Tuesday, November 27, 2012

27/11/2012 สรุปภาวะการลงทุนรอบสัปดาห์ (19/11/2012 - 23/11/2012) * แนวโน้มขาขึ้นเริ่มมีกำลัง


อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรอเมริกัน อายุ 10 ปี เกิดสัญญาณซื้อ และน่าจะอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น บ่งชี้ว่าเงินไหลออกจากตลาดพันธบัตรมาเก็งกำไรในตลาดหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ นี่เป็นสัญญาณประการหนึ่งที่บ่งชี้ภาวะเก็งกำไร แต่อย่างไรก็ตาม แนวโน้มใหญ่ของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรน่าจะยังเป็นขาลงอยู่เพราะเฟดต้องการกดอัตราดอกเบี้ยเอาไว้


ดัชนีดอลลาร์ สรอ (USD index) อ่อนตัวในช่วงปลายสัปดาห์ เกิดเป็นรูปแบบแท่งเทียนที่เรียกว่าหน้าต่างขาลง (falling window) และแท่งเทียนดำใหญ่ (big black candle) เงินดอลลาร์ สรอ อาจกำลังกลับทิศแนวโน้มเป็นขาลง


ช่วงนี้ลุงแมวน้ำยุ่งกับเรื่องเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซครับ เดือนพฤศจิกายนนี้งานอีคอมเมิร์ซไม่ค่อยคืบหน้าเอาเลย พอปลายเดือนก็เริ่มเป็นห่วง ขอเวลาไปทุ่มงานอีคอมเมิร์ซสักระยะนะคร้าบ การอัปเดตอาจจะล่าช้าไปบ้าง แต่ต้นเดือนธันวาคมคงเข้าที่เสียที ก็จะได้กลับมาอัปเดตเว็บบล็อกให้ถี่ขึ้น

ช่วงนี้วุ่นจนแทบไม่มีเวลาหายใจ เว่อไปไหม ^__^ เอาเป็นว่าวุ่นจนน้ำหนักขึ้นก็ได้

มาดูอัปเดตในรอบสัปดาห์กันเลยคร้าบ สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดการลงทุนสดใส ทั้งหุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ ขยับขึ้นกันแรงทีเดียว ส่วนตลาดพันธบัตรก็ซบเซาลงไป นอกจากนี้ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนที่ทรงตัวมาหลายสัปดาห์ เริ่มหวือหวาขึ้นบ้างแล้ว 

สถานการณ์โลกในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ด้านสหรัฐอเมริกา ปัญหาหน้าผาการคลังก็ยังวนไปวนมาเช่นเดิม เดี๋ยวกังวล เดี๋ยวก็ไม่กังวล ตลาดหุ้นก็เลยขึ้นๆลงๆ เหมือนอารมณ์แปรปรวน  แต่ในสัปดาห์ที่แล้วดูเหมือนจะเป็นช่วงอารมณ์ดี เพราะว่านักวิเคราะห์และสื่อต่างๆส่วนใหญ่วิเคราะห์ในทำนองว่าในที่สุดพรรคเดโมแครตกับรีพับลิกันก็ต้องตกลงกันจนได้ ส่วนลุงเบน เฮลิคอปเตอร์ ประธานเฟด ก็บอกว่ารอให้ผ่านเรื่องหน้าผาการคลังก่อน จะอัดฉีดสภาพคล่องให้หนำใจ 

ด้านยุโรป เรื่องกรีซ กับเงินกู้เสริมสภาพคล่องงวดใหม่ยังไม่ลงตัว มาตรการรัดเข็มขัดของรัฐบาลกรีซออกฤทธิ์หนัก สภาพภายในประเทศค่อนข้างวุ่นวาย ผู้คนประท้วง ก่อความวุ่นวาย และฆ่าตัวตายเพราะหมดหนทางในชีวิต แต่ตลาดหุ้นกรีซดูเหมือนจะไม่กังวลกับเรื่องเงินกู้กับสภาพความวุ่นวายภายใน เพราะตลาดหุ้นกรีซขึ้นไป +6.9% ขณะเดียวกัน ฝรั่งเศสถูกมูดีส์ลดอันดับเครดิต แต่ยุโรปสัปดาห์นี้ก็ไม่กังวลเช่นกัน ตลาดหุ้นยุโรปขึ้นแรง เฉลี่ยแล้วกว่า 6% ทีเดียว 

ตลาดหุ้นเอเชียสัปดาห์ที่ผ่านมากลับไม่แรง โดยเฉลี่ยแล้วขึ้นประมาณ 2% กว่าๆ แต่บางตลาดที่ลงก็มี ญี่ปุ่นมีปัญหาเรื่องบริษัทยักษ์ใหญ่ถูกลดอันดับเครดิต เช่น ชาร์ป พานาโซนิก แต่ดัชนีนิกเกอิก็ขึ้นได้แรงพอควร ส่วนจีนนั้นแม้ดัชนี HSBC PMI อันเป็นดัชนีบ่งชี้การผลิตของจีนจะโงหัวมาเกิน 50% อยู่ที่ 50.4% แต่ตลาดหุ้นจีนดูไม่มีแรงเอาเลย ลุงแมวน้ำคิดว่าตอนนี้เศรษฐกิจจีนน่าจะมีปัญหาหนักที่ไม่มีใครรู้ซ่อนอยู่

ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ สัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นแรง ทองคำ +2.14% โลหะเงิน +5.67% น้ำมันดิบเบรนต์ +2.23% สินค้าเกษตร +1.7%

ด้านตลาดพันธบัตร เส้นอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรอเมริกันปรับตัวขึ้นตลอดทั้งเส้น คือปรับขึ้นทุกช่วงอายุนั่นเอง ส่วนเส้นอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรไทยคงตัว อัตราผลตอบแทนพันธบัตร สรอ อายุ 10 ปี ดูจากกราฟเหมือนกำลังเป็นแนวโน้มขาขึ้น นั่นเป็นสัญญาณบ่งชี้ประการหนึ่งที่บ่งชี้ถึงการเก็งกำไรในตลาดหุ้นกำลังเริ่มขึ้น เนื่องจากเงินไหลออกจากตลาดพันธบัตรเข้าไปเก็งกำไรในตลาดหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ ลองตามดูอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอเมริกันไปเรื่อยๆจะเห็นชัดขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม แนวโน้มขาขึ้นนี้น่าจะเป็นเรื่องชั่วคราว เนื่องจากเฟดได้ต่ออายุมาตรการ operation  twist ออกไป อีกทั้งยังอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจด้วยมาตรการ QE3 ซึ่งเฟดหวังผลเพื่อกดอัตราดอกเบี้ยในระบบการเงินให้ต่ำลงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ดังนั้นในที่สุดอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะถูกกดให้ต่ำลงมาอีก เป็นการทำลายแรงจูงใจในการออมด้วยพันธบัตร แต่ไปสร้างแรงจูงใจให้เกิดการเก็งกำไรในตลาดทุน คือ ตลาดหุ้น ตลาดอสังหาริมทรัพย์ และตลาดสินค้าโภคภัณฑ์แทน ดังนั้นลุงแมวน้ำจึงเห็นว่าตลาดหุ้นและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์น่าจะยังไปต่อได้ เพราะวัตถุประสงค์ของเฟดและลุงเบนเองก็คือต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการสร้างแรงจูงใจในการใช้จ่าย ลงทุน และเก็งกำไร นั่นเอง

