Saturday, January 31, 2015

เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ ที่มาเจองูกับแขกให้ตีแขกก่อน กับแบบเรียนประวัติศาสตร์ไทย






เมื่อวันก่อนลุงแมวน้ำได้ดูคลิปทางยูทูปอยู่คลิปหนึ่ง เนื้อหาในคลิปเป็นนักเรียนมัธยมปลายคนหนึ่งตำหนิกระทรวงศึกษาธิการที่เขียนแบบเรียนประวัติศาสตร์ในระดับมัธยมศึกษาให้เกลียดชังเพื่อนบ้าน ก็ทำนองว่าเราจะเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนอยู่แล้ว แต่ทำไมเรายังสร้างแบบเรียนที่เสี้ยมสอนให้เกลียดชังเพื่อนบ้าน ทั้งๆที่เพื่อนบ้านก็ไม่ได้ถูกสอนให้เกลียดชังไทยแม้ว่าเราจะมีประวัติศาสตร์รรบพุ่งกัน ใจความของคลิปก็ทำนองนี้

ท้ายคลิปที่เป็นคอมมเมนต์ของผู้ชมคลิป ส่วนใหญ่ก็ชื่นชมนักเรียนผู้นี้ว่ากล้าแสดงออก บ้างก็ว่าฉลาดและมีความคิดกว่าผู้ใหญ่ในกระทรวงศึกษาฯ


แบบเรียนประวัติศาสตร์สอนให้คนไทยเกลียดเพื่อนบ้านจริงหรือ





ประเด็นที่ลุงตั้งข้อสังเกตก็คือ นักเรียนในคลิปตำหนิกระทรวงศึกษาธิการว่าเขียนแบบเรียนที่สอนให้เกลียดชังเพื่อนบ้าน แต่ฟังตั้งแต่ต้นจนจบคลิปก็เป็นแต่การตำหนิ แต่ไม่ได้แสดงเหตุผลหรือตัวอย่างว่าเนื้อหาส่วนใดสอนให้เกลียดชังเพื่อนบ้านอย่างไร ผู้ชมที่ชมคลิปก็คงบอกไม่ได้ว่าข้อความตำหนินั้นสมควรหรือไม่ เพราะไม่ได้เห็นแบบเรียนประวัติศาสตร์ว่ามีเนื้อหาดังว่าจริงหรือไม่

ลุงแมวน้ำจึงหาเวลาไปที่ร้านศึกษาภัณฑ์เพื่อหาแบบเรียนประวัติศาสตร์ในระดับมัธยมศึกษาทั้งตอนต้นและตอนปลายมาอ่านดู ว่ามีเนื้อหาส่วนใดที่สอนให้ผู้เรียนที่เป็นเยาวชนไทยเกลียดชังเพื่อนบ้าน ก็เลยคิดจะนำมาเรื่องนี้มาคุยกันกับพวกเรา ดังนั้น บทความเช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำในครั้งนี้จึงแปลกออกไปจากแนวทางเดิมที่ลุงเคยเขียน

ก่อนอื่นลุงแมวน้ำต้องขออธิบายก่อนว่าแบบเรียนในระดับประถม มัธยมนั้นใครจะเขียนและใช้สอนในโรงเรียนได้บ้าง แบบเรียนที่ใช้ในโรงเรียนมีผู้เขียนและผลิต 2 กลุ่มหลัก นั่นคือ กระทรวงศึกษาฯผลิตแบบเรียนเอง กับสำนักพิมพ์เอกชนผลิตแบบเรียนซึ่งกระทรวงศึกษาฯเห็นชอบและให้ใช้เรียนในโรงเรียนได้ ดังนั้นแบบเรียนประวัติศาสตร์นั้นที่จริงแล้วก็ไม่ใช่มีแต่กระทรวงฯเขียน ที่เป็นผลงานของสำนักพิมพ์เอกชนก็มีหลายสำนักพิมพ์ เนื้อหาเป็นไปตามเค้าโครงที่กระทรวงกำหนด ส่วนรายละเอียด ลีลาการเขียน ลีลาการนำเสนอ การทำภาพประกอบ ความสวยงามของรูปเล่ม ก็แตกต่างกันออกไปในแต่ละสำนักพิมพ์

ลุงแมวน้ำก็ดูทั้งแบบเรียนของกระทรวงและแบบเรียนที่สำนัพิมพ์เอกชนเขียน เพื่อหาว่าเนื้อหาส่วนใดสอนให้คนไทยเกลียดชังเพื่อนบ้านบ้าง ลองฟังความเห็นของลุงแมวน้ำก็แล้วกัน

ก่อนอื่นก็ต้องบอกว่าแบบเรียนประวัติศาสตร์ในยุคนี้ต่างจากเมื่อสามสิบถึงห้าสิบปีก่อนพอสมควร สมัยนี้มีการพิมพ์ที่ดีขึ้น สมัยก่อนเป็นตำราขาวดำ สมัยนี้เป็นตำราสี เนื้อหาก็มีความหลากหลายมากขึ้น ครอบคลุมทั้งอารยธรรมโลก ประวัติศาสตร์โลก และประวัติศาสตร์ไทย

เฉพาะในส่วนประวัติศาสตร์ไทยนั้นเท่าที่ลุงอ่านส่วนใหญ่ก็เขียนแบบเป็นกลาง คือเราคงเข้าใจกันดีว่าการเรียนนั้นประกอบด้วยการบรรยายของครูกับเนื้อหาในตำรา ลำพังเนื้อหาในตำราน่ะไม่เท่าไร แต่ส่วนประกอบที่สำคัญที่จะเสริมสร้างทัศนคติให้ไปในทางใดนั้นคือการสอนในห้องเรียนด้วย

ในยุคก่อน คือตั้งแต่ พ.ศ. 2490 เป็นต้นมา ประเทศไทยเพิ่งผ่านพ้นสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศไทยเสียหายจากภัยสงคราม กำลังอยู่ในยุคฟื้นฟูชาติ อีกทั้งเป็นยุครุ่งเรืองของลัทธิคอมมิวนิสต์ในจีน ซึ่งไทยกังวลต่อลัทธิคอมมิวนิสต์ที่แทรกซึมเข้ามามาก รวมทั้งในช่วงปี พ.ศ. 2517-19 เพื่อนบ้านทยอยล้ม คือเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองเป็นคอมมิวนิสต์ทีละประเทศ ดังนั้นการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ในยุคนั้นจึงเน้นที่การปลูกฝังอุดมการณ์ชาตินิยม

สมัยก่อนนั้นการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ไทย ลุงไม่ได้หมายถึงตำราเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงการเรียนในชั้นเรียน วิชาประวัติศาสตร์ไทยนั้นสร้างความรู้สึกให้แก่ผู้เรียนว่า ไทยนั้นเป็นพระเอก ชาติอื่นก็เป็นพระรองบ้าง เป็นผู้ร้ายบ้าง ก็ว่ากันไป ในศึกสงครามพระเอกถูกรังแกบ้าง ถูกทรยศบ้าง ตามไปเอาคืนบ้าง ยิ่งตอนจับผู้ทรยศมาตัดหัวเอาเลือดมาล้างเท้านั้นบรรยากาศการเรียนการสอนทำให้เกิดความรู้สึกว่าสะใจยิ่งนัก

สำหรับแบบเรียนประวัติศาสตร์ไทยในสมัยนี้ จากฉบับที่ลุงอ่าน ลุงว่าก็เขียนค่อนข้างเป็นกลางอยู่เหมือนกัน ไม่ได้น่าเกลียดอะไร ส่วนการเรียนการสอนในสมัยนี้จะเป็นอย่างไรนั้นลุงไม่รู้ แต่ลุงมีข้อสังเกตอะไรบางอย่าง นั่นคือ จากสื่อภาพยนตร์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทยบางเรื่องที่เน้นอุดมการณ์ชาตินิยม หนังเหล่านี้มีผู้ชมทั้งเด็ก วัยรุ่น และผู้ใหญ่นิยมกันมากมาย ก็แสดงให้เห็นว่าแม้แต่ในยุคปัจจุบัน ความคิดเรื่องไทยเป็นพระเอกและเพื่อนบ้านเป็นผู้ร้ายนั้นยังคงมีอยู่

ลุงแมวน้ำยังสังเกตว่าเมื่อปีที่แล้ว ตอนที่มีการทำรัฐประหาร ทีวีจอดำไปพักหนึ่งเปิดแต่เพลงปลุกใจ มีบางคนก็โพสต์บอกขำๆว่าฟังเพลงปลุกใจทั้งวันแล้วฮึกเหิม ทำให้รู้สึกอยากออกไปไล่เตะชาติเพื่อนบ้าน เป็นต้น เหล่านี้ล้วนสะท้อนว่าหนุ่มสาวในสมัยนี้บางส่วนก็ยังมีความคิดแบบที่ว่าไทยเป็นพระเอกอยู่

ลองสังเกตดูสิว่า สำนวน เจองูกับเจอแขกให้ตีแขกก่อน นั้นยังใช้กันอยู่จนทุกวันนี้ แม้แต่คนหนุ่มสาวในสมัยนี้ก็เชื่อในสำนวนนี้และคิดว่าชาวอินเดียไม่ค่อยน่าคบ ก็ขนาดให้ตีงูก่อนตีแขก แล้วจะน่าคบไหมล่ะ


ประวัติศาสตร์กับโลกใบใหม่



ลุงแมวน้ำก็เป็นลุงแล้ว เติบโตมาในยุคอุดมการณ์สร้างชาตินั่นแหละ แต่ลุงเห็นว่าโลกเปลี่ยนไปแล้ว สมัยนั้นเป็นยุคหลังสงคราม ยุคภัยคอมมิวนิสต์คุกคาม แต่สมัยนี้เป็นยุคเศรษฐกิจนำหน้า บ้านเมืองสงบร่มเย็น กระทรวงศึกษาธิการมีภาระหน้าที่ต้องแก้ไขความคิดเกลียดชังหรือดูแคลนชาติเพื่อนบ้าน ลุงไม่ได้บอกว่ากระทรวงปลูกฝังความคิดเหล่านี้ในยุคนี้ แต่ความคิดเหล่านี้มีอยู่ในสังคมไทยปัจจุบันจริง และกระทรวงควรมีภาระแก้ไขทัศนคติเหล่านี้ ปลูกฝังความคิดใหม่ๆแก่เยาวชนไทย เราจะอยู่ด้วยความรู้สึกเกลียดชังหรือดูแคลนเพื่อนบ้าน หรือคิดว่าไทยเป็นพระเอกคงไม่ได้ 

ในอดีตกาล สงครามแย่งชิงดินแดนและทรัพยากรเป็นเรื่องปกติ จีนแบ่งเป็นหลายสิบแคว้นในยุครณรัฐ รบพุ่งห้ำหั่นกันเพื่อครอบครอดคว้นอื่น ยุโรปก็รบพุ่งแย่งชิงกัน มีแคว้นต่างๆมากมาย

ในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นรุกรานจีน เกาหลี เป็นบาดแผลของจีนและเกาหลีมาจนทุกวันนี้ แต่ทุกวันนี้ญี่ปุ่น จีน เกาหลี ค้าขายกันเอิกเกริก คนจีนและเกาหลีเดินขวักไขว่ในญี่ปุ่น แต่งงานกันก็มี

แม้แต่เยอรมนีที่จุดชนวนสงครามโลกครั้งที่สอง สู้กับผ่ายสัมพันธมิตร คืออเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส ฯลฯ ผู้คนล้มตาย บ้านเมืองเสียหาย แต่ทุกวันนี้เยอรมนีเป็นพี่ใหญ่ในกลุ่มยูโรโซน คอยสนับสนุนเงินทุนเพื่ออุ้มชาติสมาชิกให้อยู่ร่วมในยูโรโซนได้

นั่นเป็นโลกใบเก่า เราต้องเรียนประวัติศาสตร์เพื่อพัฒนาตนเอง นั่นคือ เพื่อให้เข้าใจว่าสงครามนั้นเป็นเรื่องโหดร้าย มีแต่บาดเจ็บ ล้มตาย เสียหายกันทุกฝ่าย และเพื่อให้เข้าใจอดีตนั้นเราผิดพลาดอะไรไปบ้าง และจะได้ไม่ทำซ้ำเช่นนั้นอีก เราจะหาทางอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขบนโลกใบใหม่นี้ได้อย่างไร นั่นคือประโยชน์ของการเรียนประวัติศาสตร์

โลกเปลี่ยนไปหมดแล้ว เราต้องอยู่กับปัจจุบัน เราต้องตระหนักว่าเราไม่ใช่พระเอก ชาติอื่นเป็นเพื่อน ไม่ใช่เป็นรองเรา เราเคยรบพุ่งกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่นั่นคืออดีต เราทำเขา เขาทำเรา มีแต่เจ็บกันทั้งสองฝ่าย เราเรียนอดีตเพื่อไม่ให้กลับไปทำแบบเดิมๆ ไม่อย่างนั้นเราจะพัฒนาชาติให้เข้มแข็งทางเศรษฐกิจต่อไปไม่ได้ เพราะยุคนี้เป็นยุคที่รวมกันเราอยู่ แยกกันอยู่ตายเดี่ยว

ชาวพม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม และไทยในปัจจุบัน ล้วนแต่เป็นคนรุ่นหลัง ความขัดแย้งบาดหมางของชนรุ่นก่อนหน้าเราตั้งไม่รู้กี่ชั่วรุ่นนั้นมันหมดไปนานแล้ว เราไม่ได้เกิดและโตในบริบทแบบนั้น เราเกิดและโตในยุคที่มีแต่เพื่อนบ้าน มีแต่คนบ้านใกล้เรือนเคียง มีแต่มิตร ไม่ใช่ศัตรู


ที่มา เจองูกับแขก ให้ตีแขกก่อน


เรื่องเจองูกับแขกให้ตีแขกก่อนนั้นก็เช่นกัน ทำให้คนไทยคิดว่าแขกหรือชาวอินเดียนั้นร้ายกาจยิ่งกว่างู คบไม่ได้ว่างั้นเถอะ เพราะขนาดต้องตีแขกก่อนตีงู แต่ที่จริงแล้วชาวอินเดียเป็นเพื่อนบ้านที่น่าคบ ทำการค้าด้วยได้ ถ้าเข้าใจกัน ที่นิสัยน่ารัก ใจกว้าง มีมากมาย ก็เหมือนคนไทยหรือชาติอื่นๆ ที่ดีก็มี ที่ร้ายก็มี คละกันไป

เรื่องราวความเป็นมาของสำนวนนี้มีบอกเล่ากันหลายกระแส แต่ในความเห็นของลุงแมวน้ำ ที่มาของสำนวนนี้มาจากในยุคที่อังกฤษครอบครองอินเดีย ชาวอินเดียที่ลุกขึ้นมาต่อต้านการกดขี่ของอังกฤษก็มี ก็เช่น มหาตมคานธี นั่นไง ในยุคที่อินเดียต่อต้านอังกฤษ ชาวอังกฤษก็ระวังตัว โดยเฉพาะชาวอินเดียสามารถเป่าปี่ให้งูเต้นระบำได้ ชาวอังกฤษก็คิดว่าชาวอินเดียมีวิชาดี สามารถบงการงูได้ ก็เกรงว่าชาวอินเดียเป่าปี่ให้งูเต้นระบำนั้นจะบงการให้งูมาทำร้ายได้ด้วย จึงเตือนกันว่าเจองูกับแขกอยู่ด้วยกัน ให้ตีแขกก่อน ไม่เช่นนั้นแขกจะบงการงูให้เข้ามาฉกได้ ที่มาก็เป็นทำนองนี้ ต่อมาความเข้าใจก็คลาดเคลื่อนกันไป กลายเป็นเข้าใจว่าแขกร้ายเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่างู คบไม่ได้ ซึ่งที่จริงไม่ใช่เช่นนั้น

หากเรายังคิดว่าเราเป็นพระเอกและดูแคลนชาติพันธุ์อื่นๆ ต่อไปเราจะอยู่ในโลกใบใหม่นี้ได้ยาก ทำงานทำการ ทำธุรกิจอะไรก็ยาก เพราะมีอคติด้านเชื้อชาติ แต่หากเปิดหัวใจ ด้วยทัศนคติฉันมิตร เราจะพัฒนาไปด้วยกันได้ง่ายขึ้นและทำให้เราเข้มแข็งขึ้นทั้งกลุ่มด้วย

Friday, January 30, 2015

ราคาน้ำมันดิบคือปัจจัยชี้ขาด



ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET INDEX)


เมื่อคืนตลาดหุ้นอเมริกาปรับตัวขึ้นประมาณ +1% ราคาทองคำร่วง -2.4% ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นนิดหน่อย คือ +0.2% หลังจากที่เมื่อวานซืนร่วง -3.8% เนื่องจากรายงานสต็อกน้ำมันดิบของอเมริกาสูงเป็นประวัติการณ์ แปลว่าน้ำมันดิบล้นสต๊อกและล้นตลาด

สถานการณ์ยุโรปกลับเป็นอึมครึม แม้ว่าลุงมาริโอจะประกาศอัดฉีดคิวอียุโรปแบบเกินความคาดหมาย แต่สถานการณ์ด้านการเมืองของยุโรปไม่ค่อยดี กรีซได้ผู้นำใหม่ที่เป็นขั้วตรงข้ามจากเดิม เป็นฝั่งที่ไม่เอานโยบายรัดเข็มขัด ตอนนี้เจรจาขอลดหนี้แบบแฮร์คัตซึ่งลุงมาริโอไม่ยอม เพราะหากกรีซหักคออีซีบีได้ ประเทศอื่นๆจะเลียนแบบโดยขอแฮร์คัตแบบหักคอบ้าง ลองดูกันว่ากรีซจะใช้ไม้ตายชักดาบหรือไม่มี ไม่หนี ไม่จ่ายหรือไม่ และหากใช้จริงจะเกิดอะไรขึ้น สัปดาห์หน้ากรีซและอีซีบีจะเจรจากัน

