วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,029.86 จุด ลดลง 12.42 จุด
สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย TMB ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 36 ตัว
กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย
ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย
วันนี้ตลาดในภาพรวมมีอาการแปลกๆ ตลาดหุ้นไทย อินเดีย เกาหลีปรับตัวลงค่อนข้างแรง ขณะที่ตลาดอื่นๆมีทั้งปิดบวกและปิดลบ แต่ที่น่าสังเกตคือกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ (commodity) มีอาการปรับตัวลงขึ้นแรงลงแรงไปกันคนละทิศละทาง อย่างเช่น ข้าวสาลีปรับตัวขึ้นราว 5% น้ำตาลปรับตัวลงประมาณ 10% ยางพาราปรับตัวลงประมาณ 2.5% นักลงทุนในตลาด AFET ที่เทรดยางชักเริ่มอกสั่นขวัญแขวนเพราะตลาดแกว่งตัวแรง
ช่วงนี้ตลาดโดยรวมออกอาการแปลก ที่น่าเป็นห่วงคือเมื่อดูยอดการซื้อขายสุทธิ ปรากฏว่ารายย่อยรับเหมาหุ้นเอาไว้ในขณะที่กองทุนและต่างชาติขาย ใครที่ถือคติย่อแล้วให้รับควรพิจารณาอย่างรอบคอบและไม่ควรประมาท
Monday, November 15, 2010
Thursday, November 11, 2010
10/11/2010 * หุ้นจีนและการลงทุนในหุ้นจีน (2)
วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 1,042.28 จุด ลดลง 5.27 จุด
สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 37 ตัว
กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย
ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย
ตลาดหุ้นไทยค่อนข้างแปลก ปกติหุ้นขึ้นแรงและยาวนานขนาดนี้โปรแกรมน่าจะซื้อหุ้นเอาไว้ใกล้เต็มพอร์ตแล้ว เพราะหุ้นจะขึ้นไปพร้อมๆกัน แต่นี่ถืออยู่เเพียง 37 ตัว แสดงว่าหุ้นหลายตัวไม่ยอมขึ้นตามดัชนีเลย
หุ้นจีนและการลงทุนในหุ้นจีน (2)
วันก่อนลุงแมวน้ำคุยถึงเรื่องกองทุนอีทีเอฟที่นำเงินของนักลงทุนชาวไทยไปลงทุนในหุ้นจีนนี้มีชื่อว่ากอง ทุน W.I.S.E KTAM CSI 300 China Tracker หรือมีชื่อย่อที่ใช้ในการเทรดว่า CHINA ถือว่าเป็นกรณีแรกของตลาดหุ้นไทยที่มีกองทุนลงทุนในหุ้นต่างชาติเข้ามาทำการ ซื้อขายได้เสมือนกับเป็นหุ้นตัวหนึ่ง และกำลังจะเข้าเทรดในตลาด SET เร็วๆนี้
วันนี้เรามาดูกันต่อว่าตลาดหุ้นจีนนั้นขณะนี้เป็นอย่างไรบ้างเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับผู้ที่สนใจจะเทรด CHINA เมื่อเข้าตลาดแล้ว
ตลาดหุ้นจีนนั้นมี 3 ตลาด นั่นคือ ตลาดเซี่ยงไฮ้ ตลาดเซินเจิ้น ฝั่งสองตลาดนี้อยู่ในแผ่นดินใหญ่ และตลาดหั่งเส็งซึ่งอยู่บนเกาะฮ่องกง
ตลาดเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้นนั้นก็จะคล้ายกับตลาดหุ้น SET ในบ้านเรา นั่นคือ แบ่งเป็นกระดานท้องถิ่นที่ให้คนจีนเทรดกันเป็นเงินหยวนอันเป็นสกุลเงินท้องถิ่น กระดานนี้ชาวต่างชาติจะเทรดไม่ได้ ยกเว้นได้รับโควต้าพิเศษ มีหุ้นของบริษัทจดทะเบียนของจีนทั้งใหญ่ กลาง เล็ก รวมกันพันกว่าตัว หุ้นในกระดานท้องถิ่นของตลาดเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้นนี้เราเรียกรวมกันว่า A Share
นอกจากนี้ตลาดเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้นยังมีอีกกระดานหนึ่งสำหรับให้ชาวต่างชาติเทรดเป็นเงินดอลลาร์ สรอ ก็คล้ายกับกระดานต่างชาติ (foreign board) ของตลาดหุ้นในบ้านเรานั่นเอง หุ้นที่อยู่ในกระดานต่างชาตินี้เรียกว่า B share
นอกนั้นยังมีหุ้นของบริษัทจีนที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหั่งเส็งอีก หุ้นจีนในตลาดหั่งเส็งนี้เทรดด้วยเงินสกุลดอลลาร์ฮ่องกงและชาวต่างชาติสามารถซื้อขายได้ เราเรียกหุ้นจีนในตลาดฮ่องกงนี้ว่า H share หุ้นจีนในตลาดหั่งเส็งนี้มีอยู่เพียงไม่กี่ร้อยตัวเท่านั้น
หุ้นที่เรียกว่า A share ซึ่งให้นักลงทุนท้องถิ่นซื้อขายกันนั้นโดยรวมแล้วเป็นหุ้นที่มีราคาถูกอยู่ หุ้นตัวเดียวกันเมื่อไปจดทะเบียนเป็น B share หรือ H share แล้วจะกลายเป็นหุ้นที่มีราคาแพงกว่าหุ้นตัวเดียวกันที่เป็น A share อีกทั้งหุ้น A share มีความหลากหลายให้เลือกเทรดได้มากมายกว่า H share มาก ดังนั้นหุ้น A share จึงเป็นยอดปรารถนาของนักลงทุนต่างชาติ แต่เนื่องจากโควตาที่อนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติเทรด A share มีจำกัด ดังนั้นช่องทางการลงทุนจึงถือว่าไม่ง่ายนัก ดังนั้นเมื่อจะเลือกลงทุนในกองทุนรวมที่เกี่ยวกับหุ้นจีนจึงควรพิจารณารายละเอียดดูด้วยว่าเป็นหุ้นประเภทใด A share, B share หรือ H share ซึ่งมีแนวโน้มที่จะให้ผลตอบแทนไม่เท่ากัน
เมื่อพูดถึงกลุ่มหุ้นจีนแล้ว ต่อไปก็คงต้องพิจารณากันว่าตัวชี้วัดหรือว่าดัชนีของหุ้นจีนนั้นมีอะไรบ้าง
ก่อนที่จะพูดถึงดัชนีหุ้นจีน เราลองมาดูดัชนีหุ้นไทยกันก่อน ดัชนีหุ้นของตลาด SET ในบ้านเรานั้นมีอยู่ถึง 10 ดัชนีให้เลือกใช้ ตั้งแต่ SET (นำหุ้นทั้งตลาดมาคำนวณดัชนี), SET100 (นำหุ้น 100 ตัวมาคำนวณดัชนี), SET50 (นำหุ้น 50 ตัวมาคำนวณดัชนี) อีกทั้งยังมีดัชนีหุ้นไทยในตระกูลดัชนีฟุตซี (TFTSE) อีก 7 ดัชนี ซึ่งกองทุนอีทีเอฟ TDEX ของเรานั้นเลือกใช้ดัชนี SET50 เป็นดัชนีอ้างอิง
