Sunday, June 30, 2013

30/06/2013 เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ บำรุงผิวพรรณ ผ่องใส ลดริ้วรอย ด้วยโยเกิร์ตนมถั่วเหลือง (เจ/มังสวิรัติ) (2)


วันนี้วันหยุด เรามาคุยเรื่องครีมบำรุงผิวกันต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว ลุงแมวน้ำก็คุยโน่นคุยนี่ไปเรื่อยๆ แวะไปโน่นบ้าง แวะไปนี่บ้าง วันพักผ่อนก็คุยกันสบายๆ อย่าว่ากัน

ก่อนที่เราจะไปทำครีมโยเกิร์ตบำรุงผิวพรรณ ลุงแมวน้ำจะชวนพวกเราแวะไปดูเรื่องผิวหนังกันก่อน ให้เข้าใจโครงสร้างของผิวหนังกันสักเล็กน้อย จะได้เข้าใจว่าขอบเขตจำกัดของสกินแคร์นั้นบำรุงผิวพรรณได้มากน้อยเพียงใด จะได้รู้เท่าทันโฆษณาด้วย


โครงสร้างของผิวหนัง

เรามาดูภาพกันไป อธิบายกันไป จะได้เข้าใจง่ายและไม่เบื่อ เรามาดูโครงสร้างของผิวหนังกันก่อน ดังภาพนี้


โครงสร้างของผิวหนัง ประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก คือ ชั้นหนิงแท้หรือว่าเดอร์มิส (dermis) และชั้นหนังกำพร้าหรือว่าเอพิเดอร์มิส (epidermis) 


โครงสร้างของผิวหนังประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก คือ ชั้นหนังแท้ หรือผิวหนังชั้นใน (dermis) และชั้นหนังกำพร้า หรือผิวหนังชั้นนอก (epidermis)

ผิวหนังชั้นในหรือว่าหนังแท้นั้นประกอบด้วยเซลล์ผิวหนังหลายชนิด เช่น ต่อมเหงื่อ รากของเส้นขน ต่อมไขมัน รวมทั้งเป็นที่อยู่ของเส้นใยโปรตีนที่เราได้ยินกันบ่อยๆ นั่นคือ คอลลาเจน (collagen) และ อิลาสติน (elastin) ซึ่งคอลลาเส้นและอิลาสตินนั้นเป็นเนื้อเยื่อที่สร้างความยืดหยุ่นให้แก่ผิวหนังของเรานั่นเอง

นอกจากนี้ ในชั้นหนังแท้นี้ยังมีเส้นเลือดและเส้นประสาทมาหล่อเลี้ยงอีกด้วย

ผัวหนังชั้นนอกหรือชั้นหนังกำพร้า ชื่อก็บอกแล้วว่าอยู่ชั้นนอก คือเป็นผิวที่คลุมอยู่นอกสุดของร่างกาย และเป็นผิวหนังส่วนที่สัมผัสกับโลกภายนอกนั่นเอง

ผิวหนังชั้นนอกนี้ไม่มีเส้นเลือดและไม่มีเส้นประสาทมาเลี้ยง ประกอบด้วยโครงสร้างย่อยหรือว่าแบ่งเป็นชั้นย่อยได้อีกหลายชั้น เซลล์เม็ดสี (melanocyte) ที่เป็นตัวสร้างเม็ดสี (melanin) เพื่อแสดงสีผิวก็อยู่ในชั้นนี้

ที่ผิวหนังชั้นนอกนี้เองที่เป็นชั้นที่ก่อให้เกิดกระบวนการผลัดเซลล์ผิว (skin turnover) ขึ้น

ส่วนที่ลุงแมวน้ำอยากให้สังเกตเอาไว้ก่อนก็คือ ชั้นสตราตัมคอร์เนียม (stratum corneum) หรือบางทีก็เรียกว่าชั้นฮอร์นีเลเยอร์ (horny layer) จำชั้นนี้เอาไว้ก่อน แล้วเรามาคุยกันต่อในหัวข้อถัดไป


การผลัดเซลล์ผิวหนังเกิดขึ้นได้อย่างไร

การผลัดเซลล์ผิวนั้นเกิดขึ้นที่ชั้นหนังกำพร้า ลองดูภาพต่อไปนี้

กระบวนการผลัดเซลล์ผิวเกิดขึ้นที่ชั้นหนังกำพร้า โดยเบซาลเซลล์ (basal cell) จะแบ่งตัวเกิดเซลล์ใหม่อยู่เรื่อยๆ ส่วนเซลล์เก่าก็จะถูกดันให้เลื่อนขึ้นสู่ด้านบนไปตามลำดับ


จากภาพ เซลล์ที่อยู่ชั้นล่างสุดของชั้นหนังกำพร้าก็คือเบซาลเซลล์ (basal cell) เบซาลเซลล์นี้จะแบ่งตัวและผลิตเซลล์ใหม่อยู่เรื่อยๆ เมื่อมีเซลล์ใหม่ผลิตออกมา เซลล์เก่าที่อยู่ข้างบนก็จะถูกดันให้เลื่อนขึ้นชั้นบนไปเรื่อยๆ

ในขณะที่เซลล์ถูกดันขยับเลื่อนขึ้นไป เซลล์เหล่านี้ก็จะสะสมสารเคอราติน (keratin) ไว้ในเซลล์มากขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อเซลล์รุ่นเก่าถูกดันขึ้นมาจนถึงชั้นบนสุดที่เรียกว่าชั้นสตราตัมคอร์เนียม (stratum corneum) เซลล์ก็จะหมดอายุและตาย พร้อมกับสารเคอราตินที่สะสมเอาไว้จนเต็มที่ ดังนั้นที่ชั้นบนสุดนี้จึงเป็นแหล่งรวมของเซลล์ผิวหนังชั้นนอกที่ตายแล้ว พร้อมจะหลุดลอกออกไป พร้อมกันนั้นก็สะสมเคอราตินเอาไว้มากซึ่งทำให้เซลล์มีความแข็งกว่าเซลล์ทั่วไป ธรรมชาติได้ออกแบบให้เซลล์หนังกำพร้าชั้นย่อยที่อยู่นอกสุดของร่างกายนี้มีความแข็งกว่าปกติ ก็เพื่อปกป้องผิวชั้นอื่นๆนั่นเอง

แถมอีกนิดหนึ่งว่า เล็บมือ เล็บเท้า เขาสัตว์ ก็เป็นเซลล์ที่ประกอบด้วยเคอราตินชนิดหนึ่งเหมือนกัน จึงทำให้เล็บและเขาสัตว์มีความแข็ง แต่เป็นเคอราตินชนิดย่อยคนละชนิดกับที่คลุมผิวหนัง จึงมีความแข็งแตกต่างกัน

และเนื่องจากเซลล์ในชั้นสตราตัมคอร์เนียม มีความแข็งกระด้างกว่าเซลล์ที่อยู่ชั้นล่างๆ เนื่องจากมีสารเคอราตินสะสมอยู่มาก ดังนั้น บางทีเราก็เรียกชั้นสตราตัมคอร์เนียมว่าชั้นฮอร์นีเลเยอร์ โดยคำว่า horny layer นั้น horny ก็มาจาก horn (เขาสัตว์) นั่นเอง ส่วนภาษาไทยนั้นเราเรียกว่าชั้นขี้ไคล 

ในกระบวนการผลัดเซลล์ผิวนั้น จากเซลล์เกิดใหม่ที่เบซาลเซลล์ผลิตออกมา เซลล์จะค่อยๆแก่ตัวลงพร้อมกับถูกดันขึ้นไปข้างบน จนถึงชั้นขี้ไคล กระบวนการนี้ในเด็กและคนหนุ่มสาวกินเวลาประมาณ 14 วัน จากนั้นเซลล์ที่ตายแล้วจะค่อยๆหลุดลอกออกไป (คือขี้ไคลค่อยๆลอกออกไปนั่นเอง) กินเวลาอีกประมาณ 14 วัน รวมแล้วชั้นหนังกำพร้ามีการผลัดเซลล์ผิวรอบหนึ่งๆกินเวลาประมาณ 28 วัน เท่ากับหนึ่งเดือนทางจันทรคติพอดี คิดง่ายๆว่า 1 เดือนก็แล้วกัน

ซึ่งอัตราการผลัดเซลล์ผิวนี้ หากเป็นวัยกลางคนหรือผู้สูงอายุ กระบวนการผลัดรอบหนึ่งจะกินเวลานานกว่านี้ คือประมาณ 45-50 วันหรือหนึ่งเดือนครึ่ง ดังนั้น ในวัยกลางคนหรือผู้สูงอายุ ชั้นขี้ไคลหรือว่าเซลล์ในชั้นสตราตัมคอร์เนียมจะสะสมตัวหนากว่าในวัยหนุ่มสาว เนื่องจากกระบวนการผลัดเซลล์เกิดช้าลงตามวัยนั่นเอง


เซลล์ผิวหนังจริงที่นำมาย้อมสีและดูภาคตัดขวางด้วยกล้องจุลทรรศน์ แสดงให้เห็นชั้นหนังแท้ หนังกำพร้า และชั้นขี้ไคล (stratum corneum) ซึ่งเป็นชั้นย่อยอยู่บนสุดของชั้นหนังกำพร้า

ภาพถ่ายแสดงภาคตัดขวางของเซลล์ผิวหนังในวัยหนุ่มสาวกับวัยผู้ใหญ่ ชั้นบนสุด (หมายเลข 1) คือชั้นขี้ไคล สังเกตว่าชั้นขี้ไคลของวัยหนุ่มสาวบางกว่าในวัยผู้ใหญ่




ผลัดเซลล์ผิวแล้วไง ก็แปลว่าผิวกระจ่างใสต้องรอ 1 เดือน

เมื่ออ่านถึงตอนนี้ หลายคนอาจงงว่า จะพูดเรื่องผลัดเซลล์ผิวไปทำไม ก็แค่กระบวนการที่ขี้ไคลหลุดออกออกจากผิวหนัง แสนจะธรรมดา จะอธิบายอะไรให้มากมาย

ลุงแมวน้ำอยากจะบอกว่า ก็กระบวนการขัดขี้ไคลหรือชั้นขี้ไคลหลุดลอกนี่แหละ ที่มีส่วนช่วยให้ผิวดูขาวผ่องขึ้น รวมทั้งผิวที่เต่งตึงขึ้น มีริ้วรอยลดน้อยลง ก็ขึ้นอยู่กับกระบวนการขัดขี้ไคลนี้ส่วนหนึ่ง 

เรามาดูเรื่องประเด็นผิวขาวกระจ่างใสกันก่อน

ยังจำได้ไหมที่ลุงแมวน้ำพูดในย่อหน้าข้างบนว่าในชั้นหนังกำพร้านั้นมีเมลาโนไซต์ (melanocyte) หรือเซลล์สร้างเม็ดสีอยู่ ซึ่งเซลล์สร้างเม็ดสีนี้จะสร้างเม็ดสี (melanin) พูดง่ายๆก็คือ การเกิดสีผิวนั้นเกิดขึ้นในชั้นหนังกำพร้านั่นเอง