ส่วนสถานการณ์ด้านยูเครนร้อนแรงขึ้น ทำให้มองกันว่าอเมริกาและยุโรปอาจเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรให้เข้มข้นขึ้น ซึ่งผลร้ายจะตกแก่ยุโรปและรัสเซีย สถานการณ์ในยุโรปจะซับซ้อนยิ่งขึ้น กระทบต่อการฟื้นตัวของยุโรป ตอนนี้ตลาดหุ้นยุโรปทำท่าไปต่อไม่ไหว ควรระวัง


ราคาน้ำมันดิบไนเมกซ์ WTI (CL)

พิจารณาดูแล้ว ช่วงนี้ราคาน้ำมันดิบคือปัจจัยชี้ขาด ต่อสถานการณ์การลงทุน พิจารณาราคาน้ำมันดิบและสถานการณ์การเมืองของรัสเซีย ยูเครน กับสต็อกน้ำมันดิบอเมริกา กับพิจารณาทางเทคนิค ลุงแมวน้ำเห็นว่าราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ (ดูกราฟ CL) หลุดแนวรับสำคัญ 45 ดอล ลงมาแล้ว คาดว่าราคาน่าจะไหลลงต่อเนื่องอีก เนื่องจากสงครามตัดราคายังไม่จบง่ายๆ แนวรับใหญ่ถัดไปของ CL คือ 35-37 ดอลลาร์


ดัชนีแนสแดก 100 (NDX)

หากราคาน้ำมันดิบไหลลงต่อ น่าจะกระทบตลาดหุ้นอเมริกาให้ปรับตัวลง ตอนนี้รูปแบบทางเทคนิคของตลาดหุ้นอเมริกาเป็นสามเหลี่ยมชายธง แต่หากพิจารณาจากตลาดหุ้นแนวแด็กที่เป็นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี (ดูกราฟ NDX) จะเห็นว่าเปิดแก็ปขาลงที่ยังปิดไม่ได้ไว้อีกด้วย ลุงคาดว่าคงปิดไม่ได้ และตลาดหุ้นอเมริกาน่าจะลงต่อ


ราคาทองคำ GC

ผลกระทบต่อมาคือราคาทองคำ ดูกราฟ GC ราคาทองคำอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น แต่ขณะนี้เป็นคลื่นย่อยขาลง ราคายังลงได้อีกเพราะขึ้นมาไกล ก็ต้องลงได้บ้าง คาดว่าช่วงนี้ราคาทองคำจะไหลลงตามราคาน้ำมันดิบ อีกประการหนึ่งคือช่วงนี้ค่าเงินผันผวนมากหลังจากอีซีบีประกาศคิวอี ทำให้ราคาทองคำผันผวนมากด้วย

มุมมองระยะสั้น ตลาดหุ้นไทยดูท่าคงยังไม่ผ่าน 1600 ง่ายๆ ดูกราฟ SET ลุงแมวน้ำมองว่าตลาดคงลงไปก่อนมากกว่า คาดว่าหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีคงนำลง จากนั้นค่อยขึ้นมาใหม่ ดังนั้นช่วงนี้เตรียมตัวรับแรงกระแทกไว้บ้าง

ที่ว่าเงินทุนต่างชาติจะไหลเข้าไทยและทำให้ตลาดหุ้นขึ้น อนาคตก็คงใช่ นั่นเป้นมุมมองระยะกลาง แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ คงต้องรออีกพักหนึ่งคร้าบ เนื่องจากตลาดหุ้นอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น จีน ดูไม่ค่อยดี คอยสังเกตค่าเงินบาท กับสัดส่วนการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติเอาไว้

Wednesday, January 28, 2015

อสังหาริมทรัพย์ไทยใกล้ฟองสบู่แตกหรือยัง (1)

“Toward a New Frontier” Series บทความชุด “ทะยานสู่พรมแดนใหม่”





คอนโดหัวเมืองส่อวิกฤต???


เช้าวันหนึ่ง อากาศกำลังเย็นสบาย เหล่าสิงห์สาราสัตว์ชุมนุมกันอยู่ที่ศาลาชมสวนเพื่อรอเวลาตลาดหุ้นเปิด ช่วงนี้ตลาดหุ้นขึ้นดี บรรดาสมาชิกนักลงทุนก็หน้าตาแจ่มใสกันดี

“เอ วันนี้ทำไมไม่เห็นนายจ๋อ” ยีราฟถามลอยๆ

“นั่นสิฮะ หรือว่ากินกล้วยแล้วท้องเสีย แอบนอนอยู่” กระต่ายน้อยแทะแครอทไปคุยไป

พูดยังไม่ทันขาดคำก็เห็นลิงจ๋อห้อยโหนมาตามกิ่งไม้และกระโดดเข้ามาในศาลา ในมือถือกระดาษแผ่นหนึ่ง

“แย่แล้ว ลุงแมวน้ำ ดูข่าวนี้สิ ฟองสบู่อสังหาฯแตกแล้ว” ลิงพูดด้วยสีหน้ากังวล “ยังงี้ต่อไปตลาดหุ้นก็คงเละเป็นโจ๊กเลย ไหนลุงบอกว่าทะยานสู่พรมแดนใหม่ไง”





บรรดาสมาชิกต่างชะโงกมาดูกระดาษที่ลิงถือมา ปรากฏว่าเป็นข่าวในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ เมื่อได้อ่านข่าวต่าก็ร้องกันอื้ออึง

“แย่แล้วๆ คราวนี้ต้องตายแน่ๆ” ยีราฟบ่น

“ใครๆก็พูดกันว่ากระต่ายตื่นตูม แต่นี่ยีราฟตื่นตูม กระต่ายยังไม่ตกใจเลย ฮิฮิ” กระต่ายน้อยแทะแครอทหน้าระรื่น

“ก็เพราะเธอยังไม่รู้อะไรน่ะสิ ใครที่ได้ผ่านวิกฤตต้มยำกุ้งมาจึงจะเข้าใจอย่างลึกซึ้ง” ยีราฟค้อนกระต่ายน้อย

“อ้าว เดี๋ยวก่อนสิ อย่าเพิ่งตื่นตระหนก ทำราวกับว่าตลาดหุ้นจะเจ๊งภายในวันนี้ยังงั้นแหละ” ลุงแมวน้ำพูด “นายจ๋อลองให้คำจำกัดความหน่อยสิว่าประโยคที่ว่า ฟองสบู่อสังหาฯแตก คืออะไร”

“เอ้อ เดี๋ยว ขอคิดก่อน” ลิงอึ้ง จากนั้นคิดอยู่นาน “ก็คงเหมือนตอนวิกฤตต้มยำกุ้งนั่นแหละมั้ง ราคาบ้านและที่ดินตกอย่างรวดเร็ว ตลาดหุ้นก็พังไปด้วย ใช่ไหมครับลุง ในช่วงไม่กี่ปีมานี้มีฟองสบู่อสังหาฯแตกกันหลายประเทศเลย อย่างอเมริกาไง แล้วก็จีน เวียดนามนี่ก็ได้ยินมาว่าฟองสบู่เพิ่งแตกไปไม่ใช่หรือครับ ผลที่ตามมาคือตลาดหุ้นพังระเนระนาด”

“นายจ๋อติดตามข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศเยอะเลยนะเนี่ย” ลุงแมวน้ำชม

“ดูจากทีวีน่ะลุง เดี๋ยวนี้ผมชอบดูข่าวเศรษฐกิจ แล้วตีออกมาเป็นหุ้น ว่าหุ้นไหนน่าจะได้ประโยชน์ หุ้นไหนน่าจะเสียประโยชน์ จะได้เข้าถูกไงครับ” ลิงจ๋อพูด

“ยังงี้นี่เอง” ลุงแมวน้ำหัวเราะ “ที่นายจ๋อพูดมาก็มีส่วนถูก ที่นี้ลองฟังตามความเข้าใจของลุงบ้างก็แล้วกัน”


ทบทวนวิกฤตต้มยำกุ้ง วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ และฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ญี่ปุ่น จีน และเวียดนาม


ลุงแมวน้ำพูดจบก็ล้วงเข้าไปในหูกระต่าย หยิบกระดาษออกมาปึกหนึ่ง


กราฟดัชนีราคาบ้านเปรียบเทียบใน 3 ประเทศ คือ สหรัฐอเมริกา จีน และญี่ปุ่น ในช่วงปี 2000-2014 ของนิตยสาร The Economist


“เราลองมาดูภาพนี้กัน นี่เป็นดัชนีราคาบ้าน ดูที่เส้นสีน้ำเงินและกรอบสีน้ำเงินก่อน สีน้ำเงินนี่คือดัชนีราคาบ้านของสหรัฐอเมริกา

“จะเห็นว่าดัชนีราคาบ้านในช่วงปี 2006-2012 ลดลง คะเนด้วยสายตาจากกราฟ ราคาบ้านในอเมริกาตกลงไปถึงจุดต่ำสุดประมาณ -30% นี่คือค่าเฉลี่ย แต่ว่าในแต่ละพื้นที่ของประเทศก็อาจลดลงมากหรือน้อยกว่านี้

“สาเหตุของวิกฤตอสังหาฯในอเมริกาเกิดจากการบริหารจัดการสินเชื่ออสังหาฯผิดพลาด มีการเอาสินเชื่อด้อยคุณภาพมาออกเป็นตราสารทางการเงินแบบพิสดารและมีการเก็งกำไรกันยกใหญ่ สุดท้ายจึงพัง เป็นวิกฤตเศรษฐกิจของอเมริกาและลามไปทั่วโลก

“เอาละ ทีนี้มาดูดัชนีราคาบ้านของจีนกันบ้าง ดูที่เส้นสีน้ำตาล และกรอบสีน้ำตาล

“เส้นสีน้ำตาลคือดัชนีราคาบ้านโดยเฉลี่ยทั้งประเทศจีน จะเห็นว่าเมื่ออเมริกาเกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ผลของวิกฤตเศรษฐกิจในอเมริกาไม่ได้กระทบต่อเศรษฐกิจจีนเพราะในช่วงนั้นจีนกำลังจัดโอลิมปิกอยู่ เศรษฐกิจอู้ฟู่เชียว เศรษฐกิจจีนเติบโตปีละกว่า 10% ราคาอสังหาริมทรัพย์ตามหัวเมืองเศรษฐกิจพุ่งอย่างรวดเร็ว อย่างเช่น เมืองฝูโจว หังโจว หนานหนิง ชิงเต่า เซี่ยงไฮ้ ฯลฯ ยิ่งฮ่องกงนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย แพงแล้วแพงอีก จนต่อมาทางการจีนเห็นว่าเศรษฐกิจจีนร้อนแรงเกินไปและต้องการชะลอ จึงออกมาตรการต่างๆเพื่อสกัดความร้อนแรง ราคาอสังหาฯของจีนจึงตกลงมาบ้าง โดยในช่วงปี 2010-2012 ดัชนีราคาบ้านของจีนเป็นไปในทางทางไซด์เวย์ คือทรงตัว ไม่ขึ้นไม่ลง แต่หากมองเป็นรายเมือง เมืองที่เศรษฐกิจร้อนแรงราคาบ้านจะตกลงมามากหน่อย เมืองในชนบทราคาค่อยๆขยับขึ้นก็มี เฉลี่ยกันแล้วจึงเป็นทิศทางราคาแบบทรงตัว แต่แค่นี้นักธุรกิจ นักลงทุนก็ร้องจ๊ากกันแล้ว เพราะการหยุดก้าวไปข้างหน้าก็เหมือนกับการถอยหลัง คนที่ชินกับราคาอสังหาฯที่ขึ้นอย่างต่อเนื่องมานับสิบปี พอมาเจอราคาตกบ้างก็บอกว่าฟองสบู่อสังหาฯจีนแตก

“ดูอย่างเช่นในปี 2014 นี้ ราคาบ้านในเมืองใหญ่หลายเมือง เช่น ปักกิ่ง มีราคาลดลงบ้างนิดหน่อย ยังไม่ถึง -1% เลย แต่ก็ทำให้แตกตื่นกันแล้ว ก็พูดเรื่องฟองสบู่อสังหาฯจีนแตกกันอีก

“ในความเห็นของลุง เรื่องอสังหาฯของจีนนั้นเกิดฟองสบู่เพียงในบางเมือง และโดนสกัดเอาไว้เสียก่อน ลุงยังไม่คิดว่าจีนจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในระดับประเทศ เศรษฐกิจจีนยังเข้มแข็งอยู่ การชะลอเศรษฐกิจให้เติบโตอยู่ในระดับ 6-7% ราคาอสังหาย่อมตกลงมาบ้างในบางพื้นที่ แต่กลับทำให้ลุงมีความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจจีนและเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์ของผู้นำจีนรุ่นที่ 5 นี้เพิ่มขึ้นเสียอีก

“ทีนี้ก็มาพูดถึงเวียดนามกันบ้าง เมื่อปี 2010-2013 ราคาอสังหาเวียดนามก็ตกลงเช่นกัน ลุงไม่มีภาพให้ดู ข้อมูลหายากหน่อย แต่เท่าที่รู้มาคือเฉลี่ยแล้วลงไปลึกถึงประมาณ -30% แต่ในบางพื้นที่ก็ลงลึกถึง –50% ก็มี ตอนนี้ค่อยๆเริ่มฟื้นตัวแล้ว

“เวียดนามนั้นเป็นประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ เป็นเด็กกำลังโต หากมองเป็นคลื่นอีเลียตก็เป็นช่วงคลื่น 2 เข้าคลื่น 3 ประมาณนั้นแหละ เศรษฐกิจอาจผันผวนสูง ช่วงที่ผ่านมา เวียดนามมีปัญหาราคาอสังหาฯพุ่งอย่างรวดเร็วพร้อมกับค่าครองชีพและอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งเร็วเช่นกัน พอเศรษฐกิจไม่ดี ราคาอสังหาฯก็ร่วงรุนแรงเพราะก่อนหน้านี้ขึ้นมาแรง แต่เพียงไม่กี่ปีก็ค่อยๆเริ่มฟื้น

“ทีนี้มาดูกราฟเส้นสุดท้ายกัน กราฟสีครีม อยู่ล่างสุด นั่นคือราคาบ้านของประเทศญี่ปุ่น ราคาบ้านของญี่ปุ่นลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาถึง 20 ปี ต่างจากอเมริกา จีน และเวียดนามที่ลุงเล่าให้ฟังมาแล้วที่ฟื้นตัวได้ในเวลาเพียงไม่กี่ปี อันนี้แหละที่ลุงว่าเป็นฟองสบู่แตกของจริง”

ลุงแมวน้ำคลี่กราฟให้ดูอีกภาพหนึ่ง และพูดว่า



ดัชนีราคาบ้านเดี่ยวพร้อมที่ดิน และดัชนีราคาคอนโดมิเนียมของไทย ตั้งแต่ปี 2008-2014 รายไตรมาส ของธนาคารแห่งประเทศไทย


“ภาพนี้เป็นดัชนีราคาบ้านของไทย จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย แบ่งเป็นดัชนีราคาบ้านเดี่ยวกับราคาคอนโดมิเนียม ข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทยก็มีเพียงย้อนไปถึงปี 2008 เท่านั้น ไม่ได้มีย้อนไปถึงช่วงต้มยำกุ้ง

“ลุงจะเล่าภาพเศรษฐกิจในช่วงก่อนต้มยำกุ้งให้ฟังก็แล้วกัน ในราวปี 2537 (1994) ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เศรษฐกิจไทยบูมมาก ราคาบ้านและที่ดินขึ้นอย่างร้อนแรงจริงๆ แค่ใบจองบ้านหรือคอนโดก็เก็งกำไรด้อย่างงาม สมมติว่าจองวันนี้ พรุ่งนี้เอาไปขายต่อ ได้กำไรเป็นหมื่นแล้ว นี่แค่ขายใบจอง ตอนนั้นใครก็กระโดดเข้ามาในวงการอสังหาฯ ช่างทำผมก็กลายเป็นนายหน้าค้าที่ดินเนื่องจากอยู่ในแวดวงคุณหญิงคุณนาย เรื่องคุยและข่าวสารในร้านทำผมมีเยอะแยะ จึงผันตัวไปเป็นนายหน้าค้าที่ดิน

“ตอนนั้นผู้รับเหมารายเล็กก็ยกระดับตัวเองเป็นผู้พัฒนาโครงการอสังหา คือเป็นดีเวลอปเปอร์เสียเลย ทั้งๆที่วิศวกรก็ไม่มี สถาปนิกก็ไม่มี แต่ก็อัปเกรดตนเองจนเป็นดีเวลอปเปอร์ได้ รวมทั้งใครสักคนที่มีที่ดินเปล่าสักแปลงก็ผันตนเองมาเป็นเจ้าของโครงการอสังหาฯได้ด้วยการสร้างทาวน์เฮ้าส์แบบ 9 ยูนิต คือสร้าง 9 ยูนิตนี่ไม่ต้องไปจดทะเบียนจัดสรร ทำกันได้ง่ายๆเลย รวยกันไปไม่รู้เรื่อง

“ด้านสินเชื่ออสังหาก็ปล่อยง่าย ให้ราคาสูง ก็เหมือนคนที่ซื้อหุ้นใช้มาร์จินหรือเทรดฟิวเจอร์สโดยมีเงินสดเพียงนิดหน่อยนั่นแหละ