ในทำนองเดียวกัน ดัชนีของตลาดหุ้นจีนก็มีอยู่หลายดัชนี ดัชนีหุ้นที่เก่าแก่ของจีนสำหรับหุ้น A share ที่เราคุ้นเคยนั้นคือดีชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตอินเด็กซ์ (Shanghai composite index) ที่เราเห็นรายงานกันในเว็บไซต์ยาฮูและกูเกิลนั่นเอง ดัชนีหุ้นจีนในรายงานประจำวันของลุงแมวน้ำก็ใช้ดัชนีตัวนี้
ส่วนดัชนีที่กองทุนอีทีเอฟ CHINA นี้ใช้อ้างอิงเป็นดัชนีที่เรียกว่า CSI 300 ซึ่งเป็นดัชนีที่คำนวณจากหุ้น A share ในตลาดเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้นรวม 300 ตัว ดัชนีนี้ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง ดังนั้นข้อมูลเก่าจึงยังมีไม่มากนัก แต่ถ้าดูในเว็บไซต์หรือทีวีช่อง Bloomberg จะเห็นรายงานของดัชนีตัวนี้
การจะมองว่าแนวโน้มตลาดหุ้นจีนเป็นอย่างไรนั้นก่อนอื่นคงต้องมองในภาพใหญ่กันก่อน ซึ่ง CSI 300 มีข้อมูลจำกัด มองเห็นภาพใหญ่ได้ไม่ดีเท่ากับ Shanghai composite index ซึ่งมีข้อมูลเก่ามากกว่า ดังนั้นเราจะมามองภาพใหญ่กันด้วย SSECI ก่อน ซึ่งในระดับภาพใหญ่นั้นดัชนีทั้งของดัชนีของจีนนี้สามารถใช้ดูแทนกันได้
จะเห็นว่าใระดับคลื่นใหญ่ ขณะนี้ตลาดหุ้นของจีนน่าจะอยู่ในคลื่นใหญ่ 3 ซึ่งการจะยืนยันว่าอยู่ในคลื่นใหญ่ 3 จริงคงต้องรอให้ผ่านยอดคลื่น 1 (สีน้ำตาล) หรือที่ระดับดัชนีประมาณ 3,500 จุดไปเสียก่อน
ทีนี้มาดูดัชนี CSI 300 กันบ้าง
จากภาพ ดัชนี CSI 300 ก็น่าจะกำลังอยู่ในคลื่น 3 (สีน้ำตาล) เช่นกัน และคงต้องดูที่ระดับ 3,787.03 จุดอันเป็นยอดคลื่นเดิม (ยอดคลื่น 1) หากดัชนีผ่านยอดคลื่นเดิมไปได้ โอกาสที่จะอยู่ในคลื่น 3 จริงๆก็มากยิ่งขึ้น ซึ่งหากเป็นคลื่น 3 โอกาสที่ดัชนีตลาดหุ้นจีนจะเติบโตต่อไปยังมีอีกมากเนื่องจากคลื่น 3 มักเป็นคลื่นที่ชันและลากยาวเกือบจะเรียกได้ว่าม้วนเดียวไปเลย
นี่เป็นมุมมองในเชิงเทคนิค ทีนี้มาพิจารณาในด้านความสัมพันธ์ระหว่างดัชนีหุ้นจีนกับหุ้นไทย เหตุที่เราควรพิจารณาระดับความสัมพันธ์ด้วยเนื่องจากหากหุ้นจีนกกับหุ้นไทยมีความสัมพันธ์กันสูงมาก การลงทุนในหุ้นจีนก็ไม่แตกต่างจากการลงทุนในตลาดหุ้นไทย อีกทั้งยังไม่เป็นการกระจายความเสี่ยงอีกด้วย เพราะการลงทุนควรมีความหลากหลายเพื่อการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน
การพิจารณาความสัมพันธ์เราดูจากค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ ดังนี้