สำหรับอัตราแลกเปลี่ยน เงินดอลลาร์ สรอ เริ่มอ่อนตัวในตอนท้ายสัปดาห์  USD index หลุด 81 หน่วยลงมาแล้ว ให้ระวังการกลับทิศแนวโน้ม หากดอลลาร์ สรอ กลับทิศ แปลว่าเงินสกุลเอเชียจะแข็งค่าขึ้นอีก 



Photobucket

Thursday, November 22, 2012

22/11/2012 * ตลาดยังไร้ทิศทาง ปริมาณซื้อขายน้อย



มาอัปเดตตลาดกันคร้าบ

เมื่อวาน 21/11/2012 ตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียปิดกระจายตัวกัน มีทั้งปิดเขียว ปิดแดง และทรงตัว ตลาดหุ้นไทยปิดแบบทรงตัว พร้อมกับต่างชาติซื้อสุทธิเล็กน้อย 131 ล้านบาท มูลค่าการซื้อขายค่อนข้างต่ำ

ทางฝั่งยุโรปก็ปิดกระจายตัว มีทั้งเขียวและแดง ฝรั่งเศสถูกลดอันดับเครดิต แต่ก็ยังปิดบวกได้

ส่วนฝั่งสหรัฐอเมริกา ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 0.38% ปริมาณซื้อขายน้อย

ค่าเงินดอลลาร์ สรอ ขยับในกรอบแคบ USD index พยายามจะยืนอยู่เหนือ 81.0 จุดแต่ก็ยืนไม่ไหว

ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์เมื่อวานทองคำกับน้ำมันดิบปิดเขียว ราคาทองคำขยับนิดหน่อยแต่โลหะเงินแรงกว่า น้ำมันดิบปรับตัวขึ้นต่ออีกแม้ว่าอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยอมหยุดยิงชั่วคราว

ช่วงนี้ตลาดต่างๆปริมาณซื้อขายน้อยลง การเคลื่อนไหวก็ไม่หวือหวา เพียงปรับตัวในกรอบแคบ แนวโน้มส่วนใหญ่ยังไร้ทิศทาง ได้แต่รอไปก่อน ^_^

Tuesday, November 20, 2012

20/11/2012 สรุปภาวะการลงทุนรอบสัปดาห์ (12/11/2012 - 16/11/2012) * หน้าผาการคลังยังฉุดตลาด จีนน่าเป็นห่วง


ไฟสงครามคุกรุ่น อิสราเอลกับปาเลสไตน์เปิดศึกครั้งใหญ่ ถล่มกันด้วยขีปนาวุธ ทั้งสองฝ่ายต่างเสียชีวิตกันไปจำนวนไม่น้อย ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น สถานการณ์จะบานปลายหรือไม่ยังตอบได้ยาก

ดัชนีตลาดหุ้นจีนทำจุดต่ำสุดใหม่ ต้อนรับผู้นำคนใหม่ ยังไม่น่าเข้าลงทุนเพราะยังไม่รู้ว่าก้นเหวอยู่ที่ไหน


เรามาดูสรุปภาวะตลาดในรอบสัปดาห์กัน

สัปดาห์ที่ผ่านมา 12/11/2012 - 16/11/2012 ตลาดหุ้นทั่วโลกยังไหลลงต่อ สาเหตุก็มาจากเรื่องเดิมๆคือเรื่องหน้าผาการคลัง (fiscal cliff) ของสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีโอบามา สมัยที่ 2 ยังคงทำงานติดขัดเพราะว่าฝ่ายนิติบัญญัติเป็นคนละพรรคกัน

ทางด้านสถานการณ์ต่างประเทศ สัปดาห์ที่แล้วมีเหตุการณ์ที่น่าสนใจหลายเรื่อง นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นประกาศยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ ตลาดหุ้นญี่ปุ่นตอบรับด้วยสีเขียว ขณะเดียวกันทางด้านจีนก็ประกาศผลการคัดเลือกผู้นำใหม่เช่นกัน แต่ตลาดหุ้นจีนตอบรับด้วยสีแดง

ด้านตะวันออกกลางค่อนข้างระอุ อิสราเอลกับปาเลสไตน์ถล่มกันหนัก นักวิเคราะห์บางรายมีความเห็นว่าอิสราเอลกำลังจะมีการเลือกตั้ง ต้องเรียกคะแนนเสียงกันหน่อยด้วยการเปิดศึกกับเพื่อนบ้านเพื่อแสดงความแข็งแกร่งเรียกคะแนนนิยม นักวิเคราะห์บางรายก็บอกว่าศึกครั้งนี้อาจบานปลายกลายเป็นการเรียกแขก หมายความว่าสหรัฐอเมริกาถือหางอิสราเอลอยู่ ส่วนโลกมุสลิมหลายประเทศก็ถือหางปาเลสไตน์อยู่ ทั้งยังมีเรื่องอิหร่านอีก ดังนั้นหากกลุ่มผู้ถือหางถูกดึงเข้ามาตะลุมบอนด้วยเรื่องจะบานปลาย ซึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาน้ำมันดิบมีการตอบสนองต่อสถานการณ์ในตะวันออกกลาง โดยปรับตัวขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่ถึงกับพุ่งแรง

สำหรับตลาดหุ้นไทย สัปดาห์ที่ผ่านมายังคงปรับตัวลงต่อ แต่ว่าไม่มากนัก เพียง -0.83% ถือว่าลงไม่มาก แต่ต่างชาติยังขายสุทธิอยู่ ช่วงนี้ตลาดหุ้นไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซียถือว่าแข็งแกร่งทนแดดทนฝน ส่วนจีน อินเดีย ออสเตรเลีย สิงคโปร์ เสียศูนย์

ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์สัปดาห์ที่ผ่านมาค่อนข้างแกว่ง คือลงแล้วขึ้น โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบ สินค้าเกษตรก็ปรับตัวขึ้นลงตามราคาน้ำมันดิบ ทองคำปรับตัวในกรอบ ยังไม่แรง

ด้านอัตราแลกเปลี่ยน เงินดอลลาร์ สรอ แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย เงินสกุลอื่นก็อ่อนตัวลงเล็กน้อย ไม่มีอะไรหวือหวา

ตลาดตราสารหนี้ เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอเมริกันปรับตัวลดลง ส่วนเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยปรับตัวขึ้น พันธบัตรไทย อายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้น 7 จุดเบสิส มาอยู่ที่ 3.49%

สำหรับสัปดาห์นี้ ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นแล้ว ราคายางพารากับสินค้าเกษตรขยับตามราคาน้ำมันดิบ ส่วนทองคำแนวโน้มขาขึ้นก็มีกำลังพอสมควรแล้วเช่นกัน น่าจะขึ้นต่อ ส่วนดอลลาร์ สรอ สัปดาห์นี้น่าจะอ่อนตัว และเงินบาทน่าจะแข็งค่าขึ้น

ตอนนี้มีกระแสแนะนำให้ลงทุนในหุ้นจีนกันค่อนข้างหนาหู สาเหตุพราะว่าดัชนีหุ้นจีนลงมาต่ำมากแล้ว น่าลงทุนได้ แต่ในความเห็นของลุงแมวน้ำ ขนาดจีนเปลี่ยนผู้นำ ตลาดยังไม่ตอบสนองในทางดี ตรงข้าม กลับไหลลงต่อ และทำจุดต่ำสุดใหม่อีก ในทางเทคนิคถือว่ายังมีโอกาสลงได้อีก ไม่ควรเข้าลงทุนในตอนนี้ อีกทั้งจีนจะเป็นเหมือนตัวชี้วัดของเอเชีย หากเศรษฐกิจของจีนชะลอตัวหนัก ในที่สุดจะส่งผลกระทบถึงเอเชียโดยรวมด้วย


