะไรก็ยังตอบได้ยาก เพราะเมื่อนับคลื่นได้ยากก็ประเมินได้ยาก คงให้กรอบเพียงกว้างๆได้ว่า หากกรณีไม่เลวร้าย ตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบไม่มากนัก SETI อาจลงไปถึงประมาณ 900 จุด หากเป็นกรณีที่ได้รับผลกระทบมาก SETI อาจลงไปได้ถึงประมาณ 600 จุด
หลักการลงทุนในคลื่นเศรษฐกิจ C ตามแนวคิดการลงทุนด้วยปัจจัยทางเทคนิคแบบตามแนวโน้มนั้นมีหลักสำคัญอยู่ข้อเดียว คือ เมื่อเป็นแนวโน้มขาลง โดยเฉพาะแนวโน้มใหญ่ ก็ต้องถอนตัวออกมาจากการลงทุนในทรัพย์สินเสี่ยงต่างๆและอยู่เฉยๆ ทรัพย์สินเสี่ยงในที่นี้ก็ได้แก่ หุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ รวมทั้งกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ และพักเงินในกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้นหรือที่เรียกกันว่ากองทุนรวมตลาดเงินไปพลางๆก่อน ผู้ที่ลงทุนในกองทุนรวม LTF ก็อาจพิจารณาสับเปลี่ยนไปลงทุนในกองทุน LTF ที่มีส่วนผสมของอนุพันธ์เพื่อลดผลการขาดทุนจากราคาหุ้นตก
ทองคำ ในทางเทคนิคอยู่ในคลื่น 5 ใหญ่ คลื่นนี้จะจบเมื่อไรไม่มีใครบอกได้ ดังนั้นมีความเสี่ยงสูง
สินค้าเกษตร สินค้าโภคภัณฑ์ในกลุ่มสินค้าเกษตรอาจเป็นข้อยกเว้นที่ไม่เป็นขาลงใหญ่ตามคลื่นเศรษฐกิจ C ของตลาดหุ้น ทั้งนี้ เนื่องจากสินค้าเกษตรที่เป็นอาหารการกินนั้นอาจมีปัจจัยด้านภูมิอากาศแปรปรวนหรือภัยธรรมชาติ ทำให้ผลผลิตตกต่ำ ราคาจึงไม่ปรับตัวลง อันเป็นไปตามหลักอุปสงค์อุปทาน เมื่ออุปสงค์มีน้อย ราคาก็ไม่ลง ต้องติดตามดูรูปแบบราคาต่อไปก่อน ผู้ที่ลงทุนในสินค้าเกษตรอยู่แล้วอาจยังไม่ต้องทำอะไร เพียงรอดูไปก่อน เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณขาย เมื่อมีสัญญาณขายแล้วจึงค่อยประเมินสถานการณ์อีกครั้งหนึ่ง
ในภาวะตลาดแนวโน้มขาลง การอยู่เฉยๆเป็นการลงทุนที่ดีที่สุด สัญญาณซื้อที่เกิดขึ้นในคลื่นขาลงก็มักเป็นสัญญาณหลอก (false signal) อยู่เฉยๆไม่เสียเงิน เมื่อไม่เสียเงินก็เท่ากับเราสามารถรักษาทุนไว้ได้ รอจนตลาดจบคลื่น C ใหญ่เข้าคลื่น 1 ใหญ่แล้วจึงค่อยเข้าลงทุนอีกครั้งหนึ่ง ทุนนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในการลงทุน นักลงทุนรายย่อยส่วนมากมักไม่ค่อยอยู่เฉย ต้องหาเรื่องเทรดไปเรื่อยๆ ในยามตลาดขาลงทุนการเทรดมีแต่ขาดทุน แม้บางครั้งได้กำไรแต่รวมกันหลายๆแล้วก็ขาดทุนในที่สุด เมื่อยามที่ตลาดจบคลื่น C ไปแล้ว อะไรก็ราคาถูกไปหมด เมื่อถึงตอนนั้นนักลงทุนมักไม่เหลืองเงินสดเพราะขาดทุนหนักหรือติดหุ้นจนเงินสดหมด หรือไม่ก็หมดทุนจนต้องออกจากตลาดไป ทำให้เสียโอกาสในการลงทุนไป ทั้งๆที่การลงทุนหลังคลื่น