จากภาพ หากดูย้อนหลังไปในภาพรวม 4 ปี (ตั้งแต่ปี 2007) ภาพรวม 3 ปี และภาพรวม 2 ปี จะเห็นว่าหุ้นจีนกับหุ้นไทยมีความสัมพันธ์กันอยู่บ้าง แต่พอมาในปี 2010 หรือในปีนี้ การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นจีนกับหุ้นไทยไม่มีความสัมพันธ์กัน แต่นี่คือการดูค่าแบบแห้งๆ เอาไปตีความใช้ประโยชน์ได้ยาก แต่หากพิจารณานับคลื่นไปด้วยจะเข้าใจดีขึ้น กล่าวคือ ในช่วงต้นปีถึงกลางปี ขณะที่ตลาดไทยอยู่ในคลื่น 3 แต่เป็นแบบค่อยๆขึ้น (sideway up) ตลาดจีนกำลังไหลลงเนื่องจากอยู่ในคลื่น 2 จึงทำให้ดูว่าไม่มีความสัมพันธ์กัน แต่ในขณะนี้จีนกำลังเข้าสู่คลื่น 3 และเราก็กำลังอยู่ในคลื่น 3 หรืออาจจะคลื่น 5 ต่อไปสัมประิสิทธิ์สหสัมพันธ์น่าจะกลับมามีค่าสูง ดังนั้นการจัดพอร์ตลงทุนไม่ควรทุ่มลงไปในหุ้นเป็นส่วนใหญ่ กระจายไปลงทุนในกองทุนตราสารหนี้หรืออื่นๆบ้างเพื่อรักษาความหลากหลายและลดความเสี่ยง
หวังว่าข้อมูลและการวิเคราะห์เหล่านี้คงเป็นประโยชน์แก่เพื่อนนักลงทุนบ้างตามสมควร
สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 37 ตัว
กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย
ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย
ตลาดหุ้นไทยค่อนข้างแปลก ปกติหุ้นขึ้นแรงและยาวนานขนาดนี้โปรแกรมน่าจะซื้อหุ้นเอาไว้ใกล้เต็มพอร์ตแล้ว เพราะหุ้นจะขึ้นไปพร้อมๆกัน แต่นี่ถืออยู่เเพียง 37 ตัว แสดงว่าหุ้นหลายตัวไม่ยอมขึ้นตามดัชนีเลย
หุ้นจีนและการลงทุนในหุ้นจีน (2)
วันก่อนลุงแมวน้ำคุยถึงเรื่องกองทุนอีทีเอฟที่นำเงินของนักลงทุนชาวไทยไปลงทุนในหุ้นจีนนี้มีชื่อว่ากอง ทุน W.I.S.E KTAM CSI 300 China Tracker หรือมีชื่อย่อที่ใช้ในการเทรดว่า CHINA ถือว่าเป็นกรณีแรกของตลาดหุ้นไทยที่มีกองทุนลงทุนในหุ้นต่างชาติเข้ามาทำการ ซื้อขายได้เสมือนกับเป็นหุ้นตัวหนึ่ง และกำลังจะเข้าเทรดในตลาด SET เร็วๆนี้
วันนี้เรามาดูกันต่อว่าตลาดหุ้นจีนนั้นขณะนี้เป็นอย่างไรบ้างเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับผู้ที่สนใจจะเทรด CHINA เมื่อเข้าตลาดแล้ว
ตลาดหุ้นจีนนั้นมี 3 ตลาด นั่นคือ ตลาดเซี่ยงไฮ้ ตลาดเซินเจิ้น ฝั่งสองตลาดนี้อยู่ในแผ่นดินใหญ่ และตลาดหั่งเส็งซึ่งอยู่บนเกาะฮ่องกง
ตลาดเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้นนั้นก็จะคล้ายกับตลาดหุ้น SET ในบ้านเรา นั่นคือ แบ่งเป็นกระดานท้องถิ่นที่ให้คนจีนเทรดกันเป็นเงินหยวนอันเป็นสกุลเงินท้องถิ่น กระดานนี้ชาวต่างชาติจะเทรดไม่ได้ ยกเว้นได้รับโควต้าพิเศษ มีหุ้นของบริษัทจดทะเบียนของจีนทั้งใหญ่ กลาง เล็ก รวมกันพันกว่าตัว หุ้นในกระดานท้องถิ่นของตลาดเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้นนี้เราเรียกรวมกันว่า A Share
นอกจากนี้ตลาดเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้นยังมีอีกกระดานหนึ่งสำหรับให้ชาวต่างชาติเทรดเป็นเงินดอลลาร์ สรอ ก็คล้ายกับกระดานต่างชาติ (foreign board) ของตลาดหุ้นในบ้านเรานั่นเอง หุ้นที่อยู่ในกระดานต่างชาตินี้เรียกว่า B share
