Tuesday, October 18, 2011

17/10/2011 * มองตลาดในสัปดาห์นี้, Currencies, DX, GC, DAX

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 971.63 จุด เพิ่มขึ้น 15.82 จุด ต่างชาติซื้อสุทธิอีก

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ BANPU, BEC, CPF, ESSO, IVL, SCB ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 10 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดหุ้นย่านเอเชียแปซิฟิกปิดเขียวเป็นส่วนใหญ่ ส่วนทางยุโรปกับอเมริกาปิดแดงทั้งสองภูมิภาค ตลาดหุ้นที่ขึ้นแรงได้แก่ตลาดหุ้นประเทศอียิปต์และตลาดหุ้นฮ่องกง ส่วนตลาดหุ้นออสเตรียปรับตัวขึ้นต่อเนื่องมาหลายวันแล้ว ตลาดหุ้นที่ลงแรงได้แก่ตลาดหุ้นกรีซ ตุรกี อิตาลี

วันนี้ดัชนีตลาดหุ้นของญี่ปุ่น มาเลเซีย และเกาหลีใต้เกิดสัญญาณซื้อ



มองตลาดในสัปดาห์นี้


ตลาดหุ้นทางฝั่งยุโรปวันนี้ปรับตัวลดลงหลังจากมีข่าวว่าสองชาติผู้นำคือเยอรมนีและฝรั่งเศสน่าจะยังไม่มีแผนอะไรที่ชัดเจนเกี่ยวกับการแก้ปัญหาวิกฤตหนี้ของยุโรปในเร็ววันนี้ เงินดอลลาร์ สรอ เริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้นอีกในขณะที่เงินยูโรอ่อนค่าลง ลองมาดูอัตราแลกเปลี่ยนในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมากัน ดังภาพต่อไปนี้


จากภาพบน จะเห็นว่าเงินสกุลแคนาดาและยุโรปแข็งค่าต่อเนื่องมาตลอดสัปดาห์ และมาอ่อนค่าในวันนี้ ส่วนกลุ่มเงินสกุลเอเชียแปซิฟิก เงินดอลลาร์ออสเตรเลีย ดอลลาร์สิงคโปร์แข็งค่ามาตลอดสัปดาห์และมาอ่อนค่าลงบ้างในวันนี้เช่นกัน ส่วนเงินเยนกับเงินบาทค่อยๆแข็งค่ามาเรื่อยๆ ในวันนี้ก็ไม่อ่อนทั้งๆที่เงินดอลลาร์ สรอ เริ่มแข็งค่าขึ้น ประกอบกับยอดซื้อหุ้นของต่างชาติซื้อสุทธิมาหลายวันแล้ว ดังนั้นลุงแมวน้ำคาดว่ามีเงินต่างชาติไหลเข้ามาเก็งกำไรในตลาดหุ้นบ้านเรา

ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ลองดูภาพดัชนี DAX ของเยอรมนีดังภาพต่อไปนี้


จะเห็นว่า DAX ทำคลื่นย่อยขาขึ้นอันเป็นคลื่นปรับฐาน (reactive wave) ขึ้นมาที่ระดับฟิโบนาชชี 38.2% แล้ว เป็นไปได้ว่าอาจจบคลื่นย่อย 2 (สีน้ำเงิน) แถวนี้และทำคลื่นย่อยขาลง คือคลื่น 3 ในคลื่น C ต่อไป ผลจากการที่ตลาดยุโรปเข้าสู่คลื่น 3 ก็คือตลาดหุ้นของสหรัฐอเมริกาก็น่าจะเข้าสู่คลื่น 3 อันเป็นคลื่นขาลงในคลื่น C ด้วยเช่นกัน เงินดอลลาร์ สรอ น่าจะแข็งค่าขึ้น และเข้าสู่คลื่นย่อยขาขึ้นต่อไป ดังภาพต่อไปนี้



ดัชนีดอลลาร์ สรอ ไหลลงมาจนถึงระดับ fibonacci 50% พอดีดังในภาพข้างบน ส่วนทองคำน่าจะปรับตัวลงต่อ ดังภาพต่อไปนี้



จะเห็นว่าทองคำ (GC) รีบาวด์ขึ้นมาจนถึงระดับ 23.6% พอดี โปรดสังเกตว่าทั้งดัชนี DAX ค่า DX, GC ล้วนแต่ถึงระดับของฟิโบนาชชีระดับใดระดับหนึ่งพอดีทั้งสิ้น


ดังที่ลุงแมวน้ำสันนิษฐานว่าน่าจะมีเงินต่างชาติเข้ามาเก็งกำไรระยะสั้น ดังนั้นในสัปดาห์นี้ (17-21 ตุลาคมนี้) ถ้าตลาดหุ้นในยุโรปและอเมริกาเข้าสู่คลื่นย่อยขาลง คือตลาดหุ้นลงต่อ คงต้องดูกันว่าเงินต่างชาติจะดันตลาดหุ้นไทยสวนกระแสในช่วงสั้นได้หรือไม่ หรือว่าจำต้องไหลตามตลาดโลก คือลุงแมวน้ำมองว่าหากสวนได้ก็แค่ช่วงสั้น หลังจากนั้นเงินเหล่านี้คงเก็บกวาดกำไรและไหลออกไป และตลาดหุ้นบ้านเราก็จะเป็นไปตามตลาดโลก ผู้ที่เพิ่งเข้าลงทุนเมื่อไม่นานมานี้เสียเปรียบมาก เพราะคาดเดาตลาดไม่ถูกเลย อีกทั้งอาจไม่เป็นไปตามตลาดเพื่อนบ้านเพราะมีเงินไหลเข้ามาซึ่งมีมากพอที่จะชี้นำตลาดหุ้นไทยในช่วงสั้นๆได้ ตลาดหุ้นไทยน่าจะแกว่งแรง

ผู้ที่เข้าออกตามสัญญาณคงไม่น่าเป็นไรเพราะสัญญาณขายของ SETI เกิดมานานแล้วและยังไม่ได้เปลี่ยนเป็นสัญญาณซื้อ พอร์ตจึงยังคงว่างอยู่



14/10/2011 * SETI

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 955.81 จุด เพิ่มขึ้น 18.99 จุด ต่างชาติซื้อสุทธิอีก

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ GLOW ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 4 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดหุ้นย่านเอเชียแปซิฟิกปิดเขียวกับแดงคละกัน ส่วนทางยุโรปกับอเมริกาปิดบวกทั้งสองภูมิภาค ตลาดหุ้นที่ขึ้นแรงได้แก่ตลาดหุ้นประเทศอาร์เจนตินา สวีเดน อิตาลี รัสเซีย และไทย

วันนี้ดัชนีตลาดหุ้นของนอร์เวย์เกิดสัญญาณซื้อ ดัชนี Dow Jones Global Index (W1DOW) และดัชนี MSCI AC World (ดูแทนด้วย ACWI) เกิดสัญญาณซื้อ เงินปอนด์ของอังกฤษก็แข็งค่าจนเกิดสัญญาณซื้อ

ขณะนี้ดัชนีตลาดหุ้นของไทยหรือ SETI อยู่ในคลื่นย่อยขาขึ้น คลื่นย่อยนี้เป็น reactive wave หรือคลื่นปรับฐานในคลื่นขาลง แนวโน้มใหญ่ของตลาดหุ้นไทยลุงแมวน้ำยังมองเป็นคลื่นใหญ่ขาลงตามคลื่นขาลง C ใหญ่ของยุโรปและสหรัฐอเมริกา เพียงแต่ว่าขณะนี้ทำคลื่นย่อยอันเป็นคลื่นขาขึ้นอยู่ ดังภาพต่อไปนี้ สังเกตว่ามีสัญญาณกลับทิศสองประการ คือ รูปแบบแท่งเทียนที่เป็นเกาะลอย (island of reversal) และการเกิดช่องว่างขาขึ้น (rising window) ประกอบกับต่างชาติซื้อสุทธิมาพักใหญ่ และขณะนี้คลื่นย่อยขาขึ้นนี้ขึ้นไปได้ประมาณ 38.2% ของระดับฟิโบนาชชี (fibonacci) แล้ว


นักลงทุนลองดูภาพนี้แล้วทบทวนดูอารมณ์ของตนเองในช่วงเวลาไม่นานที่ผ่านมา ตอนที่ดัชนีไหลลง อะไรๆก็ดูน่ากลัวไปเสียหมด กลุ้มใจเพราะติดหุ้น ขายไม่ทันหรือเสียดายขายไม่ลง ข่าวร้ายนิดหน่อยก็ตกใจ มีการปรับเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นเป็นตัวเลขต่ำๆ ฯลฯ แต่เมื่อตลาดกลับเป็นคลื่นขาขึ้น ข่าวร้ายอะไรก็ไม่สนใจ ไม่ว่าจะเป็นข่าวประท้วง ข่าวการลดอันดับเครดิต แม้แต่ข่าวการปรับลดเป้าหมายจีดีพีของประเทศก็ล้วนไม่มีความหมาย อารมณ์กลัวตกรถมีมากกว่า มีการให้เป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นปลายปีที่ตัวเลขสูงๆ ฯลฯ