Photobucket

Tuesday, November 13, 2012

13/11/2012 สรุปภาวะการลงทุนรอบสัปดาห์ (05/11/2012 - 09/11/2012) * โลหะมีค่าและน้ำมันดิบรีบาวด์

น้ำท่วมใหญ่ในกรุงเวนิส ประเทศอิตาลี เมืองเวนิสเป็นเกาะ ภายในเมืองมีคูคลอง พระราชวัง และที่เป็นเอกลักษณ์ของเมืองก็คือเรือกอนโดลา เวนิสถือเป็นเมืองสำคัญของอิตาลีทั้งในแง่ประวัติศาสตร์และความงดงาม แต่ภัยคุกคามของเมืองนี้คือระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นทุกปี มาในปีนี้ยังเจอฝนตกหนักอีก ซึ่งพายุฝนครั้งนี้ไม่ได้ตกเฉพาะในเมืองเวนิส แต่ยังตกหนักทั่วทั้งแคว้นทัสคานีของอิตาลี ทำให้เกิดน้ำท่วมหลายแห่ง สำหรับน้ำท่วมเมืองเวนิสในครั้งนี้ถือว่าเป็นน้ำท่วมใหญ่ครั้งที่ 6 ในรอบ 150 ปี บางจุดท่วมสูงถึง 150 ซม. ในภาพนี้เป็นภาพที่ถ่ายหน้าจัตุรัสเซนต์มาร์ก (St. Mark's square) ซึ่งปกติเป็นจุดที่มีร้านค้าและนักท่องเที่ยวล้นหลาม ตอนนี้นักท่องเที่ยวหายไปหมดเพราะระดับน้ำสูงถึงขนาดท่วมโต๊ะกาแฟ แผ่นดินในเมืองและทะเลกลายเป็นแผ่นน้ำผืนเดียวกันหมด เมืองนี้โรแมนติกจริงๆ พระราชวังโบราณก็สวยมาก ปกติน้ำท่วมเป็นเรื่องธรรมดาของที่นี่ แต่ครั้งนี้ท่วมหนัก





วันนี้ลุงแมวน้ำมีรายงานทั้งสรุปประจำสัปดาห์และประจำวัน เรามาดูสรุปประจำสัปดาห์กันก่อน

ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (05/11/2012 - 09/11/2012) ตลาดหุ้นปรับตัวลง ดัชนี Dow Jones Global Index (W1DOW) ปรับตัวลง -2.10% กลุ่มที่ฉุดตลาดเป็นกลุ่มยุโรป กรีซยังไม่ได้รับเงินกู้งวดต่อไป จึงเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้ได้อีก สถานการณ์ในประเทศกรีซก็คุกรุ่น ประท้วงรัฐบาลกันวุ่นวาย แต่ดัชนีตลาดหุ้นของกรีซกลับทรงตัว ที่ลงหนักเป็นอิตาลีกับสเปน ตอนนี้ที่อิตาลีกำลังเผชิญภัยธรรมชาติ ฝนตกน้ำท่วม เมืองเวนิสจมบาดาล มองไม่เห็นถนนหรือคูคลอง เห็นแต่ผืนน้ำเต็มไปหมด

กลุ่มที่ฉุดตลาดกลุ่มถัดมาคือสหรัฐอเมริกานั่นเอง เรื่องหน้าผาการคลัง (fiscal cliff) ที่มาตรการช่วยเหลือและลดหย่อนภาษีต่างๆ จะสิ้นสุดลงในสิ้นปีนี้ยังไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อ เพราะว่าฝ่ายบริหารกับสภายังตกลงกันไม่ได้ ขณะนี้ประธานาธิบดีเป็นเดโมแครต สภาเป็นรีพับลิกันครองเสียงข้างมาก ดังนั้นสถานการณ์คล้ายๆกับตอนที่แก้กฎหมายเพื่อไม่ให้พันธบัตรรัฐบาลอเมริกันผิดนัดชำระหนี้ดังที่ผ่านมาแล้ว คือฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติเป็นคนละพรรคกัน ทำให้การบริหารประเทศยากยิ่งขึ้นหากคุยกันไม่รู้เรื่อง ปีหน้า สรอ ก็ต้องมีการขึ้นภาษีและตัดงบประมาณกันยกใหญ่

ส่วนทางด้านเอเชียนั้นตลาดก็ร่วงเช่นกัน ที่ลงแรงได้แก่ตลาดหุ้นประเทศญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง รัสเซีย ทางญี่ปุ่นนั้นกำลังปวดหัวกับปัญหาเศรษฐกิจ บริษัทยักษ์ใหญ่ที่เกี่ยวกับเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ขาดทุนหนัก เช่น พานาโซนิก ฯลฯ ทางรัฐบาลบอกว่าจะไม่อุ้ม ให้เป็นไปตามธรรมชาติ คือให้บริษัทหาทางแก้เอาเอง แก้ไม่ได้ก็ล้มไป จึงเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นญี่ปุ่น ส่วนจีนนั้นแม้ว่าเปลี่ยนผู้นำแล้ว แต่ตลาดยังไม่ได้ตอบสนองในทางบวกเลย ยังคงลงต่อเนื่องเช่นเดิม

สำหรับตลาดหุ้นไทย สัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีเซ็ต SET index ปรับตัวลง -1.21% ลงมากกว่าสิงคโปร์นิดหน่อย ต่างชาติยังขายต่อเนื่อง มีซื้อสุทธิสลับบ้างในบางวันเท่านั้น แต่ลุงแมวน้ำสังเกตว่ามีแรงซื้อหุ้นมาร์เก็ตแคปใหญ่ๆเข้ามาบ้างแล้ว และแม้ว่าดัชนีตลาดจะปรับตัวขึ้นลงไม่มากนัก แต่หากดูหุ้นรายตัวพบว่าหุ้นในกลุ่ม SET50 ผันผวนเอาการ คือแกว้่งตัวค่อนข้างแรง อีกทั้งไปกันคนละทิศคนละทาง ขึ้นแรงก็มี ลงแรงก็มี อย่างเช่น BTS ขึ้นประมาณ +12% ส่วน MAKRO ลงประมาณ -10%

ด้านตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ กลุ่มโลหะมีค่า คือทองคำ และเงิน กับน้ำมันดิบรีบาวด์ โลหะเงิน +5.65% น้ำมันดิบเบรนต์ +3.29% แต่โลหะอุตสาหกรรมไม่ขึ้นตาม รวมทั้งก๊าซก็ไม่ขึ้น สินค้าเกษตรลง -1.5%

ด้านค่าเงินหรือตลาดอัตราแลกเปลี่ยน สัปดาห์ที่ผ่านมาดอลลาร์ สรอ แข็งค่าได้ทั้งๆที่ทองคำขึ้น ปกติมักจะสวนทางกัน เงินยูโรและสกุลยุโรปอื่นๆอ่อนค่าจึงทำให้ดอลลาร์ สรอ แข็งค่าขึ้น

ด้านเงินสกุลเอเชียแปซิฟิกส่วนใหญ่แข็งค่า เงินเยนแข็งค่าแม้ว่าทางการญี่ปุ่นพยายามกดค่าเงินให้อ่อน ส่วนเงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย +0.26%