การทำให้ผิวขาวขึ้นนั้น หลักการสำคัญก็คือการเอาสารอะไรทาลงไปที่ผิวหนัง แล้วสารนั้นไปยับยั้งการสร้างเม็ดสี ให้สร้างได้น้อยลง เมื่อเม็ดสีมีน้อยลง ผิวก็จะขาวขึ้น เม็ดสีน้อยลงนิดหน่อย ผิวก็ดูผ่องๆ ยิ่งกดการสร้างเม็ดสีได้มากเท่าใด ผิวก็ขาวมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งเราต้องไม่ลืมว่าในระดับสกินแคร์ (skincare) นั้นสารที่ใช้ลดการสร้างเม็ดสีได้นิดหน่อยเท่านั้น (หากต้องการลดการสร้างเม็ดสีลงมากๆ ต้องใช้ในระดับที่เป็นยา ซึ่งเราจะไม่ไปถึงประเด็นนั้น)

เมื่อเซลล์สร้างเม็ดสีออกมาแล้ว เม็ดสีก็จะอยู่ในผิวอย่างนั้นแหละ สกินแคร์ที่ทาลงไปจะไปลดการสร้างเม็ดสีในรุ่นต่อไป อะไรที่มีอยู่แล้วก็จะไม่ลดลง

นั่นก็แปลว่า ผลของสกินแคร์ที่ทำให้ผิวผ่องขึ้นนั้น ต้องรอให้ผลัดเซลล์ผิวรุ่นเก่าออกไปแล้วก่อน จึงจะเห็นผลในงานในเซลล์รุ่นใหม่ ดังนั้นก็คิดง่ายๆว่ากว่าจะเห็นผลผิวขาวผ่องขึ้น มักต้องรออย่างน้อย 1 เดือน เพราะว่าต้องรอผลัดเซลล์ผิวไปรอบหนึ่งก่อน

และก็แปลว่า หากมีอะไรที่เห็นผลเร็วกว่านั้น เช่น ใน 3 วัน 7 วัน ส่วนใหญ่ใช้เทคนิคอื่น นั่นคือ ใช้สารที่มีคุณสมบัติทางแสงช่วยพรางสีผิว ซึ่งก็เหมือนการโปะแป้งพรางสีผิวนั่นเอง แต่สารที่ใช้นี้ไม่ใช่แป้งธรรมดา แต่เป็นสารเคลือบผิวที่มีขนาดเล็กละเอียด เวลาใช้จึงดูเป็นธรรมชาติ เหมือนกับเป็นสีผิวจริง แต่ล้างออกได้ อาบน้ำไปก็กลับมาสีตกเหมือนเดิม ^_^

วันนี้ลุงเมื่อยครีบแล้ว ยังไม่จบจนได้ ^_^

สัปดาห์หน้าเราจะมาดูกันว่าการผลัดเซลล์ผิวนั้นช่วยลดริ้วรอยให้จางลงได้หรือไม่ และถ้าได้ ลดได้อย่างไร รอหน่อยนะคร้าบ




Thursday, June 27, 2013

27/06/2013 * ได้เวลารีบาวด์ พร้อมตารางสแกนหุ้นเด่นรุ่นใหม่


วันนี้ลุงแมวน้ำมาอัปเดตสถานการณ์ล่าสุดให้ฟังกัน

ความเดิมก็เริ่มมาจากคำแถลงของลุงเบนหรือว่าเฟด เมื่อหลายวันก่อน ที่แสดงความชัดเจนเรื่องขั้นตอนการยุติ QE ของอเมริกา ตอนนั้นตลาดหุ้นก็ตกใจทีหนึ่งแล้ว หลังจากนั้น เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ตลาดหุ้นจีนก็ดิ่งเหวแบบวันเดียว ม้วนเดียว -6% เนื่องจากปัญหาการขาดสภาพคล่องของระบบธนาคารจีน จากนั้นก็ตามมาด้วยบทวิเคราะห์ของโกลแมนด์ แซคส์ ที่ปรับลดจีดีพีของจีนลง บทวิเคราะห์นี้ออกมาในจังหวะที่เหมาะเจาะมาก เหมือนจะถล่มตลาดหุ้นจีนซ้ำ

ปกติตลาดหุ้นจีนปรับตัวลงจะไม่กระทบตลาดหุ้นอื่นๆ ดูจากกราฟในอดีตก็ได้ว่าตลาดหุ้นจีน กับญี่ปุ่น เวลาลงไม่ค่อยกระทบบ้านอื่นนัก ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเป็นขาลง 20 ปี ตลาดหุ้นอื่นก็ขึ้นเอาๆ แต่เนื่องจากครั้งนี้ตลาดหุ้นจีนลงแรงมาก ประกอบกับนักลงทุนขวัญเสียจากลุงเบนมาก่อนหน้าแล้ว ดังนั้นตลาดหุ้นอื่นจึงตกใจไปกับตลาดหุ้นจีนด้วยในครั้งนี้

ล่าสุด เมื่อต้นสัปดาห์นี้ ทางธนาคารกลางของจีนยืนยันแล้วว่าเรื่องปัญหาขาดสภาพคล่องนั้นไม่เป็นความจริง ทางการจีนสามารถดูแลสภาพคล่องได้ หลังจากนั้นอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารที่อยู่ในระดับสูงก็ปรับตัวลดลง ที่จริงจีนมีปัญหาเรื่องระบบธนาคารสะสมมานานแล้ว ตอนนี้จีนพยายามสะสางอยู่ จึงเข้มงวดกับเรื่องสินเชื่อและการกวาดล้างสินเชื่อนอกระบบ ซึ่งย่อมมีผลกระทบกับระบบธนาคารอยู่บ้าง แต่ที่จริงเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดีในระยะยาว ดังที่จีนเองก็บอกว่ายอมโตช้าๆแต่ว่ายั่งยืนดีกว่า

การขาดสภาพคล่องของธนาคารจีนนั้นจะว่าจริงก็จริง จะว่าไม่จริงก็ไม่จริง กล่าวคือ มีเงิน แต่ธนาคารไม่ยอมให้กู้ระหว่างกันเพราะว่าไม่ไว้ใจเครดิตกัน ดังนั้นพวกธนาคารที่เครดิตไม่ค่อยดีก็ขาดสภาพคล่องจริง ซึ่งเป็นปัญหาระยะยาวที่ทางการจีนจะต้องสะสางต่อไป

เอาละ เมื่อทางการจีนยืนยันว่าไม่มีปัญหา ตลาดหุ้นจีนก็หายตระหนก  ตลาดหุ้นอื่นๆก็พลอยหายตกใจไปด้วย

มาเมื่อวานนี้เอง 26/06/2013 ลุงมาริโอ ประธานธนาคารกลางของยุโรป หรือ อีซีบี (ECB) ก็แถลงว่าสำหรับกลุ่มยูโรนั้น เรื่องการดูแลอัดฉีดยังเต็มที่อยู่ เรื่องจะเลิกอัดฉีดนั้นยังอีกไกลนัก ไม่เหมือนกับลุงเบน พอลุงมาริโอพูดแบบนี้ ตลาดหุ้นยุโรปก็มีเฮ ดังจะเห็นได้จากเมื่อวานดัชนีตลาดหุ้นในยุโรปขึ้นแรงพอควร ซึ่งส่งผลให้ตลาดหุ้นเอเชียในช่วงบ่ายเมื่อวานสดใสขึ้นด้วย

ถึงตอนกลางคืนของเมื่อวาน ซึ่งเป็นตอนกลางวันของอเมริกา มีการประกาศตัวเลขจีดีพีของสหรัฐอเมริกาไตรมาส 1 ซึ่งขยายตัว 1.8% ต่ำกว่าที่คาดการณ์ (คาดเอาไว้ 2.6%)

แทนที่ตลาดหุ้นอเมริกาจะตกใจกับตัวเลขนี้ ตรงกันข้าม กลับดีใจ ตลาดหุ้นขึ้นใหญ่ ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าหากเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า ลุงเบนก็ยังเลิกอัดฉีดไม่ได้ ยังต้องอัดฉีดไปเรื่อยๆ ยิ่งฟื้นช้า ก็ยิ่งต้องอัดฉีดไปอีกนาน ตลาดหุ้นจึงชอบ ยังงี้ก็มีด้วย ^_^

ก็คงได้เวลารีบาวด์กันแล้ว อย่างน้อยก็ช่วงหนึ่ง เรามาดูกราฟกันก่อน จากนั้นในตอนท้าย ลุงแมวน้ำมีไฟล์สแกนหุ้นชุดใหม่ ชุดนี้ดีมาก น่าใช้ทีเดียว


ตลาดหุ้นจีนหยุดไหล อย่างน้อยก็ชั่วคราว เมื่อธนาคารกลางของจีนออกมาสยบข่าวเรื่องธนาคารขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง หลังจากนี้น่าจะรีบาวด์ หลังจากนั้นค่อยมาดูกันอีกทีว่าจีนผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วหรือยัง


ตลาดหุ้นอเมริกามีเฮ หลังจากที่ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 1 ของอเมริกาต่ำกว่าคาดการณ์ แสดงว่าลุงเบนยังเลิกอัดฉีดไม่ได้ นี่เรียกว่าเสพติดคิวอีอย่างแรงแล้วใช่ไหมเนี่ย


ราคาพันธบัตรรัฐบาลอเมริกันเริ่มรีบาวด์ด้วยเช่นกัน หลังจากไหลรูดมาหลายวัน


ตลาดหุ้นไทยน่าจะทำคลื่นย่อยขาขึ้นแล้วเช่นกัน ดูไปเป็นขั้นๆ ฝ่าไปทีละด่าน 1470, 1510, 1540 ตามลำดับ


ราคาทองคำ หลังจากหลุดกรอบสามเหลี่ยมชายธงแล้วก็ยังลงไม่หยุด ราคาลงมาจากยอดคลื่นแล้ว -31.6%



สำหรับวันนี้ 27/06/2013 ลุงแมวน้ำคาดว่าตลาดหุ้นไทยยังมีรีบาวด์ได้อีก ทั้งนี้ วันนี้ทั้งไทยและในต่างประเทศจะมีการประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจหลายตัวทีเดียว ของไทยก็จะเป็นรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลัง ของจีนจะเป็นตัวเลขทางภาคอุตสาหกรรมของเดือน พ.ค.