ลุงแมวน้ำจึงบอกว่าความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในตลาดหุ้นนั้นเกี่ยวข้องกับปัจจัยด้านอารมณ์ด้วย ซึ่งอารมณ์นั้นบางครั้งก็ไม่มีเหตุผลและไม่มีพื้นฐาน หุ้นดีๆก็อาจมีราคาถูกแล้วถูกอีกก็ได้ หรือสถานการณ์แวดล้อมไม่ค่อยดีแต่ราคาหุ้นอาจขึ้นเอาๆก็ได้เช่นกัน ข่าวจากสื่อต่างๆพยายามอธิบายว่าเหตุใดราคาหุ้นจึงขึ้น (หรือลง) โดยพยายามเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ต่างๆ แต่ก็ไม่แน่ว่าจะถูกต้องเสมอไป

ตลาดหุ้นที่ขึ้นในช่วง 7-8 วันที่ผ่านมา ลุงแมวน้ำมองว่าเป็นเพียงคลื่นปรับฐานในคลื่นขาลง ซึ่งอาจขึ้นไปได้ถึงระดับ fibonacci 38.2% ถึง 61.8% คือดัชนีอาจปรับตัวไปถึง 970 จุด อย่างมากไม่เกินดัชนี 1030 จุด หลังจากนั้นก็จะกลับเข้าสู่คลื่นย่อยขาลงตามเดิม ถึงตอนนั้นความกังวลและตื่นกลัวต่อข่าวต่างๆก็จะกลับมาอีก อารมณ์จะเปลี่ยนจากตอนนี้ชนิดพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ




Monday, October 17, 2011

13/10/2011

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 936.82 จุด ลดลง 15.95 จุด ต่างชาติซื้อสุทธิอีก 3,000 ล้านบาท

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 3 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดหุ้นย่านเอเชียแปซิฟิกปิดเขียวกับแดงคละกัน ส่วนทางยุโรปกับอเมริกาปิดแดง ตลาดหุ้นที่ขึ้นแรงได้แก่ตลาดหุ้นประเทศอียิปต์ อาร์เจนตินา และตลาดหุ้นฮ่องกง ตลาดหุ้นที่ลงแรงได้แก่ อิตาลี ตุรกี แอฟริกาใต้ และสวีเดน

วันนี้ดัชนีสินค้าเกษตร (DJUBSAG) เกิดสัญญาณซื้อ



12/10/2011

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 952.77 จุด เพิ่มขึ้น 7.97 จุด ต่างชาติซื้อสุทธิอีก

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ TPIPL ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 3 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ฟิวเจอร์สของราคาพันธบัตรรัฐบาลอเมริกันอายุ 30 ปี (US) เกิดสัญญาณขาย

ตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดหุ้นย่านเอเชียแปซิฟิกปิดเขียวเป็นส่วนใหญ่ ส่วนทางยุโรปกับอเมริกาปิดเขียวทั้งหมด เพราะเรื่องปัญหาหนี้ของทางยุโรปดูมีความคืบหน้าบ้าง ตลาดหุ้นที่ขึ้นแรงได้แก่ตลาดหุ้นประเทศรัสเซีย กรีซ ออสเตรีย อาร์เจนตินา จีน และชิลี

วันนี้ดัชนีตลาดหุ้นเม็กซิโก โปแลนด์ ตุรกี และอินเดีย เกิดสัญญาณซื้อ เงินเยนอ่อนค่าจนเกิดสัญญาณขาย



Wednesday, October 12, 2011

11/10/2011

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 944.80 จุด เพิ่มขึ้น 21.63 จุด ต่างชาติซื้อสุทธิอีก

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ BH ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 2 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดหุ้นย่านเอเชียแปซิฟิกปิดเขียวกับแดงคลกัน ยุโรปปิดอ่อนๆ (คือลบไม่มาก) ส่วนอเมริกาวันนี้ปิดคละเช่นกัน ตลาดหุ้นที่ขึ้นแรงในวันนี้คืออาร์เจนตินา

ดัชนีตลาดหุ้นของออสเตรเลีย AORD วันนี้เกิดสัญญาณซื้อ ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทกับสิงคโปร์ดอลลาร์อ่อนกว่าปกติเล็กน้อย ค่า TED spread กับ LIBOR-OIS spread ปรับตัวสูงขึ้น สะท้อนภาวะสภาพคล่องของโลกการเงินยังตึงตัว สัปดาห์ที่แล้วเงินดอลลาร์ สรอ เพียงแค่ย่อเท่านั้น ลุงแมวน้ำยังมอง ดอลลาร์ สรอ เป็นขาขึ้นเช่นเดิม ดังนั้นยังควรระวังราคาทองคำกับน้ำมันดิบ ที่น่าจะปรับตัวลงสวนทางกับดอลลาร์ สรอ




10/10/2011

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 923.17 จุด เพิ่มขึ้น 14.0 จุด

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย DTAC ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 1 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้เกิดสัญญาณซื้อฟิวเจอร์สของดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJ) ฟิวเจอร์สของดัชนีนิกเกอิ (NK) และฝ้าย (CT)

ตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดหุ้นทั้งสามภูมิภาคปรับตัวขึ้นเป็นส่วนใหญ่ ทั้งเอเชียแปซิฟิก ยุโรป และอเมริกา ด้านยุโรป ดัชนีตลาดหุ้นของสวีเดนและเบลเยียมเกิดสัญญาณซื้อ ด้านอเมริกา ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJIA) และดัชนี S&P 500 ของสหรัฐอเมริกาเกิดสัญญาณซื้อ

วันนีดัชนีในกลุ่มธุรกิจต่างๆเกิดสัญญาณซื้อพร้อมๆกันหลายดัชนีทีเดียว เนื่องจากช่วงนี้ตลาดหุ้นรีบาวด์ต่อเนื่องหลายวันอันเนื่องมาจากสถานการณ์ในยุโรปดูเหมือนจะดีขึ้น ลุงแมวน้ำใช้คำว่าดูเหมือนจะดีขึ้น เพราะเป็นด้านความรู้สึกที่ตอบสนองต่อข่าวสารมากกว่า ตลาดหุ้นในหลายประเทศอาจเกิดสัญญาณซื้ออาจเตามมาได้อีก แต่ลุงแมวน้ำคาดว่าน่าจะเป็นสัญญาณหลอก (false signal)



Monday, October 10, 2011

07/10/2011 * SETI, DJI, Currencies

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 909.17 จุด ลดลง 4.55 จุด ต่างชาติซื้อสุทธิอีก

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 2 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดหุ้นย่านเอเชียแปซิฟิกปิดเขียวและยุโรปปิดเขียว ส่วนอเมริกาวันนี้ปิดแดง ดัชนีตลาดหุ้นของอังกฤษ FTSE 100 วันนี้เกิดสัญญาณซื้อ

ลองดูกราฟดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJIA) ของสหรัฐอเมริกากัน ติดกรอบแนวต้านบน ดัชนีอาจปรับตัวลงได้ในสัปดาห์นี้ ดังภาพต่อไปนี้




ส่วนตลาดหุ้นไทย ช่วงนี้ดูแปลกๆ หุ้นลงแต่ต่างชาติซื้อสุทธิต่อกันมาหลายวันแล้ว อีกประการคือช่วงสัปดาห์ที่แล้วมีต่างชาติวิเคราะห์ตลาดหุ้นไทยในแง่ลบหลายราย อย่างน้อยก็ CLSA รายหนึ่ง ปกติตลาดหุ้นไทยตอบสนองกับข่าวพวกนี้ คือถ้ามองลบดัชนีก็ลง แต่สัปดาห์ที่แล้วไม่ตอบสนองข่าวนี้เลย ก็เป็นข้อสังเกตอีกประการหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม ลุงแมวน้ำพึ่งปัจจัยทางเทคนิคเป็นหลัก ในทางเทคนิคแนวโน้มยังเป็นขาลงเช่นเดิมเนื่องจากยังไม่มีสัญญาณกลับทิศที่ชัดเจนและมีน้ำหนักพอ

ดัชนี SETI เกิดรูปแบบเกาะลอย (island of reversal) อันเป็นสัญญาณกลับทิศประการหนึ่ง แต่อาจจะหมดสภาพเกาะลอยได้หากดัชนีร่วงลงมาปิดช่องว่าง ดังนั้นยังต้องตามดูต่อไปอีกสักสองสามวัน



ดัานอัตราแลกเปลี่ยน สัปดาห์ที่แล้วอัตราแลกเปลี่ยนแกว่งตัวในช่วงแคบ เรียกได้ว่าทรงตัว ยกเว้นฟรังก์สวิสที่ยังอ่อนค่าต่อเนื่อง กับดอลลาร์ออสเตรเลียที่แข็งค่าขึ้น




