วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1076.33 จุด ลดลง 6.36 จุด
หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 43 ตัว
กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณซื้อกาแฟ (KC) ขณะเดียวกันก็มีสัญญาณขายฝ้าย (CT)
ด้านตลาดต่างประเทศ ตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ปิดแดง นำร่วงโดยเปรู อียิปต์ กรีซ
Monday, April 18, 2011
Monday, April 11, 2011
08/04/2011 * จับหุ้น ลุ้นน้ำมัน ดันทอง
วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1082.69 จุด ลดลง 6.52 จุด
หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 43 ตัว
กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณซื้อทองแดง (HG) ขณะเดียวกันก็มีสัญญาณขายก๊าซธรรมชาติ (NG)
ทองแดงนั้นเป็นโลหะอุตสาหกรรม แตกต่างจากทองคำที่ถือเป็นโลหะมีค่า หลังจากที่เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวจากวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ราคาโลหะอุตสาหกรรมก็ค่อยๆปรับตัวสูงขึ้นมาโดยตลอด ราคาโลหะอุตสาหกรรมปรับตัวขึ้นมาไม่ได้น้อยหน้าทองคำและเงินที่เป็นโลหะมีค่าเลย คนในวงการที่เกี่ยวข้องกับโลหะอุตสาหกรรมทราบกันดี ส่วนก๊าซธรรมชาตินั้นแม้มีสัญญาณขายแต่ก็เป็นแนวโน้มในระยะสั้นเท่านั้น ในระยะกลางและยาวน่าจะอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น
ด้านตลาดต่างประเทศ ตลาดหุ้นในทวีปอเมริกาปิดคละกันทั้งเขียวและแดง ส่วนยุโรปและเอเชียส่วนใหญ่ปิดเขียว
จับหุ้น ลุ้นน้ำมัน ดันทอง
วันนี้ลุงแมวน้ำพาดหัวบทความประจำวันให้ดูตื่นเต้นหน่อยเพื่อความมีสีสัน เรื่องของเรื่องก็คือลุงแมวน้ำอยากพูดถึงแนวโน้มราคาทองคำ (GC) และน้ำมัน (CL) พร้อมกับไขข้อสงสัยว่าราคาน้ำมันดิบ ราคาหุ้นพลังงาน ราคาทองคำ และค่าเงินดอลลาร์ มีความสัมพันธ์กันหรือไม่
มาดูราคาทองคำกันก่อน ดังภาพต่อไปนี้
ทองคำ (GC) ขณะนี้อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ลุงแมวน้ำคาดว่าอยู่ในคลื่น 5 ใหญ่ (สีน้ำเงิน) ซึ่งดำเนินมาไกลแล้ว พร้อมที่จะจบคลื่นได้ทุกเมื่อ แต่ถึงลุงแมวน้ำนับคลื่นผิด หากไม่ใช่คลื่น 5 ก็น่าจะเป็นคลื่น 3 ซึ่งหลังจากคลื่น 5 ก็เป็นคลื่น A หรือหลังจากคลื่น 3 ก็เป็นคลื่น 4 ซึ่งล้วนแต่เป็นคลื่นขาลง ดังนั้นแม้ว่าราคาทองคำอยู่ใมคลื่นขาขึ้นแต่ก็มีความเสี่ยงค่อนข้างสูงเนื่องจากไม่ใช่ต้นคลื่นแล้ว การจะประเมินว่าจะจบคลื่นเมื่อใดตนั้นตอบได้ยากเพราะไม่มีใครรู้อนาคตที่แม้จริง คงได้แต่คาดการณ์เท่านั้น ซึ่งหากประเมินด้วยเครื่องมือ fibonacci ก็คงต้องตามดูกันไปทีละขั้นตามระดับของค่า fibonacci ขั้นถัดไปนี้รอดูที่ประมาณ 1,500 ดอลลาร์/ออนซ์็ ว่าจะจบคลื่นใหญ่ที่แถวๆนี้หรือไม่ หากประเมินด้วยเครื่องมืออื่นก็ว่ากันไปตามหลักของการใช้เครื่องมือทางเทคนิคนั้นๆ