ด้านตลาดตราสารหนี้ เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอเมริกันลดลงตลอดเส้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอเมริกัน อายุคงเหลือ 10 ปี ลงมาอยู่ 1.61% ลดลง 12 จุดเบสิส (basis point, bp) ส่วนพันธบัตรรัฐบาลไทยเส้นอัตรผลตอบแทนลดลงเฉพาะพันธบัตรอายุคงเหลือ 5 ปีและน้อยกว่านั้น ส่วนที่อายุคงเหลือมากกว่า 5 ปี อัตราผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ส่วนอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรไทยอายุ 10 ปี อยู่ที่ 3.42% เพิ่มขึ้น 5 จุดเบสิส

สำหรับเมื่อวาน 12/11/2012 ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นเล็กน้อย แต่ต่างชาติขายสุทธิ ตลาดหุ้นเอเชียอื่นๆมีทั้งขึ้นและลง กระจายกันไป ส่วนตลาดหุ้นยุโรปและสหรัฐอเมริกาเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเท่านั้น แทบไม่ไปไหน สินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวลงทั้งหมด ไม่ว่าโลหะ ปิโตรเลียม สินค้าเกษตร โดยเฉพาะสินค้าเกษตรตัวหลัก คือ ข้าวโพด ข้าวสาลี ถั่วเหลือง ลงหนัก

ด้านอัตราแลกเปลี่ยน เมื่อวาน 12/11/2012 ส่วนใหญ่ปรับตัวในกรอบแคบ ดัชนีดอลลาร์ สรอ (usd index) ทรงตัว เงินบาทไม่ขยับ ส่วนพันธบัตรรัฐบาลไทย อายุคงเหลือ 10 ปี มีอัตราผลตอบแทนสูงขึ้น 4 จุดเบสิส



Photobucket

Sunday, November 11, 2012

11/11/2012 เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ: จีน ห้องเช่ารูหนู เศรษฐกิจที่รุดหน้าบนความเหลื่อมล้ำ


เมื่อไม่กี่วันมานี้จีนมีการเปลี่ยนผู้นำ เช้าวันหยุดวันนี้ลุงแมวน้ำอยากคุยเรื่องเมืองจีนสักหน่อย ลุงแมวน้ำจะไม่เล่าแบบบรรยายวิชาประวัติศาสตร์ แต่จะหยิบเอาบางแง่บางมุมในประวัติศาสตร์ของจีนมาคุยกันฟังเท่านั้น ก็อยากคุยน่ะ ^__^

ประเทศจีนมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 3000 ปี ในอดีต จีนปกครองด้วยระบบกษัตริย์ ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบบสาธารณรัฐคอมมิวนิสต์ในปี ค.ศ. 1949 หรือเมื่อกว่า 60 ปีมาแล้ว โดยวันชาติของจีนในปัจจุบันคือวันที่ 1 ตุลาคมของทุกปี ก็คือวันที่เปลี่ยนแปลงระบบการปกครองนั่นเอง

สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองก็เพราะในปลายยุคราชวงศ์ชิงนั้นเกิดความเสื่อม การบริหารราชการแผ่นดินอ่อนแอ ความเหลื่อมล้ำขึ้นอย่างรุนแรงในสังคม พวกศักดินาหรือผู้มีฐานะก็ร่ำรวยสุขสบายอย่างล้นเหลือ ส่วนชาวนา คนยากจน ก็จนแบบหนังท้องกิ่วจนไปติดกระดูกสันหลัง ดังนั้นประชาชนจึงลุกฮือขึ้นทำการปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนระบอบการปกครองจนสำเร็จและสถาปนาเป็นสาธารณรัฐในปี ค.ศ. 1912

ช่วงเปลี่ยนผ่านนั้นกินเวลานานหลายปี กว่าที่จีนจะตั้งหลักในระบบสาธารณรัฐได้ทุกฝ่ายต้องจ่ายคุณค่าแลกเปลี่ยนไปไม่น้อยในสงครามกลางเมืองระหว่างคนจีนด้วยกันเองแต่ต่างอุดมการณ์ แต่ในที่สุดประชาชนก็เป็นใหญ่ในแผ่นดินจนได้ ภายใต้การนำของเหมา เจ๋อ ตุง หรือที่เรียกกันว่าท่านประธานเหมานั่นเอง ประเทศจีนเปลี่ยนจากการปกครองอีกครั้งจากสาธารณรัฐทุนนิยมกลายเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ในที่สุด ในปี ค.ศ. 1949

เมื่อรัฐคอมมิวนิสต์หรือสาธารณรัฐประชาชนจีน ถูกสถาปนาขึ้น โครงสร้างทางสังคมก็เปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ทรัพย์สินทุกอย่างเป็นของรัฐทั้งหมด ประชาชนไม่มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินใดๆ เพื่อจะได้เท่าเทียมกัน คือไม่มีอะไรเหมือนๆกันนั่นเอง ที่ดินถูกยึดมาเป็นของรัฐ คนรวยบ้างก็ถูกประชาทัณฑ์จนตาย บ้างก็หนีไปอยู่ในประเทศต่างๆ อย่างเช่น ประเทศไทย บ้างก็ถูกจับไปอบรมลัทธิคอมมิวนิสต์และทำงานในค่ายหรือที่เรียกว่าคอมมูน แม้แต่จักรพรรดิ์พระองค์สุดท้ายของจีนในที่สุดก็กลายเป็นคนเฝ้าอุทยาน

ลุงแมวน้ำเกริ่นย้อนยุคไปหลายสิบปี ต่อไปนี้ลุงแมวน้ำจะเล่าเรื่องราวของจีนด้วยภาพ เชิญติดตามได้คร้าบ ^__^



ภาพนี้ถ่ายในยุคที่สถาปนารัฐคอมมิวนิสต์ได้ไม่นาน ในราวทศวรรษ 1950s หรือเมื่อ 60 ปีมาแล้ว  ปัจจัยการผลิตเป็นของรัฐทั้งหมด ทุกคนทำงานให้รัฐ ทำเพื่อรัฐและได้รับการตอบแทนคือ มีอาหารกิน มีที่อยู่ มีความเท่าเทียมกันในสังคม เพราะทุกคนก็ไม่มีอะไรเหมือนๆกันหมด ชาวนาที่เสียที่ดินให้นายทุนไปชอบมากเพราะความเป็นอยู่ดีขึ้น รัฐเลี้ยงดูไม่ให้อดอยากแร้นแค้นเหมือนเมื่อก่อน แต่เศรษฐีไม่ชอบเพราะเหมือนตกจากสวรรค์เลยทีเดียว ต้องมาทำงานหนักเพื่อแลกกับอาหารและที่อยู่อาศัย ไม่มีใครใหญ่กว่าใคร ทุกคนเป็นสหายกัน คนจีนในสมัยก่อนจึงเรียกผู้อื่นด้วยคำนำหน้าว่าสหาย สหายนั่น สหายนี่ สหายในภาษาจีนใช้คำว่าถงจื้อ