ตอนบ่าย ทางยุโรปจะมีประกาศตัวเลขความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจและของผู้บริโภค ตอนค่ำ อเมริกาประกาศจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก 

ตัวเลขเหล่านี้จะมีผลต่ออารมณ์ของตลาดในระยะสั้นด้วย ตามดูบ้างก็ไม่เสียหลาย



ตารางสแกนหุ้นเด่น รุ่นใหม่




และของดีที่ลุงแมวน้ำนำมาฝากในวันนี้ เป็นตารางสแกนหุ้นรุ่นใหม่ ดีกว่าเก่า เป็นการเทียบราคาจากวันที่ 22/05/2013 ถึง 25/06/2013 ว่าราคาขึ้นหรือลงกี่เปอร์เซ็นต์ ช่วงนี้เป็นช่วงที่ตลาดขาลง ใครลงแรง ใครสวนตลาดได้ เก่งไม่เก่ง ไปดูกันได้

พร้อมกันนั้น มีค่า P/E, P/BV และค่า Dividend yield ณ วันที่ 25/06/2013 ให้ดูกันด้วย ยังไม่พอ ยังมีการจัดเรียงลำดับหุ้น ตาม % การเปลี่ยนแปลง เรียงตามค่า P/E เรียงตามค่า P/BV และเรียงตามค่า dividend yield ให้เลือกดูตามใจชอบอีกด้วย

ตารางนี้ลุงแมวน้ำนำมาจาก setsmart.com 

จากนั้นลุงแมวน้ำก็คำนวณข้อมูลเพิ่มเข้าไป ตรงส่วนที่เป็นหัวคอลัมน์สีเหลืองนั่นแหละ มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง

ที่ลุงแมวน้ำคำนวณเพิ่มก็คือ อัตราการรีบาวด์จากวันที่ 24 ถึง 26 มิถุนายน 2013 ณ ช่วงเวลานี้ SET index รีบาวด์ +4.42% ใครรีบาวด์แรงกว่าดัชนี ใครอ่อนกว่าดัชนี มาดูกันได้ พร้อมกันนั้น ยังคำนวณ P/E ณ วันที่  26/06/2013 ให้ดูอีกด้วย 

ดังนั้นในไฟล์นี้แต่ละหุ้นจะมี P/E สองค่า คือ ณ วันที่ 25 กับ 26 มิถุนายน

เอาละ เมื่อเข้าใจรายละเอียดกันแล้วก็ไปดาวน์โหลดกันได้เลยคร้าบ ^_^




Tuesday, June 25, 2013

25/06/2013 * สภาพคล่องจีนทำตลาดแดงเดือดซ้ำ และสรุปตลาดประสำสัปดาห์ (17/06/2013 - 21/06/2013)


หลังจากจากที่ลุงเบนให้ความชัดเจนเกี่ยวกับการชะลอและยุติการอัดฉีดสภาพคล่องหรือ QE3 ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมทั้งตลาดหุ้นเอเชียก็ตื่นตระหนกไปแล้วรอบหนึ่ง ความวัวยังไม่ทันจะหาย ความควายก็เข้ามาแทรกอีก นั่นคือ ธนาคารในประเทศจีนเกิดปัญหาขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง อัตราการกู้ยืมระหว่างธนาคารด้วยกันพุ่งกระฉูด สาเหตุมาจากปัญหาหนี้เน่าที่ทับถมธนาคารอยู่ ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าเท่าไรกันแน่ เพราะทางการจีนก็ไม่บอก แต่ขยะที่ซุกอยู่ใต้พรมนั้น วันนี้ไม่ใช่ขยะแล้ว แต่กลายเป็นระเบิดที่ซ่อนอยู่ใต้พรมแทน เนื่องจากธนาคารจีนขาดสภาพคล่อง ครั้นจะกู้ยืมระหว่างธนาคาร ธนาคารแต่ละแห่งต่างก็ไม่ไว้ใจกัน เพราะไม่รู้ว่าใครซุกหนี้เน่าเอาไว้เท่าไร ต่างก็ไมยอมให้ยืมกัน เพราะเรกงว่ายืมแล้วจะไม่ได้คืน ดังนั้นเงินสดจึงหายาก อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่างธนาคารจึงพุ่งสูง ซึ่งเดิมทีทางธนาคารกลางของจีนบอกว่าจะไม่อัดฉีดเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอีก เพราะเกรงปัญหาฟองสบู่ จีนต้องการเติบโตอย่างยั่งยืน แม้ว่าอัตราการเติบโตจะช้าลงบ้างก็ดีกว่าโตเร็วแต่มีปัญหาฟองสบู่

พอไม่อัดฉีด ก็กลายเป็นว่าธนาคารขนาดกลางและเล็กขาดสภาพคล่องถึงขั้นวิกฤต ถึงขั้นธนาคารอาจล้มได้ ในที่สุดธนาคารกลางของจีนก็ยอมอัดฉีดสภาพคล่องเข้าไปช่วยเหลือเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังไม่รู้ว่าจำนวนเท่าไร แต่ดูเหมือนจะยังไม่พอ เพราะนี่เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น อาการป่วยของระบบธนาคารที่แท้จริงคือเรื่องหนี้เน่ายังไม่มีการแก้ไขแต่อย่างใด ดังนั้นจึงระเบิดที่ซุกอยู่ใต้พรมตอนนี้ยังทำงานอยู่ และหากทางการจีนไม่รีบถอดชนวน ระบบเศรษฐกิจจีนอาจมีปัญหารุนแรง และมีหวังได้เห็นตลาดหุ้นแดงเดือดกันทั่วโลกอีกรอบหนึ่ง

จากปัญหาของจีนที่เพิ่งประทุขึ้นมานี้เอง ที่เป็นเหมือนความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก เรื่องยุติ QE3 ของลุงเบนยังไม่ทันจะฝุ่นจาง ปัญหาเรื่องสภาพคล่องของธนาคารจีนก็เข้ามาอีก

เมื่อวาน 24/06/2013 ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลงในวันเดียวกว่า -5% โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารลงหนักว่านั้น ประมาณ -8% และพลอยฉุดให้ตลาดหุ้นอื่นแดงไปด้วย รูปแบบทางเทคนิคเสียหายไปแล้ว ดังภาพต่อไปนี้


ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลงอย่างรวดเร็วจากปัญหาธนาคารขาดสภาพคล่อง เดิมทีทางการจีนบอกว่าจะไม่อัดฉีดสภาพคล่องเพราะไม่ต้องการให้เกิดปัญหาฟองสบู่ แต่ต้องการเติบโตอย่างยั่งยืนแม้ว่าจะเติบโตช้าลงบ้าง แต่ในที่สุดก็ต้องยอมอัดฉีดเงินเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาซึ่งยังไม่รู้จำนวนเงินที่ใช้ แต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่เพียงพอ ตลาดหุ้นจีนดิ่งลง -17.9% แล้วนับจากยอดคลื่นเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม


ถ้าดัชนี CSI 300 ของจีนหลุดจาก 2110 จุดก็เป็นเรื่อง เพราะแปลว่ายังลงได้อีกมาก กลายเป็นคลื่นใหญ่ขาลงทีเดียว และแนวโน้มจะหลุดจาก 2110 ก็มีสูงเสียด้วย แต่ว่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นอื่นๆมากมายเพียงใดยังยากบอกได้

ขณะเดียวกัน เมื่อวาน 24/06/2013 ตลาดหุ้นทั่วโลกก็รับข่าวเศรษฐกิจจีน ตลาดหุ้นอเมริกาปรับตัวลงประมาณ -0.9% ที่จริงลงลึกกว่านี้อีกในระหว่างวัน แต่ดีดกลับมาได้ตอนท้ายตลาด ขณะเดียวกัน ราคาพันธบัตรรัฐบาลอายุยาวของอเมริกาก็ร่วงลงไปอีก


ตลาดหุ้นอเมริกาฝุ่นตลบต่อจากผลของปัญหาเศรษฐกิจของจีน จนถึงวันนี้ 24/06/2013 ตลาดหุ้นอเมริกาปรับตัวลงจากยอดคลื่นล่าสุด -4.87% แล้ว และราคาพันธบัตรรัฐบาลอเมริกัน อายุ 10 ปี และ 30 ปี ก็ปรับตัวลงจากยอดคลื่นล่าสุดเมื่อต้นเพือนพฤษภาคม -5.4% กับ -9.6% ตามลำดับ




ขณะเดียวกัน ทางฝั่งยุโรปก็แดงเช่นกัน ตลาดหุ้นเยอรมนีปรับตัวลงไปแล้ว -9.8% 


ตลาดหุ้นเยอรมนีปรับตัวลงจากยอดคลื่นล่าสุดเมื่อเดือนพฤษภาคม -9.8% แล้ว


เมื่อวาน 24/06/2013 ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงต่อ ดัชนี SET ปิดที่ 1364.09 จุด ซึ่งเดิมทีแม้ว่าดัชนีจะเคยไหลลงถึง 1350 จุดแต่ก็เป็นในระหว่างวันเท่านั้น หากคิดจากราคาปิด ดัชนี SET ยังไม่เคยหลุดจาก 1400 จุด เมื่อวานเป็นวันแรกที่ดัชนีปิดต่ำกว่า 1400 จุด 


ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงจากยอดคลื่นล่าสุด -17% แล้ว


ราคาทองคำหลุดจากกรอบสามหลี่ยมชายธงลงมาแล้ว อาจลงไปได้ถึง 1160 ดอลลาร์ สรอ/ทรอยออนซ์


ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนผันผวนหนัก ราคาทองคำในที่สุดก็หลุดจากสามเหลี่ยมชายธงลงมาข้างล่าง พร้อมกับดอลลาร์ สรอ แข็งค่า แต่ขณะนี้ดอลลาร์ สรอ ดูจะเริ่มนิ่งแล้ว ทำให้เงินตราสกุลอื่นพลอยเริ่มนิ่งไปด้วย แต่ก็ยังไม่น่าวางใจ ดอลลาร์ สรอ อาจแข็งค่าต่อพร้อมกับราคาทองคำร่วงต่อ



อัตราแลกเปลี่ยนและราคาทองคำในเชิงเปรียบเทียบ



สำหรับสรุปในรอบสัปดาห์ที่แล้วเราก็คงคุยกันมามากแล้ว ประเด็นหลักในสัปดาห์ที่แล้วก็คือความปั่นป่วนจากการประกาศของเฟดเรื่องการชะลอและยุติ QE3 ซึ่งถือว่าชัดเจนขึ้นมากแล้ว ตลาดในสัปดาห์ที่แล้วปรับตัวลงรับข่าวนี้เป็นหลัก ตลาดหุ้นอเมริกาเองตลอดสัปดาห์ปรับตัวลงไม่มาก ประมาณ -2% ในขณะที่ตลาดหุ้นอื่นลงหนักกว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงถึง -4.4%

สำหรับสัปดาห์นี้ ประเด็นจะไปอยู่ที่เศรษฐกิจจีนเป็นหลัก ต้องมาดูกันว่าตลาดหุ้นทั่วโลกจะตอบสนองกับข่าวทางจีนมากน้อยเพียงใด ส่วนตลาดหุ้นไทยนั้นลุงแมวน้ำไม่ค่อยแน่ใจแล้วว่า 1350 จุดจะรับไหวไหม รวมทั้งไม่แน่ใจว่า window dressing ตอนสิ้นเดือนมิถุนายนจะทำงานได้จริงหรือไม่ เพราะรายย่อยก็รอขายตอนทำ window dressing อยู่นี่แหละ เมื่อรอขายกันทั้งประเทศก็อาจขึ้นไม่ไหว แต่อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ตอนนี้ คิดว่าหากหลุด 1350 จุดก็คงไม่หลุด 1310 จุด ทั้งนี้ ลุงแมวน้ำดูจากราคาพันธบัตรรัฐบาลที่เริ่มนิ่งแล้ว ประกอบกับค่าเงินบาทก็เริ่มนิ่ง ดังนั้นตลาดหุ้นก็น่าจะเริ่มนิ่งได้แล้ว

