วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 924.57 จุด เพิ่มขึ้น 3.08 จุด
สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 42 ตัว
กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณซื้อฟิวเจอร์สของดัชนีดาวโจนส์ (DJ) ลุงแมวน้ำจึงปิดสัญญาขายและเปิดสัญญาซื้อตามไป รอบที่แล้วที่ชอร์ตเอาไว้ขาดทุนเนื่องจากเป็นสัญญาณหลอก
ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ดัชนีดาวโจนส์ (DJI, DJIA) ของสหรัฐอเมริกาเกิดสัญญาณซื้อ
ลุงแมวน้ำมองว่าดัชนีดาวโจนส์ น้ำมันดิบ และสินค้าเกษตรยังสามารถไปต่อได้อีก แต่ทองคำไม่แน่ใจว่าจะไปต่อได้ ความเห็นลุงแมวน้ำมองไปทางที่ว่าทองคำจะเข้าคลื่น A B C เสียมากกว่า
ส่วนหุ้นไทยและหุ้นในภูมิภาคเอเชียนั้นลุงแมวน้ำไม่แน่ใจว่าจะขึ้นต่อตามดาวโจนส์ ทั้งนี้ เนื่องจากสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์บ่งชี้ว่าดัชนีดาวโจนส์และดัชนีเซ็ตมีความสัมพันธ์กันน้อย อีกประการปัจจุบันการเคลื่อนย้ายเงินทุนเป็นไปโดยง่ายและรวดเร็ว ดังนั้นไม่แน่ว่าเมื่อตลาดหลักทรัพย์ทางสหรัฐอเมริกาและยุโรปกลับมาเป็นขาขึ้น เงินอาจจะไหลออกจากฝั่งเอเชียกลับไปฝั่งตะวันตกเพื่อเก็งกำไรในตลาดฝั่งตะวันตกแทนก็เป็นได้ ดังนั้นนักลงทุนจึงไม่ควรประมาท
เทรดตามระบบอย่างไรให้ได้กำไร
เมื่อวันก่อนเราได้คุยกันเกี่ยวกับการเทรดตามระบบอย่างไรให้มีโอกาสได้กำไรกันไป 2 ข้อแล้ว นั่นคือ ต้องเลือกตลาดที่มีทิศทางและเลือกตลาดที่มีโอกาสทำกำไรสูงกว่า วันนี้เรามาคุยกันต่อ
ข้อที่ 3 เลือกจังหวะในการเทรด
การเข้าเทรดจำเป็นต้องรู้จังหวะ ไม่ใช่รู้แต่เพยีงว่าเขียวมาก็ซื้อ แดงมาก็ขาย เปรียบเหมือนกับการเต้นรำ ปกติหากจะให้ง่ายก็ควรเต้นตั้งแต่เริ่มต้นเพลงจะทำให้การเข้าจังหวะทำได้ง่ายและการเต้นเป็นไปอย่างราบรื่น แต่หากโดดเข้าไปเต้นกลางเพลงแล้วการจับจังหวะและตามเท้าคู่เต้นจะทำได้ยากกว่า ดีไม่ดีก็สะดุดขาเหยียบเท้่ากันจนเจ็บตัว
การเทรดหุ้นหรือฟิวเจอร์ส์ก็เช่นกัน ลองมาดูภาพกันดีกว่า
ในภาพนี้สมมติว่าหากใครเริ่มเข้าเทรดในตำแหน่งที่ 1 หรือ 3 (ลูกศรสีน้ำเงิน) ก็สบาย เพราะหลังจากลูกศร 1 ก็เป็นขาขึ้นไปนานปีกว่า หรือลูกศร 3 ก็เช่นกัน หลังจากนั้นก็เป็นขาขึ้นไปอีกกว่าหนึ่งปี แบบนี้เขียวมาก็ซื้อ แดงมาก็ขาย ถึงแม้จะพบกับสัญญาณหลอกหลายครั้งแต่เนื่องจากเริ่มเทรดที่ต้นทุนต่ำหรือว่าเป็นต้นคลื่นจริงๆ ดังนั้นจึงมีกำไรสะสมมาแล้วพอสมควร ถึงช่วงคืนกำไรไปก็ยังไม่เท่าไรนัก