ภาพนี้ถ่ายในปี 1958 ลักษณะการทำงานในยุคนั้นจะทำกันเป็นยูนิต หรือที่เรียกว่าคอมมูน หนึ่งคอมมูนคือหนึ่งชุมชน มีเจ้าหน้าที่ควบคุม จะทำอะไร จะผลิตอะไร รัฐจะเป็นผู้บอก และทำไปตามนั้น ไม่ต้องคิดเอง ในภาพเป็นโรงอาหารในคอมมูน ในยุคนั้นปัจจัยการครองชีพจะได้รับการปันส่วนหมด แต่ละคนจะได้ชุดมาตรฐาน ปีละจำนวนหนึ่ง ไม่แน่ใจว่ากี่ชุดเหมือนกัน แล้วก็บุหรี่อีกจำนวนหนึ่ง บุหรี่เป็นเครื่องหย่อนใจเพียงอย่างเดียวของคนในยุคนั้น ดังนั้นเราจึงเห็นคนจีนรุ่นเก่าติดบุหรี่ทั้งหญิงและชาย ก็มีที่มาจากยุคคอมมูนนี่เอง และที่เราเห็นคนจีนรุ่นเก่าชอบขากถุย ไอดังๆ ก็เพราะว่าสูบบุหรี่มากๆแล้วทำให้เป็นหลอดลมอักเสบ คนที่เป็นหลอดลมอักเสบจะระคายคอตลอดเวลา ต้องขาก ถ่ม และไออยู่ตลอด


จีนในยุคท่านประธานเหมานั้นมีแต่ความไม่ไว้วางใจกัน เพราะในยุคที่เริ่มการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ใหม่ๆ สถานการณ์ยังไม่ลงตัวดีนัก ต้องระวังว่าพวกระบอบเก่าจะพยายามฟื้นอำนาจขึ้นมา ดังนั้น ในคอมมูนเดียวกัน ปากก็เรียกสหาย แต่ที่จริงไม่ไว้ใจกัน พวกอดีตคนจนก็เฝ้าระวังอดีตเศรษฐี พวกอดีตเศรษฐีก็ระแวงอดีตคนจน ถ้าใครถูกรายงานว่ามีพฤติกรรมน่าสงสัยก็คือจบเห่ ดังนั้นคนจีนรุ่นเก่าจึงมีนิสัยไม่พูด ไม่แสดงความในใจออกมา เงียบเฉยอย่างเดียว คล้ายคนรัสเซียในยุคหนึ่ง เพราะสถานการณ์คล้ายๆกัน

แต่อย่างไรก็ดี ความเท่าเทียมกันอย่างแท้จริงไม่มีในโลกหรอก แม้อยู่ในระบอบคอมมิวนิสต์ซึ่งมีอุดมการณ์ของความเท่าเทียมกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วก็ไม่ได้เท่าเทียมกันทั้งหมด ชนชั้นปกครองก็มีความเป็นอยู่ดีกว่าประชาชนทั่วไปอยู่ดี

ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1960s ก็ประมาณปี พ.ศ. 2503 เป็นต้นมา ผู้นำในพรรคคอมมิวนิสต์ก็เริ่มมีแนวทางที่แตกต่างกัน ที่ชัดๆมีสองกลุ่มคือกลุ่มของประธานเหมาที่ยังมีแนวคิดแบบคอมมิวนิสต์ดั้งเดิม ประเภทที่ว่าเมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน กับอีกขั้วหนึ่งคือกลุ่มของหลิวเซ่าฉี เติ้งเสี่ยวผิง ที่มีแนวคิดต่อยอดการพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าต่อไปอีกด้วยแนวคิดแบบทุนนิยม ต่อมากลุ่มแนวคิดแบบคอมมิวนิสต์ดั้งเดิมหรือกลุ่มประธานเหมาเริ่มเสื่อมความนิยมลงและแนวคิดแบบทุนนิยมเริ่มเข้มแข็งขึ้น ประธานเหมาเห็นท่าไม่ดีจึงปฏิวัติตนเองอีกครั้งหนึ่ง โดยเรียกว่าเป็นการปฏิวัติวัฒนธรรม และได้กวาดล้างผู้นำในพรรคคอมมิวนิสต์ที่มีแนวคิดต่างออกไปจนสิ้น ในยุคนี้เองที่มีการทำลายศิลปวัฒนธรรม ศิลปวัตถุ วัดวาอาราม ฯลฯ รวมทั้งบุคลากรทางศิลปวัฒนธรรมของจีนไปมากมาย มีผู้เสียชีวิตในการปฏิวัติวัฒนธรรมครั้งนี้เป็นจำนวนมาก รวมทั้งหลิวเซ่าฉีและเติ้งเสียวผิงก็ถูกกวาดล้างจนหลุดจากอำนาจไป


ยุคปฏิวัติวัฒนธรรมเริ่มขึ้นในปี 1966 ผู้นำในยุคนี้เรียกว่าแก๊งสี่คน ชื่อแก๊งสี่คนนี้เราคงคุ้นหูกันดี คือประธานเหมา มาดามเจียงชิง หลินเปียว และเฉินป๋อต๋า ชื่อที่คุ้นหูอีกชื่อหนึ่งคือเรดการ์ด (red guard) อันเป็นชื่อของกองกำลังสำคัญที่ขับเคลื่อนแนวคิดปฏิวัติวัฒนธรรมนี้ ในยุคนี้เศรษฐี ผู้ดี ปัญญาชน จากยุคราชวงศ์ ที่อยู่รอดได้ในยุคคอมมูน มาถึงยุคนี้กลับเอาตัวไม่รอด ถูกจับไปฆ่าเป็นจำนวนมาก เกิดความหวาดระแวงไปทั่วไม่เว้นแม้แต่ในครอบครัวเดียวกัน เพราะไม่รู้ว่าใครจะรายงานใครว่าเป็นพวกหัวทุนนิยม ใครที่ถูกรายงานก็ตายแน่

ในยุคนี้เป็นยุคที่ทุกคนต้องเปิดเผย ไม่มีความลับต่อกัน เพื่อให้ง่ายต่อการตรวจสอบ ดังนั้นใครจะพูดอะไรต้องพูดดังๆ คือให้คนอื่นได้ยินด้วยจะได้ไม่ถูกรายงาน ดังนั้นคนจีนที่ผ่านยุคนี้มาจึงมีนิสัยพูดเสียงดัง คุยกันก็เหมือนทะเลาะกัน




นี่ก็เป็นกิจกรรมในคอมมูน ถ่ายในปี 1968 อันเป็นช่วงที่มีการปฏิวัติวัฒนธรรม สังเกตขุดเขียวขี้ม้าและหมวกแก๊ป นี่แหละชุดมาตรฐานในยุคนั้น ไม่ต้องรีดด้วย เพราะไม่เอาเท่ ซักแล้วตากให้แห้ง สวมใส่ได้เลย


แต่ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่เพียงใด ก็ไม่มีใครหนีพ้นวัฏสงสารหรือการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้ ในตอนท้าย หลินเปียวในแก๊งสี่คนพยายามยึดอำนาจจากประธานเหมาซึ่งเป็นแก๊งสี่คนด้วยกัน คือชิงอำนาจกันเอง หลินเปียวถูกกวาดล้างและเสียชีวิตในระหว่างหลบหนี ดังนั้น ในท้ายที่สุด เมื่อผู้สืบทอดตัวเต็งเสียชีวิตไป ประธานเหมาแทบไม่มีตัวเลือกเหลืออยู่เลย ดังนั้นก็ต้องเลือกแบบจำใจ ผู้ที่สืบทอดอำนาจต่อจากประธานเหมาคือโจวเอนไหล ซึ่งเป็นพวกแนวคิดทุนนิยม โดยเป็นผู้วางหลักสี่ทันสมัยและเป็นผู้ที่สนับสนุนเติ้งเสี่ยวผิง

ต่อมา ปี 1975 โจวเอนไหลเสียชีวิต และปี 1976 เหมาเจ๋อตุงก็เสียชีวิต แก๊งสี่คนก็ถูกกวาดล้าง ยุคของการปฏิวัติวัฒธรรมจึงปิดฉากลง พร้อมกับการก้าวเข้าสู่ยุคทุนนิยมแบบจีนๆภายใต้การนำของเติ้งเสี่ยวผิง อันเป็นรากฐานของจีนในทุกวันนี้