“ยุคต้มยำกุ้งนั้นเกิดจากต่างชาติโจมตีค่าเงินบาท เราต่อสู้ค่าเงิน แต่ในที่สุดก็พ่ายแพ้และทุนสำรองหมดหน้าตัก ต่อมาจึงมีการลดค่าเงินบาท มีธนาคารล้ม ไฟแนนซ์ล้ม ธุรกิจล้ม ปัญหาจึงได้ลามเป็นไฟลามทุ่ง อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะผู้ที่ใช้เงินหมุนหรือใช้สินเชื่อเยอะๆ พอระบบธนาคารเสียหาย วงจรเงินสดโดนตัดปุ๊บ ก็พังเป็นโดมิโนเลย

“แต่ในยุคนี้ต่างออกไป ธนาคารและบริษัทอสังหาฯที่อยู่รอดมาจนถึงปัจจุบันได้รับบทเรียนอย่างแสนสาหัสมาแล้ว ดังนั้น ตอนนี้ภาคธนาคารมีความเข้มแข็ง ระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ บริษัทอสังหาฯเองก็ระวังในการทำธุรกิจ ส่วนใหญ่จะมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E ratio) ต่ำ และตอนนี้ใช่ว่าใครๆก็จะโดดเข้ามาในวงการอสังหาฯได้ ส่วนการขายใบจองเก็งกำไรก็พอมีบ้าง แต่ไม่ดุเดือดเหมือนสมัยก่อน ดังนั้นที่ลุงมองคือสภาพการณ์ในปัจจุบันแตกต่างจากเมื่ออดีตมาก

“อีกอย่างหนึ่ง ลองดูที่กราฟสิ ตั้งแต่ปี 2008 ที่อเมริกามีวิกฤต จีนชะลอตัว แต่ดัชนีราคาบ้านและคอนโดของไทยขึ้นต่อเนื่องมาตลอดเลย แม้ว่าราคาคอนโดมิเนียมจะดูขึ้นเร็วสะท้อนการเก็งกำไรสูงแต่ในภาพรวมยังดูดี แต่...” ลุงแมวน้ำทิ้งท้าย

“แต่อะไรจ๊ะลุง ขมวดเป็นปมอีกแล้ว” ยีราฟขมวดคิ้ว “กำลังฟังเพลินๆอยู่”

“แต่ลุงคอแห้ง หิวน้ำปั่นล่ะสิ” ลิงดักคอ

“ใช่แล้วคร้าบ ขอเอาไว้คุยต่อคราวหน้าละกัน ลุงขอพักหน่อย” ลุงแมวน้ำหัวเราะ

Friday, January 23, 2015

ตลาดหุ้นไทยใกล้ฟองสบู่แตกหรือยัง

บทความชุด “ทะยานสู่พรมแดนใหม่” /// “Toward a New Frontier” Series 






“วู้ ลุงแมวน้ำอยู่มั้ยคร้าบ”

เช้าวันหนึ่ง ลุงแมวน้ำได้ยินเสียงลิงจ๋อเรียกอยู่ที่ใกล้ๆโขดหิน

“ลุงแมวน้ำ ลุงแมวน้ำอ้วน ลุงแมวน้ำอ้วนอุ้ยอ้าย ฮิฮิ สงสัยไม่อยู่”

“ลุงอยู่นี่ หลบอยู่ข้างโขดหิน” ลุงแมวน้ำชะโงกหน้าออกไปตอบ

“อะจ๊าก อยู่ก็ไม่บอก แอบล้อลุงเสียเต็มเหนี่ยว” ลิงจ๋อปรากฏตัวขึ้นที่ข้างโขดหิน พร้อมกับพูดเสียงอ่อย

“ลุงไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไรเลยในเมื่อที่นายจ๋อพูดไม่ใช่เรื่องจริง หุ่นลุงออกจะเพรียวสเลนเดอร์” ลุงแมวน้ำหัวเราะ

“คร้าบ เส้นผ่านศูนย์กลางเท่ากันตลอดทั้งตัวเนี่ยนะผอมเพรียว เอาเถอะ ผมยอมลุงแล้ว” ลิงหัวเราะเช่นกัน “ว่าแต่ลุงมาหลบอยู่ข้างโขดหินทำไมละเนี่ย ทำไมไม่นอนผึ่งพุงบนโขดหินเหมือนเคย หลบเจ้าหนี้เหรอ”

“ไม่ได้หลบเจ้าหนี้ แต่ว่าหลบลมหนาว อากาศบนโขดหินหนาวจะแย่ ลุงเลยหลบมาอยู่ข้างล่าง” ลุงแมวน้ำตอบ

“เอ๊ะ นั่นลุงดูอะไรอยู่น่ะ” ลิงทักถึงแท็บเล็ตที่วางอยู่บนพุงของลุงแมวน้ำ

“กำลังดูละครทีวีอยู่” ลุงแมวน้ำตอบ

“หา ลุงเนี่ยนะติดละครทีวี ซีรีส์เกาหลีเหรอ” ลิงทำสีหน้าแปลกใจเนื่องจากรู้ว่าปกติลุงแมวน้ำไม่ค่อยดูละคร

“ละครไทยนี่แหละ” ลุงแมวน้ำตอบ

ลิงชะโงกดูภาพที่ปรากฏบนจอแท็บเล็ต

“โอย อยากหัวเราะฟันหลุด ลุงแมวน้ำดูแอบรักออนไลน์” ลิงหัวเราะขำกลิ้ง

ลิงหัวเราะขำได้เพียงเดี๋ยวเดียวก็หยุดกึก

“เอ มันชักจะยังไงๆแล้วล่ะลุง หรือว่านี่เป็นสัญญาณอันตรายจริงๆ” ลิงพูดพึมพำ

“นายจ๋อพูดอะไรแปลกๆ ลุงดูละครเนี่ยนะเป็นสัญญาณอันตราย” ลุงแมวน้ำขำกับท่าทีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของลิงจ๋อ “นายจ๋อไม่สบายหรือเปล่า ทำไมดูอารมณ์แปรปรวน”

“ไม่ใช่อารมณ์แปรปรวน” ลิงตอบ “แต่กำลังนึกถึงเรื่องหนึ่งที่ช่วงนี้พูดถึงกันหนาหูทีเดียว เรื่องสัญญาณตลาดหุ้นวายน่ะ ที่จริงวันนี้ผมก็ตั้งใจจะแวะมาถามลุงเรื่องนี้นั่นแหละ”

“อ้อ” ลุงแมวน้ำชักสนใจ “แล้วสัญญาณที่นายจ๋อว่าตลาดหุ้นจะวายน่ะมีอะไร มีอะไรบ้าง เล่าให้ลุงฟังหน่อย”

“เท่าที่คุยกันในเครือข่ายสังคมออนไลน์ รวมทั้งที่คุยกันในวงสัมมนาต่างๆ รวมทั้งสภากาแฟ ก็จะเป็นว่าปรากฏการณ์หลายๆเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้าวิกฤตต้มยำกุ้ง กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้เช่นกัน เหมือนเป็นสิ่งบอกเหตุว่าตลาดหุ้นกำลังร้อนแรงเกินไป และประวัติศาสตร์กำลังซ้ำรอยเดิม” ลิงจ๋อตอบ

“สัญญาณเหล่านี้มีอะไรบ้างล่ะ” ลุงแมวน้ำถามอีก

“ก็เช่น ชาวบ้านร้านตลาดทั่วไปที่เดิมไม่เคยสนใจเรื่องหุ้นก็หันมาคุยเรื่องหุ้น ไปไหนก็มีแต่คนคุยกันเรื่องหุ้น นิตยสารต่างๆก็เอาเรื่องราวของเศรษฐีหุ้นมานำเสนอ แม้แต่ละครทีวีก็ยังวางท้องเรื่องให้อยู่ในแวดวงการค้าหุ้น ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และอีกอย่างหนึ่งนะลุง เขาพูดกันว่าเมื่อใดที่หุ้นเล็กหุ้นน้อยร้อนแรง นั่นแหละ ไม้สุดท้ายแล้ว ยิ่งดัชนีตลาดมาใกล้ 1700 ซึ่งเป็นจุดสูงสุดเดิมก่อนเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง ตอนนี้ดูเหมือนองค์ประกอบทุกอย่างซ้ำรอยกับเหตุการณ์ในครั้งต้มยำกุ้งเป๊ะเลยนะลุง พูดไปแล้วผมก็ชักหนาว จะล้างพอร์ตดีไหมเนี่ย” ลิงร่ายยาว “ลุงไม่เคยได้ยินเรื่องพวกนี้มาเลยหรือไง”

“ก็ได้ยินได้ฟังอยู่” ลุงแมวน้ำตอบ “ที่จริงยังมีอีกนะ อย่างเช่น สมัยก่อนมีสูตรอยู่ว่าหุ้นไฟแนนซ์วิ่งเมื่อไร เมื่อนั้นก็คือจบรอบ ตลาดจะวายแล้ว”

“อ้อ แล้วยังมีอีก ลุงพูดแล้วทำให้ผมนึกเพิ่มได้อีก นั่นก็คือธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ว่ากันว่าช่วงก่อนวิกฤตต้มยำกุ้งวงการอสังหาบูมมาก ก่อสร้างกันจนล้นตลาด ขายไม่ออก ในที่สุดก็กลายเป็นฟองสบู่แตก เหมือนตอนนี้เลยลุง ข่าวหนังสือพิมพ์บอกว่าตอนนี้บ้านคอนโดล้นตลาด เหลือบานเบอะ” ลิงจ๋อพูดอีก

“สรุปก็คือนายจ๋อมองว่าตลาดหุ้นไทยใกล้ฟองสบู่แตกแล้ว ว่ายังงั้นใช่ไหม” ลุงแมวน้ำถาม

“ก็น่าจะใช่นะลุง เพราะเหตุการณ์ต่างๆหลายอย่างในตอนนี้สอดคล้องกับเหตุการณ์ในตอนนั้น” ลิงตอบแบบลังเล “ลุงแมวน้ำคิดยังไงบ้างล่ะครับ”

“สัญญาณบอกเหตุที่นายจ๋อว่ามานั้น หากจะพูดถึงเหตุการณ์แล้วบางเรื่องมันก็พ้องกันกับเมื่อสมัยก่อนต้มยำกุ้งจริงนั่นแหละ จะว่าไปสัญญาณเหล่านี้ก็คืออินดิเคเตอร์นั่นเอง นายจ๋อใช้ปัจจัยทางเทคนิคก็คงรู้นี่ว่าการเลือกใช้อินดิเคเตอร์ต้องรู้ว่าอะไรควรใช้เมื่อไร คือต้องใช้ให้เหมาะกับสถานการณ์ รวมทั้ง ต้องเข้าใจคุณสมบัติของอินดิเคเตอร์นั้นด้วยว่าใช้บ่งชี้เรื่องอะไร มีความน่าเชื่อถือระดับใด

“เหตุการณ์หลายอย่างพ้องกันกับเมื่อก่อนละก็ใช่ แต่ทว่าสภาพแวดล้อมทางธุรกิจของสมัยนี้กับสมัยเมื่อ 20 ปีก่อน คือยุคก่อนต้มยำกุ้งนั้นก็แตกต่างกันมาก ดังนั้น การตีความก็อาจไม่จำเป็นต้องตีความในแบบเดิมๆ เรื่องแบบนี้ต้องพิจารณาให้ดี”

“ยังไงกันครับลุง ผมยังไม่ค่อยเข้าใจ” ลิงยกหางขึ้นเกาหัว เกาคาง

ลุงแมวน้ำล้วงเอาภาพชุดหนึ่งออกมาจากหูกระต่าย ยื่นให้ลิงจ๋อดู

“พอดีลุงมีภาพสยามสแควร์ที่ถ่ายในยุคต่างๆ นายจ๋อลองดูสิ”

“แล้วภาพนี้เกี่ยวกับที่เราคุยกันไหมเนี่ย” ลิงจ๋อยิ่งสงสัยหลังจากได้ดูภาพ

“ไม่ต้องงงไป ลุงจะอธิบายภาพชุดนี้ให้ฟัง ค่อยๆฟัง ใจเย็นๆ” ลุงแมวน้ำพูด “ลุงจะเล่านิทานให้ฟัง”

“นิทานอีกแล้ว” ลิงหัวเราะ “น่าจะเรียกกระต่ายน้อยมาฟังด้วย รายนั้นชอบฟังนิทาน”

“ความคิดของนายจ๋อดีทีเดียว ลุงคิดว่าพวกเราหลายๆตัวก็อาจกังวลใจอยู่เหมือนกันว่าตลาดหุ้นจะเกิดฟองสบู่แตกหรือไม่ ถ้าอย่างนั้นเรามาคุยพร้อมกันดีกว่า เย็นนี้เจอกันที่ศาลาชมสวนก็แล้วกัน” ลุงแมวน้ำพูด

“ยังงั้นก็ดีครับ จะได้ฟังกันหลายๆคน” ลิงตอบ

เย็นวันนั้น ที่ศาลาชมสวน บรรดาสิงห์สาราสัตว์ที่เปิดพอร์ตหุ้นต่างก็มาชุมนุมกันพร้อมหน้า หลังจากที่ลุงแมวน้ำเท้าความให้ฟังถึงเรื่องที่คุยกับลิงจ๋อในตอนเช้า ลุงแมวน้ำก็เริ่มเข้าเรื่อง โดยยกภาพถ่ายให้ทุกคนได้ชมกันอีกรอบหนึ่ง

“ลุงเริ่มคุยเลยก็แล้วกัน ลองดูภาพนี้ ภาพนี้มี 3 ภาพย่อย เป็นภาพถ่ายของสี่แยกปทุมวันและสยามสแควร์ทั้งสามภาพ แต่ว่าถ่ายในยุคที่แตกต่างกัน ภาพนี้มีความหมายไม่น้อยทีเดียว ลุงจะเล่าเรื่องราวเก่าๆในภาพเหล่านี้ให้พวกเราฟัง”

“เย้ มีนิทานฟังแล้ว” กระต่ายน้อยพูดอย่างร่าเริง “กดไลค์ให้ 10 อันเลยฮะลุง”

ลุงแมวน้ำเริ่มเล่า

“เรามาดูที่ภาพย่อยแรกกันก่อน ภาพบนสุด ภาพนี้เป็นภาพสี่แยกปทุมวันและสยามสแควร์ที่ถ่ายในปี พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) หรือเมื่อสี่สิบกว่าปีมาแล้ว”

บรรดาสมาชิกฮือฮากันใหญ่ เพราะว่าไม่เคยเห็นสยามสแควร์ในสภาพเช่นนี้มาก่อน

“โห ถ้าไม่บอกไม่มีทางจำได้เลย” ลิงพูด

“ภาพนี้จุดที่ตั้งกล้องคือด้านสนามกีฬาแห่งชาติ มองไปทางราชประสงค์ ก็จะเห็นสี่แยกปทุมวัน และไกลออกไปจากสี่แยกก็คือสยามสแควร์

ที่จริงในยุคนั้น ตรงพญาไท ราชเทวี และปทุมวัน ไม่ได้เป็นสี่แยกดังในปัจจุบันหรอกนะ สมัยก่อนนั้น คือเมื่อห้าสิบปีก่อน เป็นวงเวียนมีน้ำพุอยู่ตรงกลางทั้งสามแห่ง เรียกว่าวงเวียนปทุมวัน วงเวียนราชเทวี และวงเวียนพญาไท แต่ต่อมาก็รื้อวงเวียนและน้ำพุออกไป กลายเป็นสี่แยกไปจนหมด จนกลายเป็นสี่แยกปทุมวัน สี่แยกราชเทวี และสี่แยกพญาไท ในภาพนี้วงเวียนปทุมวันเพิ่งถูกรื้อออกไป และกำลังจะทำเป็นสี่แยก เรายังเห็นแนววงเวียนอยู่เลย

ในปี พ.ศ. 2513 นั้นศูนย์การค้าสยามสแควร์เพิ่งเปิดดำเนินการได้ไม่นาน ตึกรามก็มีที่ฝั่งโรงหนังสยาม ลิโด้ สกาล่าเท่านั้น ฝั่งตรงข้ามยังไม่มีอะไรเลย พูดง่ายๆก็คือ พื้นตรงที่เป็นสยามดิส สยามเซ็นเตอร์นั้น ในยุคนั้นยังมีแต่ต้นไม้

“ว้าว โบราณจริงๆ” ลิงอุทาน

“ทีนี้ดูภาพต่อมา เป็นภาพสี่แยกปทุมวันและย่านสยามสแควร์ในปี 2531 ภาพนี้จุดตั้งกล้องน่าจะอยู่ที่ตึก MBK เห็นอาคารศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์สีเขียวๆนั่นไหม นั่นคือรูปโฉมดั้งเดิม สมัยก่อน เมื่อแรกมีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และเริ่มมีการซื้อขายหุ้นในปี 2518 ที่ทำการของตลาดหลักทรัพย์และห้องค้าหุ้นก็อยู่ในตึกสยามเซ็นเตอร์นั่นเอง ต่อมาจึงได้ย้ายออกไป

“ส่วนพื้นที่สีเขียวๆข้างสยามเซ็นเตอร์นั้น สมัย 252x ตรงนั้นจัดเป็นลานเบียร์ในช่วงฤดูหนาว เป็นลานเบียร์แห่งแรกเลยมั้ง หนุ่มสาวยุคนั้นนิยมกันมาก ต่อจากนั้นจึงได้กลายเป็นสยามดิสคัฟเวอรี่

“ทีนี้มาดูภาพล่างสุด เป็นสี่แยกปทุมวันและสยามสแควร์ที่ถ่ายจากมุมสูง ในปี 2556 ภาพนี้เห็นตึกสูงเต็มไปหมดทั่วทั้งบริเวณ อีกทั้งยังมีรถไฟฟ้าอีกด้วย

“ลุงนำเอาภาพสยามสแควร์ตลอดช่วงเวลา 50 ปีมาให้ดูกัน เพื่อให้เห็นว่าสยามสแควร์เปลี่ยนแปลงไปมากเพียงใด เครื่องเสียงของวัยรุ่นในยุคของภาพแรกคือวิทยุทรานซิสเตอร์ ส่วนวัยรุ่นในภาพสองพูดถึงวิทยุเทปวอล์กแมน ส่วนวัยรุ่นในภาพสามพูดกันเรื่องไอโฟน