แต่หากสมมติใหม่ สมมติว่านักลงทุนเริ่มเข้าเทรดที่ตำแหน่งลูกศร 2 หรือ 4 ใครเข้าเทรดในจังหวะเช่นนี้ก็คางเหลืองเพราะว่าจะได้กำไรจากเขียวแรกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น หากใครเข้าที่ลูกศร 3 จะได้กำไรจากการเทรดในรอบแรกเพียงครั้งเดียว หลังจากนั้นก็เป็นคลื่นขาลงยาวไปเลย เขียวที่ตามมาล้วนแต่เป็นสัญญาณหลอกเกือบทั้งนั้น ส่วนใครที่เริ่มเข้าเทรดที่ลูกศร 4 ก็เช่นกัน จะได้กำไรจากเขียวแรกหรือเขียวสองเพียงหนึ่งหรือสองครั้งเท่านั้น หลังจากนั้นเขียวถัดมาก็เป็นสัญญาณหลอกเนื่องจากช่วงนั้นเป็นช่วงตลาดไร้ทิศทาง
ลองดูตัวอย่างกันอีกสักภาพหนึ่ง
ภาพนี้น่าสนใจ เป็นกราฟราคาของฟิวเจอรส์ข้าวโพด หากใครเริ่มเข้าเทรดโดยเปิดสัญญาขายที่ลูกศร 1 นักลงทุนผู้นั้นจะขาดทุนเนื่องจาก false signal ถึง 5 ครั้งติดกันก่อนที่จะได้กำไรในครั้งที่ 6 แบบนี้แล้วใครจะทนไหว
ทีนี้ลองดูใหม่ สมมติว่าเริ่มเข้าเทรดที่ลูกศร 2 โดยเปิดสัญญาซื้อที่ลูกศร 2 เมื่อซื้อไปแล้วราคาข้าวโพดก็ร่วงลงไปอย่างแรงและไม่เกิดสัญญาณขาย อาการแบบนี้หากเป็นนักลงทุนหน้าใหม่คงตกใจและอาจปิดสัญญาไปเลย ซึ่งก็คงขาดทุนไปพอควร แต่หากทนได้ก็จะมีกำไรในที่สุด แต่ปัญหาก็คือจะมีสักกี่คนที่ทนการ draw down ลึกๆได้ หรือหากเป็นผู้ที่เริ่มเทรดมาตั้งแต่ลูกศร 1 เจอสัญญาณหลอกไปแล้ว 5 ครั้ง แล้วครั้งนี้มาพบกับ draw down อีกคงนึกว่าครั้งนี้ก็ขาดทุนอีก อาจจะถอดใจไปเลยก็ได้
ดังนั้นเองลุงแมวน้ำจึงบอกว่าการเข้าเทรดต้องรู้จังหวะ โดยอุดมคติแล้วควรเข้าเทรดเมื่อต้นคลื่น 3 และหยุดเทรดเมื่อเข้าคลื่น 4 หากจะเทรดด้านชอร์ตด้วยก็เพิ่มคลื่น C เข้าไปอีกหนึ่งคลื่น แค่นี้ก็พอแล้ว คลื่นอื่นไม่ควรเทรดเพราะจะพบกับสัญญาณหลอกมากมาย แต่ปัญหาก็คือ แล้วใครจะรู้ล่ะว่าเมื่อไรเป็นต้นคลื่น 3 และเมื่อไรเข้าคลื่น 4 หรือเมื่อไรเข้าคลื่น C สำหรับประเด็นนี้ลุงแมวน้ำขอยกไปคุยกันในข้อต่อๆไป ประเด็นสำคัญของข้อนี้ที่อยากจะฝากแก่เพื่อนนักลงทุนก็คือต้องรู้จักเลือกจังหวะในการเทรด
(โปรดอ่านต่อในวันถัดไป)
Monday, September 13, 2010
Friday, September 10, 2010
09/09/2010 * เทรดตามระบบแล้วได้กำไรแน่ๆหรือไม่ (5)
วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 921.49 จุด ลดลง 2.39 จุด
สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย BLA และมีสัญญาณซื้อ PTTEP ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 42 ตัว
กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย
ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ดัชนีแดกซ์ (DAX) ของเยอรมนีเกิดสัญญาณซื้อ
เทรดตามระบบอย่างไรให้ได้กำไร
จากบทความทั้งสี่ตอนที่ผ่านมา เราลองมาทบทวนกันดูว่าเราได้พบข้อเท็จอะไรบ้างเกี่ยวกับการเทรดตามระบบโดยใช้ระบบ Peak and Trough 1.1 หรือ PnT 1.1 เป็นตัวแบบ
ข้อ 1 เลือกตลาดที่มีทิศทาง
จากสถิติที่ลุงแมวน้ำได้แสดงให้เห็นตั้งแต่ตอนที่ 1 เราจะพบว่าไม่ใช่ว่าผลิตภัณฑ์ทุกตัวจะเทรดแล้วได้กำไร หุ้นหรือสินค้าบางตัวเทรดแล้วขาดทุนก็มี สาเหตุก็เพราะธรรมชาติของราคานั่นเอง สินค้าแต่ละตัวอาจมีรูปแบบราคาแตกต่างกันไป ซึ่งรูปแบบราคาที่แกว่งเป็นคาบหรือว่าแกว่งเป็นคลื่นจะทำไร้ทิศทางในการเทรด รูปแบบเช่นนี้เป็นรูปแบบที่ระบบแทรดตามแนวโน้มทำกำไรไม่ได้ พูดง่ายๆว่าแพ้ทางมวยกันนั่นเอง ลองดูตัวอย่างสองรูปต่อไปนี้
จะเห็นว่าราคาดำเนินไปแบบ sideway หรือว่าไร้ทิศทางเป็นเวลานาน ทำให้เกิดสัญญาณหลอกซ้ำแล้วซ้ำอีก แบบนี้เทรดอย่างไรก็ขาดทุน ดังนั้นต้องรู้จักเลือกตลาดหรือสินค้าที่จะเทรด ต้องเลือกสินค้าที่ราคามักมีทิศทางหรือว่ามักมีเทรนด์ อีกทั้งควรเป็นสินค้าที่ราคาไม่แกว่งรุนแรง โดยทั่วไปแล้วดัชนีจะเคลื่อนไหวด้วยรูปแบบที่นุ่มนวลเนื่องจากดัชนีเกิดจากการเฉลี่ยของสินค้าหลายๆตัว ดังนั้นจึงมักไม่หวือหวาเหมือนราคาสินค้าตัวเดี่ยว ดังนั้นข้อพิจารณากว้างๆก็คือการเทรดดัชนีน่าสนใจกว่าการเทรดสินค้าเดี่ยว
ข้อ 2 เลือกตลาดที่มีโอกาสทำกำไรสูงกว่า
ข้อนี้ต้องอาศัยผลการคำนวณกำไรขาดทุนในอดีตเข้ามาช่วย กล่าวคือ อาศัยสถิติมาคำนวณความน่าจะเป็นที่จะได้กำไร แล้วเลือกเอาสินค้าที่มีความน่าจะเป็นในการได้กำไรสูงๆ ถ้าไม่มีซอฟต์แวร์ก็จากยุ่งยากเอาการ ลองมาดูตัวอย่างกัน
จากตารางข้างบนนี้ สินค้าที่น่าเทรดเพราะมีความน่าจะเป็นที่จะทำกำไรค่อนข้างสูงก็คือดัชนี SET รองลงมาก็จะเป็นดัชนีหั่งเส็ง (HSI) ยางโตคอม (JPIR) และดัชนีดอลลาร์ สรอ (DX)
สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย BLA และมีสัญญาณซื้อ PTTEP ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 42 ตัว
กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย
ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ดัชนีแดกซ์ (DAX) ของเยอรมนีเกิดสัญญาณซื้อ
เทรดตามระบบอย่างไรให้ได้กำไร
จากบทความทั้งสี่ตอนที่ผ่านมา เราลองมาทบทวนกันดูว่าเราได้พบข้อเท็จอะไรบ้างเกี่ยวกับการเทรดตามระบบโดยใช้ระบบ Peak and Trough 1.1 หรือ PnT 1.1 เป็นตัวแบบ