มาดูราคาน้ำมันดิบกันบ้าง ดังภาพต่อไปนี้
จากภาพ ราคาน้ำมันดิบก็อยู่ในทิศทางขาขึ้นเช่นเดียวกัน หากมองในระดับคลื่นใหญ่ หากไม่ใช่คลื่น 5 (สี้น้ำเงิน) ก็คงอยู่ในคลื่น A (สีน้ำเงิน)
การประเมินว่าราคาน้ำมันจะไปถึงเท่าใดนั้น หากใช้เครื่องมือทางเทคนิค เช่น fibonacci และการนับคลื่นเข้ามาช่วย หากขณนะนี้ราคาน้ำมันอยู่ในคลื่น 5 ราคาน้ำมันดิบก็น่าจะไปได้ไกลอย่างน้อยถึงประมาณ 150 ดอลลาร์/บาเรล หากผ่านราคานี้ไปได้ ระดับราคาเป้าหมายถัดไปก็อาจเป็นที่ 215 ดอลลาร์/บาเรล (ที่ระดับ fibonacci 161.8% นั่นเอง)
แม้ว่าลุงแมวน้ำจะลงทุนด้วยปัจจัยทางเทคนิคเป็นหลัก แต่ปัจจัยทางเทคนิคกกับปัจจัยพื้นฐานนั้นแยกกันไม่ขาด พวกปัจจัยพื้นฐานบางครั้งก็อาศัยปัจจัยทางเทคนิคในการกำหนดจุดซื้อจุดขาย ส่วนพวกปัจจัยทางเทคนิคบางครั้งก็ต้องใช้ปัจจัยพื้นฐานประกอบ เช่น ใช้ในการประเมินแนวโน้มในระยะยาว ดังนั้นลุงแมวน้ำเองบางครั้งก็นำปัจจัยพื้นฐานมาพิจารณาด้วยเหมือนกัน
เนื่องจากค่าของทองคำนั้นเป็นการสมมติขึ้นมาเพื่อการอ้างอิงของระบบเงินตรา ดังนั้นตัวทองคำเองจึงไม่มีปัจจัยพื้นฐาน ต่างจากน้ำมันดิบซึ่งมีปัจจัยพื้นฐานเพราะเป็นสินค้าอุปโภคที่เราจำเป็นต้องใช้
หากพิจารณาในแง่ปัจจัยพื้นฐาน ลุงแมวน้ำมองว่าน้ำมันดิบคงมีราคาสูงขึ้นไปเรื่อยๆในระยะยาว ทั้งนี้ เนื่องจากกรณีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมา ไดอิจิ (Fukushima Daiji nuclear power plant) ในประเทศญี่ปุ่นที่เกิดปัญหาขึ้นมาตามหลังภัยพิบัติแผ่นดินไหวและสึนามิ ทำให้มีสารกันมันตภาพรังสีรั่วกระจายออกมาในสภาพแวดล้อม กรณีนี้ทำให้เกิดกระแสต่อต้านโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขึ้นมาทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ในประเทศญี่ปุ่นเอง
ท่ามกลางความหวาดกลัวโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ โครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เกือบทั้งโลกคงถูกระงับหรือชะลอออกไปก่อน และความต้องการใช้ไฟฟ้าเพื่อป้อนอุตสาหกรรมและธุรกิจอันหมายถึงการขยายตัวของจีดีพียังต้องดำเนินต่อไป ดังนั้นจึงแทบไม่มีทางเลือกอื่นเลยที่โลกทุนนิยมจะต้องเดินหน้าต่อไปก่อนด้วยพลังงานหลักอื่นๆที่ไม่ใช่นิวเคลียร์ ซึ่งนั่นก็คือพลังงานจากถ่านหิน น้ำมันดิบ และก๊าซธรรมชาติ ส่วนพลังงานทางเลือกอื่นนั้นยังเป็นแหล่งพลังงานหลักไม่ได้ เป็นได้แค่แหล่งพลังงานสมทบเท่านั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ ลุงแมวน้ำมองว่าการใช้ถ่านหิน น้ำมันดิบ และก๊าซธรรมชาติจะเพิ่มมากขึ้นภายในระยะหลายปีต่อไปข้างหน้านี้ จนกว่ากระแสความกลัวนิวคลียร์จะบรรเทาเบาบางลงไป ซึ่งหมายถึงว่าราคาของพลังงานเหล่านี้คงปรับตัวสูงขึ้นไปเรื่อยๆ นี่ยังไม่มองปัจจัยด้านความไม่สงบของโลกอาหรับเอง นอกจากนี้ ราคาสินค้าเกษตรที่เกี่ยวกับน้ำมัน (เช่น ปาล์ม) แป้ง (เช่น ข้าวโพด) และน้ำตาล (เช่น อ้อย) ก็น่าจะมีราคาสูงขึ้นไปเรื่อยๆเนื่องจากพืชเหล่านี้สามารถนำมาผลิตเป็นไบโอดีเซลหรือแอลกอฮอล์อันใช้เป็นแหล่งพลังงานทดแทนได้
ในช่วงที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นเช่นนี้ หลายคนอาจสงสัยว่าหากน้ำมันดิบขึ้นราคาแล้ว หากไม่ลงทุนในน้ำมันโดยตรงแต่ลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวกับน้ำมันจะได้ผลดีหรือไม่ ลองมาดูภาพต่อไปนี้กัน
ภาพบนนี้เป็นราคาน้ำมันดิบ ทองคำ อีทีเอฟสินค้าเกษตร (DBA) และราคาหุ้น PTTEP นำมาพลอตกราฟเทียบกัน แต่ดูแล้วก็คงประเมินให้เป็นรูปธรรมได้ยากว่าราคาตามกันมากน้อยเพียงใด ลุงแมวน้ำจึงใช้การคำนวณหาสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพื่อดูระดับความสัมพันธ์ของราคาทองคำ น้ำมันดิบ ค่าเงิน และหุ้น PTT, PTTEP เปรียบเทียบกันแบบรายปีตั้งแต่ปี 2002 เป็นต้นมา นำมาแสดงให้ดูกันดังนี้
วิธีดูก็คงเ็นเช่นเดียวกับบทความตอนก่อนหน้านี้ จะเห็นได้ว่า ราคาหุ้น ปตท. ปตท.สผ. ในช่วงปี 2007-2009 นั้นมีความสัมพันธ์กับราคาน้ำมันดิบในระดับที่สูง แต่พอมาในปี 2010-2011 ระดับความสัมพันธ์ระหว่างราคาหุ้นทั้งสองกับราคาน้ำมันดิบมีน้อยลง
และถ้าสังเกตให้ดีก็จะยิ่งทำให้เห็นความสัมพันธ์ในภาพกว้าง นั่นก็คือ ลองสังเกตดูความสัมพันธ์ของราคาผลิตภัณฑ์ 2 ตัวที่นำมาเทียบกันจะแตกต่างกันในแต่ละปี เช่น ราคาน้ำมันดิบกับราคาหุ้น PTTEP ก็มีระดับความสัมพันธ์ไม่ได้เท่ากันทุกปี บางปีมาก บางปีน้อย ค่าเงินดอลลาร์ (DX) กับราคาน้ำมันดิบก็เช่นกัน ระดับความสัมพันธ์ในแต่ละปีแตกต่างกันพอสมควรทีเดียว บางปีสวนทางกันมาก บางปีสวนทางกันน้อย
ทางด้านราคาทองคำกับน้ำมันดิบก็เช่นกัน บางปีก็ตามกันมาก บางปีก็ตามกันน้อย
จากข้อมูลที่ลุงแมวน้ำนำมาคงพอเห็นว่าราคาน้ำมันดับกับราคาหุ้นพลังงานนั้นตามกันมากหรือน้อยแล้วแต่ช่วงเวลา ไม่ได้ตามกันติดๆเสมอไป ดังนั้นที่พูดกันว่าน้ำมันขึ้นให้ซื้อหุ้นน้ำมันแทนนั้น เพื่อนนักลงทุนคงพอหาคำตอบได้แล้วว่าแท้ที่จริงแล้วเป็นอย่างไร