นอกนั้นยังมีหุ้นของบริษัทจีนที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหั่งเส็งอีก หุ้นจีนในตลาดหั่งเส็งนี้เทรดด้วยเงินสกุลดอลลาร์ฮ่องกงและชาวต่างชาติสามารถซื้อขายได้ เราเรียกหุ้นจีนในตลาดฮ่องกงนี้ว่า H share หุ้นจีนในตลาดหั่งเส็งนี้มีอยู่เพียงไม่กี่ร้อยตัวเท่านั้น
หุ้นที่เรียกว่า A share ซึ่งให้นักลงทุนท้องถิ่นซื้อขายกันนั้นโดยรวมแล้วเป็นหุ้นที่มีราคาถูกอยู่ หุ้นตัวเดียวกันเมื่อไปจดทะเบียนเป็น B share หรือ H share แล้วจะกลายเป็นหุ้นที่มีราคาแพงกว่าหุ้นตัวเดียวกันที่เป็น A share อีกทั้งหุ้น A share มีความหลากหลายให้เลือกเทรดได้มากมายกว่า H share มาก ดังนั้นหุ้น A share จึงเป็นยอดปรารถนาของนักลงทุนต่างชาติ แต่เนื่องจากโควตาที่อนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติเทรด A share มีจำกัด ดังนั้นช่องทางการลงทุนจึงถือว่าไม่ง่ายนัก ดังนั้นเมื่อจะเลือกลงทุนในกองทุนรวมที่เกี่ยวกับหุ้นจีนจึงควรพิจารณารายละเอียดดูด้วยว่าเป็นหุ้นประเภทใด A share, B share หรือ H share ซึ่งมีแนวโน้มที่จะให้ผลตอบแทนไม่เท่ากัน
เมื่อพูดถึงกลุ่มหุ้นจีนแล้ว ต่อไปก็คงต้องพิจารณากันว่าตัวชี้วัดหรือว่าดัชนีของหุ้นจีนนั้นมีอะไรบ้าง
ก่อนที่จะพูดถึงดัชนีหุ้นจีน เราลองมาดูดัชนีหุ้นไทยกันก่อน ดัชนีหุ้นของตลาด SET ในบ้านเรานั้นมีอยู่ถึง 10 ดัชนีให้เลือกใช้ ตั้งแต่ SET (นำหุ้นทั้งตลาดมาคำนวณดัชนี), SET100 (นำหุ้น 100 ตัวมาคำนวณดัชนี), SET50 (นำหุ้น 50 ตัวมาคำนวณดัชนี) อีกทั้งยังมีดัชนีหุ้นไทยในตระกูลดัชนีฟุตซี (TFTSE) อีก 7 ดัชนี ซึ่งกองทุนอีทีเอฟ TDEX ของเรานั้นเลือกใช้ดัชนี SET50 เป็นดัชนีอ้างอิง
ในทำนองเดียวกัน ดัชนีของตลาดหุ้นจีนก็มีอยู่หลายดัชนี ดัชนีหุ้นที่เก่าแก่ของจีนสำหรับหุ้น A share ที่เราคุ้นเคยนั้นคือดีชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตอินเด็กซ์ (Shanghai composite index) ที่เราเห็นรายงานกันในเว็บไซต์ยาฮูและกูเกิลนั่นเอง ดัชนีหุ้นจีนในรายงานประจำวันของลุงแมวน้ำก็ใช้ดัชนีตัวนี้
ส่วนดัชนีที่กองทุนอีทีเอฟ CHINA นี้ใช้อ้างอิงเป็นดัชนีที่เรียกว่า CSI 300 ซึ่งเป็นดัชนีที่คำนวณจากหุ้น A share ในตลาดเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้นรวม 300 ตัว ดัชนีนี้ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง ดังนั้นข้อมูลเก่าจึงยังมีไม่มากนัก แต่ถ้าดูในเว็บไซต์หรือทีวีช่อง Bloomberg จะเห็นรายงานของดัชนีตัวนี้