“วัยรุ่นในภาพแรกกินขนมครกจากรถเข็นป้าปากซอย วัยรุ่นในภาพกลางกินวาฟเฟิลที่ร้าน A&W ส่วนวัยรุ่นในภาพสามกินขนมที่ร้านอาฟเตอร์ยู



การเทรดหุ้นในยุคที่ยังใช้ระบบมือ หรือที่เรียกว่าระบบเคาะกระดาน

การเทรดหุ้นในปัจจุบันใช้ระบบคอมพิวเตอร์ออนไลน์ สามารถส่งคำสั่งได้ด้วยโทรศัพท์สมาร์ทโฟน ซื้อขายได้ทุกที่ ทุกเวลา


“มาดูที่พัฒนาการของตลาดหุ้นกันบ้าง สมัยก่อน เมื่อ 30 ปีก่อน การซื้อขายยังทำด้วยระบบมือ คือต้องโทรศัพท์ไปสั่งที่ดบรกเกอร์ จากนั้นโบรกเกอร์จะสั่งไปที่เจ้าหน้าที่ในห้องค้าอีกทีหนึ่ง การซื้อขายก็ใช้เคาะกระดาน เขียนกระดาน ตะโกนกันโหวกเหวก ใช้กล้องส่องทางไกล ซึ่งหนุ่มสาวสมัยนี้คงไม่มีใครได้เห็นเนื่องจากไม่ทันนั่นเอง ปัจจุบันการซื้อขายหุ้นใช้ระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมด แถมยังออนไลน์อีกด้วย เรียกว่าซื้อขายกันง่ายแค่ปลายนิ้ว หนุ่มสาวในยุคนี้นึกไม่ออกว่าเมื่อ 30 ปีก่อนเทรดกันยังไง คนในยุค 30 ปีก่อนก็นึกไม่ออกว่าอีก 30 ปีต่อมาจะเทรดกันยังไงเช่นกัน

“สภาพสังคม การศึกษา สภาพแวดล้อมทางธุรกิจ สมัยก่อนป่วยก็กินยาหม้อ ยาผีบอก สมัยนี้ล้ำไปถึงขั้นซ่อมแซมยีนกันแล้ว ตอนนี้แตกต่างจากเมื่อ 20 ปีก่อนไปมากทีเดียว ดังนั้นต้องระวังว่าสูตรเดิมๆอาจใช้ไม่ได้ สัญญาณต่างๆอยู่ภายใต้บริบทที่แตกต่างกันก็อาจต้องตีความกันใหม่ สมัยนี้ชาวบ้านร้านตลาดพูดเรื่องหุ้นลุงก็ว่าไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่คุยเรื่องหุ้นจะให้คุยเรื่องอะไรล่ะ” ลุงแมวน้ำพูด

“สรุปว่าลุงแมวน้ำคิดว่าตลาดหุ้นไทยยังไม่มีสัญญาณฟองสบู่แตก” ลิงคาดคั้นเอาคำตอบ

“ลุงยังไม่เห็นแบบนั้นนะ” ลุงแมวน้ำตอบ “และยิ่งไปกว่านั้น ลุงยังมองตรงกันข้าม”

“ตรงกันข้ามยังไงฮะลุง” กระต่ายน้อยถามบ้าง

“ลุงพอจำสถิติได้นิดหน่อย ตลาดหุ้นปี 2528 หรือเมื่อราวๆ 30 ปีก่อน ตอนนั้นมูลค่าตลาด (market cap) ประมาณ 50,000 ล้านบาท มีหุ้นสามัญให้เทรดในตลาดประมาณ 100 หุ้น นี่ปัดเอาตัวเลขกลมๆนะ ไม่ได้เอาตัวเลขละเอียด

“ในปี 2557 ตลาดหุ้นมีมูลค่าถึง 14,000,000 ล้านบาท (อ่านว่า 14 ล้านล้านบาท) มีหุ้นสามัญให้เทรด 700 หุ้น ยังไม่รวมผลิตภัณฑ์อื่นๆอีก

“นอกจากนี้ ปัจจุบันเรายังเชื่อมโยงกับตลาดหุ้นมาเลเซียและสิงคโปร์ สามตลาดสามารถเทรดหุ้นระหว่างกันได้โดยระบบอาเชียนลิงเกจ นอกจากนี้ เรายังเชื่อมโยงกับตลาดหลักทรัพย์ GMS คือลาว กัมพูชา เวียดนาม ที่เราสามารถซื้อหุ้นในตลาดเหล่านี้ผ่านโบรกเกอร์ไทยได้

“และในปี 2558 นี้ ตลาดหลักทรัพย์ไทยจะเริ่มรับกิจการของประเทศเพื่อนบ้านให้เข้ามาจดทะเบียนระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทยได้อีกด้วย

“เห็นไหมว่าตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันต่างจากเมื่อก่อนมาก นอกจากตลาดหุ้นแล้ว สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและสังคมของเราก็เปลี่ยนไปมากด้วยเช่นกัน เรากำลังทะยานไปสู่พรมแดนใหม่ที่เราไม่เคยไปถึงมาก่อนต่างหาก อย่างที่ภาษาฝรั่งเรียกว่า toward a new frontier”

“โห ลุงฮะ” กระต่ายน้อยทำตากลมโต “ลุงดูหนังสตาร์เทรกมากไปหน่อยหรือเปล่า”

“ลุงก็ชอบดูนะ หนังชุดสตาร์เทรก (Star Trek) เนี่ย แต่ที่ลุงพูดมานี้ไม่ใช่หนัง แต่ว่าเรากำลังก้าวไปแบบนั้นจริงๆ ดังนั้นลุงจึงไม่แปลกใจถ้าเราจะเห็นดัชนีตลาดหุ้นของเราไต่ระดับไปถึง 2,000 จุด และ 3,000 จุด” ลุงแมวน้ำพูด

“ขนาดนั้นเลยหรือลุง” ลิงหัวเราะ “นี่แหละ นักลงทุนสายจิน ของแท้เลย”

“ลุงไม่ได้เอาแต่จิตนาการลมๆแล้งๆ ลุงมีเหตุผลประกอบเยอะแยะมากมายทีเดียว รวมทั้งเรื่องอสังหาฯ ตอนนี้มีฟองสบู่หรือไม่ จะลงเอยเหมือนต้มยำกุ้งหรือไม่ ลุงก็มีเหตุผลประกอบ อยากฟังไหมล่ะ” ลุงแมวน้ำถาม

“อยากฟังสิลุง หากตลาดหุ้นไทยไปขนาดนั้นจริง ผมคงได้ผลตอบแทนงดงามไม่น้อยเลยทีเดียว” ลิงพูด

“ถ้าอย่างนั้นเรามาฟังกันต่อในวันหลัง ลุงจะทยอยเล่าให้ฟัง” ลุงแมวน้ำสรุป

Monday, January 19, 2015

ค่าเงินยังฝุ่นตลบ นักลงทุนหาที่ปลอดภัย ระวังตลาดหุ้นปรับตัวลง



วันนี้เรามาอัปเดตสถานการณ์ระยะสั้นกันอีก เนื่องจากผลจากการที่ธนาคารกลางสวิสเลิกผูกค่าเงินฟรังก์สวิสกับเงินยูโรในสัปดาห์ที่แล้ว ทำให้ตลาดเงิน ตลาดตราสารหนี้ และตลาดหุ้น ปั่นป่วนกันไปหมด สถานการณ์ยังไม่นิ่ง

เนื่องจากฝุ่นยังตลบไปหมด ยิ่งฝุ่นตลบก็ยิ่งมองสถานการณ์ไม่ออก เมื่อนักลงทุนมองสถานการณ์ไม่ออกก็ยิ่งแตกตื่น ดังนั้นช่วงนี้ตลาดต่างๆน่าจะผันผวนไปอีกสักระยะหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม นักลงทุนไทยต้องมีสติ สติอยู่สตางค์ก็อยู่ เราค่อยๆมาวิเคราะห์สถานการณ์กัน ลองดูว่าพอจะเห็นอะไรบ้าง

ประเด็นแรก มาดูที่ค่าเงินกันก่อน เมื่อคืนวันที่ 15 (เวลาบ้านเรา) ธนาคารกลางสวิสประกาศลอยตัวค่าเงินฟรังก์สวิสจากที่ผูกกับยูโร ทำให้เงินฟรังก์สวิสแข็งค่าอย่างฉับพลัน ส่งผลกระทบต่อเงินสกุลอื่นอย่างไรบ้าง เรามาดูกราฟนี้กัน เป็นกราฟค่าเงินในรอบสัปดาห์ที่แล้ว  วิธีดูกราฟนี้คือหากกราฟพุ่งขึ้น ตัวเลขเป็นบวก คือเงินอ่อนค่า หากกราฟพุ่งลง ตัวเลขเป็นลบ คือเงินแข็งค่า




จากกราฟ  เราคงพอจะเห็นได้ว่าเงินยูโรอ่อนตัวฉับพลัน เงินแคนาดา เงินปอนด์อังกฤษ ก็อ่อนค่าด้วย ในกราฟไม่มี แต่ลุงแมวน้ำสรุปให้ฟังว่าเงินสกุลสำคัญของฝั่งตะวันตกอ่อนค่า

ที่น่าสนใจคือเงินในเอเชีย เงินในเอเชียมีการตอบสนองสองแบบ คือ วันแรกตกใจแข็งค่า จากวันวันศุกร์ก็อ่อนค่าลง เช่น เงินเยน เงินรูเปียะอินโด เงินเปโซฟิลิปปินส์ เงินสิงคโปร์ ฯลฯ กับการตอบสนองอีกแบบคือแข็งค่าติดต่อกันจนสิ้นสัปดาห์โดยไม่อ่อนตัว เช่น เงินบาท เงินรูปีอินเดีย และเงินริงกิตมาเลเซีย จากการประเมินเบื้องต้น เงินต่างชาติบางส่วนน่าจะมาหาที่หลบภัยย่านเอเชีย โดย ไทย อินเดีย มาเลเซีย อาจเป็นเป้าหมายสำคัญ

จากนั้นเรามาดูตลาดตราสารหนี้กันบ้าง ลองดูอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล อายุ 10 ปี ของประเทศต่างๆกัน ดังภาพต่อไปนี้








จากภาพ จะเห็นว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลในตลาดสำคัญคือ อเมริกา เยอรมนี ย่านเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น ฮ่องกง ไทย และยังมีมีอีกหลายประเทศ ล้วนแต่มีแรงซื้อเข้ามาในตลาดพันธบัตร ทำให้อัตราผลตอบแทนลดลง


จากนั้นก็มาดูราคาทองคำ ราคาทองคำตัดปลายสามเหลี่ยมยชายธงขึ้นด้านบน ตอนนี้ราคาทองคำเป็นขาขึ้น




ภาพทั้งหมดที่ลุงแมวน้ำยกมาให้ดูนั้น แสดงให้เห็นว่าผลกระทบจากเงินสกุลยุโรป คือ ยูโรกับฟรังก์สวิส แผ่ขยายไปในทุกตลาด สัปดาห์นี้ธนาคารกลางยุโรปจะประชุมกันเรื่องอัดฉีดคิวอียุโรปด้วย ยิ่งฉุดให้ค่าเงินยูโรอ่อน และส่งผลกระทบต่อเงินสกุลอื่นๆ ภาพเท่าที่มองจากฝุ่นที่กำลังตลบในตอนนี้ก็คือเงินทุนกำลังหาที่หลบภัยในสินทรัพย์ที่มั่นคง ดูได้จากการที่เงินไหลเข้าไปในเงินตราบางสกุล กับไหลเข้าไปในตลาดพันธบัตรและทองคำ 




ดังนั้นลุงแมวน้ำคาดการณ์สถานการณ์ในช่วงสั้นๆข้างหน้านี้ว่าตลาดหุ้นในฝั่งตะวันตก คืออเมริกาและยุโรป น่าจะปรับตัวลง เนื่องจากนักลงทุนแสดงท่าทีต้องการลดความเสี่ยง ประกอบกับรูปแบบทางเทคนิคของตลาดหุ้นอเมริกาเป็นสามเหลี่ยมชายธงด้วย เป็นไปได้ว่ารอบนี้ตลาดหุ้นอเมริกาจะทะลุชายธงลงด้านล่างไปก่อน

ประเด็นที่ยังไม่ชัดเจนและยังต้องระวังก็คือ น่าจะมีกองทุนพวกเฮดจ์ฟันด์ที่ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันในสัปดาห์ที่แล้ว อาจมีการขายสินทรัพย์ของกองทุนออกมา พวกนี้ก็อาจทำให้ตลาดหุ้นปั่นป่วนได้ด้วย

ส่วนตลาดหุ้นไทย เป็นสามเหลี่ยมชายธงเช่นกัน ดังนั้นให้ระวังการปรับฐานตามฝั่งตะวันตกด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ เราคงเห็นเงินบาทแข็งค่าอย่างน้อยก็ในระยะสั้น




นี่เป็นประเมินท่ามกลางฝุ่นที่ยังตลบ ก็ให้ระวังกันเอาไว้ก่อน โดยเฉพาะตลาดหุ้น นักลงทุนระยะสั้นควรหลบเลี่ยง ส่วนระยะกลางยาวเป็นจังหวะในการเลือกหุ้นและปรับพอร์ต ทองคำน่าสนใจแล้วคร้าบ แนวต้านถัดไป 1340 กับ 1380 ดอลลาร์ สรอ/ทรอยออนซ์ ดูกองทุนทองคำ อีทีเอฟทองคำ ไว้บ้างก็ไม่เลว ส่วนฟิวเจอร์สทองเหวี่ยงแรง นักลงทุนควรมีประสบการณ์ มือใหม่อย่าเข้าฟิวเจอร์สทองเลย ดูพวกกองทุนกับอีทีเอฟทองคำดีกว่า

Wednesday, January 14, 2015

หมู่เกาะกาลาปาโกส กับทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วิน (4)


ลุงสิงโตทะเลกำลังอ้อนขอปลาจากพ่อค้าที่ตลาดปลาริมทะเลในหมู่เกาะกาลาปาโกส


โดดเดี่ยวผู้ไม่น่ารัก ยิ่งปกป้องยิ่งเสี่ยงสูญพันธุ์


“หมู่เกาะกาลาปาโกสนั้นแต่ละเกาะที่เป็นส่วนประกอบของหมู่เกาะมีสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน เรียกได้ว่าแต่ละเกาะเป็นถิ่นที่อยู่ที่เป็นเอกเทศ ปราศจากสิ่งมีชีวิตภายนอกเข้ามารบกวน แม้แต่นกฟินช์ที่อาศัยอยู่ในเกาะใกล้ๆกันแต่ก็มียังเป็นคนละชนิดพันธุ์ (ต่างสปีชีส์ species) กัน เป็นกรณีศึกษาของระบบนิเวศที่น่าสนใจ” ลุงแมวน้ำพูด “ในถิ่นที่อยู่ที่ปิด หมายถึงว่าตัดขาดจากโลกภายนอก เช่นในเกาะแห่งหนึ่งที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นเข้ามาปะปน สิ่งมีชีวิตภายในเกาะจะสืบพันธุ์กันเอง (inbreeding) เฉพาะภายในเกาะ รุ่นแล้วรุ่นเล่า จนได้สิ่งมีที่ค่อนข้างเป็นสายเลือดแท้ เนื่องจากไม่มีสายเลือดอื่นจากภายนอกเข้ามาปะปน”

“สายเลือดแท้ดีหรือไม่ดีละฮะลุง” กระต่ายน้อยถาม

“โดยทั่วไปแล้วสายเลือดแท้มักขาดความผันแปรทางรูปลักษณ์ เมื่อประมาณ 30-40 ปีก่อน มีนักวิทยาศาสตร์เข้ามาศึกษานกฟินช์ในเกาะย่อยแห่งหนึ่งในหมู่เกาะกาลาปาโกสนี้ นักวิทยาศาสตร์คนนี้พบว่าเกาะย่อยนี้มีปริมาณน้ำฝนพอควรทุกปี ทำให้นกฟินช์บนเกาะนี้เป็นนกฟินช์พันธุ์จงอยปากขนาดกลาง เหมาะสำหรับกินเมล็ดพืชที่มีขนาดเล็ก

“แต่ต่อมาปรากฏว่าเกาะแห่งนี้มีฝนแล้งยาวนาน ฝนตกน้อยมาก ต้นไม้ตาย เมล็ดพืชก็กลายเป็นเมล็ดขนาดใหญ่ขึ้นและหนามากขึ้น เนื่องจากพืชในภาวะแล้งต้นไม้จะสร้างเมล็ดพืชให้มีเปลือกหนาขึ้นเพื่อให้ทนแล้งได้ดี

“เพียงสองปีที่อากาศแล้งต่อเนื่อง นกฟินช์จงอยปากขนาดกลางล้มตายลงเป็นจำนวนมาก เนื่องจากกินเมล็ดพืชที่ใหญ่ขึ้นและหนาขึ้นไม่ได้ หากแล้งต่อเนื่องไปเป็น 3-4 ปี นกฟินช์บนเกาะนี้อาจตายไปหมดก็เป็นได้ ทั้งนี้ก็เนื่องจากนกฟินช์บนเกาะนี้ตัดขาดจากโลกภายนอก รวมทั้งตัดขาดจากเกาะอื่นๆ และสืบพันธุ์กันเองภายในเกาะ ดังนั้นสายเลือดของนกฟินช์พันธุ์นี้จึงเป็นสายเลือดแท้ที่ขาดความผันแปรทางรูปลักษณ์ อาหารการกินหรือการดำรงชีวิตอื่นๆมีความเฉพาะหรือว่าเป็นเอกเทศ เมื่อสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงก็อาจก่อผลกระทบที่รุนแรงถึงขนาดทำให้สูญพันธุ์ได้เนื่องจากนกปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมไม่ได้เลย