ส่วนราคาทองคำนั้น หากต่อไปราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น ราคาทองคำจะปรับตัวขึ้นด้วยหรือไม่ หากพิจารณาจากความสัมพันธ์ในตาราง ลุงแมวน้ำมีความเห็นว่าบนคลื่นลูกปัจจุบันนี้ราคาน้ำมันดิบน่าจะไปแรงกว่าราคาทองคำ
หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 43 ตัว
กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณซื้อทองแดง (HG) ขณะเดียวกันก็มีสัญญาณขายก๊าซธรรมชาติ (NG)
ทองแดงนั้นเป็นโลหะอุตสาหกรรม แตกต่างจากทองคำที่ถือเป็นโลหะมีค่า หลังจากที่เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวจากวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ราคาโลหะอุตสาหกรรมก็ค่อยๆปรับตัวสูงขึ้นมาโดยตลอด ราคาโลหะอุตสาหกรรมปรับตัวขึ้นมาไม่ได้น้อยหน้าทองคำและเงินที่เป็นโลหะมีค่าเลย คนในวงการที่เกี่ยวข้องกับโลหะอุตสาหกรรมทราบกันดี ส่วนก๊าซธรรมชาตินั้นแม้มีสัญญาณขายแต่ก็เป็นแนวโน้มในระยะสั้นเท่านั้น ในระยะกลางและยาวน่าจะอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น
ด้านตลาดต่างประเทศ ตลาดหุ้นในทวีปอเมริกาปิดคละกันทั้งเขียวและแดง ส่วนยุโรปและเอเชียส่วนใหญ่ปิดเขียว
จับหุ้น ลุ้นน้ำมัน ดันทอง
วันนี้ลุงแมวน้ำพาดหัวบทความประจำวันให้ดูตื่นเต้นหน่อยเพื่อความมีสีสัน เรื่องของเรื่องก็คือลุงแมวน้ำอยากพูดถึงแนวโน้มราคาทองคำ (GC) และน้ำมัน (CL) พร้อมกับไขข้อสงสัยว่าราคาน้ำมันดิบ ราคาหุ้นพลังงาน ราคาทองคำ และค่าเงินดอลลาร์ มีความสัมพันธ์กันหรือไม่
มาดูราคาทองคำกันก่อน ดังภาพต่อไปนี้
ทองคำ (GC) ขณะนี้อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ลุงแมวน้ำคาดว่าอยู่ในคลื่น 5 ใหญ่ (สีน้ำเงิน) ซึ่งดำเนินมาไกลแล้ว พร้อมที่จะจบคลื่นได้ทุกเมื่อ แต่ถึงลุงแมวน้ำนับคลื่นผิด หากไม่ใช่คลื่น 5 ก็น่าจะเป็นคลื่น 3 ซึ่งหลังจากคลื่น 5 ก็เป็นคลื่น A หรือหลังจากคลื่น 3 ก็เป็นคลื่น 4 ซึ่งล้วนแต่เป็นคลื่นขาลง ดังนั้นแม้ว่าราคาทองคำอยู่ใมคลื่นขาขึ้นแต่ก็มีความเสี่ยงค่อนข้างสูงเนื่องจากไม่ใช่ต้นคลื่นแล้ว การจะประเมินว่าจะจบคลื่นเมื่อใดตนั้นตอบได้ยากเพราะไม่มีใครรู้อนาคตที่แม้จริง คงได้แต่คาดการณ์เท่านั้น ซึ่งหากประเมินด้วยเครื่องมือ fibonacci ก็คงต้องตามดูกันไปทีละขั้นตามระดับของค่า fibonacci ขั้นถัดไปนี้รอดูที่ประมาณ 1,500 ดอลลาร์/ออนซ์็ ว่าจะจบคลื่นใหญ่ที่แถวๆนี้หรือไม่ หากประเมินด้วยเครื่องมืออื่นก็ว่ากันไปตามหลักของการใช้เครื่องมือทางเทคนิคนั้นๆ
มาดูราคาน้ำมันดิบกันบ้าง ดังภาพต่อไปนี้