- จากตัวอย่างผลการเทรดอย่างยาวนานกว่า 10 ปี ผลิตภัณฑ์ 11 ตัว ถ้าเทรดด้านลอง (ซื้อแล้วขาย) เพียงทางเดียว จะเกิดผลกำไร 5 ตัว และผลิตภัณฑ์อีก 6 ตัวขาดทุน และถ้าเทรดทั้งด้านลองและชอร์ต จะเกิดผลกำไรเพียง 4 ตัว (ยังไม่พิจารณาว่ากำไรมากน้อยเพียงใด)
- โอกาสได้กำไรจากการเทรดมีไม่ถึงครึ่ง กล่าวคือ ในการเทรดด้านลอง 100 ครั้งมีโอกาสได้กำไรเพียง 40 ครั้ง และในการเทรดด้านชอร์ต 100 ครั้งมีโอกาสได้กำไรเพียง 35 ครั้ง (ยังไม่พิจารณาว่ากำไรมากน้อยเพียงใด)
- ในครั้งที่ได้กำไร ผลกำไรที่ได้ในแต่ละครั้งมักอยู่ในช่วง 0-9% โดยมีความชุกอยู่ที่ระดับ 0-2%
- ในการเทรดครั้งที่ขาดทุน ผลขาดทุนในแต่ละครั้งมักอยู่ในช่วง 0-6% โดยมีความชุกที่ระดับ 3-4%
- ในยามเคราะห์ร้าย ระดับการขาดทุนอาจมากกว่า 30% ก็ได้
ข้อ 1 เลือกตลาดที่มีทิศทาง
จากสถิติที่ลุงแมวน้ำได้แสดงให้เห็นตั้งแต่ตอนที่ 1 เราจะพบว่าไม่ใช่ว่าผลิตภัณฑ์ทุกตัวจะเทรดแล้วได้กำไร หุ้นหรือสินค้าบางตัวเทรดแล้วขาดทุนก็มี สาเหตุก็เพราะธรรมชาติของราคานั่นเอง สินค้าแต่ละตัวอาจมีรูปแบบราคาแตกต่างกันไป ซึ่งรูปแบบราคาที่แกว่งเป็นคาบหรือว่าแกว่งเป็นคลื่นจะทำไร้ทิศทางในการเทรด รูปแบบเช่นนี้เป็นรูปแบบที่ระบบแทรดตามแนวโน้มทำกำไรไม่ได้ พูดง่ายๆว่าแพ้ทางมวยกันนั่นเอง ลองดูตัวอย่างสองรูปต่อไปนี้
จะเห็นว่าราคาดำเนินไปแบบ sideway หรือว่าไร้ทิศทางเป็นเวลานาน ทำให้เกิดสัญญาณหลอกซ้ำแล้วซ้ำอีก แบบนี้เทรดอย่างไรก็ขาดทุน ดังนั้นต้องรู้จักเลือกตลาดหรือสินค้าที่จะเทรด ต้องเลือกสินค้าที่ราคามักมีทิศทางหรือว่ามักมีเทรนด์ อีกทั้งควรเป็นสินค้าที่ราคาไม่แกว่งรุนแรง โดยทั่วไปแล้วดัชนีจะเคลื่อนไหวด้วยรูปแบบที่นุ่มนวลเนื่องจากดัชนีเกิดจากการเฉลี่ยของสินค้าหลายๆตัว ดังนั้นจึงมักไม่หวือหวาเหมือนราคาสินค้าตัวเดี่ยว ดังนั้นข้อพิจารณากว้างๆก็คือการเทรดดัชนีน่าสนใจกว่าการเทรดสินค้าเดี่ยว
ข้อ 2 เลือกตลาดที่มีโอกาสทำกำไรสูงกว่า
ข้อนี้ต้องอาศัยผลการคำนวณกำไรขาดทุนในอดีตเข้ามาช่วย กล่าวคือ อาศัยสถิติมาคำนวณความน่าจะเป็นที่จะได้กำไร แล้วเลือกเอาสินค้าที่มีความน่าจะเป็นในการได้กำไรสูงๆ ถ้าไม่มีซอฟต์แวร์ก็จากยุ่งยากเอาการ ลองมาดูตัวอย่างกัน
จากตารางข้างบนนี้ สินค้าที่น่าเทรดเพราะมีความน่าจะเป็นที่จะทำกำไรค่อนข้างสูงก็คือดัชนี SET รองลงมาก็จะเป็นดัชนีหั่งเส็ง (HSI) ยางโตคอม (JPIR) และดัชนีดอลลาร์ สรอ (DX)
Subscribe to:
Posts (Atom)