ดัชนีราคาพันธบัตรรัฐบาลไทย อายุ 7-10 ปี จากที่ราคาไหลลงแรง ตอนนี้เริ่มนิ่งแล้ว หมายความว่าแรงขายเริ่มชะลอตัวแล้ว ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยด้วย


ตลาดตอนนี้ผันผวนมาก อะไรก็เกิดได้ทั้งนั้น ก็ต้องรอดูตลาดอเมริกาเป็นหลัก เมื่อไรที่ตลาดอเมริกาไปต่อได้ ตลาดหุ้นทั่วโลกก็จะตั้งหลักและไปต่อได้





 photo s5021062013weeklyreportcopy.gif

Sunday, June 23, 2013

23/06/2013 เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ บำรุงผิวพรรณ ผ่องใส ลดริ้วรอย ด้วยโยเกิร์ตนมถั่วเหลือง (เจ/มังสวิรัติ) (1)


เช้าวันหยุดในช่วงฤดูฝนอากาศเย็นสบาย ไม่ร้อนอบอ้าวเหมือนเมื่อช่วงเดือนเมษายน พฤษภาคมที่ผ่านมา ลุงแมวน้ำตื่นแต่เช้ามานั่งจิบกาแฟชมสวน พลางนึกถึงบทความในวันหยุด

ลุงแมวน้ำคิดจะเขียนบทความเกี่ยวกับวิธีบำรุงผิวพรรณแบบง่ายๆ ได้ผล และราคาประหยัดมาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่ได้เขียนสักที เอาละ วันนี้เรามาคุยเรื่องนี้กันดีกว่า



ครีมผิวขาวใส ตลาดแดงเดือดกับโฆษณาเว่อ


ผลิตภัณฑ์พวกสกินแคร์หรือว่าผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเครื่องสำอางบำรุงผิวพรรณนั้นจัดเป็นกลุ่มสินค้าที่มียอดขายเติบโตดีมาก เพราะคนเราไม่ว่าชายหรือหญิงย่อมมีนิสัยรักสวยรักงาม ไม่ใช่แต่เฉพาะคนไทย แต่ว่าเป็นกระแสของทั่วโลกเลยทีเดียว และเมื่อเป็นธุรกิจที่มียอดขายดี แน่นอน ผู้ประกอบการทุกขนาด ไม่ว่าเล็ก กลาง ใหญ่ ยักษ์ ต่างก็กระโจนเข้ามาในสนามเครื่องสำอางบำรุงผิวพรรณกัน ดังนั้น จะว่าไปแล้ว ธุรกิจเครื่องสำอางบำรุงผิวพรรณในปัจจุบันจัดว่าเป็นน่านน้ำทะเลแดง (red ocean market) เพราะว่ามีการแข่งขันกันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน ดังที่เราคงเห็นกันว่า ไม่ว่าจะไปที่ไหน ไม่ว่าจะดูทีวี ฟังวิทยุ ขึ้นรถไฟฟ้า ยืนตามป้ายรถเมล์ ฯลฯ ต่างก็เห็นโฆษณาเครื่องสำอางกลุ่มสกินแคร์เต็มไปหมด

โดยเฉพาะวัฒนธรรมของไทยนั้นนิยมผิวขาว ดังนั้นผลิตภัณฑ์ที่บำรุงผิวพรรณเพื่อให้ผิวขาว ลดความหมองคล้ำ ลดริ้วรอย เหล่านี้จึงเป็นที่นิยมในหมู่ผู้บริโภคชาวไทย ดังจะเห็นได้จากโฆษณาผลิตภัณฑ์ผิวขาวทั้งหลายที่กระหน่ำโฆษณาถี่ราวกับต้องการล้างสมองผู้บริโภค ลุงแมวน้ำขึ้นรถไฟฟ้า ในระยะเวลาเพียงแค่ 40 นาทีที่อยู่ในรถไฟฟ้า แต่ดูโฆษณาผลิตภัณฑ์ผิวขาวไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ ดูจนเวียนหัว ต้องหันหน้าไปดูอย่างอื่นแทน

ถามว่าผลิตภัณฑ์บำรุงผิวขาวที่โฆษณากันอยู่นี้ทำให้ผิวขาวได้จริงไหม ลุงแมวน้ำก็อยากถามกลับว่า คนที่ใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ที่เห็นในโฆษณานั้น พรีเซ็นเตอร์มีผิวขาวราวเป็นประกายราวกับหลอดฟลูออเรสเซ็นต์เดินได้ แล้วผู้ที่ซื้อไปใช้มีใครเคยใช้แล้วได้ผลแบบนั้นหรือไม่ ทำไมเราไม่เห็นหลอดฟลูอออเรสเซ็นต์เดินได้กันเต็มเมืองแล้วล่ะ เพราะผู้ที่ซื้อใช้ก็มีมากมาย

หลายคนอาจบอกว่า อ้าว ในโฆษณามีผลวิจัยด้วยนะ ผู้หญิงกว่า 90% ใช้แล้วได้ผล อะไรนั่น ลุงแมวน้ำก็อยากบอกว่า ให้สังเกตคำพูดที่ใช้ในโฆษณาให้ดี ในโฆษณาจะพูดว่า "จากผลการสำรวจ ผู้หญิง 90% ที่ใช้รู้สึกว่าผิวของตนเองดูกระจ่างสดใสขึ้น..."

ลุงแมวน้ำมีข้อสังเกตเกี่ยวกับผลสำรวจที่มักยกมาอ้างในงานโฆษณา นั่นก็คือ ผู้บริโภคต้องฟังดูดีๆ เพราะว่าไม่มีโฆษณาชิ้นใดเลยที่บอกว่า "ใช้แล้วผิวขาวขึ้น" มีแต่บอกว่า "ใช้แล้วรู้สึกว่า..." ดังนั้น แท้ที่จริงแล้วผลสำรวจนี้เป็นการสำรวจความพึงพอใจของผู้บริโภคต่างหาก คือเป็นการถามความรู้สึก ไม่ได้เป็นข้อเท็จจริงว่าผิวขาวขึ้นหรือไม่ หากจะพิสูจน์ว่าขาวจริงหรือไม่ต้องใช้เครื่องตรวจวัดสภาพผิวมาวัดกันเลยจึงจะบอกได้

และข้อสังเกตอีกประการก็คือ ไม่มีโฆษณาชิ้นใดที่บอกว่าใช้แล้วผิวขาว มีแต่บอกว่า "แลดูขาว, แลดูกระจ่างสดใส" ใช้คำว่า "แลดู" ไม่ได้บอกว่าขาวจริงๆ

หรือบางทีโฆษณาก็ทำเหนือชั้น ทำหนังโฆษณาแบบไม่พูดตรงๆ แต่เอาอะไร ขาวๆ ชมพูๆ มาใส่ไว้ในโฆษณา แล้วให้ผู้ชมคิดเชื่อมโยงเอาเอง ว่า เออ นี่ใช้แล้วผิวขาวนะ ใช้แล้วผิวอมชมพูนะ ซึ่งที่จริงโฆษณาแนวนี้ไม่พูดตรงๆเพราะว่ากฎหมายห้ามเอาไว้ คือ กฎ อย. ห้ามบรรยายสรรพคุณในลักษณะของยา ดังนั้นจะบอกว่าใช้แล้วผิวขาว แบบนี้ไม่ได้ อย่างนั้นต้องไปขึ้นทะเบียนยา ก็เลี่ยงไปใช้การสื่อความหมายโดยให้ผู้ชมไปตีความเอาเอง แบบนี้ก็เลี่ยงกฎ อย. ไปได้ แต่ถือว่าเป็นการเลี่ยงบาลี

เอาละ แล้วทีนี้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้แล้วทำให้ผิวขาวนั้นมีจริงหรือเปล่า คำตอบก็คือ มีจริง แต่ว่าส่วนใหญ่ช่วยให้ขาวขึ้นได้นิดหน่อยเท่านั้น ไม่ได้มากมายอะไร หากใช้เครื่องตรวจสภาพผิว จะพบว่าผิวขาวขึ้น แต่หากดูด้วยตา บางทีดูไม่ออกหรอก แค่รู้สึกว่าผ่องๆขึ้นนิดหน่อยเท่านั้นเอง ซึ่งเรื่องนี้มีปัจจัยอื่นประกอบด้วย เช่น หากเลี่ยงการออกแดดได้ด้วย ก็มีส่วนช่วยให้ผิวพรรณขาวขึ้นได้ ซึ่งการเลี่ยงออกแดดนี้สำคัญกว่าการใช้เครื่องสำอางผิวขาวเสียอีก เพราะว่าการที่ผิวหนังของแต่ละคนมีสีอะไรนั้นขึ้นอยู่กับชาติพันธุ์กำหนด จากนั้นสภาพแวดล้อม คือการออกแดด จะช่วยเสริมให้ผิวคล้ำมากขึ้น ดังนั้นหากเลี่ยงออกแดดได้ ผิวก็ขาวขึ้นบ้างอยู่แล้วโดยธรรมชาติ



กลไกในการทำให้ผิวขาวขึ้นนั้นทำได้อย่างไร


พูดเรื่องนี้แล้วก็ยาว เอาแบบสั้นๆ เข้าใจง่าย แบบแมวน้ำๆละกัน สีผิวเกิดจากปริมาณของเม็ดสี (melanin, เมลานิน) ในชั้นผิวหนัง เรามาดูภาพเพื่อทำความเข้าใจกับการเกิดสีผิวกันก่อน เป็นเชิงวิชาการอยู่บ้าง แต่ทนอ่านเอาหน่อยก็แล้วกัน เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง

สีผิวของมนุษย์หากแบ่งอย่างกว้างๆก็สามารถแบ่งได้เป็น 6 ระดับ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับชาติพันธุ์ด้วย ดังนี้
กลุ่มฝรั่งยุโรปอเมริกา หรือที่เรียกว่ากลุ่มคอเคเชียน (caucasian บางทีก็เรียกว่ากลุ่มยุโรป european) เป็นกลุ่มที่มีสีผิวอ่อนที่สุด คืออยู่ในระดับที่ 1 ถึง 3
ส่วนอีกกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งคือกลุ่มเอเชียมีผิวเหลืองถึงดำแดง พวกนี้เป็นผิวระดับ 4 ถึง 5
กลุ่มชาติพันธุ์ที่ผิวเข้มที่สุดคือกลุ่มแอฟริกัน มีระดับความเข้มที่ระดับ 6



ลักษณะเซลล์ผิวผนังของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ คือ แอฟริกัน เอเชีย และกลุ่มคอเคเชียน (ยุโรป) จะเห็นว่าภายในเซลล์ผิวหนังประกอบด้วยเม็ดสี (เมลานิน, melanin) ซึ่งเม็ดสีนี้มีปริมาณและความเข้มต่างกันไป เม็ดสีนี่เองที่ทำให้สีผิวของแต่ละเชื้อชาติแตกต่างกันออกไป