จากภาพ ราคาน้ำมันดิบก็อยู่ในทิศทางขาขึ้นเช่นเดียวกัน หากมองในระดับคลื่นใหญ่ หากไม่ใช่คลื่น 5 (สี้น้ำเงิน) ก็คงอยู่ในคลื่น A (สีน้ำเงิน)
การประเมินว่าราคาน้ำมันจะไปถึงเท่าใดนั้น หากใช้เครื่องมือทางเทคนิค เช่น fibonacci และการนับคลื่นเข้ามาช่วย หากขณนะนี้ราคาน้ำมันอยู่ในคลื่น 5 ราคาน้ำมันดิบก็น่าจะไปได้ไกลอย่างน้อยถึงประมาณ 150 ดอลลาร์/บาเรล หากผ่านราคานี้ไปได้ ระดับราคาเป้าหมายถัดไปก็อาจเป็นที่ 215 ดอลลาร์/บาเรล (ที่ระดับ fibonacci 161.8% นั่นเอง)
แม้ว่าลุงแมวน้ำจะลงทุนด้วยปัจจัยทางเทคนิคเป็นหลัก แต่ปัจจัยทางเทคนิคกกับปัจจัยพื้นฐานนั้นแยกกันไม่ขาด พวกปัจจัยพื้นฐานบางครั้งก็อาศัยปัจจัยทางเทคนิคในการกำหนดจุดซื้อจุดขาย ส่วนพวกปัจจัยทางเทคนิคบางครั้งก็ต้องใช้ปัจจัยพื้นฐานประกอบ เช่น ใช้ในการประเมินแนวโน้มในระยะยาว ดังนั้นลุงแมวน้ำเองบางครั้งก็นำปัจจัยพื้นฐานมาพิจารณาด้วยเหมือนกัน
เนื่องจากค่าของทองคำนั้นเป็นการสมมติขึ้นมาเพื่อการอ้างอิงของระบบเงินตรา ดังนั้นตัวทองคำเองจึงไม่มีปัจจัยพื้นฐาน ต่างจากน้ำมันดิบซึ่งมีปัจจัยพื้นฐานเพราะเป็นสินค้าอุปโภคที่เราจำเป็นต้องใช้
หากพิจารณาในแง่ปัจจัยพื้นฐาน ลุงแมวน้ำมองว่าน้ำมันดิบคงมีราคาสูงขึ้นไปเรื่อยๆในระยะยาว ทั้งนี้ เนื่องจากกรณีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมา ไดอิจิ (Fukushima Daiji nuclear power plant) ในประเทศญี่ปุ่นที่เกิดปัญหาขึ้นมาตามหลังภัยพิบัติแผ่นดินไหวและสึนามิ ทำให้มีสารกันมันตภาพรังสีรั่วกระจายออกมาในสภาพแวดล้อม กรณีนี้ทำให้เกิดกระแสต่อต้านโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขึ้นมาทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ในประเทศญี่ปุ่นเอง
ท่ามกลางความหวาดกลัวโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ โครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เกือบทั้งโลกคงถูกระงับหรือชะลอออกไปก่อน และความต้องการใช้ไฟฟ้าเพื่อป้อนอุตสาหกรรมและธุรกิจอันหมายถึงการขยายตัวของจีดีพียังต้องดำเนินต่อไป ดังนั้นจึงแทบไม่มีทางเลือกอื่นเลยที่โลกทุนนิยมจะต้องเดินหน้าต่อไปก่อนด้วยพลังงานหลักอื่นๆที่ไม่ใช่นิวเคลียร์ ซึ่งนั่นก็คือพลังงานจากถ่านหิน น้ำมันดิบ และก๊าซธรรมชาติ ส่วนพลังงานทางเลือกอื่นนั้นยังเป็นแหล่งพลังงานหลักไม่ได้ เป็นได้แค่แหล่งพลังงานสมทบเท่านั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ ลุงแมวน้ำมองว่าการใช้ถ่านหิน น้ำมันดิบ และก๊าซธรรมชาติจะเพิ่มมากขึ้นภายในระยะหลายปีต่อไปข้างหน้านี้ จนกว่ากระแสความกลัวนิวคลียร์จะบรรเทาเบาบางลงไป