C จบเป็นควรเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีในวันข้างหน้าเนื่องจากหุ้นในช่วงนั้นจะมีราคาลดลงมามาก ดังนั้นในหลักการแล้วต้องพยายามรักษาทุนเอาไว้ให้ได้จนจบคลื่น C ใหญ่ และดังที่กล่าวไปแล้วว่า SETI นับคลื่นยากเพราะรูปแบบไม่ค่อยปกติ ดังนั้นการดูจังหวะลงทุนให้ดูดัชนีดาวโจนส์เป็นหลักก็ได้ เมื่อใดที่ DJI จบคลื่น C ใหญ่ไปแล้วช่วงนั้นก็พิจารณาเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทย หากไม่มีปัจจัยภายในด้านลบอื่นใดที่มากระทบตลาดหุ้นไทยอย่างมีนัยสำคัญก็ถือว่าน่าจะเป็นจังหวะที่เข้าลงทุนได้
การลงทุนในตลาดขาลง เช่น การชอร์ตฟิวเจอร์ส (ถือ short position) หากเป็นนักลงทุนรายย่อยทั่วไปก็ควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากปกตินักลงทุนทั่วไปถนัดด้านซื้อแล้วขาย (ถือ long position เหมือนกับการเทรดหุ้น) และมักมองจังหวะด้านชอร์ตไม่ค่อยถูกอันเนื่องจากความไม่คุ้นเคย อีกประการหนึ่ง การเทรดด้านชอร์ตนั้นโอกาสได้กำไรมีเพียงร้อยละ 32 (หมายถึงซื้อขาย 100 ครั้งจะได้กำไร 32 ครั้ง) หรือเรียกว่า win rate = 32% เปรียบเทียบการการเทรดด้านลองซึ่งมีโอกาสได้กำไรประมาณร้อยละ 40 (win rate = 40%) จะเห็นว่าการเทรดด้านลองมีความเสี่ยงต่ำกว่า
สำหรับผู้ที่ถอยออกมาแล้ว ในขั้นต้นควรพักเงินในกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้นในประเทศไว้ก่อน เมื่อตั้งหลักได้แล้วจึงพิจารณาทางเลือกอื่นอีกทีหนึ่ง ในขณะนี้เงินดอลลาร์กำลังอยู่ในภาวะไร้ทิศทาง ยังไม่พ้นระยะหัวเลี้ยวหัวต่อ ดังนั้นจึงยังไม่อาจรู้ได้ว่าค่าเงินดอลลาร์จะมีแนวโน้มไปในทางใด แม้ลุงแมวน้ำประเมินว่าโอกาสเป็นแนวโน้มขาขึ้นมีมากกว่าแต่ก็ต้องรอให้สภาพความเป็นจริงมาพิสูจน์ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงกองทุนรวมตราสารหนี้ต่างประเทศเอาไว้ก่อนเนื่องจากปัจจุบันอัตราแลกเปลี่ยนผันผวนมาก ผลตอบแทนจากตราสารหนี้ต่างประเทศมักไม่คุ้มกับผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่อาจเกิดขึ้น
ความเห็นของลุงแมวน้ำนี้ถือหลักการตามแนวโน้มตลาด หากเป็นนักลงทุนที่ใช้หลักการอื่นอาจนำไปปรับใช้ไม่ได้เพราะแนวคิดต่างกัน เช่น แนวคิดสำนักปัจจัยพื้นฐานก็จะมีวิธีมองสถานการณ์และเข้าลงทุนอีกแบบหนึ่ง หรือแนวคิดแบบ DCA (dollar cost averaging หรือบางทีก็เรียก BCA) ก็มีแนวคิดอีกแบบหนึ่งที่แนวโน้มขาลงก็ยังต้องลงทุนต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ดังนั้นการนำความคิดเห็นนี้ไปใช้หรือนำไปต่อยอดควรพิจารณาด้วยความระมัดระวัง
Subscribe to:
Posts (Atom)