ภาพวาดแสดงภาคตัดขวางของผิวหนังมนุษย์ เปรียบเทียบระหว่างผิวหนังสีเข้ม (ซ้าย) กับผิวหนังสีอ่อน (ขวา)
จะเห็นว่าผิวหนังนั้นประกอบด้วยเซลล์ผิวหนังเรียงตัวซ้อนกันอยู่เป็นจำนวนมาก และในเซลล์ผิวหนังสีเข้มจะมีเม็ดสีหรือเมลานินมากกว่าและเข้มกว่าในเซลล์ผิวหนังสีอ่อน



การทำให้ผิวขาวขึ้นมากๆนั้น ต้องทำโดยใช้ยาไปกดการสร้างเม็ดสี โดยผลของยาจะทำให้เม็ดสีในผิวหนังมีน้อยลง ผิวก็จะขาวขึ้น กรณีนี้ต้องใช้ยา อย่างเช่น ไฮโดรควิโนน ซึ่งแพทย์เป็นผู้ใช้เท่านั้น เพราะมีอันตราย

กรณีที่ทำให้ผิวผ่องใสขึ้น กรณีนี้ก็คือผิวขาวขึ้นนิดหน่อย ดูผ่องๆ นวลๆ ดีกว่าเดิม แบบนี้สามารถใช้เครื่องสำอางช่วยได้ ซึ่งกลไกที่จะทำให้ผิวผ่องใสขึ้นนั้นสามารถทำได้ 3 ทาง คือ

  1. ใช้สารที่ลดการสร้างเม็ดสีลงนิดหน่อย (skin lightening) ต้องเน้นว่าลดเม็ดสีลงนิดหน่อยเท่านั้น จึงจะเติมลงไปในเครื่องสำอางได้ อย่างเช่น ไวตามินซี (vitamin c) จึงเรียกว่าเป็น skin lightening หากเป็นสารที่ลดการสร้างเม็ดสีลงมากๆจะจัดเป็นยา
  2. การผลัดเซลล์ผิว (skin foliage หรือ skin peeling) โดยทำให้เซลล์ผิวชั้นนอกสุดซึ่งเป็นชั้นขี้ไคล ลอกออกเร็วขึ้น และลอกได้เกลี้ยงเกลาขึ้น ผลก็คือจะทำให้ผิวผ่องใสขึ้นได้
  3. ใช้สารที่มีขนาดเล็กทาเพื่อคลุมผิวไว้ อำพรางสีผิวจริง 

วิธีแรกกับวิธีที่สองนั้นเห็นผลช้า อย่างน้อยก็ต้อง 3 สัปดาห์จึงจะเริ่มเห็นผล ส่วนวิธีที่สามคล้ายกับการใช้แป้งทารองพื้น แต่วัสดุที่ใช้นั้นเล็กละเอียดกว่ามาก ทำให้ดูไม่ออกว่าโปะรองพื้นไว้อีกชั้นหนึ่ง วิธีที่สามนี้เห็นผลเร็ว ทาปุ๊บเห็นผลปั๊บ แต่ไม่มีผลกับสีผิวจริง

ที่เราจะมาคุยกันก็จะเป็นวิธีที่สองนี่แหละ



ครีมมะขามเปียกบำรุงผิวผ่อง ของดีราคาประหยัด


คนในสมัยโบราณมีวิธีทำให้ผิวผ่องใสขึ้น ด้วยวิธีง่ายๆ ไม่สิ้นเปลืองมาก นั่่นคือการใช้น้ำมะขามเปียกทาผิวเป็นประจำ บางคนก็ใช้น้ำมะขามเปียกผสมกับนมสด มะขามเปียกก็ซื้อเอาตามตลาด ที่ใช้ทำอาหารน่ะ เอามาผสมน้ำ ยีเนื้อมะขามเปียกกับน้ำให้เนื้อเละ จากนั้นคั้นเอาแต่น้ำมาใช้ เพียงเท่านี้ก็ได้ครีมบำรุงผิวชั้นดีใช้แล้ว อย่าดูถูกว่าเป็นวิธีโบราณเชียว วิธีนี้ใช้ได้ผลดีทีเดียว ปัจจุบันก็ยังมีผู้ใช้อยู่ ถือว่าเป็นวิธีบำรุงผิวให้ผ่องใสที่ได้ผล เพียงแต่ว่าทำยุ่งยากนิดหน่อย อีกทั้งยังเก็บไว้ไม่ได้นาน แล้วก็อีกอย่างคือ บางคนใช้แล้วแพ้ ใบหน้าแดงเชียว เพราะฤทธิ์กรดที่อยู่ในมะขามเปียกนั่นเอง

วิธีทำน้ำมะขามเปียกเพื่อนำมาใช้เป็นครีมบำรุงผิว เริ่มด้วยการหาซื้อมะขามเปียกมาจากตลาด (ที่จริงตามซูเปอร์มาร์เก็ตก็มีขาย ไม่ต้องไปหาในตลาดสดหรอก) จากนั้นเอามาผสมน้ำ ยีจนเนื้อมะขามเละ และคั้นเอาแต่น้ำ จะได้น้ำปนเนื้อมะขามออกมา นี่เองที่เรียกว่าน้ำมะขามเปียก เอามาทาผิว หรือผสมกับนมด้วยก็ได้


ที่จริงหากใครจะใช้วิธีนี้ เดี๋ยวนี้ก็ไม่ยุ่งยากแล้ว เพราะว่ามีน้ำมะขามเปียกสำเร็จรูปขายเป็นขวด มีอยู่ตามซูเปอร์มาร์เก็ต เปิดขวดแล้วผสมน้ำนิดหน่อย ทาหน้าได้เลย ถูกอนามัยอีกต่างหาก เพราะว่าน้ำมะขามเปียกที่เป็นขวดเหล่านี้ผ่านกระบวนการผลิตอย่างถูกสุขลักษณะ สามารถเก็บไว้ใช้ได้นาน


น้ำมะขามเปียกสำเร็จรูป เปิดขวดใช้ได้เลย สะดวกกว่าสมัยก่อนมาก

มะขามเปียกมีข้อเสียอยู่บ้าง นั่นคือ มีความเป็นกรดค่อนข้างสูง ระคายเคืองผิวบางคน ดังนั้นบางคนอาจใช้ไม่ได้ ใช้แล้วจะเกิดอาการแพ้ หน้าแดง ลุงยังมีครีมบำรุงผิวอีกขนิดหนึ่งที่ใช้ดีกว่าน้ำมะขามเปียกมาก นั่นก็คือ โยเกิร์ตนมถั่วเหลืองสูตรเจ/มังสวิรัติ ที่ลุงแมวน้ำเคยสอนวิธีทำไปเมื่อนานมาแล้วนั่นเอง

ลุงคุยโน่นคุยนี่มาตั้งนาน ยังไม่ได้ไปถึงไหนเลย ยังไม่ได้เข้าเรื่องครีมบำรุงผิวโยเกิร์ตนมถั่วเหลือง ว่ามีคุณสมบัติดีเด่นประการใด ก็คุยกันวันหยุดละนะ สบายๆ ไม่รีบเร่งอะไร บอกสั้นๆก่อนว่า โยเกิร์ตนี้ใช้ดีมาก ช่วยให้ผิวผ่องใส นุ่ม เนียน และลื่นขึ้น ลดริ้วรอยได้ และที่สำคัญคือ ช่วยปรับสภาพผิว เพิ่มภูมิคุ้มกันให้แก่ผิวหนัง อย่างเช่นใครที่มือเท้าแช่น้ำบ่อยหรือสัมผัสผงซักฟอกบ่อย มักมีอาการมือหรือเท้าอักเสบ หรือที่เรียกว่าน้ำกัดมือ น้ำกัดเท้านั่นเอง ใช้ครีมโยเกิร์ตนี้แล้วช่วยให้ผิวหนังดีขึ้น หายเร็วขึ้น 

เอาไว้คุยกันต่อคราวหน้าก็แล้วกันนะคร้าบ วันนี้ลุงเมื่อยครีบแล้ว คราวหน้ามาดูรายละเอียดกันว่าครีมนี้ดีอย่างไร ทำอย่างไร และใช้อย่างไร ไม่ยากหรอก ที่สำคัญคือ ของดีแบบนี้หาซื้อที่ไหนไม่ได้ แต่ก็ทำได้ง่ายๆ ไม่ต้องกลัวว่ายาก ลุงแมวน้ำเองก็ไม่ค่อยขยัน ไม่ชอบอะไรยากๆอยู่แล้ว ^_^

Tuesday, June 18, 2013

18/06/2013 * สแกนหาหุ้นเด่น และสรุปตลาดในรอบสัปดาห์ (10/06/2013 - 14/06/2013)


สัปดาห์ที่แล้วเกิดเรื่องราวมากมาย ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียร่วงระนาว ที่จริงก็ร่วงทั้งโลกนั่นแหละ เพียงแต่ว่าทางฝั่งสหรัฐอเมริกาลงไม่มาก ส่วนทางยุโรปกับเอเชียก็มากหน่อย ซึ่งสาเหตุความเป็นมานั้นก็เกิดจากความกังวลงว่าเฟดจะลดหรือยุติโครงการ QE3 ในเร็ววันนี้ ตลาดหุ้นไทยก็ลงแรงเอาการ ตลอดสัปดาห์ดัชนี SET ปรับตัวลง -3.4% หุ้นในกลุ่ม SET 50 เกิดสัญญาณขายไปแล้ว 48 ตัว เหลือเพียง 2 ตัวที่ยังเป็นสัญญาณซื้อ เรียกได้ว่าขายกันแทบจะหมดพอร์ตเลยทีเดียว

เรื่องราวความเป็นมาเราก็ได้คุยกันไปบ้างแล้วในระหว่างสัปดาห์ ลุงแมวน้ำจะไม่ทวนซ้ำ วันนี้จะขอสรุปกราฟบางตัวให้ดู พร้อมกันนั้นมีของฝากด้วย อยู่ที่ท้ายบทความ

วันที่ 18-19 มิถุนายนนี้ คณะกรรมการการเงินของอเมริกาจะมีประชุม และโลกกำลังจับตามองว่าลุงเบนจะมีความชัดเจนในเรื่อง QE 3 มากขึ้นหรือไม่ แต่อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรของอเมริกาไม่ได้แตกตื่นตกใจกับเรืองนี้มากนัก มีปรับตัวลงบ้าง แต่ไม่ถึงกับแตกตื่นขาย และล่าสุดตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรก็ปรับตัวดีขึ้นแล้ว ดังนั้นเหมือนกับเป็นสัญญาณในทางที่ดีล่วงหน้าว่าสุดท้ายเฟดอาจไม่ทำอะไรหักหาญ เพราะไม่เช่นนั้นความพยายามที่ผ่านมาอาจเสียเปล่าได้ อีกไม่กี่วันก็จะรู้แล้ว แต่ถ้าลุงเบนยังอึมครึมต่อไป ก็มาว่ากันอีกที