ซึ่งหมายถึงว่าราคาของพลังงานเหล่านี้คงปรับตัวสูงขึ้นไปเรื่อยๆ นี่ยังไม่มองปัจจัยด้านความไม่สงบของโลกอาหรับเอง นอกจากนี้ ราคาสินค้าเกษตรที่เกี่ยวกับน้ำมัน (เช่น ปาล์ม) แป้ง (เช่น ข้าวโพด) และน้ำตาล (เช่น อ้อย) ก็น่าจะมีราคาสูงขึ้นไปเรื่อยๆเนื่องจากพืชเหล่านี้สามารถนำมาผลิตเป็นไบโอดีเซลหรือแอลกอฮอล์อันใช้เป็นแหล่งพลังงานทดแทนได้
ในช่วงที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นเช่นนี้ หลายคนอาจสงสัยว่าหากน้ำมันดิบขึ้นราคาแล้ว หากไม่ลงทุนในน้ำมันโดยตรงแต่ลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวกับน้ำมันจะได้ผลดีหรือไม่ ลองมาดูภาพต่อไปนี้กัน
ภาพบนนี้เป็นราคาน้ำมันดิบ ทองคำ อีทีเอฟสินค้าเกษตร (DBA) และราคาหุ้น PTTEP นำมาพลอตกราฟเทียบกัน แต่ดูแล้วก็คงประเมินให้เป็นรูปธรรมได้ยากว่าราคาตามกันมากน้อยเพียงใด ลุงแมวน้ำจึงใช้การคำนวณหาสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพื่อดูระดับความสัมพันธ์ของราคาทองคำ น้ำมันดิบ ค่าเงิน และหุ้น PTT, PTTEP เปรียบเทียบกันแบบรายปีตั้งแต่ปี 2002 เป็นต้นมา นำมาแสดงให้ดูกันดังนี้
วิธีดูก็คงเ็นเช่นเดียวกับบทความตอนก่อนหน้านี้ จะเห็นได้ว่า ราคาหุ้น ปตท. ปตท.สผ. ในช่วงปี 2007-2009 นั้นมีความสัมพันธ์กับราคาน้ำมันดิบในระดับที่สูง แต่พอมาในปี 2010-2011 ระดับความสัมพันธ์ระหว่างราคาหุ้นทั้งสองกับราคาน้ำมันดิบมีน้อยลง
และถ้าสังเกตให้ดีก็จะยิ่งทำให้เห็นความสัมพันธ์ในภาพกว้าง นั่นก็คือ ลองสังเกตดูความสัมพันธ์ของราคาผลิตภัณฑ์ 2 ตัวที่นำมาเทียบกันจะแตกต่างกันในแต่ละปี เช่น ราคาน้ำมันดิบกับราคาหุ้น PTTEP ก็มีระดับความสัมพันธ์ไม่ได้เท่ากันทุกปี บางปีมาก บางปีน้อย ค่าเงินดอลลาร์ (DX) กับราคาน้ำมันดิบก็เช่นกัน ระดับความสัมพันธ์ในแต่ละปีแตกต่างกันพอสมควรทีเดียว บางปีสวนทางกันมาก บางปีสวนทางกันน้อย
ทางด้านราคาทองคำกับน้ำมันดิบก็เช่นกัน บางปีก็ตามกันมาก บางปีก็ตามกันน้อย
จากข้อมูลที่ลุงแมวน้ำนำมาคงพอเห็นว่าราคาน้ำมันดับกับราคาหุ้นพลังงานนั้นตามกันมากหรือน้อยแล้วแต่ช่วงเวลา ไม่ได้ตามกันติดๆเสมอไป ดังนั้นที่พูดกันว่าน้ำมันขึ้นให้ซื้อหุ้นน้ำมันแทนนั้น เพื่อนนักลงทุนคงพอหาคำตอบได้แล้วว่าแท้ที่จริงแล้วเป็นอย่างไร
ส่วนราคาทองคำนั้น หากต่อไปราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น ราคาทองคำจะปรับตัวขึ้นด้วยหรือไม่ หากพิจารณาจากความสัมพันธ์ในตาราง ลุงแมวน้ำมีความเห็นว่าบนคลื่นลูกปัจจุบันนี้ราคาน้ำมันดิบน่าจะไปแรงกว่าราคาทองคำ
Subscribe to:
Posts (Atom)