“ทีนี้ลองมาดูนกฟินช์บนแผ่นดินใหญ่อเมริกาใต้กันบ้าง นกฟินช์ที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินใหญ่นั้นเนื่องจากสภาพภูมิประเทศเชื่อมต่อกัน ดังนั้นถิ่นที่อยู่ของนกจึงไม่ได้เป็นเอกเทศ แต่ทว่านกบินไปมาหาสู่กันได้ ทำให้นกฟินช์แผ่นดินใหญ่ผสมพันธุ์ข้ามสายเลือดกัน คือเป็นนกสายเลือดผสม มีความผันแปรทางรูปลักษณ์สูง อีกทั้งสภาพแวดล้อมบนแผ่นดินใหญ่นั้นมีหลากหลาย ธรรมชาติได้คัดเลือกให้สายพันธุ์ที่สามารถกินอาหารได้หลายรูปแบบอยู่รอดต่อไปได้ ส่วนนกฟินช์ที่กินอาหารได้ไม่หลากหลายก็ถูกกำจัดออกไปเพราะอดอาหารตาย ทำให้นกฟินช์บนแผ่นดินใหญ่มีวิวัฒนาการให้มีความสามารถในการปรับตัว สามารถกินอาหารได้หลากหลาย เรียกได้ว่ามีความยืดหยุ่นสูงนั่นเอง”

“อ้อ ครับ” ลิงพูด “แต่ว่าลุงแมวน้ำกำลังจะบอกอะไรเนี่ย”

“เรื่องนี้ก็เป็นเช่นเดียวกับในธุรกิจ พวกเรารู้ไหมว่าในข้อตกลงของเออีซีนั้นระบุว่าเมื่อประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะต้องเปิดเสรีธุรกิจบริการ โดยแต่ละประเทศมีพันธกรณีที่จะให้ต่างชาติเข้ามาดำเนินธุรกิจบริการได้โดยถือหุ้นไม่น้อยกว่า 70% พูดง่ายๆก็คือต่างชาติสามารถถือหุ้นใหญ่ได้ 70%

“ทีนี้ประเทศต่างๆในอาเซียนส่วนใหญ่ต่างก็ยังซ่อนปมปกป้องธุรกิจท้องถิ่นของตนเองไว้ ไม่ยอมให้ต่างชาติเข้ามาดำเนินธุรกิจโดยถือหุ้นใหญ่ได้จริงๆ โดยลุงอุปมาให้ฟังว่าข้อตกลงเออีซีคือว่าแต่ละบ้านต้องเปิดประตูบ้านเอาไว้ให้เพื่อนบ้านไปมาหาสู่ได้สะดวก ซึ่งเราก็เปิดประตูบ้านเอาไว้ แต่ว่าห้องหับต่างๆล็อกประตูเอาไว้หมด นี่คือการเปิดเสรีแบบเลี่ยงบาลีนั่นเอง โดยเรายังมีข้อกฎหมายต่างๆที่ยังไม่ได้แก้ไข ทำให้การเปิดเสรียังทำไม่ได้จริงๆ ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้ประเทศอื่นๆในอาเซียนต่างก็ทำคล้ายๆกัน เพราะวัตถุประสงค์ก็คือยังต้องการปกป้องธุรกิจภายในประเทศอยู่ ยกเว้นบางประเทศ เช่น สิงคโปร์ ที่เปิดเสรีธุรกิจบริการมานานแล้ว ดังนั้นโดยสภาพความจริงแล้วหลายๆประเทศในเออีซีรวมทั้งไทย มีการปกป้องธุรกิจท้องถิ่นในระดับที่สูง

“แต่ลุงอยากให้มองในอีกมุมหนึ่ง นั่นคือ กรณีนกฟินช์ที่ลุงได้เล่าให้ฟัง การปกป้องธุรกิจท้องถิ่นก็คือการที่ธุรกิจท้องถิ่นตัดขาดจากโลกภายนอก ค้าขายกันเอง เหมือนนกฟินช์ในเกาะย่อยที่มีสภาพแวดล้อมเอกเทศตัดขาดจากโลกภายนอก ตอนนี้มาตรฐานเออีซีคือเปิดเสรีธุรกิจบริการ ต่างชาติถือหุ้นได้ 70% แต่ในเวทีโลกหรือเวทีองค์การค้าโลก WTO ที่ไทยเป็นสมาชิกอยู่นั้น แนวโน้มของเวทีโลกเป็นการเปิดเสรี 100% เราฝืนกระแสโลกไม่ได้ วันใดที่เราเปิดเพราะจำยอมถูกบังคับและยื้อต่อไปไม่ได้ เราจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ธุรกิจท้องถิ่นอาจจะตายหมด ทางที่ถูกคือต้องเอาธรรมชาติเป็นตัวอย่าง นั่นคือ ต้องค่อยๆเปิดเสรี ให้ธุรกิจไทยได้ปรับตัวและเรียนรู้ที่จะแข่งขัน ค่อยๆวิวัฒนาการ จึงจะมีโอกาสอยู่รอดมากกว่า


พันธุ์ทางโอกาสรอดสูงกว่า JV และ M&A คือทางรอด


“ลุงขอยกตัวอย่างธุรกิจโชวห่วยหรือร้านขายของชำ หลายปีมีนี้เราพูดกันมากว่าโชวห่วยกำลังมีภัยคุกคาม และกำลังจะสูญพันธุ์ เราจะหาทางปกป้องโชวห่วยอย่างไร เรื่องนี้ในประเทศฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และประเทศอื่นๆก็มีปัญหาเช่นกัน

“หากเราศึกษาจากธรรมชาติ เราจะพบว่ากฎธรรมชาตินั้นมีเกิดย่อมมีดับ โลกเราเคยมีช้างแมมมอธ แต่ปัจจุบันก็ไม่มี พืชและสัตว์จำนวนมากสูญพันธุ์ไปจากประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ทั้งนี้เพราะสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปจนช้างแมมมอธปรับตัวไม่ได้ ธรรมชาติจึงตัดสินให้ช้างพันธุ์นี้ต้องสูญพันธุ์ไป

หรืออย่างเช่น สมัน เมื่อก่อนในกรุงเทพฯก็ยังมี แต่ในที่สุดก็หมดไปจากกรุงเทพฯและหมดไปจากโลก ดังนั้นเราต้องพิจารณาให้ดีว่าโชวห่วยนั้นเราสามารถฝืนความเปลี่ยนแปลงของโลกและยุคสมัยได้จริงหรือ มีความสามารถอยู่รอดในยุคสมัยนี้ได้จริงหรือ

“แต่หากเรามองอีกด้านหนึ่ง การไปมาหาสู่ การที่สายเลือดต่างๆผสมพันธุ์ข้ามกันไปมาทำให้เกิดลูกหลานพันธุ์ผสม เหล่านี้ทำให้ลูกหลานวิวัฒนาการและอยู่รอดในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปได้ ทำไมเราไม่ส่งเสริมให้ธุรกิจไทยไปมาหาสู่กับธุรกิจต่างชาติบ้างละ ด้วยการลงทุนร่วมกันหรือที่เรียกว่า joint venture (JV) ก็ดี การควบรวมกิจการกัน (M&A) ก็ดี เหล่านี้ล้วนแต่สอดคล้องกับหลักธรรมชาติ ดูสิงคโปร์สิ เปิดเสรีธุรกิจการค้า มีการสงวนกิจการไว้น้อยมาก รายได้ต่อหัวประชากรของสิงคโปร์สูงกว่าไทยมากมาย”


อยู่ไม่ได้ก็อพยพ การย้ายถิ่นก็อาจเป็นทางรอด


“อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปมาก หากยังอยู่ในถิ่นที่อยู่เดิมแล้วไม่สามารถปรับตัวได้ การรอคอยจุดจบไม่ใช่ทางออก ธรรมชาติสอนให้สิ่งมีชีวิตมีการอพยพย้ายถิ่น ประเด็นนี้ไม่ใช่เรื่องของวิวัฒนาการ แต่ก็เป็นหาทางเอาตัวรอดได้ทางหนึ่ง

“ในทางธุรกิจ หากเราอยู่ในที่เดิมไม่ไหวเนื่องจากการแข่งขันสูงหรือสภาพแล้วล้อมเปลี่ยนไปจนทำธุรกิจแบบเดิมไม่ได้ เราก็อาจพิจารณาการย้ายถิ่น ซึ่งการย้ายถิ่นในทางธุรกิจนั้นตีความหลายหลายนัย เช่น การย้ายโรงงานไปตั้งในถิ่นอื่น เช่น ไปตั้งในต่างประเทศ หรือต่างจังหวัด หรืออาจหมายถึงการเปลี่ยนเป้าหมายลูกค้าเป็นลูกค้าถิ่นอื่นหรือ หรืออาจหมายถึงการเปลี่ยนตำแหน่งทางการตลาดของสินค้าหรือที่เรียกว่า repositioning ก็ได้”

“อือม์ น่าคิด” ลิงหัวเราะ “ยังไม่เห็นว่ามีอะไรที่เกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้นเลย

“มีสิ” ลุงแมวน้ำตอบ


นักลงทุนพันธุ์ทาง ยืดหยุ่นในทุกสถานการณ์


“ในด้านการลงทุน ปัจจุบันสภาพแวดล้อมในการลงทุนเปลี่ยนไปจากเดิมมาก ยกตัวอย่างเช่น นักลงทุนสายเทคนิค นักลงทุนเรียนจากตำราเทคนิคเดียวกันทั่วโลก ดังนั้นใครจะสร้างรูปแบบทางเทคนิคขึ้นมาเพื่อหลอกให้นักลงทุนรายอื่นมาติดกับก็ย่อมเป็นไปได้

“ขณะเดียวกัน การใช้ปัจจัยพื้นฐานนั้นก็บ่งบอกถึงพื้นฐานของกิจการในปัจจุบัน แต่ไม่ได้รับประกันอนาคต หากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินกระทันหันขึ้นมา เหมือนกับที่สภาพแวดล้อมเกิดภัยคุกคามกระทันหันขึ้นมา ยกตัวอย่างไฟไหม้โรงงาน เพิ่มทุนแบบพิสดาร การตกแต่งบัญชี ฯลฯ หรือกรณีการออกไปลงทุนในต่างประเทศที่ข้อมูลปัจจัยพื้นฐานน้อย หรือการลงทุนในดัชนี จะทำอย่างไร เป็นต้น


"ตำราหลายๆเล่มไม่ว่าจะเป็นสายปัจจัยพื้นฐานหรือสายเทคนิคก็ตาม ที่เป็นระดับคลาสสิกหรือถือว่าเป็นคัมภีร์ของนักลงทุนนั้นเป็นตำราที่เขียนขึ้นนานแล้ว ในยุคที่การซื้อขายหุ้นยังต้องเคาะกระดานหุ้นอยู่ ภาพถ่ายก็ได้กล้องในยุคฟิล์ม แต่ปัจจุบันสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปมากแล้ว ระดับความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารเร็วกว่าในยุคก่อนอย่างเทียบกันไม่ได้ ดังนั้นต้องเผื่อใจเอาไว้เสมอว่าความรู้ที่มีอยู่เดิมอาจไม่สามารถใช้ในยุคนี้ได้ ลุงไม่ได้บอกว่าใช้ไม่ได้ แต่อยากให้เผื่อใจ ระวังเอาไว้บ้างว่าอาจใช้ไม่ได้ เพราะจะทำให้เราไม่ประมาท

“ดังนั้น ด้วยหลักที่ว่าพันธุ์ผสมเอื้อต่อการอยู่รอดได้ดีกว่า นักลงทุนรายย่อยอย่างพวกเราหากศึกษาเรียนรู้ทั้งปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิคก็ย่อมช่วยในการปรับตัวและอยู่รอดในตลาดทุนได้ดีกว่า สภาพแวดล้อมใดที่ปัจจัยพื้นฐานหาได้น้อยก็ใช้เทคนิคมากหน่อย ดังที่ลุงเคยยกตัวอย่างเรื่องการคำนวณเป้าหมายราคาด้วยปัจจัยทางเทคนิคผสมปัจจัยพื้นฐานนั่นไง วิธีนั้นก็น่าสนใจและใช้ได้ผลดีทีเดียว

“ที่จริงก็ยังมีตัวอย่างอีกหลายกรณี แต่เอาหลักๆเท่านี้ก่อนละกัน ก็คงพอเห็นตัวอย่างกันแล้วว่าเราสามารถเอากฎธรรมชาติมาใช้กับการลงทุนได้อย่างไร ลุงแมวน้ำคอแห้งมากแล้ว” ลุงแมวน้ำสรุปเอาดื้อๆ


ผู้แข็งแรงอาจไม่รอด ผู้ที่พัฒนาและปรับตัวได้คือผู้อยู่รอด


“หากเราพิจารณากฎการวิวัฒนาการอันเป็นความลับของธรรมชาติซึ่งชาล์ส ดาร์วิน เป็นผู้ค้นพบและนำมาเปิดเผย เราจะพบว่าการคัดเลือกพันธุ์โดยยธรรมชาตินั้น ธรรมชาติไม่ได้คัดเลือกให้ผู้ที่แข็งแรงที่สุดให้อยู่รอด แต่ผู้ที่อยู่รอดได้คือผู้ที่มีวิวัฒนาการ นั่นคือ มีความยืดหยุ่น มีการปรับตัว ทำตัวให้สอดคล้องกับธรรมชาติ

“การอยู่รอดในการทำธุรกิจหรือการอยู่รอดในตลาดทุนก็เช่นกัน ผู้ที่อยู่รอดได้คือผู้ที่ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนไปได้ การยึดมั่นกับสิ่งเดิมๆ ความรู้เดิมๆ หรือความเคยชินเดิมๆ โดยไม่ยืดหยุ่นอาจอยู่ไม่รอด

“แต่อย่างไรก็ตาม หากเราสังเกตจากธรรมชาติ การวิวัฒนาการขอสิ่งมีชีวิตอย่างใหญ่หลวงนั้นกินเวลานานมาก อาจเป็นหลายร้อย หลายพัน หรือหลายหมื่นชั่วอายุของสิ่งมีชีวิต ยกตัวอย่างเช่น การที่ปลาวาฬซึ่งเดิมเป็นสัตว์บกมีวิวัฒนาการไปอาศัยอยู่ในน้ำนั้นกินเวลายาวนานนับล้านปี แต่หากพูดถึงการปรับตัวในช่วงสั้นคือชั่วรุ่นหรือสองสามชั่วรุ่นนั้น การปรับตัวจะเกิดได้เพียงนิดหน่อยเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นนกฟินช์ หากมองการปรับตัวที่เกิดในชั่วรุ่นเดียวก็อาจเป็นแค่การปรับตัวด้านอาหารการกินนิดๆหน่อยๆเท่านั้น ไม่ได้มากมายขนาดลงไปว่ายน้ำในทะเลได้

"ฉันใดก็ฉันนั้น การปรับตัวของธุรกิจหรือของนักลงทุนในชั่วรุ่นเดียว หรือสองสามชั่วรุ่น เราอาจปรับได้ในขอบเขตจำกัด หากสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปมาก ก็อาจต้องสูญพันธุ์ไป เปรียบได้กับการปรับตัวของธุรกิจและนักลงทุนนั้น ยังควรมีจุดยืนที่รักษาความถูกต้อง ดีงาม รักษาคุณค่าที่ดีที่ยึดถือกันในยุคสมัยเอาไว้ ไม่ควรถึงกับว่าทำได้ทุกอย่างแม้แต่การทำในสิ่งผิดเพื่อการอยู่รอด บางครั้งการสูญพันธุ์ก็อาจมีคุณค่ามากกว่าการอยู่รอดก็ได้ ข้อนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของลุงที่อยากฝากเอาไว้ ลุงแมวน้ำปิดท้าย

Tuesday, January 13, 2015

ทองคำเกิดสัญญาณซื้อ เงินเยนแข็งค่า ยูโรอ่อนต่อ ระวังดอลลาร์ สรอ อ่อนตัว


วันนี้เรามาอัปเดตทองคำและค่าเงินกัน ช่วงนี้ในตลาดเงินดูมีอาการแปลกๆ ทิศทางค่าเงินไม่ค่อยสอดคล้องกันเหมือนที่เคยเป็นมา



มาดูที่ราคาทองคำกันก่อน ฟิวเจอร์ทองคำตลาดอเมริการาคาผ่าน 1232 ดอลลาร์ สรอ/ทรอยออนซ์ไปได้ เกิดสัญญาณซื้อ รูปแบบทางเทคนิคเป็นขาขึ้น (ดูกราฟ GC) ซึ่งเรื่องนี้นักวิเคราะห์ก็อธิบายไม่ได้ว่าทองคำขึ้นได้ยังไง เนื่องจากดอลลาร์ สรอ แข็งค่าอยู่ บ้างก็ว่าใกล้ตรุษจีนทองเลยขึ้น แต่ลุงว่าอิทธิพลเทศกาลตรุษจีนในปัจจุบันไม่น่ามีผลมากนัก แต่นี่คืออุทาหรณ์ในโลกการลงทุนตลาดรอง นั่นคือ อะไรก็เกิดขึ้นได้ สูตรเดิมๆอาจใช้ไม่ได้ตลอดไป ดังนั้นเราต้องปรับตัวเข้ากับสถานการณ์อยู่เสมอ




ขณะนี้เงินเยนก็แข็งค่าจนเกิดสัญญาณซื้อ (ดู JY) ระวังค่าเงินเยนกลับทิศเป็นขาขึ้น และแปลว่าให้ระวังตลาดหุ้นญี่ปุ่นจะกลับทิศเป็นขาลง ตอนนี้ดัชนีตลาดหุ้นญี่ปุ่นดูไม่ค่อยดี ยังผ่านแนวต้านสำคัญไม่ได้ หากผ่านไม่ได้คงไหลลงมา