Friday, October 7, 2011

06/10/2011 * ลงทุนหุ้นเสี่ยงสูงขึ้น, K-Agri, KFTRB, TMBGF, หุ้นดี ราคาถูก (2)



วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 913.72 จุด เพิ่มขึ้น 51.07 จุด (5.92%) ต่างชาติซื้อสุทธิอีก ขณะนี้ดัชนีของตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนสูงขึ้นมาก SETI ค่า vi (volatility index) สูงถึง 3.2% (ดูในรายงานของลุงแมวน้ำ) ผันผวนพอๆกับตลาดหุ้นหั่งเส็งของฮ่องกงแล้ว และผันผวนมากกว่าตลาดหุ้นเพื่อนบ้านอีกหลายๆประเทศ อาทิ สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินเดีย ไต้หวัน จีน สหรัฐอเมริกา ฯลฯ

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 2 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณขายฟิวเจอร์สของพันธบัตรรัฐบาลอเมริกัน อายุ 5 ปี (FV)

ตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดหุ้นย่านเอเชียแปซิฟิกปิดเขียว (ตลาดหุ้นจีนกับอินเดียหยุด) อันเป็นผลจากดัชนีของยุโรปและสหรัฐอเมริการีบาวด์ค่อนข้างแรงเมื่อวานนี้ ทางด้านตลาดฝั่งยุโรปและอเมริกาวันนี้ก็ยังขึ้นต่อ ดังนั้นจึงปิดเขียวทั้งสามภูมิภาค ตลาดที่ขึ้นแรงมีจำนวนมาก โปรดดูในภาพ โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยติดอันดับสองของตลาดที่ขึ้นแรงที่สุด

สาเหตุที่ตลาดหุ้นขึ้นแรงในช่วงสองวันมานี้เกิดจากข่าวจากทางกลุ่มยูโรโซน (Eurozone) โดยผู้นำของกลุ่ม ได้แก่ เยอรมนี ฝรั่งเศส มีท่าทีชัดเจนขึ้นเกี่ยวกับการปัญหาเศรษฐกิจในกลุ่ม โดยมีการปรึกษาหารือกันเรื่องการรักษาเสถียรภาพของสถาบันการเงินในกลุ่มที่เป็นเจ้าหนี้พันธบัตรของกรีซเอาไว้ ซึ่งนอกจากการเตรียมอัดฉีดสภาพคล่องให้ในยามจำเป็นแล้วยังรวมไปถึงการให้สถาบันการเงินต่างๆเพิ่มทุนอีกด้วย

ข่าวนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกถือว่าเป็นข่าวดีจนทำให้ตลาดหุ้นขึ้นแรง แต่หากพิจารณาให้ละเอียดแล้วจะพบว่า ท่าทีเหล่านี้ส่อนัยว่ากรีซต้องผิดนัดชำระหนี้แน่ ซึ่งเท่าที่ผ่านมา ความพยายามในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของกลุ่มยูโรโซน รวมทั้งได้ความสนับสนุนจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ เน้นที่การช่วยเหลือกรีซเพื่อไม่ให้ผิดนัดชำระหนี้ยังทำไม่ได้ การป้องกันสถาบันการเงินต่างๆจากการผิดนัดชำระหนี้ของกรีซนั้นในขณะนี้ยังไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจน จึงยังไม่ทราบว่าวิธีการต่างๆที่จะสรุปกันออกมานั้นจะมีรายละเอียดอย่างไร ปฏิบัติได้หรือไม่ และสามารถยับยั้งวิกฤตสถาบันการเงินได้จริงหรือไม่ นอกจากนี้ สถาบันจัดอันดับเครดิตได้ลดอันดับพันธบัตรอิตาลีบางรายการลง ซึ่งเป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดีนัก คาดว่าต่อไปคงมีการลดอันดับตามมาอีก และปัญหาของอิตาลีอาจประทุตามมา ดังนั้นลุงแมวน้ำมีความเห็นว่าข่าวในวันสองวันนี้ยังไม่มีน้ำหนักพอที่จะเป็นข่าวดีได้ การลงทุนยังคงต้องระมัดระวังอย่างสูง โดยเฉพาะการลงทุนหุ้น

ลองมาดูกราฟ NAV ของกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศกัน ลุงแมวน้ำนำมาให้ดู 3 กองทุน

กองทุนแรก K-Agri ลงทุนในสินค้าเกษตร ระยะนี้ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวลงมาก มูลค่าหน่วยลงทุนก็ลดลงไปมากพอดู มูลค่าลดลงจากยอดคลื่น -17.6%



กองทุนถัดมา TMBGF ลองทุนในกองทุนตราสารหนี้เทมเพิลตัน (Templeton Global Bond Fund) อันเป็นกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่เป็นส่วนใหญ่และทำกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากสกุลเงินท้องถิ่นอีกทางหนึ่งด้วย ช่วงนี้เงินดอลลาร์ สรอ แข็งค่า อีกทั้งมีเงินลงทุนไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ รวมทั้งเงินบาทอ่อน เสียเปรียบทั้งด้านมูลค่าของพันธบัตรและด้านอัตราแลกเปลี่ยน มูลค่าหน่วยลงทุนลดลงจากยอดคลื่นแล้ว -8.5%



กองทุนตราสารหนี้ KFTRB ลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ PIMCO Total Return Bond Fund ที่เน้นลงทุนในพันธบัตรอเมริกัน เท่าที่ทราบเมื่อต้นปีมานี้มีการปรับกลยุทธ์ไปลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทในยุโรปด้วยเพื่อเพิ่มผลกำไรให้แก่กองทุน ช่วงนี้ราคาพันธบัตรอเมริกันปรับตัวขึ้น แต่มูลค่าหน่วยลงทุนของ KFTRB ลดลงนิดหน่อย ประมาณ -2.7%





หุ้นดี ราคาถูก (2)


“ใครจะไปรู้ละลุง” ลิงจ๋อตอบ

“ก็นั่นน่ะสิ ใครจะไปรู้ ก็ได้แต่ประเมินกันตามแต่ทัศนคติและข้อมูลที่ตนเองมี หากเป็นทางปัจจัยพื้นฐานก็อาจประเมินจากค่า PER ในอดีต แล้วคำนวณย้อนกลับเป็นราคาเป้าหมายก็ได้ ค่า PER ที่จะนำมาใช้ก็เลือกเอาค่า PER ที่ต่ำๆในช่วงตลาดขาลงมาหลายๆค่า แล้วลองประมาณดู”

“แล้วถ้าประเมินทางเทคนิคล่ะ” ลิงจ๋ออยากรู้ต่อไปอีก

“หากประเมินทางเทคนิค” ลุงแมวน้ำหยุดคิด “ความเห็นของลุงก็คือมองจุดต่ำสุดเมื่อคราว วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ เอาไว้เป็นเกณฑ์ หากจะดีกว่านั้นก็คงได้ไม่มาก”

“อ้อ พอเข้าใจแล้ว” ลิงชิมแปนซีตอบ จากนั้นก็ถามต่อ “ลุงๆ ลุงลองประเมินราคาเป้าหมายให้ดูเป็นตัวอย่างอีกสักหุ้นหนึ่งได้ไหม”

“เข้าใจพูดนะ” ลุงแมวน้ำดักคอ “ถือตัวไหนอยู่ล่ะ อยากจะรู้ว่าตัวที่ถือจะลงไปแค่ไหนก็บอกมาเถอะ”

“แหมๆๆ ก็ทำนองนั้นแหละลุง” ลิงยกหางมาปิดตา ทำท่าเขิน “ดูหุ้นธนาคารกะลุกปุ๊กไทยให้หน่อยสิ”

ลุงแมวน้ำได้ยินดังนั้นจึงดึงกระดาษสองแผ่นออกมาจากในหูกระต่าย จากนั้นวางใบหนึ่งลงให้ลิงจ๋อดู

“เอ้า ลองดูนี่” ลุงแมวน้ำพูด “ราคาเป้าหมายที่ประเมินทางเทคนิค อาจจะลงไปได้ถึงประมาณ 65 บาท หรือ 40 บาท ตามระดับฟิโบนาชชี 61.8% กับ 78.6% ตามลำดับ”




“แล้วถ้าใช้ค่า PER ล่ะ” ลิงยังอยากรู้

ลุงแมวน้ำวางกระดาษอีกแผ่นหนึ่งให้ลิงจ๋อดู

“นี่ไง ใช้ค่า EPS ของปี 2010 คือ 7.78 บาทต่อหุ้นเป็นฐานในการคำนวณ ราคาเป้าหมายในปีนี้ที่ PER 5.5 เท่า ราคาเป้าหมายควรเป็น 43 บาทต่อหุ้น เท่ากับระดับฟิโบนาชชิ 78.6% หากประเมินว่าค่า PER ไม่น่าแย่ขนาดนั้น ก็ใช้ค่า PER อื่นๆที่สูงกว่านี้มาคำนวณ”