ภาพนี้ถ่ายในปี 1977 ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ชายหนุ่มในภาพเป็นใครก็ไม่รู้เหมือนกัน เพียงให้ดูบรรยากาศปี 1977 เท่านั้น ยุคนี้เป็นที่เติ้งเสี่ยวผิงเป็นผู้นำประเทศและขับเคลื่อนประเทศไปสู่ความทันสมัยด้วยการนำแนวคิดแบบทุนนิยมมาผสมกับสังคมนิยม ทำให้เป็นทุนนิยมแบบจีนขึ้นมา คือ ประชาชนทำการธุรกิจได้ มีเงินทองได้ แต่ที่ดินทั้งหมดยังเป็นของรัฐ ก็แปลกๆดี มีเกร็ดเล่ากันว่าพ่อค้านักธุรกิจในยุคแรกๆหลังจากการปฏิวัติวัฒนธรรมคือพวกที่ติดคุกติดตะราง พวกไม่เอาไหน เพราะว่าประชาชนส่วนใหญ่เคยชินกับการทำงานให้รัฐในแบบเดิมๆ ไม่มีใครกล้าออกมาทำธุรกิจ มีแต่พวกที่มีต้นทุนในชีวิตต่ำ ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว พวกเหล่านี้จึงกล้าออกมาทำการค้า นี่เป็นเกร็ดที่เล่ากันมา จริงเท็จอย่างไรไม่ยืนยัน


นี่เป็นภาพถ่ายในยุคทศวรรษ 1980s ยุคที่เศรษฐกิจแบบทุนนิยมของจีนเริ่มขับเคลื่อน ประชาชนเริ่มมีการยกระดับรายได้ขึ้น ในภาพนี้กำลังหอบหิ้วโทรทัศน์ขาวดำที่เพิ่งซื้อมาจากร้านค้า โทรทัศน์เป็นสัญลักษณ์ของฐานะประจำยุคนี้ สัญลักษณ์ทางฐานะของจีนคิดกันง่ายๆก็คือ ยุค 1960s คือนาฬิกาข้อมือ ใครมีถือว่าเท่และมีฐานะ ก็อย่างที่บอกคือความเท่าเทียมกันก็ไม่จริงเสียทั้งหมด นาฬิกาข้อมือก็คือสัญลักษณ์แอบรวยของคนในยุคฟ้าสีทองผ่องอำไพ ส่วนยุค 1970s คือจักรยาน ใครมีก็ถือว่ามีฐานะ ใครไม่มีก็ขอให้ญาติพี่น้องจากเมืองไทยส่งเงินไปให้ซื้อ จะได้มีหน้ามีตากับเขาบ้าง ส่วนยุค 1980s คือโทรทัศน์ และยุค 1990s คือเครื่องซักผ้า


ผู้พันมาแล้ว ร้านผู้พันไก่ทอดเปิดสาขาแรกในเมืองจีนในปี 1987 ดูคิวเสียก่อน ท้ายแถวอยู่ไหนมองไม่เห็นเลยเพราะว่าแถวยาวมาก ปัจจุบัน ปี 2012 มีร้านเคเอฟซีในจีนประมาณ 4000 สาขา



โดยทั่วไปแล้วความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่ควบคู่ไปกับเศรษฐกิจระบบทุนนิยม เพราะอำนาจของทุนยิ่งทำให้ได้เปรียบทางเศรษฐกิจ ใครมีทุนมากก็ได้เปรียบมาก เมื่อมีความได้เปรียบเสียเปรียบกัน แน่นอน ย่อมทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจขึ้น ยิ่งเศรษฐกิจดี แม้ว่าค่าเฉลี่ยจีดีพีต่อหัวของประชากร (GDP per capita) สูง แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนรวยเท่ากัน ตรงกันข้าม ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนก็มากยิ่งขึ้น ในประเทศจีน ก่อนปี ค.ศ. 1985 ความเหลื่อมล้ำในสังคมยังมีน้อยอยู่ ยิ่งยุค 1950s ก็ยิ่งน้อย แต่ในยุคที่จีนใช้ระบบทุนนิยมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำก็ค่อยๆเพิ่มมากขึ้น ดูได้จากค่าสัมประสิทธิ์จีนี (Gini coefficient) ค่าน้อยแปลว่าความเหลื่อมล้ำน้อย ค่าสูงแปลว่าความเหลื่อมล้ำสูง ภาพนี้เป็นค่าสัมประสิทธิ์จีนีของจีนตั้งแต่ปี 1980 ถึงปี 2000 จะเห็นว่าความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของจีนเพิ่มขึ้นโดยตลอดตั้งแต่ปี 1985 เป็นต้นมา 



ค่าสัมประสิทธิ์จีนี แสดงความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ เศรษฐกิจยิ่งพัฒนา ความเหลื่อมล้ำก็ยิ่งมาก ดูอย่างประเทศบราซิลซึ่งเป็นประเทศในกลุ่มละตินอเมริกา ใช้นโยบายประชานิยม ความเหลื่อมล้ำอยู่ในระดับสูงมาก เนื่องจากนโยบายประชานิยมมุ่งหวังผลทางการเมือง ไม่ได้หวังผลในด้านลดความเหลื่อมล้ำอย่างแม้จริง ประเทศที่เศรษฐกิจพัฒนาแต่ความเหลื่อมล้ำอยู่ในระดับต่ำถึงปานกลาง คือประเทศญี่ปุ่น ฝรั่งเศส เยอรมนี ที่เป็นเช่นนี้เพราะประเทศญี่ปุ่น กลุ่มยุโรปตะวันตก และยุโรปเหนือ เหล่านี้ใช้นโยบายทางสังคมนิยมควบคู่ไปกับระบบทุนนิยม นั่นคือ รัฐมีการจัดการด้านสวัสดิการสังคมให้แก่ประชาชนค่อนข้างมาก จึงพอช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้ 



ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของจีนในยุคปัจจุบันก็เป็นอย่างที่เห็นในรูปนี้  ค่าสัมประสิทธิ์จีนีของจีน ในปี 2009 ตามข้อมูลของ CIA's The World Fact Book อยู่ที่ 0.48 หรือ 48% ซึ่งจัดว่ามีความเหลื่อมล้ำสูง และจากข้อมูลล่าสุดของทางการจีนเอง ค่าสัมประสิทธิ์จีนีของจีนในปี 2010 อยู่ที่ 0.61 ซึ่งหมายความว่ามีความเหลื่อมล้ำที่สูงมาก ติดอันดับต้นๆของโลกเลยทีเดียว 
นิตยสารฟอร์บส์ (Forbes Magazine) ได้จัดอันดับคนรวยที่สุดในโลก 100 คนแรก  ของปี 2011 ในจำนวนนั้นมีคนฮ่องกง 4 คน และคนจีนแผ่นดินใหญ่ 1 คน รวมแล้วเป็นคนจีนที่ติดอันดับรวยที่สุดในโลก 100 คนอยู่ถึง 5 คน