ด้านด้านเงินยูโร ดูกราฟ EC ตอนนี้แนวโน้มใหญ่อ่อนค่าอยู่ หลุดกรอบสามเปลี่ยมชายธงลงมาแล้ว ลุงแมวน้ำคาดว่ายังลงต่อได้อีกหน่อย แนวรับสำคัญคือ 1.15-1.16 ยูโร/ดอลลาร์ สรอ ภายในเดือนนี้ทางธนาคารกลางยุโรปมีการประชุมกัน ซึ่งอาจออกมาตรการ QE ฉบับยุโรปที่อัดฉีดดุเดือดยิ่งขึ้น หากมีมาตรการที่เข้มข้นเงินยูโรก็อ่อนค่าต่อ แต่หากมาตรการไม่โดนใจ เงินยูโรจะเด้ง โปรดคอยติดตาม แต่ตอนนี้เทคนิคเป็นขาลงใหญ่ก็ว่าไปตามนั้นก่อน


ค่าเงินดอลลาร์ สรอ ดูกราฟ DX ตอนนี้ป้วนเปี้ยนอยู่แถวแนวต้านคือ 92 จุด ยังไม่ถือว่าผ่านแนวต้านได้สำเร็จ คอยดูต่อไปอีกนิด แต่ลุงว่าอาจผ่านไม่ได้ เนื่องจากราคาทองคำเริ่มขึ้น สะท้อนว่าความเชื่อมั่นในดอลลาร์เริ่มลดลง


เงินบาท ดูกราฟ Baht ตอนนี้ก่อตัวเป็นสามเหลี่ยมชายธงเล็กๆอยู่ ให้รอดูว่าจะตัดทะลุปลายชายธงไปทางไหน แต่ลุงมองว่าโอกาสบาทแข็งมีอยู่ 60% ให้น้ำหนักไปทางบาทแข็ง


แถมด้วยราคาน้ำมันดิบ ดูกราฟ CL ราคาหลุด 50 ดอลลาร์ลงมา ตอนนี้อยู่แถวๆ 46-47 ดอล คาดว่ารับไม่อยู่ เนื่องจากหลุดแนวรับลงมาแล้ว อาจมีแรงกระแทกให้ต้องไปเจอกันที่ 37 ดอล แต่หากเกิดเหตุการณ์แบบนั้นจริงจะเป็นสถานการณ์ระยะสั้นคร้าบ

Sunday, January 11, 2015

เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ หมู่เกาะกาลาปาโกส กับทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วิน (3)






“อันที่จริงทฤษฎีวิวัฒนาการนั้นมีองค์ประกอบสำคัญอีกประการหนึ่ง นั่นคือ สิ่งมีชีวิตนั้นต้องสืบพันธุ์ได้ เนื่องจากหากสืบพันธุ์ไม่ได้ก็จบกันไป ย่อมไม่สามารถมีวิวัฒนาการได้ ข้อนี้จึงไม่ได้พูดเอาไว้แต่แรกเพราะเราถือว่าละไว้เป็นที่เข้าใจกัน หรือจะเรียกว่าองค์ประกอบข้อที่ 0 ก็ได้

“เอาละ ทีนี้เรามาทำความเข้าใจกับองค์ประกอบของการเกิดวิวัฒนาการทั้ง 3 ข้อที่ลุงแมวน้ำเกริ่นเอาไว้กัน

“องค์ประกอบข้อแรกของการเกิดวิวัฒนาการคือ สภาพแวดล้อมไม่เอื้อต่อการดำรงเผ่าพันธุ์ หรือเกิดภัยคุกคาม (threat) นั่นเอง ส่วนใหญ่มักเป็นกรณีสภาพแวดล้อมมีทรัพยากรจำกัดหรือพูดง่ายๆคือแหล่งอาหารมีจำกัด ทำให้เกิดการแข่งขันแย่งชิงทรัพยากรกัน เรื่องทรัพยากรที่มีจำกัดนี้เป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว วิชาเศรษฐศาสตร์ก็กำเนิดขึ้นมาเพื่อการจัดสรรทรัพยากรที่มีจำกัดนั่นเอง

“สภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการดำรงเผ่าพันธุ์กรณีอื่นก็ได้แก่มีภัยคุกคาม เช่น มีศัตรูผู้ล่า (predator) ดินฟ้าอากาศผันแปร เกิดภัยธรรมชาติ ฯลฯ เหล่านี้ล้วนเป็นภัยคุกคามที่อาจทำให้เผ่าพันธุ์สูญสิ้นไป จึงทำให้เกิดวิวัฒนาการขึ้น” ลุงแมวน้ำอธิบาย

“ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีนั่นแหละครับ” ลิงพูด

“ไม่เป็นไร ใจเย็นๆ ฟังลุงอธิบายให้ครบทั้ง 3 ข้อเสียก่อนแล้วจะปะติดปะต่อเรื่องได้” ลุงแมวน้ำให้กำลังใจ “เอาละ ทีนี้มาดูองค์ประกอบของการเกิดวิวัฒนาการข้อที่สองกัน นั่นคือ ความผันแปรทางรูปลักษณ์ (phenotypic variation)

“เอ๊ะ ลุงแมวน้ำบอกว่าข้อสองคือการผ่าเหล่าไม่ใช่หรือฮะ ทำไมกลายเป็นการผันแปรทางรูปลักษณ์แล้วละฮะ” กระต่ายน้อยรีบถาม

“กระต่ายน้อยช่างสังเกตดีมาก” ลุงแมวน้ำชมเชย “ข้อสองนี้ก็คือการผ่าเหล่านั่นแหละ แต่ลุงขอใช้คำว่าความผันแปรทางรูปลักษณ์ไปก่อน เนื่องจากว่าในสมัยของดาร์วินนั้นยังไม่รู้จักเรื่องการผ่าเหล่า ดาร์วินนั้นใช้คำว่าความผันแปรทางรูปลักษณ์ ซึ่งหมายถึงว่าสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันแต่มีรูปลักษณ์ที่แตกต่างกันนิดๆหน่อยๆ ยกตัวอย่างง่ายๆในกรณีของคน ความผันแปรทางรูปลักษณ์ในมนุษย์ก็เห็นได้หลายอย่าง เช่น ความสูง คนเรามีความสูงได้หลากหลาย ตั้งแต่ 100 ซม. ถึง 220 ซม เป็นต้น

“ส่วนข้อที่สาม เกิดการคัดเลือกพันธุ์ตามธรรมชาติ ข้อนี้คือบทสรุป หมายความว่าในภาวะที่มีภัยคุกคามนั้น สิ่งมีชีวิตในเผ่าพันธุ์เดียวกันที่มีรูปลักษณ์ผันแปรไปต่างๆนานานั้นธรรมชาติจะเป็นผู้กำหนดว่าลักษณะใดสามารถอยู่รอดได้

“เรามาดูตัวอย่างกันดีกว่า ฟังลุงพูดแล้วก็ยังงง แต่เมื่อดูตัวอย่างแล้วจะถึงบางอ้อ


กลไกวิวัฒนาการ กรณีนกฟินช์และยีราฟ


“ในกรณีของนกฟินช์แห่งหมู่เกาะกาลาปาโกส เราต้องอาศัยจินตนาการช่วยเยอะหน่อย นั่นคือ จินตนาการย้อนยุคไปในสมัยที่นกฟินช์จากแผ่นดินใหญ่บินมาพบหมู่เกาะแห่งนี้ ในยุคนั้นแผ่นดินใหญ่คงมีอาหารขาดแคลนหรืออาจมีภัยคุกคาม ดังนั้นนกฟินช์บางส่วนจึงอพยพเพื่อหาแหล่งที่อยู่ใหม่และมาเจอหมู่เกาะแห่งนี้

“เดิมทีนกฟินช์ที่อพยพมาจากแผ่นดินใหญ่ก็คงมีเพียงชนิดพันธุ์เดียว นกฟินช์เหล่านี้กระจายไปอาศัยอยู่ตามเกาะต่างๆในหมู่เกาะกาลาปาโกส แต่เนื่องจากเกาะเหล่านี้มีภูมิประเทศและภูมิอากาศที่แตกต่างกัน พืชพรรณที่ขึ้นอยู่บนเกาะก็แตกต่างกัน อีกทั้งสภาพที่เป็นเกาะทำให้นกฟินช์ที่ไปลงหลักปักฐานในแต่ละเกาะมีความเป็นอยู่ที่ตัดขาดจากกัน ไม่ได้ไปมาหาสู่กัน


จงอยปากของนกฟินช์แห่งหมู่เกาะกาลาปาโกส ธรรมชาติในแต่ละเกาะย่อยที่แตกต่างกันเป็นผู้คัดเลือกลักษณะของจงอยปากที่เหมาะสมที่จะอยู่รอดและขยายพันธุ์ได้ นกที่มีจงอยปากไม่เหมาะสมกับอาหารก็จะอดตายไป นกฟินช์ในแต่ละเกาะในปัจจุบันจึงมีลักษณะแตกต่างกันเนื่องจากแหล่งอาหารที่แตกต่างกันนั่นเอง

“ทีนี้เรามาพิจารณาเป็นรายเกาะ เกาะหนึ่งมีภูมิอากาศชื้น ฝนชุก ต้นไม้เป็นต้นไม้ใหญ่ มีแมลงเยอะ ส่วนเกาะสองมีภูมิอากาศฝนตกน้อย ต้นไม้ขนาดเล็ก มีผลไม้และเมล็ดเยอะ ส่วนเกาะสามอากาศแห้งแล้งมาก มีแต่ต้นตะบองเพชร

“ทีนี้นกฟินช์นั้นแม้จะเป็นพันธุ์เดียวกันแต่ก็มีลักษณะจงอยปากที่หลากหลาย แต่เป็นความแตกต่างเพียงนิดหน่อย คือมีจงอยปากใหญ่บ้างเล็กบ้าง

“เกาะหนึ่งแมลงเยอะ หาแมลงกินได้ง่าย นกฟินช์ที่มีจงอยปากเล็กแบบกินแมลงได้เปรียบ ส่วนพวกจงอยปากใหญ่กินเมล็ดพืชหากินลำบาก เนื่องจากไม่ค่อยมีเมล็ดพืชให้หากิน นานไปก็อดตายหรือไม่ก็อพยพต่อไป ดังนั้นในที่สุดจึงเหลือแต่พวกจงอยปากเล็กที่เหมาะสำหรับกินแมลง

“ทีนี้มาดูเกาะสองบ้าง เกาะนี้อุดมด้วยเมล็ดพืช แต่แมลงน้อย จงอยปากที่เหมาะกินเมล็ดพืชคือจงอยปากใหญ่เพราะแข็งแรง ขบเมล็ดให้แตกได้ นานไปพวกจงอยปากแบบอื่นๆบนเกาะสองก็อาจอดตายหรืออพยพไปถิ่นอื่น ดังนั้น ในที่สุดเกาะสองนี้จะเหลือแต่นกฟินช์จงอยปากใหญ่กินเมล็ด



นกฟินช์บนเกาะที่แห้งแล้ง มีแต่ตะบองเพชร ธรรมชาติได้คัดเลือกให้นกฟินช์ที่มีจงอยปากเรียวยาว ล้วงเข้าไปกินน้ำหวานในดอกตะบองเพชรได้ เป็นผู้ที่อยู่รอดบนเกาะนี้ ส่วนจงอยปากแบบอื่นที่กินน้ำหวานไม่สะดวกก็อดตายไป

“ต่อมาดูที่เกาะสาม เกาะนี้แล้ง มีแต่ตะบองเพชร แมลงนั้นมีอยู่แต่มักกินน้ำหวานอยู่ในดอกตะบองเพชร ดังนั้นจงอยปากที่เหมาะสมคือจงอยปากเรียวยาวเพื่อล้วงเข้าไปในดอกตะบองเพชร จงอยปากแบบอื่นหากินสู้ไม่ได้ สุดท้ายธรรมชาติของเกาะสามได้คัดเลือกว่านกฟินช์ที่มีจงอยปากเรียวยาวเหมาะที่จะอาศัยในเกาะนี้ พวกจงอยปากแบบอื่นที่ไม่เหมาะก็อาจอดตายหรือย้ายถิ่นออกไป

“กระบวนการนี้อาจกินเวลาหลายสิบหลายร้อยชั่วรุ่นของนก ธรรมชาติค่อยๆคัดเลือกอย่างช้าๆ ท้ายที่สุด นกฟินช์รุ่นเหลนๆๆๆที่อาศัยในแต่ละเกาะจึงมีลักษณะแตกต่างกันอย่างเด่นชัด ทั้งๆที่บรรพบุรุษของมันเดิมทีเป็นชนิดเดียวกัน มีความแตกต่างกันเพียงเล็กๆน้อยๆเท่านั้น”

“อือม์ พอเข้าใจบ้างแล้วละลุง แต่ก็ยังเลือนลาง มีตัวอย่างอีกไหมครับ” ลิงถาม

“หลังจากที่ดาร์วินกลับมาจากเดินทางสำรวจรอบโลกกับเรือบีเกิล ดาร์วินใช้เวลาศึกษาต่ออีกราว 20 ปีเพื่อปะติดปะต่อข้อมูลต่างๆเข้าด้วยกัน ทำให้เกิดเป็นทฤษฎีวิวัฒนาการขึ้น โดยมีองค์ประกอบสำคัญก็คือสิ่งมีชีวิตต้องสืบพันธุ์ได้ ต้องเกิดสภาพที่ไม่เอื้อต่อการดำรงเผ่าพันธุ์ สิ่งมีชีวิตมีความผันแปรทางรูปลักษณ์ และธรรมชาติเป็นผู้คัดเลือกลักษณะที่เหมาะสมให้อยู่รอด

“ทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วินนั้นสามารถอธิบายกระบวนการเกิดสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ต่างๆได้อย่างดี และสามารถพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ได้ ซึ่งทฤษฎีของลามาร์คพิสูจน์ไม่ได้ แต่ว่าในยุคของดาร์วิน ดาร์วินเองและนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆก็อธิบายไม่ได้ว่าความผันแปรทางรูปลักษณ์นั้นเกิดจากอะไรกันแน่ ตอนนั้นรู้แต่เพียงว่าการผสมพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันแต่สายเลือดต่างกันเพื่อให้เกิดลูกหลานพันธุ์ทาง (ลูกพันธุ์ผสม) นั้นเป็นทางหนึ่งที่เอื้อให้เกิดความผันแปรทางรูปลักษณ์ให้มีหลากหลาย



กลไกการเกิดวิวัฒนาการของยีราฟคอยาว ในอดีต ยีราฟมีคอสั้น แต่ก็มีบางตัวที่คอยาวนิดหน่อยเนื่องจากมีความผันแปรทางรูปลักษณ์ ต่อมาเมื่อต้นไม้เตี้ยที่เป็นแหล่งอาหารของยีราฟขาดแคลน ยีราฟที่คอยาวกว่าจึงได้เปรียบเนื่องจากกินใบไม้จากต้นไม้สูงได้ ส่วนยีราฟคอปกติก็ค่อยๆล้มตายไป นานวันเข้า ยีราฟคอปกติล้มตายไปจนหมด ส่วนยีราฟที่คอยาวมีอาหารกินและขยายพันธุ์ได้ต่อไป ยีราฟในรุ่นหลังจึงกลายเป็นยีราฟคอยาวเนื่องจากธรรมชาติเป็นผู้คัดเลือกให้ยีราฟคอยาวเหมาะสมที่จะดำรงเผ่าพันธุ์ต่อไป ส่วนยีราฟคอสั้นก็ถูกธรรมชาติกำจัดออกไปให้สูญพันธุ์

“เอาละ ทีนี้ดูกันอีกสักตัวอย่างก็ได้ ยกตัวอย่างยีราฟละกัน เราจินตนาการกันว่าเมื่อสมัยก่อนโน้น อาจจะสักล้านปีก่อน ยีราฟมีคอสั้นๆแบบม้าหรือม้าลาย

“ทีนี้คอยีราฟก็ไม่ใช่ว่าจะสั้นเท่ากันเป๊ะทุกตัว ก็มีสั้นๆยาวๆแตกต่างกันนิดหน่อย นี่คือความผันแปรทางรูปลักษณ์หรือ phenotypic variation ที่ลุงกล่าวเอาไว้แล้ว

“อาหารของยีราฟคือใบไม้ตามต้นไม้เตี้ยๆ ทีนี้อยู่มาในยุคหนึ่ง ยีราฟมีจำนวนมากขึ้น อาหารที่เคยอุดมสมบูรณ์ก็กลับกลายเป็นขาดแคลน ใบไม้จากต้นเตี้ยๆถูกเล็มกินจนหมด ก็เกิดการแก่งแย่งอาหารกัน พวกที่แย่งไม่ได้ก็อดตายกันไป นี่คือสภาพแวดล้อมไม่เอื้อต่อการดำรงเผ่าพันธุ์

“แต่ยีราฟตัวไหนที่โชคดีเกิดมาคอยาวหน่อยก็เล็มใบไม้ต้นสูงกินได้ ก็ได้เปรียบยีราฟตัวอื่นๆ จนผ่านไปหลายชั่วรุ่น เมื่อไม้ต้นเตี้ยหมดไปจากป่าเพราะถูกกินจนโกร๋นตายไปหมด ยีราฟคอสั้นที่กินใบไม้จากต้นเตี้ยก็ต้องอดตายตามไปด้วย เหลือแต่พวกคอยาวหน่อยที่ชะแง้กินจากต้นสูงได้ที่อยู่รอดและสืบเผ่าพันธุ์ได้ ดังนั้นยีราฟในรุ่นต่อๆไปจึงมีคอยาวขึ้น เพราะลักษณะคอสั้นตายไปหมด ต่อมาพวกคอยาวหน่อยก็จะอาหารหมดและตายเช่นกัน พวกคอยาวมากๆจึงจะอยู่รอดได้ กระบวนการนี้ดำเนินไปเรื่อยๆ ช้าๆ หลายสิบหลายร้อยรุ่น จนในที่สุดได้มาเป็นยีราฟที่คอยาวเฟื้อยเช่นทุกวันนี้ นี่คือการคัดเลือกพันธุ์ตามธรรมชาติที่ธรรมชาติเลือกเอาผู้ที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมใหม่ให้มีชีวิตรอดและดำรงเผ่าพันธุ์ต่อไป