“ถ้ายังงั้นขอถามอีกข้อได้ไหม” ลิงจ๋อทำหน้าอึกอัก “นะนะนะ อีกข้อเดียว”

“เอาเถอะ จะถามตัวไหนอีก” ลุงแมวน้ำรู้ทัน”ไม่ต้องเกรงใจไป”

“อยากรู้ว่าดัชนีเซ็ตนี่ประเมินด้วยวิธี PER นี้ได้เหมือนกันไหม” ลิงถาม

“ได้สิ” ลุงแมวน้ำตอบ “เพราะว่าตลาดหลักทรัพย์ก็มีการคิดค่ากำไรต่อหุ้น (EPS) ของดัชนีเอาไว้เหมือนกัน หากมีค่า EPS ก็คำนวณค่า PER ได้ ลองดูนี่สิ” ลุงแมวน้ำพูด ว่าแล้วก็ดึงกระดาษอีกสองแผ่นออกมาจากในหูกระต่าย





“จากในภาพ หากใช้ PER ของดัชนีเป็น 6.5 เท่า จะได้ SETI เป้าหมายคือ 553 จุด หรือถ้าประเมินดีกว่านั้น เช่น ใช้ PER ที่ 8 เท่า ก็ได้ SETI เป้าหมายที่ 680 จุด หรือหากมองว่าแย่มากๆก็ไปดูที่ค่า PER ที่ 5 หรือ 6 เท่า”

“แล้วทางปัจจัยพื้นฐานมีวิธีประเมินราคาเป้าหมายอย่างอื่นอีกไหมนอกจากใช้ค่า PER” ลิงยังอยากรู้ต่อ

“หากเป็นวิธีที่ง่ายๆ ใช้การคำนวณไม่มาก นักลงทุนรายย่อยทั่วไปสามารถคำนวณได้เอง ก็อาจจะใช้ค่าอัตราส่วนราคาต่อมูลค่าตามบัญชีของหุ้นก็ได้ ที่เขาเรียกกันว่า price per book value หรือเขียนย่อๆว่า P/BV หรือ PBV ก็ได้ ที่จริงรายงานราคาหุ้นประจำวันตามหน้าหนังสือพิมพ์ต่างๆก็มักรายงานค่าสองค่านี้เอาไว้เพื่อให้นักลงทุนสามารถดูและพิจารณาเพื่อ การลงทุนหุ้น ได้เลย ไม่ต้องไปคำนวณเอง หรือจะคำนวณเองก็ได้”

“แล้วทั้งวิธี PER กับ PBV ต่างกันยังไงละลุง” ลิงจ๋อถาม

“ลุงคิดว่าต่างกันในแง่มุมมอง ค่า PER คำนวณมาจากกำไรสุทธิต่อหุ้น นั่นคือการมองในแง่ความสามารถในการทำกำไร ส่วนค่า PBV คำนวณมาจากมูลค่าหุ้นตามบัญชี นั่นคือการมองในแง่สินทรัพย์ที่มีอยู่ คือมองความปลอดภัยในการได้เงินลงทุนคืนเป็นหลัก แต่ทั้งหมดนี้ก็มีหลักคิดเดียวกันคือ ประเมินความคุ้มค่าน่าลงทุนของหุ้น ตัวนั้นๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจใน การลงทุนหุ้น

“สองแง่มุมที่ว่านี้หมายความว่ายังไงลุง” ลิงจ๋อยังสงสัย

“ยกตัวอย่างง่ายๆ หากหุ้นตัวหนึ่งมีมูลค่าหุ้นตามบัญชี (ค่า BV) 100 บาท/หุ้น และหากนายจ๋อซื้อหุ้นนั้นมาที่ราคา 100 บาท ก็เท่ากับว่าหุ้นตัวนั้นที่ราคา 100 บาทมีค่า PBV เท่ากับ 1 หมายความว่ามูลค่าของทรัพย์สินต่อหุ้นเท่ากับราคาที่ซื้อมาพอดี หากบริษัทเป็นอะไรไป เอาทรัพย์สินในบริษัทไปขายก็ได้เงินมาประมาณ 100 บาทต่อหุ้น เอามาคืนให้แก่ผู้ถือหุ้น ดังนั้นหากลงทุนในราคานี้ถ้าบริษัทเป็นอะไรไปก็ยังได้คืนมาเสมอตัวหรือเกือบเสมอตัว โดยไม่ได้สนใจในประเด็นที่ว่าบริษัทนี้มีความสามารถในการทำกำไรเพียงใด นี่เปรียบเทียบให้ฟังแบบง่ายๆ”

“อ้อๆ พอเข้าใจแล้ว” ลิงจ๋อพูด “ขอกราฟไปดูหน่อยนะลุง ผมขอไปนอนคิดดูก่อนว่าจะจัดการกับเจ้าหุ้นลูกโป่งสวรรค์นี้ยังไงดี ไปละลุง เฮ้อ อยากเป็น นักลงทุนหุ้น ระยะยาว แต่มันก็ไม่ง่ายเลย”




05/10/2011

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 862.65 จุด เพิ่มขึ้น 7.20 จุด ต่างชาติซื้อสุทธิอีก

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 2 ตัว เป็นกลุ่มสื่อสาร

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดหุ้นย่านเอเชียแปซิฟิกส่วนใหญ่ปิดแดง ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ลดลงไปกว่า 2% ส่วนทางฝั่งยุโรปและอเมริกามีรีบาวด์ ดัชนีของเยอรมนีบวกไปเกือบๆ 5%



Wednesday, October 5, 2011

04/10/2011 * หุ้นดี ราคาถูก (1)

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 855.45 จุด ลดลง 13.86 จุด ต่างชาติซื้อสุทธิอีก 447 ล้านบาท

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 2 ตัว เหลือเพียงหุ้นกลุ่มสื่อสารเพียง 2 ตัวที่ยังไม่เกิดสัญญาณขาย

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดหุ้นย่านเอเชียแปซิฟิก ยุโรป และอเมริกา ปิดแดงทั้งสามภูมิภาค มีเพียงตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาที่ปิดบวกได้ ที่จริงตลอดเวลาทำการของตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ดัชนีตลาดหุ้นแดงตลอดเวลา จนท้ายตลาดราว 30 นาทีมีการไล่ดัชนีจนสามารถปิดบวกได้



หุ้นดี ราคาถูก (1)


เช้าวันจันทร์ที่ผ่านมา ขณะที่ลุงแมวน้ำกำลังจิ้มครีบลงบนแป้นพิมพ์อย่างขะมักเขม้นเพื่อปรับปรุงเว็บบล็อกอยู่ ลิงชิมแปนซีก็โผล่เข้ามา

“หวัดดีลุงแมวน้ำ” ลิงชิมแปนซีทักทาย

“หวัดดีนายจ๋อ ทำไมวันนี้หน้าซีดเป็นลิงต้มเชียว” ลุงแมวน้ำทัก เห็นหน้าลิงซีดเซียวผิดสังเกต

“ลุงดูหุ้นอยู่หรือเปล่า” ลิงถาม

“ยังไม่ได้ดูเลย มัวทำอย่างอื่นอยู่” ลุงแมวน้ำตอบ

“ลุงก็ดูเสียหน่อยสิ แล้วจะรู้” ลิงพูด

ลุงแมวน้ำเปิดดูราคาหุ้น เช้าวันนั้นตลาดหุ้นเพียงเริ่มต้นตลาด ดัชนีเซ็ตก็ตกลงไปถึง 33 จุดแล้ว

“นี่แหละ หุ้นตกหนัก ว่าจะปรึกษาลุงสักหน่อย” ลิงพูด “สัปดาห์ที่แล้วไปซื้อหุ้นเอาไว้น่ะ”

“เอาอีกแล้ว” ลุงแมวน้ำพูด

ดังที่ลุงแมวน้ำเคยเล่าให้ฟังไปบ้างแล้ว ลิงชิมแปนซีตัวนี้เป็นลิงเจ้าปัญญา มีนิสัยชอบเล่นหุ้น แต่มักเป็นการซื้อเร็วขายเร็ว ลิงมักบอกว่าตลาดหุ้นมีความเสี่ยง ดังนั้นขอแค่ค่ากล้วยนิดหน่อยก็พอ เข้าไวออกไวจะได้ไม่ต้องถือหุ้นนานๆให้เสี่ยง แต่ก็ปรากฏว่าซื้อขายแล้วมักขาดทุนเสมอ