ตรงกันข้ามกับคนรวย คนยากจนชาวจีนมีความเป็นอยู่อย่างยากลำบาก เศรษฐกิจยิ่งดีคนจนกลับลำบากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ เพราะปัจจุบันค่าที่พักอาศัยในเมืองใหญ่แพงมาก ค่าครองชีพทั่วไปก็สูง คนยากจนที่เข้ามาทำมาหากินหรือแสวงโชคในเมืองใหญ่อยู่อย่างแร้นแค้น ในภาพนี้เป็นห้องพักแบบแคปซูลในย่านกรุงปักกิ่ง เป็นห้องขนาดกว้าง 0.7 เมตร ลึก 2.4 เมตร รวมแล้วขนาด 1.7 ตารางเมตรเท่านั้น ญี่ปุ่นมีโรงแรมแคปซูล ส่วนจีนก็มีห้องเช่าแคปซูล แต่คุณภาพต่างกันมาก



ห้องเช่านี้เปิดให้บริการในปี 2010 ค่าเช่าในตอนนั้นเดือนละ 200 - 250 หยวน (1,000 - 1,250 บาท) เหมาะสำหรับคนหนุ่มสาวที่เพิ่งจบและกำลังหางานทำหรือว่าผู้ที่มีรายได้น้อย  ซ้ายมือในภาพเป็นผู้เช่า ส่วนคนขวาคือเจ้าของห้องเช่านี้



ห้องเช่าแคปซูลนี้มีพื้นที่ส่วนกลางต่างหาก ห้องน้ำ ห้องครัว ห้องซักรีด ใช้ของส่วนกลาง ซึ่งก็มีขนาดเล็กเช่นกัน 



ห้องพักแคปซูลหรือว่าห้องพักรูหนูที่ปักกิ่งนี้ยังจัดว่ามีสภาพดี ลองมาดูห้องเช่าในเมืองอื่นกันบ้าง 3 ภาพต่อไปนี้เป็นที่พักในเมืองอู่ฮั่น ถ่ายในปี 2012 นี่เอง


ภาพนี้เป็นที่พักแคปซูลหรือที่พักรูหนูในเมืองอู่ฮั่น มณฑลเหอเป่ย ของจีน อันเป็นเมืองเศรษฐกิจเมืองหนึ่ง ดังนั้นค่าครองชีพจึงสูง ชายสองคนนี้เป็นเซลส์แมนขายวัสดุก่อสร้าง เช่าห้องพักแคปซูลนี้ในราคาเดือนละประมาณ 400 หยวน (2,200 บาทโดยประมาณ) พักสองคนจะได้ประหยัดยิ่งขึ้น ออกคนละ 200 หยวน ในห้องนี้มีครบหมดทุกอย่าง ห้องน้ำ ห้องส้วม ห้องนอน ห้องทำงาน ห้องครัว ฯลฯ ในขนาดที่พัก 4.5 ตารางเมตร ภาพนี้ไม่ค่อยน่าดูนัก สังเกตดูส้วม แต่ก็เป็นความจริงของชีวิต และสังเกตอีกอย่างคือถึงจะประหยัด ลำบาก แต่อุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้คืออุปกรณ์เทคโนโลยี นั่นคือคอมพิวเตอร์ 


คนนี้ประกอบอาชีพเซลส์แมนเช่นกัน กำลังกินแฮมเบอร์เกอร์ข้างๆส้วมนั่นเอง ห้องเช่าที่อู่ฮั่นเช่นกัน


นี่ก็ห้องเช่าที่อู่ฮั่น สาวน้อยกำลังสระผม แต่สังเกตด้านซ้ายเป็นเครื่องครัว เลยไม่รู้ว่าเป็นห้องอะไรกันแน่ ห้องน้ำหรือห้องครัว สังเกตว่าห้องเล็กๆนี้ยังแบ่งซอยออกเป็นสองชั้นเพื่อให้เก็บค่าเช่าได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ค่าเช่าห้องชั้นบนกับห้องชั้นล่างราคาไม่เท่ากัน ห้องชั้นราคาบนถูกกว่าเพราะว่ายืนไม่ได้ ส่วนห้องชั้นล่างแพงกว่าเพราะว่าสามารถยืนได้



ที่เห็น 3 ภาพก่อนหน้านี้เป็นที่พักแบบคนมีการศึกษา หากเป็นพ่อค้าแม่ค้าเร่ คือพวกความรู้น้อย ทำการค้าเล็กๆน้อยๆ มาจากชนบทมาอยู่ในเมืองใหญ่ สภาพที่พักจะแย่ยิ่งกว่านี้เสียอีก แย่จนเรานึกไม่ออกว่าเป็นยังไง เราไปดูกัน 3 ภาพต่อไปนี้ถ่ายในปี 2012 นี่เอง



นี่เป็นบ้านรูหนู คือเป็นห้องเช่าในเมืองกุ้ยหยาง มณฑลกุ้ยโจว แม่ลูกคู่นี้พักอาศัยอยู่ในรูที่มีประตูขนาดสูง 1 เมตร เด็กคนนี้อายุ 6 ขวบ เดินเข้าไปได้ แต่ว่าแม่ต้องมุดเข้าไป รูนี้เป็นซอกข้างตึก


แม่มีอาชีพแม่ค้าเร่ขายอาหาร กลางวันเวลาแม่ออกไปขายของก็จะล็อกห้องขังลูกชายอยู่ในห้อง


ภาพภายในห้อง ซึ่งต้องมุดและคลานลงมา ภายในห้องมีแต่ของใช้ที่พังและถูกทิ้ง แม่ลูกคู่นี้ก็เก็บเอามาใช้ต่อ


สุดท้าย ลุงแมวน้ำจะพาไปดูที่พักของคนยากคนจนในฮ่องกง เมืองที่ราคาอสังหาริมทรัพย์แพงมาก และผลจาก QE3 จะยิ่งทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ในฮ่องกง รวมทั้งเมืองอื่นๆในเอเชีย ขยับสูงขึ้นไปอีก



ฮ่องกงเป็นเมืองที่ค่าครองชีพสูงติดอันดับโลก จากการสำรวจในปี 2012 ค่าครองชีพของฮ่องกงอยู่อันดับ 9 ของโลก รองจากโตเกียว โอซากา เจนีวา ซูริค ฯลฯ แต่ไม่ใช่หมายความว่าฮ่องกงไม่มีคนยากจน ตรงกันข้าม คนจนในฮ่องกงยิ่งแร้นแค้น คนจนในฮ่องกงมักอยู่ในตึกเก่าๆชานเมือง ซึ่งบ้านหรือว่าห้องพักของชาวฮ่องกงที่ยากจนนั้นครอบครัวหนึ่งอยู่กันในอพาร์ตเมนต์เล็กๆ หนึ่งยูนิตอาจมีสองสามห้อง แต่ละห้องขนาดเล็กและเก่าทรุดโทรม ผนังหาสีเดิมไม่เจอเพราะเต็มไปด้วยคราบสกปรกและคราบน้ำมันจากการทำครัว ภาพนี้เป็นย่านคนจนของฮ่องกง ถ่ายเมื่อหลายปีมาแล้ว


ฮ่องกงในปัจจุบัน ประมาณปี 2010 ที่พักในฮ่องกงแพงขนาดคนยากคนจนพักในห้องที่เป็นยูนิตไม่ไหว บางคนรายได้น้อยก็ต้องพักในห้องกรง ในภาพนี้คือที่พักห้องกรง (cage home) จริงๆที่อยู่ในฮ่องกง นอนกันขาเลยกรงออกมาแบบนี้แหละ พื้นที่กรงประมาณ 1.4 ตารางเมตร กลางวันก็ล็อกกรง เก็บของไว้ข้างใน แล้วไปทำงาน กลางคืนก็กลับมานอน 