การผ่าเหล่า ต้นทางแห่งความเปลี่ยนแปลงเพื่ออยู่รอด


“เข้าใจดีขึ้นแล้วครับลุง แล้วทีนี้เรื่องการผ่าเหล่าล่ะ เป็นยังไงมายังไง” ลิงถามอีก

“ในยุคของดาร์วินนั้นอธิบายองค์ประกอบของวิวัฒนาการว่าเกิดการผันแปรทางรูปลักษณ์ ซึ่งเป็นธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตที่มีความแตกต่างกันบ้างเล็กๆน้อยๆ และต่อมาก็พบว่าลูกหลานของสิ่งมีชีวิตที่เป็นพันธุ์ผสมหรือว่าเป็นพันธุ์ทางนั้นมีการผันแปรของรูปลักษณ์ต่างๆอย่างหลากหลาย แต่หากนำพันธุ์แท้ (สายเลือดแท้ true breed) มาผสมพันธุ์กันในสายเลือดเดียวกัน ลักษณะต่างๆจะนิ่ง ไม่เกิดความผันแปร ดังนั้นในยุคหลังจากดาร์วินจึงเกิดปมคำถามขึ้นมาว่าทำไมพันธุ์ผสมมีความผันแปร แต่พันธุ์แท้ไม่มีความผันแปรทางรูปลักษณ์ อะไรเป็นสาเหตุของความผันแปรทางรูปลักษณ์กันแน่ นักชีววิทยาในยุคต่อมาจึงไขปริศนาได้ และคำตอบก็คือการผ่าเหล่าที่เกิดในระดับยีน (genetic mutation) ซึ่งการผ่าเหล่านี้เป็นอุบัติเหตุของธรรมชาติ หรือธรรมชาติเล่นตลกนั่นเอง

“ดังนั้น ทฤษฎีวิวัฒนาการในยุคหลังจึงถูกขยายความออกมาอีกเพื่อให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น นั่นคือ กลไกการเกิดวิวัฒนาการนั้นองค์ประกอบหนึ่งก็คือเกิดการผันแปรทางรูปลักษณ์ซึ่งเป็นผลมาจากการการผสมพันธุ์แบบพันธุ์ทาง แต่หากจะมองย้อนไปที่ต้นทางของความผันแปรจริงๆก็คือเกิดจากการผ่าเหล่านั่นเอง สิ่งมีชีวิตที่ผ่าเหล่าผ่ากอสามารถสืบพันธุ์ได้และผสมกับสายเลือดอื่นซึ่งสายเลือดอื่นก็อาจมีการผ่าเหล่ามาด้วยเช่นกัน ดังนั้นกลไกการผสมพันธุ์ทางจึงช่วยขยายความหลากหลายของรูปลักษณ์ให้แสดงออกมาได้”


การผสมพันธุ์ของสายเลือดเดียวกันและเป็นสายเลือดแท้ (true breed) ลูกหลานที่ได้จะมีรูปลักษณ์ที่นิ่ง ไม่เกิดความผันแปรของรูปลักษณ์ เช่นดอกไ้ม้สีม่วงพันธุ์แท้ ผสมกันอย่างไรก็ได้ลูกหลานที่ให้ดอกสีม่วงเช่นเดิม


การเกิดลูกหลานพันธุ์ทาง (พันธุ์ผสม hybrid) ทำให้ลูกหลานแสดงความผันแปรทางรูปลักษณ์ออกมา เช่น พ่อแดง แม่ขาว จะได้รุ่นลูกดอกสีชมพู แต่ในชั้นหลานอาจได้หลานที่มีดอกแดง ขาว ชมพู ถึงสามแบบ

ลุงแมวน้ำอธิบายจบก็ถอนหายใจ “โอย คอแห้ง ใครมีน้ำปั่นบ้าง”

“วันนี้ไม่ได้เตรียมมา” ลิงพูดหน้าตาเฉย “ลุงแมวน้ำแข็งใจทนคอแห้งเล่าต่อไปก่อนเถอะครับ ว่าทฤษฎีวิวัฒนาการนั้นเกี่ยวกับตลาดหุ้นตรงไหน”

“เกี่ยวสิ เพราะว่าการวิวัฒนาการคือกฎธรรมชาติ ไม่มีใครหนีกฎธรรมชาติพ้น แม้จะเป็นเรื่องธุรกิจ ตลาดทุน ก็อยู่ใต้กฎธรรมชาติ เช่นเดียวกับกฏธรรมชาติเรื่องวัฏจักรชีวิตเกิดแก่เจ็บตายนั่นแหละ ไม่มีใครเลี่ยงพ้น แม้แต่กิจการธุรกิจก็มีเกิด รุ่งเรือง เสื่อม และดับ เช่นเดียวกับการเกิดแก่เจ็บตายของสิ่งมีชีวิต ดังที่ลุงเคยเล่าให้ฟังยังไงล่ะ” ลุงแมวน้ำตอบ

“ยังไงกันจ๊ะลุง” ยีราฟที่ยืนอ้าปากกว้างอยู่นานก็ถามขึ้นบ้าง


ต้นทางของการเกิดความผันแปรทางรูปลักษณ์สืบเนื่องมาจากการผ่าเหล่าผ่ากอ (mutation) สิ่งมีชีวิตที่เกิดมาผ่าเหล่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ผิดแผกจากสายเลือดเดียวกัน เพราะธรรมชาติเล่นตลก คุณสมบัติที่ผิดแผกผ่าเหล่านี้อาจทำให้สายเลือดนั้นเกิดวิวัฒนาการและอยู่รอดได้ ขึ้นอยู่กับว่าธรรมชาติจะคัดเลือก หากการผ่าเหล่านั้นเอื้อต่อการดิ้นรนอยู่รอดฝ่าภัยคุกคาม สิ่งมีชีวิตนั้นก็เกิดวิวัฒนาการในที่สุด แต่หากการผ่าเหล่าไม่ช่วยในการอยู่รอด ลักษณะนั้นจะถูกธรรมชาติกำจัดไปในที่สุด


“ยกตัวอย่างง่ายๆ ที่เราสอนกันในวิชาการประกอบธุรกิจว่าการดำเนินธุรกิจอยู่รอดได้นั้นหลักการสำคัญประการหนึ่งก็คือผลิตภัณฑ์หรือบริการต้องมีความแตกต่างกับผู้ประกอบการรายอื่นๆ หรือที่เรียกว่ามี differentiation ไง การที่จะแหวกแนวหรือฉีกแนวให้แตกต่างได้ นั่นก็คือการผ่าเหล่าผ่ากอนั่นเอง ใช่ไหมล่ะ” ลุงแมวน้ำตอบ “differentiation ในทางธุรกิจก็คือ mutation ของทฤษฎีวิวัฒนาการนั่นเอง

“การมีความแหวกแนวและตลาดยอมรับ นั่นคือมีการผ่าเหล่าและธรรมชาติเลือกสรรเอาไว้แล้วให้ดำรงอยู่ต่อไปได้ ธุรกิจก็อยู่รอดได้นั่นเอง” ลุงแมวน้ำสรุป

“อือม์ จริงแฮะ” ลิงยกหางเกาคางอย่างครุ่นคิด “มีตัวอย่างอื่นอีกไหมครับลุง”

“ยังมีอีกเยอะทีเดียว” ลุงแมวน้ำตอบ

Tuesday, January 6, 2015

ปี 2015 ในวิกฤติมีโอกาส หนทางข้างหน้ายังแจ่ม






เมื่อคืนน้ำมันดิบถล่มลงมาอีกราว -5% ราคาน้ำมันดิบ WTI ของตลาดอเมริกาหลุด 50 ดอลลงมาหน่อยนึง ก็ถือว่า 50 ดอลตัวเลขกลมๆ ดูกราฟ CL



ขณะเดียวกันยุโรปออกอาการไม่ดี เข้าสู่โหมดกังวลเรื่องกรีซอีก ดัชนีแดกซ์ DAX ของเยอรมนี -3% แต่ดัชนี STOXX50 ซึ่งถือเป็นดัชนีตัวแทนของทั้งกลุ่มยูโรโซน -3.7% ในกลุ่มยูโรโซนเยอรมนีจะดีกว่าเพื่อน เศรษฐกิจยังแกร่งกว่าชาติอื่นๆในกลุ่ม

ผลจากราคาน้ำมันดิบร่วงแรงทำให้หุ้นในกลุ่มพลังงานลงกันแรงด้วย ทำให้ตลาดหุ้นอเมริกาปรับตัวลง -1.8% แต่หากมองเฉพาะในกลุ่มพลังงานก็ลงไป -4%

ราคาน้ำมันดิบตอนนี้ WTI ลงมาถึงแนวรับสำคัญแล้ว 50 ดอล ดูกันว่าจะหลุดหรือไม่ หากหลุดก็ไปพบกันอีกทีที่ 35-37 ดอล ซึ่งลุงแมวน้ำก็ยังคิดว่าไม่น่าลงถึงขนาดนั้น ตอนนี้ยังมองแค่ 50 ดอลอยู่ แต่ถึงแม้จะลงไปลึกกว่านั้นก็ตาม นี่เป็นภาวการณ์ชั่วคราว เกิดจากสงครามราคาซึ่งเป้าหมายของทุกคนคือเอาตัวให้รอด ไม่มีใครลดราคาพลีชีพหรอก ดังนั้นตลาดน้ำมันดิบก็มีกลไกราคาของมันอยู่ ซึ่งในที่สุดจะเข้าสู่ภาวะสมดุลที่รายใหญ่แต่ละรายพออยู่กันได้

สำหรับตลาดหุ้นไทย ราคาหุ้นพลังงานคงลงอีก แต่การลงนี้เป็นปัจจัยทางจิตวิทยา หุ้นหลายกลุ่มไม่ได้รับผลกระทบเลยแต่ก็ยังลงได้ลึก ซึ่งนี่คือโอกาส ในวิกฤตของกลุ่มพลังงานยังเป็นโอกาสของกลุ่มอื่น แม้แต่ในกลุ่มพลังงานเองก็ตาม หากลงลึกเกินไปก็ยังเป็นโอกาสของนักลงทุนเช่นกัน แต่เนื่องจากตอนนี้ฝุ่นตลบในกลุ่มพลังงาน ประเมินอะไรได้ยาก ดังนั้นสำหรับกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี รวมทั้งธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง โอกาสยังไม่ชัด ดูๆไปก่อน





ปี 2014 ที่ผ่านมา ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยไป -36,600 ล้านบาท  ดูกราฟ SET cumulative foreign trade ซึ่งแสดงยอดสะสมของการซื้อขายในกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ ปีที่แล้วในช่วงครึ่งปีหลังมีแรงซื้อเข้ามา ดูเหมือนฝรั่งจะเริ่มเข้า แต่สุดท้ายปลายปีเทขายออกมาอีก เท่าที่ประเมินสถานการณ์ตอนนี้ต่างชาติยังไม่เข้า ใกล้เลือกตั้งของเราแล้วก็คงเข้านั่นแหละ แต่หากเลือกตั้งยังไม่ชัดอาจยังไม่เข้า ท่องเที่ยวก็อาจยังฟื้นไม่ได้มากนักเนื่องจากกฎอัยการศึก ดังนั้นลุงแมวน้ำยังคงเห็นว่าควรเลี่ยงหุ้นกลุ่มที่ฝรั่งชอบลงทุนเอาไว้ก่อน ได้แก่ พลังงาน ธนาคาร ปูนใหญ่ หุ้นอะไรใหญ่ๆที่ต่างชาติลงทุนเยอะๆนั่นควรเลี่ยงไปก่อน พลังงานทางเลือก โรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ต่างๆ แพงแล้วทั้งนั้น ของอะไรแพงคือซื้ออนาคตไปมาก ระวังหน่อยดีกว่า ยกเว้นตัวเดียวในกลุ่มที่เห็นว่ายังถูก คือ SPCG แต่กลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานทางเลือกนั้นลุงแมวน้ำมองเป็นหุ้นมั่นคง ไม่ใช่หุ้นเก็งกำไร คือดอกผลตอบแทนค่อนข้างแน่นอน ภาวะเก็งกำไรนี้จะเกิดเพียงชั่วคราวเท่านั้น ดังนั้นการเข้าลงทุนต้องพิจารณาดอกผลสำคัญกว่ากำไรจากส่วนต่างราคา

อีกกลุ่มที่ควรเลี่ยงไปก่อน คือกลุ่มบริโภค ทั้งพีอีแพงและพีอีถูก เพราะยังไม่ใช่จังหวะ แต่จังหวะจะมาภายในปีนี้ ตอนนี้เล็งตัวดีๆเอาไว้ก่อนอย่าเพิ่งเข้า

กลุ่มการลงทุนที่น่าสนใจยังมองเช่นเดิม รับเหมาก่อสร้าง หุ้นที่ผลงานดี พี่อียังต่ำ ยังมีให้ลงทุน แต่ต้องดูงบการเงินหน่อยนะ รับเหมาเป็นกลุ่มที่ขั้นตอนรั่วไหลหรือพลาดพลั้งมีมาก โอกาสพลิกเป็นขาดทุนมีสูง ดังนั้นต้องพิจารณาความสามารถในการประกอบธุรกิจให้ดีๆ ที่ความสามารถในการดำเนินงานต่ำควรเลี่ยงเช่นกัน ไม่อย่างนั้นเจอเพิ่มทุนอ่วม หุ้นต้นน้ำของกระบวนการก่อสร้างน่าสนใจกว่าเพื่อน

พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยก็เช่นกัน ควรเน้นที่รายใหญ่ เพราะการแข่งขันในธรกิจนี้สูง รายใหญ่ได้เปรียบกว่า ดู ROE ก็พอจะเห็นได้

และอีกกลุ่มที่ลุงแมวน้ำยังมองบวก คือสื่อสาร ดาวเทียม ไม่เห็นจะเกี่ยวกับราคาน้ำมันเลย แต่ลงเอาๆ ปีนี้ประมูล 4G กลุ่มนี้มีเฮ วันก่อนดาวเทียมหล่นไปหลุด 30 บาทวูบหนึ่งไม่รู้ใครตกใจขาย ผู้ที่เก็บได้ทันก็ถือว่าได้ลาภ

ใครที่กังวลกับตลาดหุ้นไทย ก็โน่น กองทุนจีน และอินเดีย ปีนี้ลุงมองสองประเทศนี้เด่นสุดคร้าบ ความผันผวนน่าจะต่ำด้วย ราคาน้ำมันลงเป็นอานิสงส์ต่อสองประเทศนี้ด้วย ลงทุนแล้วไม่ใจหาย กองญี่ปุ่น ยุโรป เกาหลี ลุงคิดว่าควรเลี่ยง อเมริกาก็ยังพอได้แต่อาจมีใจหายใจคว่ำบ้าง ปีนี้เน้นกองทุนรายประเทศอีกว่า อย่าเหมาเป็นภูมิภาค เช่น กลุ่มตลาดเกิดใหม่ เพราะไส้ในต่างกันมาก พวกตลาดเกิดใหม่ที่ไส้ในมีตะวันออกกลางกับละตินอเมมริกาเยอะๆก็อ่วม

ปี 2015 นี้คงเป็นปีที่ผันผวนและพลิกล็อกชนิดหักปากกากันทีเดียว ลุงแมวน้ำมองว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้ การบริโภคจะฟื้นตัวและหนี้ครัวเรือนจะลดได้ในระดับที่น่าพอใจทีเดียว โอกาสเกิดเหตุการณ์ดังว่ามีประมาณ 60% เหลืออีก 40% คือเผื่อใจว่าแป้ก นี่คือมุมมองตอนนี้ แต่น้ำหนักความมั่นใจนี้จะเปลี่ยนไปได้ตามข้อมูลที่จะออกมา โปรดคอยติดตามกัน ลุงว่าไตรมาสแรกคงเห็นชัดคร้าบ

Saturday, January 3, 2015

เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ หมู่เกาะกาลาปาโกส กับทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วิน (2)



รับจ๊อบจนเหนื่อย ขอพักหน่อยคร้าบ ^_^


“แล้วที่ลุงบอกว่าที่หมู่เกาะนี้เป็นห้องทดลองธรรมชาติ ใช้ศึกษาปรากฏการณ์ทางวิวัฒนาการ หมายความว่ายังไงกันจ๊ะลุง” ยีราฟถามบ้าง

“ก็เพราะว่าที่นี่เป็นเสมือนกุญแจดอกสำคัญที่ทำให้มนุษย์ค้นพบความลับอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ นั่นคือ ทฤษฎีวิวัฒนาการน่ะสิ” ลุงแมวน้ำตอบ

“ยิ่งฟังก็ยิ่งงง” ลิงบ่น “ทีแรกบอกเป็นห้องทดลอง ที่หลังกลายเป็นกุญแจไปเสียแล้ว ตกลงหมู่เกาะนี้จะเป็นอะไรกันแน่”

“ลุงกำลังจะเล่าให้ฟังอยู่นี่ไง” ลุงแมวน้ำพูด “พวกเราเคยสงสัยกันบ้างหรือไม่ว่าเผ่าพันธุ์ของพวกเรามาจากไหน ทำไมยีราฟจึงเป็นยีราฟ ทำไมลิงจึงเป็นลิง และทำไมมนุษย์จึงเป็นมนุษย์”