“ไม่ได้เอาอีกแล้ว” ลิงจ๋อรีบพูด “คราวนี้ผมเป็นนักลงทุนแล้วนะ ซื้อหุ้นลูกโป่งสวรรค์เอาไว้ ไม่ได้เข้าไวออกไวแบบหาค่าขนม แต่คราวนี้อยากลงทุนถือนานๆเลย เพราะเห็นว่าราคาหุ้นตกลงมามากแล้ว น่าจะถึงเวลาซื้อได้แล้ว ลุงดูสิ ผมเลือกหุ้นที่เป็นหุ้นขวัญใจมหาชน บริหารดี กำไรดี ปันผลดี แนวโน้มธุรกิจก็ดี เศรษฐกิจจะดีหรือร้าย คนเราก็ต้องจัดเทศกาลงานรื่นเริง ลูกโป่งสวรรค์จึงขายได้ตลอดไม่ว่าสภาพเศรษฐกิจแบบไหน ถือเป็นหุ้นบลูชิป กองทุนต่างๆ ทั้งไทยและต่างชาติที่เข้ามาลงทุน ต่างก็ต้องมีติดพอร์ตไว้ทั้งนั้น”

“โอ้โฮ” ลุงแมวน้ำอุทาน “ทำการบ้านมาเสียด้วย ดีแล้วล่ะที่คิดลงทุนจริงๆจังๆเสียที”

“ไม่ใช่แค่นั้นนะ” ลิงพูดต่อ “ปีนี้กิจการกำไรดีด้วย มีรายได้เป็นรายการพิเศษอีก ค่าเพอร์อยู่ในราว 8 เท่ากว่าๆ เท่านั้น ถือว่าถูกมากแล้ว นี่แหละ ผมไปศึกษามา หุ้นดีราคาถูกแบบนี้ไม่ซื้อไม่ได้แล้ว”

ค่าเพอร์ (PER) ที่ลิงพูดถึงก็คือค่าพีอีเรโช (P/E ratio) หรืออัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้นนั่นเอง

“ดีมากๆ นายซื้อเพราะมีเหตุผลที่ดี มีการทำการบ้าน” ลุงแมวน้ำพูดด้วยความชื่นชม “แล้วที่จะปรึกษาลุงคืออะไรล่ะ”

“ก็หลังจากที่ซื้อ ราคาหุ้นก็ร่วงหนักน่ะสิ” ลิงทำหน้าจ๋อย “เลยอยากถามลุงว่าจะเอาไงดี มันจะร่วงไปถึงไหนกัน”

“อ้าว เป็นซะงั้น” ลุงแมวน้ำพูด “ข้อมูลดีแล้วทำไมยังไม่มั่นใจล่ะ”

“ก็ตอนที่ผมซื้อ ตอนนั้นหุ้นลูกโป่งสวรรค์ราคาหุ้นละ 290 กว่าบาท แต่ตอนนี้ราคาเหลือแค่ 240 กว่าบาทเท่านั้น ก็เลยกลุ้มน่ะสิ” ลิงพูด พลางเอาหางก่ายหน้าผาก “เงินผมหายไปเกือบ 20% แล้ว ไม่รู้จะทำยังไง ลุงรู้ไหมว่ามันจะร่วงไปถึงไหน”

“ถ้าลุงรู้ก็คงเป็นผู้วิเศษไปแล้วมั้ง” ลุงแมวน้ำตอบ “ลงไปถึงไหนคงตอบให้แน่นอนไม่ได้หรอก แต่หากให้ประเมินในแง่ความเป็นไปได้ละก็พอบอกได้ ซึ่งมันก็เป็นแค่ความน่าจะเป็น ไม่จำเป็นต้องเกิดตามนั้นแน่นอน แต่ก็น่าจะดีกว่าที่ไม่รู้อะไรเลย”

“เอายังงั้นก็ได้ ลุงประเมินว่ายังไงล่ะ” ลิงถาม

ลุงแมวน้ำล้วงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากหูกระต่าย พลางกางออกให้ลิงชิมแปนซีดู




“ในทางปัจจัยเทคนิค เรามีเทคนิคที่ใช้ในการวัดราคาเป้าหมาย นั่นคือการประเมินตามระดับฟิโบนาชชี (Fibonacci retracement) ราคาอาจลงไปได้ถึงระดับฟิโบนาชชี 61.8% หรืออาจลงไปถึง 78.6% ตามภาพนี้ ดังนั้นในขั้นต้นก็ประเมินเอาไว้ก่อนว่าอาจลงไปได้ถึง 230 บาทหรืออาจถึง 190 บาท”

“ลากเส้นนิดหน่อยก็รู้ได้เนี่ยนะ มันไม่ง่ายไปหน่อยหรือลุง” ลิงท้วง “ดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือเลย”

“นายจ๋ออาจดูว่ามันไม่น่าเชื่อถือ แต่เท่าที่ลุงใช้มาก็มีส่วนช่วยในการประเมินราคาเป้าหมายได้ อันที่จริงค่าฟิโบนาชชีนั้นถือได้ว่าเป็นกฎธรรมชาติอย่างหนึ่ง เพราะเป็นค่าอัตราส่วนที่มีอยู่ในธรรมชาติ นักเทคนิคที่ใช้วิธีนี้ก็เพราะคิดว่าราคาหุ้นก็หนีกฎธรรมชาติไปไม่พ้นนั่นเอง” ลุงแมวน้ำพูด “แต่ถ้านายจ๋อคิดว่าไม่ค่อยน่าเชื่อถือ เรามาดูวิธีอื่นกัน”

ลุงแมวน้ำล้วงเอากระดาษออกมาจากหูกระต่ายอีกแผ่นหนึ่ง กางออกให้ลิงชิมแปนซีดู



“ลองประเมินด้วยค่าอัตราส่วนพีอีหรือพีอีเรโช (P/E ratio อาจเขียนเป็น PER ก็ได้) ก็ได้” ลุงแมวน้ำพูด “ดูในภาพนะ ราคาแท่งสุดท้ายคือราคาหุ้นลูกโป่งสวรรค์ ณ สิ้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ตอนนั้นค่า PER อยู่ที่ 8.68 เท่า ค่าอัตราส่วนพีอีนี้ปกติมักคำนวณจากค่ากำไรต่อหุ้น (earning per share, EPS) รายไตรมาสย้อนหลังไปสี่ไตรมาสล่าสุด แต่ข้อมูลรายไตรมาสย้อนหลังไปหลายปีหาได้ยาก ลุงแมวน้ำจึงใช้ค่ากำไรต่อหุ้นรายปีของปีล่าสุดมาคำนวณแทน สมมติว่าค่า PER ของราคาหุ้นในปี 2011 ก็ใช้ค่า EPS ของปี 2010 เป็นฐานในการคำนวณ เป็นต้น ซึ่งก็พอใช้กันได้”

ลิงชิมแปนซีจ้องดูในภาพ ลุงแมวน้ำจึงอธิบายต่อ

“เห็นไหมว่าในอดีตนั้นตอนที่ตลาดเป็นขาลง ค่าอัตราส่วนพีอีของหุ้นลูกโป่งสวรรค์นี้แปรเปลี่ยนไปต่างๆนาๆ ที่ต่ำที่สุดคือตอนวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ อัตราส่วนพีอีลงไปต่ำถึง 3.85 เท่า” ลุงแมวน้ำพูด

“ทำไมถึงได้ต่ำขนาดนั้นล่ะลุง” ลิงถาม หน้ายิ่งเสียหนักเข้าไปใหญ่

“ก็เพราะว่าเรื่องราคาหุ้นไม่ใช่เรื่องของปัจจัยพื้นฐานเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอารมณ์ของนักลงทุนด้วย ซึ่งปัจจัยทางจิตวิทยานี้ก็สำคัญ หากนักลงทุนอยู่ในภาวะที่หวาดกลัว หุ้นราคาถูกแค่ไหนก็อาจไม่สนใจ เพราะคิดว่าต่อไปยังมีถูกกว่านี้ให้เห็นอีก ดังนั้นเราจึงเห็นหุ้นดีราคาถูก แล้วก็ยังมีราคาที่ถูกกว่าได้อีก” ลุงแมวน้ำตอบ

เมื่อเห็นนายลิงจ๋อกังวลมาก ลุงแมวน้ำจึงปลอบใจ

“เอาล่ะ นายจ๋อยังไม่ต้องตกใจ ค่าอัตราส่วนพีอีต่ำขนาดนั้นอาจจะมองว่าต่ำเกินไป ลองดูค่าที่ต่ำแบบพอประมาณก็ได้ ไม่ต้องถึงกับต่ำมากขนาด 3.85 เท่า ลองดูค่าพีอีในช่วงตลาดขาลงที่จุดอื่นในกราฟสิ เห็นไหม ที่ 5 เท่ากว่าๆก็มี ที่ 7 เท่ากว่าๆก็มี นั่นแสดงว่าในยามที่ตลาดตกต่ำ อัตราส่วนพีอีพีอีในระดับ 5 หรือ 6 หรือ 7 เท่าก็อาจมีให้เห็นได้”

ลิงมองดูในกราฟแล้วพยักหน้าตาม ลุงแมวน้ำจึงพูดต่อไป

“ทีนี้ลองคำนวณย้อนกลับดูสิ เอาค่า EPS ปี 2010 เป็นฐานในการคำนวณ แล้วลองดูว่าหากใช้ค่า EPS ดังกล่าว เมื่อค่า P/E ratio เป็น 5 เท่า หรือเป็น 6 เท่า หรือเป็น 7 เท่า ฯลฯ เราก็คำนวณย้อนกลับเป็นราคาหุ้นเป้าหมายของปีนี้ได้ ค่า EPS หรือ earnings per share ปี 2010 คือ 29.66 บาท/หุ้น”