การจะมองว่าแนวโน้มตลาดหุ้นจีนเป็นอย่างไรนั้นก่อนอื่นคงต้องมองในภาพใหญ่กันก่อน ซึ่ง CSI 300 มีข้อมูลจำกัด มองเห็นภาพใหญ่ได้ไม่ดีเท่ากับ Shanghai composite index ซึ่งมีข้อมูลเก่ามากกว่า ดังนั้นเราจะมามองภาพใหญ่กันด้วย SSECI ก่อน ซึ่งในระดับภาพใหญ่นั้นดัชนีทั้งของดัชนีของจีนนี้สามารถใช้ดูแทนกันได้
จะเห็นว่าใระดับคลื่นใหญ่ ขณะนี้ตลาดหุ้นของจีนน่าจะอยู่ในคลื่นใหญ่ 3 ซึ่งการจะยืนยันว่าอยู่ในคลื่นใหญ่ 3 จริงคงต้องรอให้ผ่านยอดคลื่น 1 (สีน้ำตาล) หรือที่ระดับดัชนีประมาณ 3,500 จุดไปเสียก่อน
ทีนี้มาดูดัชนี CSI 300 กันบ้าง
จากภาพ ดัชนี CSI 300 ก็น่าจะกำลังอยู่ในคลื่น 3 (สีน้ำตาล) เช่นกัน และคงต้องดูที่ระดับ 3,787.03 จุดอันเป็นยอดคลื่นเดิม (ยอดคลื่น 1) หากดัชนีผ่านยอดคลื่นเดิมไปได้ โอกาสที่จะอยู่ในคลื่น 3 จริงๆก็มากยิ่งขึ้น ซึ่งหากเป็นคลื่น 3 โอกาสที่ดัชนีตลาดหุ้นจีนจะเติบโตต่อไปยังมีอีกมากเนื่องจากคลื่น 3 มักเป็นคลื่นที่ชันและลากยาวเกือบจะเรียกได้ว่าม้วนเดียวไปเลย
นี่เป็นมุมมองในเชิงเทคนิค ทีนี้มาพิจารณาในด้านความสัมพันธ์ระหว่างดัชนีหุ้นจีนกับหุ้นไทย เหตุที่เราควรพิจารณาระดับความสัมพันธ์ด้วยเนื่องจากหากหุ้นจีนกกับหุ้นไทยมีความสัมพันธ์กันสูงมาก การลงทุนในหุ้นจีนก็ไม่แตกต่างจากการลงทุนในตลาดหุ้นไทย อีกทั้งยังไม่เป็นการกระจายความเสี่ยงอีกด้วย เพราะการลงทุนควรมีความหลากหลายเพื่อการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน
การพิจารณาความสัมพันธ์เราดูจากค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ ดังนี้
จากภาพ หากดูย้อนหลังไปในภาพรวม 4 ปี (ตั้งแต่ปี 2007) ภาพรวม 3 ปี และภาพรวม 2 ปี จะเห็นว่าหุ้นจีนกับหุ้นไทยมีความสัมพันธ์กันอยู่บ้าง แต่พอมาในปี 2010 หรือในปีนี้ การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นจีนกับหุ้นไทยไม่มีความสัมพันธ์กัน แต่นี่คือการดูค่าแบบแห้งๆ เอาไปตีความใช้ประโยชน์ได้ยาก แต่หากพิจารณานับคลื่นไปด้วยจะเข้าใจดีขึ้น กล่าวคือ ในช่วงต้นปีถึงกลางปี ขณะที่ตลาดไทยอยู่ในคลื่น 3 แต่เป็นแบบค่อยๆขึ้น (sideway up) ตลาดจีนกำลังไหลลงเนื่องจากอยู่ในคลื่น 2 จึงทำให้ดูว่าไม่มีความสัมพันธ์กัน แต่ในขณะนี้จีนกำลังเข้าสู่คลื่น 3 และเราก็กำลังอยู่ในคลื่น 3 หรืออาจจะคลื่น 5 ต่อไปสัมประิสิทธิ์สหสัมพันธ์น่าจะกลับมามีค่าสูง ดังนั้นการจัดพอร์ตลงทุนไม่ควรทุ่มลงไปในหุ้นเป็นส่วนใหญ่ กระจายไปลงทุนในกองทุนตราสารหนี้หรืออื่นๆบ้างเพื่อรักษาความหลากหลายและลดความเสี่ยง
หวังว่าข้อมูลและการวิเคราะห์เหล่านี้คงเป็นประโยชน์แก่เพื่อนนักลงทุนบ้างตามสมควร
Subscribe to:
Posts (Atom)