มาดูกราฟกันก่อนนะคร้าบ

ดัชนีดอลลาร์ สรอ ที่บ่งชี้ค่าเงินดอลลาร์อเมริกัน ช่วงนี้ดอลลาร์ สรอ อ่อนตัวลงมาก ซึ่งค่อนข้างน่าแปลก หากนักลงทุนกังวลว่าเฟดจะลดวงเงินอัดฉีดลง ผลน่าจะทำให้ดอลลาร์ สรอ แข็งค่า 

เงินเยนแข็งค่าอย่างรวดเร็ว

เงินยูโรก็แข็งค่า

เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่ามาหลายสัปดาห์แล้ว อ่อนค่าลงเร็วด้วย ยิ่งในสัปดาห์ที่แล้วที่ตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรมีแรงขายออกมามาย ค่าเงินก็ยิ่งอ่อน แต่ว่าสองสามวันมานี้เริ่มกลับมาแข็งค่าบ้างแล้ว แสดงว่าเงินที่ไหลออกเริ่มนิ่งแล้ว สอดคล้องกับที่ต่างชาติเริ่มกลับมาซื้อหุ้นและพันธบัตรในสัปดาห์นี้

ราคาพันธบัตรรัฐบาลอเมริกัน อายุ 10 ปี ราคาอ่อนตัวลงตั้งแต่เดือนพฤษภาคม แต่สองสามวันที่ผ่านมานี้เริ่มมีแรงซื้อจนรีบาวด์ขึ้นมาบ้างแล้ว 

เงินดอลลาร์ สรอ อ่อน แต่ราคาทองคำไม่ไปไหน ตอนนี้ราาทองคำก่อตัวเป็นสามเหลี่ยมชายธง และกำลังเดินเข้าสู่ปลายชายธง อีกไม่นานจะรู้กันว่าราคาจะทะลุขึ้นหรือลง



ราคาน้ำมันดิบไนเมกซ์ (WTI) ทะลุชายธงด้านบน (เส้นสีแดง) ไปแล้ว แต่ยังมีสามเหลีย่มชายธงกรอบใหญ่ซอนอยู่อีกหันหนึ่ง (เส้นสีดำ) ตอนนี้ราคาติดอยู่ที่ 98 ดอลลาร์ หากผ่านไปได้ก็ไปต่อได้

ราคายางพารา เกิดสัญญาณซื้อแล้ว แต่เป็นสัญญาณซื้อที่ค่อนข้างเสี่ยง

ราคายางพาราตลาดญี่ปุ่น ยังร่วงไม่หยุด สาเหตุที่ราคายางพาราตลาดญี่ปุ่นมีรูปแบบกราฟต่างกันมากเพราะผลของค่าเงิน ยางพาราญี่ปุ่นยังเป็นขาลง แต่ว่ายางพาราไทยเกิดสัญญาณซื้อได้เพราะผลจากอัตราแลกเปลี่ยน เงินเยนแข็งค่า ดังนั้นลุงแมวน้ำจึงบอกว่าราคายางพาราไทยเป็นสัญญาณซื้อในความเสี่ยง

SET index เกิดรูปแบบเกาะกลับทิศ และยังตามมาด้วย แท่งเทียนแบบ morning star อันเป็นสัญญาณขาขึ้นทั้งสองประการ  



สุดท้ายนี้ลุงแมวน้ำมีไฟล์ที่ลุงสแกนหุ้นมาฝาก ลองดาวน์โหลดไปดูกัน


ตารางสแกนหาหุ้นเด่น (คลิกเพื่อดาวน์โหลด)


วิธีใช้ตารางก็ตามข้างล่างนี้เลย


ตารางนี้มี 8 คอลัมน์ ดังนี้

  1. คอลัมน์แรกเป็นชื่อหลักทรัพย์
  2. ราคา ณ วันที่ 9 เมษายน 2013 ลุงแมวน้ำเลือกใช้วันนี้เพราะเป็นท้องคลื่นหรือจุดต่ำสุดของคลื่นในรอบก่อน
  3. คอลัมน์ที่ 3 นี่เขียนหัวข้อผิดนะคร้าบ ลุงรีบทำไปหน่อย >.< ที่ถูกคือ ราคา ณ วันที่ 17 มิถุนายน 2013
  4. คอลัมน์นี้แสดงความเปลี่ยนแปลงของราคาจากวันที่ 09/04/2013 กับวันที่ 17/06/2013 โดยคิดเป็นร้อยละนั่นเอง อย่างเช่นหุ้น VTE -47.84% ก็หมายความว่าราคาหุ้น ณ 17/06/2013 ลงไป -47.84% เมื่อเทียบกับราคาหุ้น ณ 09/04/2013 
  5. คอลัมน์นี้แสดงการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้น จากวันที่ 13/06/2013 ถึงวันที่ 17/06/2013 คอลัมน์นี้เอาไว้ดูว่าเมื่อตอนที่หุ้นรีบาวด์ ใครรีบาวด์ได้แรงบ้าง
  6. คอลัมน์นี้บอกว่า ณ วันที่ 17/06/2013 นี้หุ้นตัวนั้นๆเกิดสัญญาณซื้อมาแล้วนานกี่วัน
  7. คอลัมน์นี้บอกว่า ณ วันที่ 17/06/2013 นี้หุ้นตัวนั้นๆเกิดสัญญาณขายมาแล้วนานกี่วัน โดยคอลัมน์ 6 หรือ 7 ดูไปด้วยกัน หุ้นตัวไหนถ้าเป็นสัญญาณซื้อ ในช่องสัญญาณขายก็จะเป็น 0 
  8. หมายเหตุ คอลัมน์นี้บอกว่าหุ้นตัวนี้อยู่ในกลุ่มใด เช่น SET50, SET100 ฯลฯ 

คอลัมน์ที่ 4 กับ 5 นั้นเอาไว้ดูเทียบกันเพราะคอลัมน์ 4 เทียบกับท้องคลื่นเดิม เป็นการรีบาวด์ในช่วงสองเดือน ส่วนคอลัมน์ 5 เป็นการดูความแรงจากการรีบาวด์ในระยะสั้น (4 วันทำการ)

สำหรับคอลัมน์ 4 ให้เทียบกับมาตรฐานคือดัชนี SET โดย SET index ปรับตัวขึ้นเพียง +0.02% ใครมากกว่านี้ก็ถือว่าแรงกว่าตลาด

สำหรับคอลัมน์ 5 ให้เทียบกับมาตรฐานคือดัชนี SET โดย SET index ปรับตัวขึ้นเพียง +4.83% ใครมากกว่านี้ก็ถือว่าแรงกว่าตลาด


เมื่อดูตารางสแกนหุ้น เห็นว่าใครแรง ใครไม่แรง ใครเกิดสัญญาณซื้อ หรือขาย ถูกใจหุ้นตัวใดก็ไปเปิดกราฟของหุ้นตัวนั้นหรือหาข้อมูลพื้นฐานของหุ้นตัวนั้นต่อไป


 photo s5014062013weeklyreportcopy.gif



Thursday, June 13, 2013

13/06/2013 * เสพติดคิวอี (QE) พ่นพิษตลาดพันธบัตร ลามตลาดหุ้น


ลุงแมวน้ำคิดจะเขียนเรื่องพิษของการผ่อนคลายเชิงปริมาณหรือว่ามาตรการ QE ที่เป็นการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าไปในระบบเศรษฐกิจด้วยการซื้อคืนพันธบัตรและตราสาร MBS ของสหรัฐอเมริกา

ทวนกันสั้นๆนิดหน่อย ตอนนี้สหรัฐอเมริกากำลังใช้มาตรการ QE3 อยู่ คือเป็นการอัดฉีดเงินหรือการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบที่ 3 ซึ่งมาตรการ QE3 นี้อัดฉีดเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจด้วยการซื้อตราสารหนี้ที่อิงกับสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ หรือที่เรียกว่า mortgage backed security ด้วยวงเงินเดือนละ 40,000 ล้านดอลลาร์ สรอ กับการซื้อพันธบัตรรัฐบาลในโครงการที่ต่อเนื่องมาจากโครงการ operation twist โดยซื้อพันธบัตรอีกเดือนละ 45,000 ล้านดอลลาร์ สรอ ซึ่งบางคนก็เรียกว่าเป็น QE4 หรือบางคนก็เรียกรวมๆกันไปว่า QE3

นอกจากนี้ ทางกลุ่มยูโร โดยธนาคารแห่งยุโรปหรือ ECB ก็มีโครงการช่วยซื้อพันธบัตรเพื่อเสริมสภาพคล่องแก่ประเทศในกลุ่มที่มีปัญหา ก็ถือว่าเป็นการอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบเช่นกัน โดยเนื้อหาก็คือเป็น QE กลายๆนั่นเอง เพียงแต่ว่าเงินที่ใช้ไม่ได้เป็นปริมาณมหาศาลและต่อเนื่องอย่างอเมริกา ส่วนอังกฤษก็มีการอัดฉีดสภาพคล่องเช่นกัน เพียงแต่ว่าปริมาณเงินไม่มาก และทำเป็นครั้งคราว

ยังมีอีก ทางญี่ปุ่น ก็ออก QE มาเช่นกัน โดยนายกรัฐมนตรีอาเบะ ประกาศกู้เศรษฐกิจญี่ปุ่นให้พ้นจากหล่มด้วยมาตรการทางเศรษฐกิจต่างๆ และหนึ่งในจำนวนนั้นก็คือการอัดฉีดสภาพคล่องปริมาณมหาศาลเข้าไปในระบบเศรษฐกิจด้วยการซื้อพันธบัตรอย่างต่อเนื่อง แทบจะเรียกได้ว่าไม่อั้นคล้ายๆกับอเมริกาทีเดียว

ดังนั้นเท่ากับว่ากลุ่มชาติเศรษฐกิจขนาดใหญ่ต่างก็มีการอัดฉีดเงิน ซึ่งแน่นอน การอัดฉีดเงินก็ต้องใช้เงิน เมื่อเงินไม่พอก็ต้องยืมเอาเงินในอนาคตมาใช้ หรือที่เรียกว่าการพิมพ์เงินเพิ่มนั่นเอง ซึ่งเงินที่พิมพ์เพิ่มเหล่านี้ต่อไปก็จะกลายเป็นหนี้สาธารณะ หากใช้แล้วได้ผลก็ดีไป แต่หากใช้แล้วไม่ได้ผล ก็เท่ากับว่าก่อหนี้ให้แก่ลูกหลาน

ประเด็นที่สำคัญในตอนนี้ก็คือ หลังจากที่ลุงเบน ประธานเฟด ใช้มาตรการ QE3 และ QE4 ทุ่มเงินแบบไม่อั้นจนกว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น เมื่อก่อนทุกคนก็เฮฮากับสภาพคล่องที่ท่วมระบบเศรษฐกิจโลก ตลาดพันธบัตรในภาพรวมปรับตัวสูงขึ้นเพราะเงินท่วมโลก นักลงทุนจะเอาเงินไปไว้ที่ไหนล่ะ ส่วนใหญ่ก็เอาไปลงไว้ที่ตลาดพันธบัตร อีกส่วนก็ไปลงที่ตลาดหุ้น