“ฮื่อๆ ต่อเลยลุง” ลิงพูด

“ลุงคำนวณมาให้ดูแบบสำเร็จรูปแล้ว สมมติกันตั้งแต่ PER เป็น 4.0 เท่า ไล่ขึ้นไป แล้วได้ราคาเป้าหมายต่างๆ แล้วนายจ๋อเห็นหรือเปล่าว่าที่อัตราส่วนพีอี 6.5 เท่าคือราคา 190 บาท กับที่อัตราส่วนพีอี 8.0 เท่าคือราคา 234 บาท เป็นราคาที่ใกล้เคียงกับราคาที่ประเมินด้วยวิธีฟิโบนาชชีที่ 78.6% และ 61.8% ตามลำดับ”

“ฮื่อ จริงด้วย” ลิงจ๋อพยักหน้า

“เห็นไหมว่าการประเมินราคาเป้าหมายจากสถิติค่า PER ในอดีต กับการประเมินด้วยเทคนิคฟิโบนาชชี ให้ผลสอดคล้องกัน ยิ่งไปกว่านั้น หากมองราคาเป้าหมายด้วยวิธี PER หุ้นตัวนี้ยามขาลง PER น่าจะลงไปได้ถึง 6.5 เท่า ไม่ใช่เพียงแค่ 8 เท่า ดังนั้นราคาหุ้นลูกโป่งสวรรค์อาจลงไปถึง 190 บาทได้ ไม่ใช่เพียงแค่ 234 บาท ” ลุงแมวน้ำพูด “และนี่เป็นเพียงราคาประเมินในกรณีที่สถานการณ์เลวร้ายพอควร หากเป็นกรณีที่เลวร้ายมาก ราคาอาจจะลงลึกกว่านี้อีกก็ได้ ดูราคาหุ้นที่ระดับฟิโบนาชชี 100% กับที่ราคา PER 5.0 เท่าสิ สอดคล้องกันเลย”

“ฮึ แล้วยังมีที่ร้ายกว่านี้อีกไหม” ลิงทำเสียงประชด

“แล้วนายจ๋อคิดว่าวิกฤติเศรษฐกิจของโลกในครั้งนี้จะร้ายแรงและมีผลกระทบกับตลาดหุ้นไทยรุนแรงกว่าเมื่อครั้งวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ไหมล่ะ” ลุงแมวน้ำถามกลับ

(โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป)




03/10/2011

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 869.31 จุด ลดลง 46.90 จุด แต่ต่างชาติซื้อสุทธิ 396 ล้านบาท

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 2 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดหุ้นย่านเอเชียแปซิฟิก ยุโรป และอเมริกา ปิดแดงทั้งสามภูมิภาค มีเพียงตลาดหุ้นไอร์แลนด์เท่านั้นที่ปิดบวก สถานการณ์ตกค้างมาจากเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยทางฝั่งยุโรปนั้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วตลาดหุ้นสำคัญในยุโรป อาทิ ตลาดหุ้นเยอรมนี ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องกัน 4 วัน ต่อมาเมื่อวันศุกร์ตลาดหุ้นเยอรมนีและตลาดอื่นๆในยุโรปปรับตัวลง ส่วนหนึ่งน่าจะเกิดจากข่าวที่ว่าเยอรมนีจะไม่ลงขันในกองทุน EFSF เพิ่มอีกแล้ว ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาจึงปรับตัวลงตาม และส่งผลมาถึงตลาดย่านเอเชียแปซิฟิกในเช้าวันจันทร์นี้

วันนี้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงแรงกว่า -5% แต่ยังไม่ใช่ตลาดที่ลงแรงที่สุด ยังมีตลาดหุ้นอาร์เจนตินาและอินโดนีเซียที่ลงแรงกว่า ขณะนี้ตลาดหุ้นไทยลงลึกจากจุดยอดคลื่นมาถึง -24% แล้ว ระดับใกล้เคียงกับตลาดหุ้นอินเดีย แต่ลงมาลึกกว่าสิงคโปร์ อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ที่อยู่ในระดับประมาณ -21%

อนึ่ง ตลาดหุ้นและตลาดอื่นของจีนหยุดทำการประมาณ 1 สัปดาห์เนื่องในวันชาติจีน




Friday, September 30, 2011

30/09/2011 สรุปสถานการณ์สิ้นไตรมาส 3 , 2011

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 931.60 จุด ลดลง 10.0 จุด

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 2 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวลดลงแรง เมื่อวานน้ำตาล SB#11 ราคาลดลงราว 6% วันนี้ราคาข้าวโพด (C) ข้าวสาลี (W) ถั่วเหลือง (S) และราคาสินค้าเกษตรอื่นปรับตัวลงแรงตามมา ดัชนีสินค้าเกษตร (DJUBSAG) ปรับตัวลดลงถึง -4.5% ยกเว้นยางพาราที่ปรับตัวขึ้น

ตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดหุ้นย่านเอเชียแปซิฟิกมีทั้งปิดบวกและปิดลบ ที่ปิดบวกก็บวกไม่มาก ส่วนตลาดยุโรปและสหรัฐอเมริกาปรับตัวลดลง ตลาดหุ้นที่ขึ้นแรงมีเพียงตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ส่วนตลาดที่ลงแรง ได้แก่ รัสเซีย ออสเตรีย เยอรมนี สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง ฯลฯ

ลุงแมวน้ำรับปรุงรายงานเล็กน้อย โดยตัดฟิวเจอร์สของหุ้นที่ไม่มีสภาพคล่องออกไป และเพิ่มฟิวเจอร์สของโลหะเงิน (SV) เข้ามา นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มฟิวเจอร์สของน้ำมันดิบเบรนต์ (Brent crude oil, BZ) เข้ามาด้วย เนื่องจากตลาด TFEX ของไทยเรากำลังจะมีฟิวเจอร์สของน้ำมันดิบมาให้เทรดกันในเดือนตุลาคมนี้ โดยเป็นฟิวเจอร์สที่อิงกับราคาน้ำมันดิบเบรนต์



สรุปสถานการณ์สิ้นไตรมาส 3 , 2011


ปี 2554 หรือ 2011 นี้ได้ผ่านไปสามในสี่ของปีหรือว่า 3 ไตรมาสแล้ว สถานการณ์เศรษฐกิจและตลาดทุนของโลกในไตรมาสที่สามที่เต็มไปด้วยความสับสน โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในภูมิภาคยุโรปและประเทศสหรัฐอเมริกาดูเหมือนว่าจะลุกลามจนฉุดภูมิภาคอื่นๆไปด้วย

โลกในไตรมาสสามที่ผ่านมานี้จับความสนใจอยู่ที่ยุโรป โดยเฉพาะปัญหาหนี้สาธารณะในกลุ่มประเทศ PIIGS อันประกอบด้วยโปรตุเกส อิตาลี ไอร์แลนด์ กรีซ และสเปน แต่ที่กำลังเน้นมากเป็นพิเศษคือกรีซ รองลงมาคืออิตาลี เพราะปัญหาความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้พันธบัตรรัฐบาลกรีซเป็นเสมือนกองไฟที่ลามใกล้เพื่อนบ้านเข้าไปทุกที แต่ประเทศอื่นใช่ว่าจะมีปัญหาเบาบางกว่า เพียงแต่ปัญหาของกรีซเฉพาะหน้ามากกว่า

หนี้พันธบัตรใกล้ถึงกำหนดนัดเข้ามาทุกที แต่รัฐบาลกรีซก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ลำพังการเงินภายในประเทศของกรีซเองก็ติดขัด ต้องพึ่งเงินกู้จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารกลางของยุโรป (ECB) ซึ่งทั้งสองสถาบันนี้ร่วมกันปล่อยกู้แก่กรีซเป็นงวด โดยในแต่ละงวดจะมีการประเมินความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาของกรีซ เปรียบเสมือนต้องตรวจสอบความประพฤติของกรีซทุกสามเดือน เมื่อความประพฤติใช้ได้จึงจะให้เงินกู้งวดใหม่ หากยังใช้ไม่ได้ก็ต้องแก้ไขปรับปรุงก่อน เพราะทางฝ่ายเจ้าหนี้หากไม่เข้มงวดก็เกรงสูญเงินต้นไปเช่นกัน ดังนั้นเรื่องงวดเงินกู้ของกรีซจึงเป็นเรื่องที่เป็นข่าวให้ตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนได้ทุกสามเดือน