วิวัฒนาการของลามาร์ก ยีราฟคอยาวและหนูถูกตัดหาง 20 รุ่น



“ถามอะไรแปลกๆ ไม่เคยคิดหรอกลุง ผมคิดแต่ว่าหุ้นตัวไหนน่าซื้อ” ลิงรีบตอบ “ลิงก็เป็นลิงละมั้ง คงมีมาแต่นานเนแล้ว”

“นายจ๋อก็คิดแต่เรื่องหุ้น” ลุงแมวน้ำหัวเราะ “ลุงถามแม่ยีราฟบ้างดีกว่า แม่ยีราฟเคยคิดบ้างไหมว่ายีราฟนั้นเผ่าพันธุ์ดั้งเดิมหน้าตาเป็นอย่างไร และหากลุงบอกว่าเผ่าพันธุ์ยีราฟแต่เดิมนั้นคอสั้นๆเหมือนม้าลาย จะเชื่อไหม”

“พวกฉันมาจากไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่หากลุงบอกว่าบรรพบุรุษของฉันเคยคอสั้นเหมือนม้าลาย ก็เชื่อยากอยู่” ยีราฟตอบ “ลุงอ่านนิยายมากเกินไปหรือเปล่า”

“พวกมนุษย์น่ะสงสัยกันมานานแล้วว่าสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดนั้นมาจากไหน ในสมัยก่อน คือเมื่อสองพันปีก่อนจนมาถึงยุคกลางหรือเมื่อประมาณ 500 ปีมาแล้ว ซึ่งก็คือยุคที่คริสต์ศาสนามีอิทธิพลในโลกตะวันตกคือทางฝั่งยุโรป ชาวตะวันตกเชื่อกันว่าสิ่งมีชีวิตต่างๆเป็นผลงานการสร้างของพระเจ้า นั่นก็คือ เชื่อว่าสิ่งมีชีวิตแต่เดิมเป็นยังไงก็เป็นยังงั้นเรื่อยมา แต่ต่อมาเมื่อวิทยาการในโลกก้าวหน้าขึ้น บรรดานักคิดและนักวิทยาศาสตร์ต่างก็พยายามหาหลักฐานเพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งมีชีวิตเดิมเป็นยังไงก็เป็นยังงั้นจริงหรือไม่ หรือมีการเปลี่ยนเปลงพัฒนาได้” ลุงแมวน้ำเล่า

“แล้วคิดกันออกมั้ยลุง” ลิงถาม

“ก็มีนักวิทยาศาสตร์หลายคนเสนอความคิดว่าสิ่งมีชีวิตนั้นเปลี่ยนแปลงพัฒนาได้” ลุงแมวน้ำตอบ “อย่างเช่นลามาร์ค (Lamarck, ค.ศ. 1744-1829) ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชีวิตอยู่ในสมัยศตวรรษที่ 18 ได้เสนอทฤษฎีวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ซึ่งมีใจความสำคัญคือสิ่งมีชีวิตนั้นเปลี่ยนแปลงได้ วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงจากรูปแบบหนึ่งไปเป็นอีกแบบเกิดจากการใช้และไม่ใช้”


ลามาร์ค นักวิทยาศาสตร์ฝรั่งเศสในยุคศตวรรษที่ 18 ลามาร์คเสนอทฤษฑีวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตด้วยการใช้และไม่ใช้อวัยวะต่างๆ ซึ่งแม้แต่ลามาร์คเองก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ ทฤษฎีนี้ต่อมาอีกไม่กี่สิบปีภายหลังก็ถูกหักล้างด้วยทฤษฎีของดาร์วิน แต่อย่างไรก็ตาม แนวคิดของลามาร์คยังเชื่อต่อๆกันมานับศตวรรษแม้แต่ในทุกวันนี้


“ยังไงกันฮะลุง ใช้และไม่ใช้” กระต่ายน้อยถามบ้าง

“ทฤษฎิวิวัฒนาการของลามาร์คนั้นกล่าวว่าสิ่งมีชีวิตใช้อวัยวะอะไรมาก อวัยวะนั้นก็จะพัฒนาใหญ่โตแข็งแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และหากอวัยวะใดไม่ได้ใช้ก็จะค่อยๆลีบเล็กลง และลักษณะของอวัยวะที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นท่ายทอดสู่ลูกหลานได้ด้วย” ลุงแมวน้ำเล่า “ยกตัวอย่างเช่น ลามาร์คอธิบายคอที่ยาวเฟื้อยของยีราฟว่าเมื่อก่อนนั้นก็ไม่ยาวหรอก แต่ว่าต้องชะเง้อคอกินผลไม้จากต้นไม้สูงๆอยู่เป็นนิจสิน นานเข้าคอก็ยืดยาวออกไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นยีราฟคอยาวในทุกวันนี้”

“ฟังดูก็มีเหตุผล” ลิงพูด

“ทฤษฎีของลามาร์คนั้นต่อมาอีกเพียงไม่กี่สิบปีก็ถูกหักล้างโดยทฤษฎีวิวัฒนาการของชาลส์ ดาร์วิน แต่น่าแปลกที่ยังมีคนเชื่ออยู่จนถึงทุกวันนี้ อย่างเช่น ที่เรามักพูดกันเล่นๆว่ามนุษย์เราสมัยนี้เอาแต่จิ้มแช็ตด้วยโทรศัพท์มือถือ อีกหน่อยมือจะมีแต่นิ้วหัวแม่โป้งที่โตเบ้อเริ่ม นิ้วอื่นๆลีบไปหมด หรือที่บอกว่าเดี๋ยวนี้มนุษย์เราไม่ค่อยใช้แรงงานใช้แต่สมอง อีกหน่อยจะแขนขาลีบและหัวโตเบ้อเริ่ม คำกล่าวล้อเล่นเหล่านี้ล้วนแต่สะท้อนถึงความเชื่อในทฤษฎีใช้และไม่ใช้ของลามาร์ค” ลุงแมวน้ำพูด

“อ้าว มันไม่จริงยังงั้นหรอกเหรอครับ” ลิงแปลกใจ

“เรื่องน่าทึ่งก็อยู่ตรงนี้แหละ ทฤษฎีวิวัฒนาการของลามาร์คด้วยการใช้หรือไม่ใช้นั้นนั้น แม้แต่ลามาร์คเองก็พิสูจน์ไม่ได้ เป็นเพียงการคาดคะเนเอาเท่านั้น แม้จะมีผู้พยายามทดลองโดยการตัดหางหนูถึง 20 รุ่นต่อเนื่องกัน แต่หนูรุ่นที่ 21 ก็ยังมีหางยาวเข่นเดิม” ลุงแมวน้ำพูด

“อูย ทดลองอะไรกัน โหดร้าย” กระต่ายน้อยอุทาน



วิวัฒนาการของดาร์วิน กุญแจอยู่ที่นกฟินช์ในกาลาปาโกส



“การเดินทางไปสำรวจที่หมู่เกาะกาลาปาโกสของดาร์วินเมื่อเกือบ 200 ปีก่อนนี่แหละ ทำให้ต่อมาไขความลับของธรรมชาติและพิสูจน์ว่าสิ่งมีชีวิตเปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการรูปแบบไปได้อย่างมากมาย ยกตัวอย่างเช่นปลาวาฬนั้นเดิมเป็นสัตว์สี่ขาอยู่บนบก หรือว่าคนมีสายวิวัฒนาการร่วมกับลิง ที่เป็นที่มาของคำกล่าวที่ว่าคนวิวัฒนาการมาจากลิงนั่นเอง” ลุงแมวน้ำตอบ

“ใช่ฮะ คนวิวัฒนาการมาจากลิง ผมเคยได้ยินมาเหมือนกัน แสดงว่าน้าจ๋อเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์” กระต่ายน้อยหัวเราะชอบใจ “แล้วกระต่ายมาจากอะไรฮะเนี่ย”

“หมู่เกาะที่ญาติลุงแมวน้ำแอ๊บแบ๊วขอปลากินเนี่ยนะที่เป็นกุญแจไขความลับ ยังงั้นเล่ามาเลยลุง” ลิงท่าทางกระตือรือร้นสนใจ “ถ้ายังงั้นผมก็มีโอกาสกลายเป็นมนุษย์ละสิ”

“ว่าไปโน่น” ลุงแมวน้ำหัวเราะ “ชาลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin, ค.ศ. 1809-1882) เป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษในสมัยศตวรรษที่ 19 เมื่อสมัยยังวัยรุ่น อายุราวๆ 17 ปี ดาร์วินเข้าเรียนในสาขาแพทยศาสตร์ แต่เมื่อเรียนไปได้สักพักก็รู้สึกว่าตนเองชอบศึกษาทางธรรมชาติวิทยามากกว่า จึงเบนเข็มชีวิตไปทางด้านธรรมชาติวิทยา


ชาลส์ ดาร์วิน ในวัยหนุ่ม

“ตอนที่อายุ 22 ปี ดาร์วินตัดสินใจเข้าร่วมเดินทางไปกับเรือบีเกิล (HMS Beagle) อันเป็นเรือสำรวจทางธรรมชาติวิทยาที่เดินทางไปสำรวจยังดินแดนต่างๆรอบโลกซีกใต้ เดิมทีดาร์วินคาดว่าการเดินทางสำรวจน่าจะกินเวลาประมาณ 2 ปี แต่ที่ไหนได้ กลายเป็นว่าต้องผจญภัยและสำรวจไปในดินแดนต่างๆรอบโลกนานถึง 5 ปี


เรือบีเกิลซึ่งเป็นเรือสำรวจทางด้านวิทยาศาสตร์ ออกเดินทางสำรวจซีกโลกภาคใต้เป็นเวลา 5 ปี ในช่วง 1831-1836 โดยชาล์ส ดาร์วิน ร่วมเดินทางไปด้วย

“ดาร์วินออกเดินทางจากเมืองพลีมัท ประเทศอังกฤษในปลายปี 1831 อ้อมทวีปอเมริกาใต้ ผ่านหมู่เกาะฟอล์กแลนด์ และอ้อมขึ้นไปที่หมู่เกาะกาลาปาโกส จากนั้นเดินทางข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกไปยังทวีปออสเตรเลีย ผ่านไปมหาสมุทรอินเดีย และเข้าสู่มหาสมุทรแอตแลนติก อ้อมผ่านทวีปแอฟริกา แวะที่อเมริกาใต้อีกครั้ง จากนั้นก็กลับอังกฤษ กว่าจะกลับถึงบ้านก็ปี 1836 โน่น”


เส้นทางเดินเรือสำรวจรอบโลกซีกใต้ของเรือบีเกิลเมื่อราว 200 ปีมาแล้ว

“ฟังแล้วน่าสนุกจังฮะ ผมอยากไปผจญภัยแบบนั้นบ้าง” กระต่ายน้อยกระดิกหางดุ๊กดิ๊กอย่างกระตือรือร้น

“เรือลำนี้เป็นโครงการสำรวจทางวิทยาศาสตร์ ดังนั้นจึงมีนักวิทยาศาสตร์สาขาต่างๆที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติวิทยาไปกับเรือด้วยมากมาย ดังนั้น นอกจากหนุ่มน้อยดาร์วินจะต้องทำงานเก็บตัวอย่างพืช สัตว์ ฟอสซิล และวาดภาพและจดบันทึกสิ่งต่างๆที่พบแล้วยังได้เพิ่มพูนความรู้ต่างๆอย่างกว้างขวางจากเพื่อนนักวิทยาศาสตร์ที่ร่วมในเรือไปด้วย เช่น ชีววิทยา กีฏวิทยา (เกี่ยวกับแมลง) บรรพชีวินวิทยา (เกี่ยวกับฟอสซิล) ธรณีวิทยา ฯลฯ

“จากการเรียนรู้อย่างกว้างขวาง รวมทั้งการสังเกตสิ่งมีชีวิตที่พบในดินแดนต่างๆ เมื่อดาร์วินมองในภาพกว้างก็พบว่าสิ่งมีชีวิตที่อยู่ต่างถิ่นกันจะมีรูปลักษณะแตกต่างกัน แม้ว่าสองถิ่นที่อยู่จะมีภาพแวดล้อมและภูมิอากาศคล้ายกัน แต่สิ่งมีชีวิตที่พบกลับไม่เหมือนกัน และดาร์วินยังสังเกตพบว่าระดับความสูงของถิ่นที่อยู่กับที่ตั้งตามแนวเส้นรุ้งมีผลต่อความผันแปรของสิ่งมีชีวิต

“นอกจากนี้ บรรดาซากโบราณที่มีอายุต่างๆกันซึ่งทับถมในถิ่นเดียวกันก็มีลักษณะบางอย่างร่วมกัน ดาร์วินเริ่มสงสัยว่าสิ่งมีชีวิตที่อยู่ต่างยุคกันมีความเชื่อมโยงกันแต่ยังไปต่อไม่ถูก

“โดยเฉพาะเมื่อดาร์วินมาถึงหมู่เกาะกาลาปาโกส ดาร์วินสังเกตพบว่าเกาะที่ประกอบกันเป็นหมู่เกาะกาลาปาโกสนั้นแต่ละเกาะมีสภาพภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกัน บางเกาะแล้ง บางเกาะอุดมสมบูรณ์ บางเกาะเป็นภูเขา บางเกาะอยู่ที่ระดับน้ำทะเล พืชและสัตว์ในแต่ละเกาะก็แตกต่างกัน


หมู่เกาะกาลาปาโกสเป็นหมู่เกาะที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟและคาดว่าโผล่พ้นน้ำเป็นเกาะเมื่อราว 5 ล้านปีถึง 10 ล้านปีมาแล้ว 

“กุญแจสำคัญก็คือนกฟินช์ (finch) อันเป็นนกขนาดเล็ก ซึ่งก็คือกลุ่มนกกระจิบนกกระจอกนั่นเอง ดาร์วินพบว่านกฟินช์ที่กระจายอยู่ตามเกาะต่างๆในหมู่เกาะกาลาปาโกสมีหลายชนิด ซึ่งต่อมาภายหลังจำแนกได้ประมาณ 14 สปีชีส์ ความแตกต่างที่เด่นชัดคือจงอยปากที่แตกต่างกัน และยิ่งไปกว่านั้น จงอยปากที่แตกต่างกันนั้นผันแปรไปตามสภาพอาหารของแต่ละเกาะ เช่น จงอยปากใหญ่และสั้นเหมาะกับการกินเมล็ดผลไม้ขนาดใหญ่ จงอยปากขนาดกลางเหมาะกับการกินเมล็ดผลไม้ขนาดเล็ก และจงอยบางเล็กยาวเหมาะกับการกินแมลง เป็นต้น ทำไมนกฟินช์ตามเกาะต่างๆจึงมีจงอยปากที่ผันแปรไปตามความเหมาะสมกับแหล่งอาหาร และเดิมทีนกเหล่านี้มีบรรพบุรุษเดียวกันหรือไม่


ภาพแสดงเส้นทางการสำรวจของดาร์วินไปตามเกาะต่างๆในหมู่เกาะกาลาปาโกส พร้อมพื้ชและสัตว์ที่ดาร์วินพบบนเกาะในสมัยนั้น (คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดขยาย)


ภาพสเก็ตช์นกฟินช์บนเกาะกาลาปาโกสแสดงให้เห็นลักษณะจงอยปากที่แตกต่างกัน 4 ชนิด ฝีมือการวาดของดาร์วินเอง

ภาพโปสเตอร์นกฟินช์ 14 สปีชีส์บนเกาะกาลาปาโกสในปัจจุบัน สังเกตลักษณะของหัวนกและลักษณะของจงอยปากที่แตกต่างกัน ความแตกต่างเหล่านี้เกิดจากสภาพแวดล้อมโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือแหล่งอาหาร ซึ่งนกฟินช์เหล่านี้คือกุญแจที่ทำให้ดาร์วินสามารถสืบสาวจนไขความลับของธรรมชาติเรื่องการวิวัฒนาการได้ในเวลาต่อมา ซึ่งในยุคนั้นเป็นแนวคิดที่ท้าทายศาสนจักรมาก (คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดขยาย)

“ดาร์วินในวัยหนุ่มยังไม่ได้คำตอบในตอนนั้น หลังจากที่กลับบ้านไปแล้วและศึกษาค้นคว้าต่ออีกราว 20 ปีจึงได้คำตอบ นั่นก็คือ ทฤษฎีวิวัฒนาการ โดยทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วินนั้นมีคำอธิบายและมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ประกอบ อีกทั้งนักวิทยาศาสตร์ในยุคต่อมายังพบหลักฐานสนับสนุนทฤษฎีนี้อย่างต่อเนื่องและต่อยอดขยายความทฤษฎีนี้ต่อไปอีก จนเป็นทฤษฎีที่ยึดถือและใช้อธิบายวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตมาจนถึงปัจจุบัน โดยยังไม่มีหลักฐานที่หักล้าง

“ลุงแมวน้ำขอรวบรัดสรุปทฤษฎีวิวัฒนาการที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้ก็แล้วกัน ว่าวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตจะเกิดขึ้นได้ด้วยองค์ประกอบ 3 ประการคือ

ข้อแรก สภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการดำรงเผ่าพันธุ์
ข้อสอง สิ่งมีชีวิตเกิดการผ่าเหล่า
ข้อสาม เกิดการคัดเลือกพันธุ์ตามธรรมชาติ”

“ยังไงกันฮะลุง ยังไม่เข้าใจ” กระต่ายน้อยทำหน้างุนงง

“นี่ลุงสรุปให้ฟังก่อนไง กำลังจะอธิบายขยายความให้ฟังต่อไป รวมทั้งการเชื่อมโยงกับภาคธุรกิจด้วย” ลุงแมวน้ำตอบ