มาจนถึงทุกวันนี้ ตัวเลขทางเศรษฐกิจหลายตัวบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจมีการฟื้นตัว อย่างเช่นราคาที่อยู่อาศัยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น อัตราการว่างงานที่ลดลง ฯลฯ ทุกคนก็เริ่มกังวลกันแล้วว่าเฟด หรือว่าลุงเบนนั้นจะเอาอย่างไรกับ QE จะยุติเมื่อไรและอย่างไร แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา ลุงเบนเองพูดจาแบบคลุมเครือมาตลอด ไม่เคยให้ความกระจ่างเสียที คนในเฟดเองก็ออกมาให้ความเห็นเป็นครั้งคราว ซึ่งคนในเฟดเองที่ไม่เห็นด้วยกับ QE ก็มี

ดังนั้นภาพล่าสุดที่ปรากฏออกมาก็คือ นักลงทุนส่วนใหญ่กังวลกันว่าเฟดจะยุติโครงการ QE ภายในปีนี้ หรืออย่างน้อยก็เริ่มชะลอการซื้อพันธบัตรลง คือลดวงเงินที่จะใช้ในแต่ละเดือนลง ประกับกับลุงเบนเองก็ยังอึมครึมอยู่เช่นเดิม ดังนั้นส่วนใหญ่จึงคิดกันว่าเรื่องการชะลอหรือยุติโครงการคิวอีในเร็วๆนี้เป็นเรื่องที่เป็นไปได้

ผลของการชะลอหรือยุติคิวอีจะเกิดกับตลาดพันธบัตรก่อน เพราะว่าคิวอีนั้นอัดฉีดเงินด้วยการซื้อพันธบัตรและตราสารต่างๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมา พันธบัตรมีราคาดีเพราะเจ้ามือใหญ่คือลุงเบนตั้งโต๊ะรับซื้ออย่างไม่อั้นอยู่ คิดเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นก็ได้ หากมีใครมาตั้งโต๊ะซื้อหุ้นแบบไม่อั้นทุกเดือนๆ ตลาดหุ้นก็ต้องขึ้น ก็เช่นเดียวกับตลาดพันธบัตร

ทีนี้สมมติต่อไป หากเรารู้ว่าเจ้ามือจะหยุดซื้อหุ้นในเวลาอีกไม่นาน แล้วเราจะทำอย่างไร ก็ถ้าเจ้ามือไม่ซื้อหุ้น ราคาหุ้นก็อาจตก อย่ากระนั้นเลย ชิงขายก่อนดีกว่า

ฉันใดก็ฉันนั้น นักลงทุนที่เกรงว่าลุงเบนจะหยุดรับซื้อพันธบัตรก็คิดแบบนี้เช่นเดียวกัน

เรามาดูกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับตลาดพันธบัตรบ้าง


ราคาพันธบัตรรัฐบาลอเมริกัน อายุ 10 ปี และ 30 ปี ในช่วงโครงการ QE2 และ operation twist

ภาพบนเป็นราคาพันธมัตรรัฐบาลอเมริกัน ราคานะคร้าบ ไม่ใช่อัตราผลตอบแทน ราคาพันธบัตรก็ดูแบบราคาหุ้นนั่นแหละ จะเห็นว่าตลอดช่วงโครงการ QE 2 ต่อด้วยโครงการซื้อพันธบัตร operation twist พันธบัตรราคาดี 

ลุงแมวน้ำพยายามทำกราฟให้เป็นราคาพันธบัตร จะได้ดูเข้าใจง่ายเพราะว่าดูแบบหุ้น แต่หากว่าทำกราฟเป็นกราฟอัตราผลตอบแทนพันธบัตรละก็ จะดูคนละแบบกัน ซึ่งถ้าไม่คุ้นอาจงงหรือเข้าใจยาก


ราคาพันธบัตรรัฐบาลอเมริกัน อายุ 10 ปี และ 30 ปี ในช่วงโครงการ QE3 เปรียบเทียบกับตลาดหุ้นของอเมริกา

แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงโครงการ QE3 และภาคขยายของ operation twist คือตั้งแต่กันยายน 2012 เป็นต้นมา แม้ว่าเฟดจะทุ่มซื้อพันธบัตรทุกเดือน แต่ตลาดพันธบัตรกลับเป็นแนวโน้มขาลง ซึ่งแนวโน้มนี้เป็นการค่อยๆลง คือมีเด้งขึ้นสลับกับเด้งลง แต่หากตีเส้นแนวโน้มแล้วก็จะเห็นว่าเป็นแนวโน้มขาลง 

และที่น่าสังเกตก็คือ ตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคม 2013 เป็นต้นมา ราคาพันธบัตรรัฐบาลอเมริกันไหลลงอย่างรวดเร็ว 


ราคาพันธบัตรรัฐบาลเยอรมนี ราคาไหลลงอย่างรวดเร็วตั้งแต่ต้นเดือน พฤษภาคม 2013 เช่นกัน

ราคาพันธบัตรรัฐบาลอังกฤษ ราคาเริ่มไหลลงตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคม 2013 เช่นกัน

สองภาพบนนี้เป็นกราฟราคาพันธบัตรรัฐบาลเยอรมนี กับอังกฤษ ตามลำดับ จะเห็นว่าราคาพันธบัตรเริ่มไกลลงตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคม 2013 เช่นกัน


ราคาพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น ราคาเริ่มไหลลงตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน 2013 และมาลงแรงในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2013

ทางด้านพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น เรื่องพันธบัตรญี่ปุ่นค่อนข้างซับซ้อนหน่อย สืบเนื่องมาจากก่อนหน้านี้ราคาพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว พอคุณอาเบะมาเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อราวๆต้นเดือนเมษายน 2013 ก็ประกาศอัดฉีดเงินครั้งยิ่งใหญ่ ซึ่งก็คือโครงการคิวอีฉบับซามูไรนั่นแหละ การอัดฉีดเงินเข้าไปในตลาดก็ทำโดยการซื้อพันธบัตรจากตลาด 

แต่แทนที่โครงการคิวอีของญี่ปุ่นจะแทนที่จะทำให้พันธบัตรราคาดียิ่งขึ้น กลับตรงกันข้าม ชาวญี่ปุ่นกลับเทขายพันธบัตรออกมา ทำให้ราคาพันธบัตรร่วงลง (แปลว่าอัตราผลตอบแทนสูงขึ้น) ซึ่งก็อธิบายเหตุผลได้ยากเหมือนกันว่าเกิดจากอะไร แต่ผลก็คือ เนื่องจากพันธบัตรญี่ปุ่นนั้นคนญี่ปุ่นและสถาบันถือครองกันเป็นจำนวนมาก เมื่อราคาพันธบัตรลดลง ก็เหมือนกับว่าธนาคารมีสินทรัพย์ลดลง ซึ่งส่งผลต่อฐานะการเงินของธนาคาร รวมทั้งการกันสำรองหนี้ด้วย ซึ่งเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม 2013 มีแรงขายพันธบัตรญี่ปุ่นออกมาอย่างรุนแรง เมื่อตลาดพันธบัตรวุ่นวาย เพราะกลัวกันว่าอาจถึงขั้นอาจมีธนาคารเจ๊งเนื่องจากฐานะการเงินเสียหาย ผลกระทบก็ลามไปที่ตลาดหุ้นด้วย ดังนั้นในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ทั้งตลาดพันธบัตรและตลาดหุ้นของญี่ปุ่นก็เริ่มร่วงอย่างรุนแรง จนธนาคารกลางของญี่ปุ่นต้องแทรกแซงด้วยการทุ่มเงินพยุงราคาพันธบัตรเอาไว้ แต่ก็อาจได้ผลเพียงชั่วคราว เพราะตอนนี้แนวโน้มตลาดพันธบัตรและตลาดหุ้นของญี่ปุ่นก็ลงอีกแล้ว

จากนั้นก็มาดูตลาดพันธบัตรของไทยบ้าง ดังภาพต่อไปนี้

ราคาพันธบัตรรัฐบาลไทย อายุ 7-10 ปี

จะเห็นว่าราคาพันธบัตรรัฐบาลไทยเริ่มปรับตัวลงตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคม 2013 ราคาไหลลงค่อนข้างเร็วทีเดียว เงินส่วนหนึ่งก็ไหลออกจากประเทศไป ผลจากการขายพันธบัตรของต่างชาติ และการแข็งค่าของเงินเยน ทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงค่อนข้างเร็ว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นด้วย

ยังไม่หมด มาดูราคาหน่วยลงทุนของกองทุนที่ลงทุนในพันธบัตรกันบ้าง


แนวโน้มราคาหน่วยลงทุนของกองทุน AEOB (Aberdeen Emerging Oportunity Bond fund) ที่ลงทุนในพันธบัตรอายุยาวของตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มเอเชีย แนวโน้มไหลลงตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภมคม 2013


ราคาหน่วยลงทุนของกองทุนเทมเพิลตันโกลเบิลบอนด์ (TMB Templeton Globle Bond fund) ที่ลงทุนในพันธบัตรอายุสั้นในตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะในย่านเอเชีย แนวโน้มขาลงตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคม


ราคาหน่วยลงทุนของกองทุนพิมโก โทเทิลรีเทิร์นบอนด์ (Krungsri PIMCO Total Return Bond fund) ที่ลงทุนในพันธบัตรอเมริกัน แนวโน้มขาลงตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคม

จะเห็นว่าตลาดพันธบัตรเริ่มลงแรงตั้งแต่เดือนพฤษภาคม แม้ว่าลุงเบนจะไม่พูดอะไรชัดเจนเกี่ยวกับการชะลอหรือยุติโครงการ QE3 แต่ว่าตลาดพันธบัตรก็ปรับตัวลงเพื่อรับสถานการณ์มาระยะหนึ่งแล้ว 

และจะเห็นได้ว่า หากตลาดพันธบัตรค่อยๆอ่อนตัวลง จะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้น เพราะว่าเงินทุนบางส่วนจะย้ายมาลงทุนในตลาดหุ้น เนื่องจากตลาดพันธบัตรทั้งโลกมีขนาดใหญ่มาก แค่เงินลงทุนบางส่วนไหลเข้าตลาดหุ้นก็ทำให้ตลาดหุ้นคึกคักได้ 

แต่ในทางตรงกันข้าม หากเฟดทำอะไรแบบรุนแรงหรือฉับพลัน ตลาดพันธบัตรก็คงดิ่งนรก และหาเนื่องจากตลาดพันธบัตรมีขนาดใหญ่มาก หากตลาดพันธบัตรลงอย่างรวดเร็ว ผู้เสียหายจะมีเยอะมาก ทั้งธนาคาร เอกชน และรายย่อย เนื่องจากขาดทุนจากราคาพันธบัตร หากรับการขาดทุนไม่ไหวก็ต้องขายพันธบัตรทิ้ง หรือต้องขายสินทรัพย์อย่างอื่นมาเพื่ออุดราคาพันธบัตร ซึ่งนั่นก็จะทำให้ตลาดหุ้นและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ได้รับผลกระทบลามไปด้วย คงตลาดแตกตามตลาดพันธบัตรไป