นอกจากเรื่องเงินกู้แก่กรีซแล้ว ประเด็นที่เล่นเป็นข่าวและสร้างความผันผวนแก่ตลาดหุ้นในระยะนี้ก็คือเรื่องกองทุนเพื่อเสถียรภาพทางการเงินแห่งยุโรป (EFSF) ที่ประเทศต่างๆในกลุ่มยูโรโซน 17 ประเทศลงขันเงินกันตั้งเป็นกองทุนขึ้นเพื่อค้ำจุนเสถียรภาพทางการเงินของกลุ่ม กองทุนนี้เดิมมีเงินลงขันอยู่สองแสนห้าหมื่นล้านยูโร (0.25 ล้านล้านยูโร) ต่อมาก็ไม่เพียงพอ จึงต้องเจรจากันภายในกลุ่มเพื่อเพิ่มวงเงินกองทุนเป็นสี่แสนสี่หมื่นล้านยูโร (0.44 ล้านยูโร) ซึ่งแต่ละประเทศต้องให้สภาของตนยินยอมก่อนจึงจะลงขันขยายกองทุนได้ โดยเยอรมนีเป็นประเทศที่ลงขันเพิ่มเป็นหลัก ซึ่งก่อนที่สภาเยอรมนีจะให้การรับรอง ตลาดหุ้นทั่วโลกก็ผันผวนอยู่ช่วงหนึ่ง

หลังจากที่สภาของเยอรมนีให้การรับรองเมื่อไม่กี่วันมานี้ ทำให้สามารถขยายขนาดกองทุนได้ ที่จริงแล้วกระบวนการยังไม่จบ ยังมีอีกหลายประเทศที่สภาของตนยังไม่รับรอง ยังต้องรอให้รับรองจนครบทั้งหมดเสียก่อน

และนอกจากนี้ กลุ่มยูโรโซนประเมินกันแล้วคิดว่าเงินกองทุนที่ขยายแล้วก็ยังไม่น่าเพียงพอ เพียงแค่ช่วยกรีซประเทศเดียวก็ยังยาก ดังนั้นจึงมีการหารือกันว่าอาจต้องขยายวงเงินกองทุนไปถึงขนาดสามล้านล้านยูโร (3 ล้านล้านยูโร) แต่เยอรมนีปฏิเสธที่จะลงขันเพิ่ม ดังนั้นข่าวดีจากเยอรมนีก็คือยอมลงขันเพิ่มในรอบสอง แต่ข่าวร้ายก็คือเยอรมนีจะไม่ลงขันเพิ่มในรอบสาม สรุปแล้วจึงไม่รู้ว่าเรื่อง EFSF นั้นเป็นข่าวดีหรือข่าวร้ายกันแน่ แต่อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นของสหรัฐอเมริกาและเยอรมนีปรับตัวลดลงในวันที่ 30 อันเป็นวันสิ้นไตรมาสสามถึง -2.5%

นอกจากนี้ ในช่วงไตรมาสสาม มีเงินลงทุนเคลื่อนย้ายออกจากยุโรปเนื่องจากไม่แน่ใจสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและค่าเงินยูโร ส่งผลให้เงินดอลลาร์ สรอ แข็งค่าอย่างต่อเนื่องและเงินยูโรอ่อนค่าลง กองทุนต่างๆในสหรัฐอเมริกาลดการลงทุนในยุโรปและย้ายเงินทุนบางส่วนกลับ การอ่อนค่าของยูโรทำให้ดอลลาร์ สรอ และฟรังก์สวิสแข็งค่า ซึ่งทางการสวิสพยายามแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนอย่างเต็มที่

ทางด้านสหรัฐอเมริกา ในไตรมาสสาม มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ ภาค 2 (QE 2) สิ้นสุดลงโดยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไม่ได้มากนัก อัตราการว่างงานยังไม่ลดลง สหรัฐอเมริกาเองก็มีปัญหาเรื่องหนี้สาธารณะ ประกอบกับก่อหนี้ไว้เต็มเพดานแล้ว ตราสารหนี้บางส่วนที่ใกล้ถึงกำหนดไถ่ถอนยังไม่สามารถหาเงินมารองรับการไถ่ถอนได้เนื่องจากก่อหนี้เพิ่มไม่ได้ ดังนั้นทางออกคือต้องผ่านกฎหมายขยายเพดานการก่อหนี้สาธารณะ ซึ่งประเด็นนี้เองเป็นจุดที่ทำให้เกิดความขัดแย้งของการเมืองภายในสหรัฐอเมริกาเอง ช่วงที่ร่างกฎหมายยังไม่ผ่าน ตลาดหุ้นของสหรัฐอเมริกาและทั่วโลกล้วนแต่หวั่นไหวไปด้วย แต่ในที่สุดรัฐสภาอเมริกันก็ผ่านร่างกฎหมายขยายเพดานหนี้สาธารณะได้ในนาทีสุดท้าย

หลังจากตลาดหุ้นหมดกังวลเรื่องการผ่านกฎหมายก็กลับมากังวลกับสภาพเศรษฐกิจต่อไป หลังจากมาตรการ QE 2 สิ้นสุดลง ธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกาหรือเฟดได้ใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อมาด้วยการปรับพอร์ตตราสารหนี้ของเฟดเองเพื่อกดอัตราดอกเบี้ยระยะยาวให้ลดลง ที่เรียกว่ามาตรการ operation twist ที่ลุงแมวน้ำเคยเล่าให้ฟังแล้ว มาตรการนี้ไม่ได้มีการอัดฉีดเงินเข้ามาในระบบ เป็นเพียงการใช้กลไกอัตราดอกเบี้ยเท่านั้น นักเศรษฐศาสตร์มองว่าเป็นเสมือนยาอ่อน เคยใช้ยาแรงมาแล้วยังไม่ได้ผล หากใช้ยาอ่อนก็ย่อมคาดได้ว่าผลจะเป็นอย่างไร เมื่อนักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในสภาพเศรษฐกิจ ตลาดหุ้นของสหรัฐอเมริกาจึงปรับตัวลดลง

ทางด้านเอเชีย หลายๆประเทศในเอเชียมีอุปสรรคในการพัฒนาเศรษฐกิจ ญี่ปุ่นที่กำลังฟื้นตัวได้ก็ประสบภัยสึนามิจนโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งหนึ่งเสียหายจนถึงกับมีกัมมันตภาพรังสีรั่วออกมา ผลจากสึนามิและปัญหาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทำให้สภาพเศรษฐกิจที่กำลังเริ่มดูดีกลับแย่ลง ประกอบกับปัญหาเงินเยนแข็งค่ามาก กระทบการส่งออก ทำให้ญี่ปุ่นเปรียบเสมือนคนที่เสียหลัก ส่วนจีนนั้นเศรษฐกิจโตเร็วเกินไปจนเงินเฟ้อในอัตราสูง ทางการจีนพยายามชะลอเศรษฐกิจของตนเพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อ ตลาดหุ้นจีนจึงได้รับผลกระทบ อินเดีย อินโดนีเซีย ก็ประสบปัญหาเงินเฟ้อในอัตราสูงเช่นกัน

ทางด้านอัตราแลกเปลี่ยนในเอเชีย ค่าเงินสกุลเอเชียแปซิฟิกโดยรวมอ่อนค่าลง แสดงให้เห็นว่ามีเงินทุนเคลื่อนย้ายออกจากเอเชีย ข้อมูลเฉพาะในเดือนสิงหาคมระบุว่ามีเงินทุนไหลออกจากไทย ไต้หวัน เกาหลี อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และอินเดีย รวมกันมากถึง 16,000 บ้าน ดอลลาร์ สรอ สำหรับไทยนั้นในช่วงเดือนสิงหาคมมีเงินทุนไหลออกประมาณ 1,400 ล้านดอลลาร์ สรอ และเดือนกันยายนมีเงินไหลออก 600 ล้าน ดอลลาร์ สรอ มียกเว้นเพียงสกุลเดียวคือเงินเยนที่มีแนวโน้มแข็งค่า จนทางการญี่ปุ่นต้องเตรียมทุนสำรองเป็นจำนวนมากเพื่อสู้ค่าเงินอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน

ในขณะที่เงินไหลออกจากเอเชียแปซิฟิกและยุโรป เงินดอลลาร์ สรอ จึงแข็งค่าขึ้น ประกอบกับตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ทำให้สินค้าโภคภัณฑ์รวมทั้งทองคำซึ่งเป็นทั้งสินทรัพย์มั่นคงและเป็นสินค้าเก็งกำไรในขณะเดียวกันก็ปรับตัวลดลงด้วย

ลองมาดูกราฟอัตราแลกเปลี่ยนของเงินตราสกุลสำคัญในโลกในระยะหลายเดือนที่ผ่านมา ดังภาพต่อไปนี้



จะเห็นว่ามีแต่เงินดอลลาร์ สรอ และเงินเยนที่มีแนวโน้มแข็งค่า เงินตราสกุลอื่นรวมทั้งทองอ่อนค่าลง