นอกเหนือจากภาคตลาดทุนที่ได้รับผลกระทบแล้ว ในภาคเศรษฐกิจจริงก็จะได้รับผลกระทบจากตลาดพันธบัตรที่ร่วงแรงด้วย กล่าวคือ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน ฯลฯ ก็จะขยับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว อันเป็นไปตามกลไกตลาด ผู้ที่ผ่อนบ้านอยู่ก็จะมีภาระมากขึ้น ส่วนผู้ที่จะกู้ใหม่ก็อาจไม่มีกำลังพอ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่งฟื้นขึ้นจากหลุมก็อาจกลับลงหลุมไปอีก 

ดังนั้นจะเห็นว่าเฟดหรือว่าลุงเบนตอนนี้มีสภาพเหมือนขี้อยู่บนหลังเสือ เสือเสพติดคิวอีอย่างงอมแงม อย่าว่าแต่จะเลิกจริงๆเลย แค่บอกว่าจะเลิกก็แย่แล้ว 

และหากเฟดจะยุติคิวอีจริง ต้องมีขั้นตอนที่นุ่มนวลมาก ไม่อย่างนั้นผลก็คงเป็นดังที่เห็นในไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ นี่แค่เป็นหนังตัวอย่าง แค่กังวล ยังไม่เลิกจริง ยังขนาดนี้ ซึ่งลุงเบนเองก็คงเห็นและนำไปขบคิดหาทางออกเช่นกัน

ท้ายที่สุดนี้ แน่นอน ผลของคิวอี ไม่ได้กระทบแต่ตลาดหุ้น แต่ยังกระทบตลาดเงินด้วย อัตราแลกเปลี่ยนผันผวนจนเวียนหัว ตอนนี้ราคาดอลลาร์ สรอ ตก แต่อย่าย่ามใจว่าดอลลาร์ สรอ อ่อน ทองคำจะต้องขึ้น เพราะว่าตอนนี้ตลาดพันธบัตรไหลลงเร็ว ใครขาดทุนพันธบัตรหนักๆก็ต้องขายหุ้น ขายทอง เอาเงินสดมาใช้ก่อน 


เปรียบเทียบอัตราแลกเปลี่ยนของเงินสกุลต่างๆและทองคำ


ราคาพันธบัตรรัฐบาลอเมริกัน อายุ 10 ปี และ 30 ปี ในช่วงโครงการ QE3 เปรียบเทียบกับตลาดหุ้นของอเมริกา

ดูภาพนี้กันอีกครั้ง เป็นภาพราคาหุ้นกับราคาพันธบัตรของอเมริกา จะเห็นว่าตลาดพันธบัตรเป็นแนวโน้มขาลง ผู้ที่ถือพันธบัตรหรือกองทุนพันธบัตรควรติดตามสถานการณ์และทบทวนการลงทุน

ส่วนตลาดหุ้นเป็นแนวโน้มขาขึ้น ที่จริงตอนนี้ตลาดหุ้นฝั่งอเมริกายังไม่มีอะไรเสียหาย ที่ลงแรงคือตลาดหุ้นย่านเอเชีย ซึ่งรูปแบบทางเทคนิคเริ่มเสียหายบ้างแล้ว แต่แนวโน้มใหญ่ยังไม่เสีย ซึ่งลุงแมวน้ำก็ยังมองว่า หากตลาดหุ้นอเมริกายังไม่ถูกถล่มขาย จนรูปแบบทางเทคนิคเสียหาย คือแนวโน้มใหญ่เปลี่ยน ตลาดหุ้นเอเชียก็ยังมีโอกาสฟื้นตัวได้ และแนวโน้มใหญ่ก็ยังไม่น่าเปลี่ยนเช่นกัน


แต่ถ้าตลาดหุ้นอเมริกาตกใจและถูกถล่มขายด้วย ตลาดเอเชียคงลงยาว ซึ่งหากเป็นไปตามกรณีนี้ก็ต้องตามดูกันต่อไปว่าจะเกิดรูปแบบทางเทคนิคอย่างไร เอาไว้เกิดแล้วค่อยว่ากัน

แต่ที่น่ากลัวก็คือ ตอนนี้ตลาดหุ้นส่วนใหญ่เป็นคลื่น 5 หรือคลื่นขยายส่วนของคลื่น 5 เมื่อไรที่จบคลื่นใหญ่นี้ละก็ ถึงตอนนั้นแหละขาลงใหญ่ของจริง รวมทั้งสภาพเศรษฐกิจจริงก็คงถดถอยด้วย ลุงแมวน้ำว่าอย่างไรก็ต้องเกิด เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ จะเกิดเมื่อไร ช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง

Friday, June 7, 2013

07/06/2013 * อเมริกา เยอรมนี เกิดสัญญาณขาย ค่าเงินเปลี่ยนทิศ


ตลาดหุ้นทั่วโลกทยอยกันสาละวันเตี้ยลง ขณะนี้ ตลาดหุ้นอเมริกาเกิดสัญญาณขายแล้ว ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์และ S&P 500 เกิดสัญญาณขาย ส่วนดัชนีแดกซ์ (DAX) ของเยอรมนีก็เกิดสัญญาณขาย

ช่วงนี้มีผู้อำนวยการสำนักสาขาของเฟดหลายคน ที่เป็นสายคัดค้าน QE ให้สัมภาษณ์สื่อทำนองว่าควรยุติ QE ได้แล้วและเป็นข่าวเผยแพร่ไปทั่ว ประกอบกับลุงเบนเองก็อึมครึม ดังนั้นผู้ที่เสพติด QE ก็เริ่มกังวลมากยิ่งขึ้น อารมณ์ตลาดหุ้นตอนนี้จึงไม่ค่อยดีนัก ที่จริงคนในเฟดเองใช่ว่าจะเห้นด้วยกับ QE กลุ่มที่คัดค้านก็มี และก็ให้ความเห็นในเชิงคัดค้านมาตลอด ไม่ใช่เพิ่งมาให้ความเห็นตอนนี้ แต่ว่าช่วงนี้ข่าวเหล่านี้กระทบอารมณ์ตลาดเป็นพิเศษ

ส่วนตลาดหุ้นไทย ดัชนี SET เกิดสัญญาณขายมาหลายวันแล้ว ตอนนี้ดัชนีร่วงลงมาจากยอดคลื่น -9.3% แล้ว เมื่อวานปิดที่ประมาณ 1490 จุด ต้องดูว่าจะหลุด 1470 หรือไม่ ชักเริ่มมีเสียวแล้ว

อย่างไรก็ดี ลุงแมวน้ำยังประเมินภาพใหญ่เป็นขาขึ้นอยู่ ตลาดลงรอบนี้ลุงมองว่าเป็นเรื่องปกติ มีขึ้นก็มีลง ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเวลาร่วงหวาดเสียวกว่าตลาดหุ้นไทยมาก อีกประการ ลุงแมวน้ำมีจุดหยุดความเสียหาย ดังนั้นถึงมองผิดก็ยังมีจุดถอยอยู่ ที่สำคัญคืออย่ามั่นใจอะไรมากเกินไป จนละเลยทางถอย

ขณะเดียวกัน ค่าเงินช่วงนี้ผันผวนจนเดาทางไม่ถูก ค่าเงินดอลลาร์ สรอ มีแนวโน้มแข็งค่ามานานหลายเดือนแล้ว กลับมาอ่อนค่าจนเกิดสัญญาณขาย ดูท่าอาจมีการกลับทิศ แต่ยังบอกชัดเจนไม่ได้ ต้องดูต่อไปก่อน ขณะเดียวกันเงินเยนกับเงินยูโรก็เกิดสัญญาณซื้อ ส่อแววว่าจะกลับทิศจากแนวโน้มอ่อนค่าเป็นแนวโน้มแข็งค่า

ส่วนเงินบาท ช่วงนี้มีเงินไหลออก ดังนั้นเงินบาทจึงอ่อนตัวอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเงินดอลลาร์ สรอ อ่อนค่าลง ตามหลักแล้วเงินบาทนน่าจะแข็งค่าขึ้น แต่เนื่องจากมีเงินทุนไหลออกจากการขายพันธบัตรของไทย ประกอบกับเงินเยนแข็งค่า ทุนญี่ปุ่นที่ทำเยนแครีเทรด (yen carry trade) ก็อาจขายเงินบาทแล้วซื้อเงินเยนกลับคืน ดังนั้นสถานการณ์เงินบาทอาจไม่แข็งค่าขึ้น แต่อาจทรงตัวหรืออ่อนค่าน้อยลง

เรามาดูกราฟกัน

ตลาดหุ้นอเมริกา โดยดัชนี DJI เกิดสัญญาณขายแล้ว ตอนนี้ปรับตัวลดลงจากยอดคลื่นไม่มาก ประมาณ -3%


ตลาดหุ้นเยอรมนี ดัชนี DAX ก็เกิดสัญญาณขายแล้ว


ตลาดหุ้นไทย SET เกิดสัญญาณขายมา 11 วันทำการแล้ว ใน 11 นี้มีวันที่ปิดบวก 2 วัน อีก 9 วันปิดลบตลอด ตอนนี้ลงมาจากยอดคลื่น -9.3% แล้ว เริ่มน่าหวาดเสียว


เงินดอลลาร์อเมริกา ดัชนีดอลลาร์ สรอ (USD index) เกิดสัญญาณขายแล้ว พร้อมกับแท่งเทียนดำใหญ่แท่งเบ้อเร่อ


เงินเยนแข็งค่า เกิดสัญญาณซื้อ อาจกลับทิศแนวโน้มเป็นแนวโน้มแข็งค่าได้


เงินยูโร เกิดสัญญาณซื้อ พร้อมกับแท่งเทียนขาวใหญ่ สัญญาณกลับทิศเป็นแข็งค่ามาหลายประการแล้ว โอกาสกลับทิศมีสูง


เงินบาท แนวโน้มอ่อนค่า แม้ดอลลาร์ สรอ จะอ่อนค่า แต่เงินบาทไทยยังไม่แข็งค่า น่าจะเนื่องจากมีเงินทุนไหลออก


สุดท้ายนี้ ลุงแมวน้ำขอนำเอาบทความมาฝาก บทความนี้มาจากหนังสือพิมพ์ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ 4 มิถุนายน 2556 อ่านแล้วถูกใจ เลยนำมาฝาก เชื่อว่าหลายๆคนคงมีประสบการณ์กับเรื่องแบบนี้มา

อย่าเชื่อใคร อย่าลงทุนด้วยความไม่รู้ เชื่อตัวเองนั่นแหละดีแล้ว และใช้จุดหยุดความเสียหายประกอบ ถึงแม้พลาดแต่ก็ไม่ถึงกับพัง

บทความจากหนังสือพิมพ์ โพสต์ทูเดย์ เรื่อง ไม่รู้จะเชื่อใคร
ภาพที่เห็นนี้เป้นขนาดย่อ ให้คลิกที่ตัวภาพเพื่อดูภาพขนาดเต็ม