ลองมาดูสรุปอัตราแลกเปลี่ยนในรอบสัปดาห์ รอบเดือน และรอบปี ดังภาพต่อไปนี้


จากภาพ จะเห็นว่าในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาเงินแรนด์ของแอฟริกาใต้แข็งค่ามากที่สุด และเงินวอนเกาหลีอ่อนค่ามากที่สุด แต่หากเทียบในรอบปีที่ผ่านมา เงินเยนกับฟรังก์สวิสแข็งค่ามากที่สุด

จากอัตราแลกเปลี่ยน ลองมาดูด้านตลาดทุนกันบ้าง ในรอบไตรมาสที่ผ่านมา ตลาดหุ้นผันผวนในทิศทางขาลง ภาพต่อไปนี้เป็นการคำนวณว่าตลาดหุ้นแต่ละประเทศปรับตัวลดลงจากยอดคลื่นใหญ่ลงมาแล้วมากน้อยเพียงใด


จากภาพ จะเห็นว่าตลาดหุ้นในย่านเอเชียแปซิฟิกปรับตัวลงมามาก ตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงปรับตัวลงมามากกว่าตลาดหุ้นเยอรมนีเสียอีก และหากสังเกตจากค่า P/E ratio หรือค่าอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น จะเห็นว่าตลาดหุ้นหลายแห่งมีค่าพีอีต่ำ เช่น อังกฤษและเยอรมนีมีค่าพีอีประมาณ 9 เท่า ส่วนฮ่องกงและสิงคโปร์ขณะนี้มีพีอีประมาณ 7 ถึง 8 เท่า แต่ตลาดหุ้นเหล่านี้ก็ยังมีแนวโน้มไหลลงต่อ

ทางด้านตลาดหุ้นไทย แนวโน้มทางเทคนิคอยู่ในขาลง เดือนกันยายนที่ผ่านมาต่างชาติขายสุทธิรวม 16,506 ล้านบาท และหากนับจากต้นปี สามไตรมาสที่ผ่านมาต่างชาติขายสุทธิทั้งสิ้น 35,351 ล้านบาท




29/09/2011

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 926.21 จุด ลดลง 5.39 จุด

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 2 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดหุ้นย่านเอเชียแปซิฟิก ย่านยุโรป และอเมริกาส่วนใหญ่ปิดเขียว ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศที่อยู่ในความสนใจของนักลงทุนทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมาก็คือสภาผู้แทนของเยอรมนีจะให้การรับรองต่อแผนการขยายเงินกองทุนเพื่อเสถียรภาพทางการเงินแห่งยุโรป (EFSF) หรือไม่ เมื่อปรากฏว่าสภารับรองตลาดหุ้นจึงขึ้นทั่วโลก ส่วนดัชนีแดกซ์ (DAX) ของเยอรมนีนั้นขึ้นแรงในตอนต้นตลาดแต่ไปอ่อนในท้ายตลาด

ตลาดหุ้นที่ขึ้นแรงในวันนี้คือ เกาหลีใต้ สวีเดน อิตาลี และเนเธอร์แลนด์ ส่วนตลาดหุ้นที่ลงแรงคือแอฟริกาใต้ ตลาดหุ้นเกาหลีช่วงนี้ผันผวนมากขึ้น



Thursday, September 29, 2011

28/09/2011

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 931.60 จุด ลดลง 15.02 จุด ปริมาณซื้อขายลดน้อยลง

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 2 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ราคาโลหะเงิน (SI) ลงแรง -4%

ตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดหุ้นย่านเอเชียแปซิฟิกมีทั้งปิดบวกและปิดลบ ส่วนย่านยุโรปและอเมริกาปิดลบ ความกังวลกลับมาครอบงำยุโรปและสหรัฐอเมริกาอีกครั้งหนึ่ง ตลาดหุ้นที่ขึ้้นแรงได้แก่กรีซและตุรกี

ในช่วงวันสองวันนี้หนังสือพิมพ์ภาษาไทยบางฉบับเริ่มลงสกู๊ปเกี่ยวกับค่าเงินดอลลาร์แล้ว โดยสรุปก็คือขณะนี้มีเงินไหลออกจากยุโรปโดยเฉพาะกองทุนต่างๆที่เข้าไปลงทุนในยุโรปเนื่องจากเกรงว่าปัญหาหนี้สาธารณะจะลามไปถึงภาคธนาคาร นอกจากนี้ยังเกิดจากเงินยูโรที่อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง จึงมีการแลกเงินดอลลาร์ สรอ และถอนเงินลงทุนออกจากยุโรป ขณะเดียวกัน การปล่อยกู้ระหว่างธนาคารทำได้ยากยิ่งขึ้นเพราะถือว่าความเสี่ยงสูงขึ้น ขณะนี้จึงเกิดภาวะเงินดอลลาร์ตึงตัว ดอลลาร์ สรอ จึงแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง

เรื่องค่าเงินดอลลาร์เพิ่งเป็นข่าว แต่ในทางเทคนิคเราทราบล่วงหน้ามาระยะหนึ่งแล้ว ดังที่ลุงแมวน้ำเคยเขียนบทความเอาไว้ โดยลุงแมวน้ำประเมินจากปัจจัยทางเทคนิค ที่เป็นเช่นนี้ไม่ใช่เพราะว่าเรื่องการวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์แต่ประการใด แต่เป็นไปตามกฎของดาว (Dow's theory) ที่กล่าวไว้ว่าราคาหุ้น (หรือราคาอะไรก็ตาม) รับรู้ข้อมูลข่าวสารเอาไว้แล้วทั้งหมด แม้แต่ข่าวสารหรือเรื่องที่เรายังไม่รู้เพราะติดตามไม่ทันก็ตาม อีกประการ ข่าวสารในโลกมีมากมาย รับรู้กันไม่ไหว น้ำหนักของข่าวสารแต่ละเรื่องก็ไม่เท่ากัน ยากแก่การประเมิน แต่การวิเคราะห์จากราคาเป็นเรื่องที่ไม่ยากนัก และราคาประมวลข่าวสารและปัจจัยทางจิตวิทยาเอาไว้ทั้งหมด

มีเรื่องขำๆเกี่ยวกับข่าว ลุงแมวน้ำนำภาพหน้าจอของข่าวเศรษฐกิจจากเว็บไซต์ yahoo มาให้ดูกัน ตรงที่ระบายสีเหลืองเอาไว้ สองข่าวนี้ห่างกันประมาณ 4 ชั่วโมง ที่จริงไม่ได้อยู่เรียงกันแบบนี้ ข่าวล่างตกไปข้างล่างแล้ว แต่ลุงแมวนำตกแต่งนิดหน่อย เพื่อให้อยู่ด้วยกัน จะได้ดูได้สะดวก



จากภาพ จะเห็นว่าอารมณ์ของข่าวล่างและข่าวบนเป็นตรงกันข้ามกัน ทั้งๆที่เป็นตลาดหุ้นวันเดียวกัน เพียงห่างกันประมาณ 4 ชั่วโมงเท่านั้น นี่เป็นตัวอย่างที่ลุงแมวน้ำอยากชี้ให้เห็นว่านักลงทุนที่ติดตามข่าวสารมากๆอาจสับสนและไขว้เขวได้รวมทั้งอาจตกอยู่ในอารมณ์วิตกกังวลอยู่เสมอ ทำให้เสียสุขภาพจิต หากลองใช้การติดตามราคาและการวิเคราะห์ทางเทคนิคดูบ้างอาจทำให้ชีวิตง่ายขึ้นและมีความสุขขึ้น เพราะการวิเคราะหราคาไม่ค่อยทำให้หวั่นไหวหรือกังวลมากเช่นอารมณ์ของข่าว




27/09/2011

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 946.62 จุด เพิ่มขึ้น 42.56 จุด ปริมาณซื้อขาย 35,926 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 597 ล้านบาท ตลาดหุ้นรีบาวด์แรงแต่ปริมาณซื้อขายลดลง

หุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย RATCH ขณะนี้โปรแกรมถือหุ้นอยู่รวมทั้งสิ้น 2 ตัว ต่อไปอาจไม่มีหุ้นเหลืออยู่ในพอร์ตเนื่องจากขายไปทั้งหมด

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ราคาทองคำ (GC) รีบาวด์ 3.6% ราคายางพารา (RSS3) ก็รีบาวด์ 3.6% เช่นกัน

ตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกรีบาวด์อันเนื่องจากมาจากข่าวเกี่ยวกับประเทศในกลุ่มยูโรโซนที่พยายามช่วยเหลือประเทศกรีซเพื่อไม่ให้ผิดนัดชำระหนี้ ข่าวออกมาในทางมีความหวังที่ดี ตลาดหุ้นทั่วโลกจึงปรับตัวขึ้น ตลาดหุ้นที่ขึ้นแรงที่สุดได้แก่ตลาดหุ้นประเทศแอฟริกาใต้ 6.6% รองลงมาได้แก่ตลาดหุ้นในกลุ่มทวีปยุโรป รวมทั้งตลาดหุ้นไทยก็รีบาวด์เช่นกัน