ห้องกรงนี้ราคาไม่ถูก ค่าเช่าประมาณ 2000 บาทต่อเดือน (คิดเป็นเงินไทยแล้ว) ชายคนนี้อายุ 78 ปี ป่วยเป็นโรคทางสมองด้วย ถูกไล่ที่ออกมาจากตึกที่พักเดิมซึ่งกำลังจะถูกรื้อและสร้างใหม่ให้เป็นอาคารทันสมัย เมื่อไม่มีที่พักก็ต้องมาอาศัยห้องกรงอยู่แบบนี้ อยู่ในห้องกรงทั้งวันเพราะไม่ได้ทำงานและไม่มีที่ไป


กางเกงในไม่มีที่ตาก แขวนไว้หน้ากรงนี่แหละ จะหายไหมเนี่ย


พื้นที่ส่วนกลางของผู้อาศัยในห้องกรงก็มีที่นั่งเล่นนิดหน่อย ครัวนิดหน่อย ห้องน้ำรวม ในภาพ ชายชรากำลังนั่งอย่างทอดอาลัย ไม่รู้ว่าชีวิตจะไปต่อได้ยังไง



นี่แหละ ผลพวงของเศรษฐกิจแบบทุนนิยมมือใครยาวสาวได้สาวเอา และนี่ก็คือภาพชีวิตของจีนในบางมุมที่แตกต่างจากที่เราเคยเห็น ประเทศที่มีจีดีพีเติบโตปีละกว่า 10%  ประเทศที่รายได้ประชากรต่อหัวสูงขึ้นทุกปี ประเทศที่กำลังการบริโภคมหาศาลและคนชั้นกลางขึ้นไปมีเพิ่มมากขึ้นทุกปี เราเห็นร้านขายกระเป๋าหลุยที่แสนแพงและคลับไฮโซสุดหรูหราในเมืองเซี่ยงไฮ้ แต่ในอีกด้านหนึ่ง ในบางซอกมุมของประเทศจีน ยังมีชีวิตด้านที่ลำบากยากแค้นอยู่ ซึ่งภาพทำนองนี้ไม่ได้มีอยู่แต่ใประเทศจีนเท่านั้น แต่ความเหลื่อมล้ำเหล่านี้ล้วนมีอยู่ในทุกดินแดน ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละประเทศจะดูแลจัดการกันอย่างไร ประเทศไทยก็มีเช่นกัน คนเร่ร่อนใต้สะพาน คนจรนอนสนามหลวง ฯลฯ เหล่านี้เราก็มี และในอนาคต แม้ว่าเศรษฐกิจของไทยจะดีขึ้นกว่านี้ แต่ภาพเหล่านี้ก็คงไม่หมดไป เพราะยิ่งเศรษฐกิจดีก็ยิ่งเหลื่อมล้ำ การแก้เราต้องแก้กันในเชิงโครงสร้างเลยทีเดียว


Friday, November 9, 2012

09/11/2012 * โลหะมีค่าเริ่มสะสมกำลังด้านขาขึ้น





เมื่อวาน 08/11/2012 ตลาดหุ้นผันผวนต่อแต่ว่าน้อยลง ตลาดหุ้นฮ่องลงลงแรงตามตลาดสหรัฐอเมริกา แต่ว่าตลาดเอเชียอื่นๆลงไม่แรงนัก ส่วนตลาดหุ้นยโรปเปิดเขียวแต่ปิดแดง ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาเปิดเขียวได้ไม่นาน หลังจากนั้นก็แดง แต่ว่าแดงไม่มาก มาไหลลงเร็วตอนท้ายตลาด

ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ น้ำมันดิบปรับตัวขึ้นเล็กน้อย ส่วนทองคำเริ่มขึ้นแรง โลหะเงินเล่นแรงอีกแล้ว  ขึ้นไป +2.3% โลหะมีค่าผันผวน แนวโน้มขาขึ้นริ่มมีกำลังมากขึ้น ทั้งๆที่เงินดอลลาร์ สรอ ค่อนข้างนิ่ง ราคาสินค้าเกษตรอ่อนตัวลงเล็กน้อย ยางพารา RSS3 ลงต่ออีก -1.3% ราคาลงมาแตะระดับฟิโบนาชชี (Fibonacci) 61.8% พอดี

ขณะนี้ราคาทองคำ โลหะเงิน และน้ำมันดิบเบรนต์ เกิดสัญญาณซื้อตามระบบ PnT 1.1 แล้ว แต่ระบบลุงแมวน้ำยังไม่เกิดสัญญาณซื้อ

ด้านค่าเงิน อัตราแลกเปลี่ยนเมื่อวาน 07/11/2012 ปรับตัวในกรอบแคบทุกสกุล

ด้านตลาดพันธบัตร อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ทั้งของไทยและของอเมริกัน คงที่ทั้งคู่

วันศุกร์อีกแล้ว พรุ่งนี้ก็เป็นวันหยุด เย้... ^__^


Wednesday, November 7, 2012

07/11/2012 * ตลาดผันผวนก่อนเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา

วันนี้ลุงแมวน้ำอัปเดตอีกแล้ว ช่วงนี้อัปเดตให้บ่อยเพราะขยัน ^__^

สำหรับภาวะตลาดตั้งแต่ช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมานี้ค่อนข้างผันผวน น่าจะเป็นเพราะมีการคาดเดาสถานการณ์การเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกัน เลือกตั้งประเทศเดียวแต่กระทบตลาดทั่วทุกภูมิภาค อะไรจะขนาดนั้น ลำพังตลาดหุ้นอาจไม่แรงมากมายอะไรนัก แต่ไปแรงเอาในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์และอัตราแลกเปลี่ยน

เมื่อวาน วันที่ 6 ตลาดหุ้นในแถบเอเชียผันผวนไม่มาก แต่ยุโรปและอเมริกาผันผวนแรงกว่าบ้าง ส่วนสินค้าโภคภัณฑ์นั้นทองคำเด้งขึ้นแปรงหลังจากที่ลงแรงในปลายสัปดาห์ที่แล้ว แต่ที่แรงกว่าคือโลหะเงิน

ด้านน้ำมันดิบ ปลายสัปดาห์ที่แล้วก็ลงแรงเช่นกัน ภายในช่วงไม่กี่วันลงไป -5% จากนั้นก็เด้งกลับขึ้นมาอีก +5%

ด้านอัตราแลกเปลี่ยน ดอลลาร์ สรอ นิ่งๆมาพักหนึ่ง แล้วแข็งค่าขึ้นมาแบบกะทันหันเหมือนกัน  แต่ตอนนี้นิ่งอีกแล้ว ช่วงนี้ดูยาก ค่าเงินช่วงนี้สถานการณ์ค่อนข้างตึงเครียด ญี่ปุ่นแทรกแซงเยนหนัก รวมทั้งฮ่องกงก็เช่นกัน สองสัปดาห์มานี้ธนาคารกลางฮ่องกงแทรกแซงเงินดอลลาร์ฮ่องกงสัก 10 ครั้งเห็นจะได้ ที่ต้องแทรกแซงเพราะฮ่องกงผูกค่าเงินตัวเองไว้กับดอลลาร์ สรอ อยู่เสมอ เหมือนกับเงินบาทไทยสมัยก่อนที่ผูกกับดอลลาร์ สรอ จนเราโดนโจมตีค่าเงินและต้องลอยตัวค่าเงินในที่สุดเพราะว่าสู้ไม่ไหว โดยเฉพาะสู้กับกองทุนของจอร์จ โซรอส แต่ตัวโซรอสเองก็โดนกรรมสนอง ไปพลาดท่าขาดทุนย่อยยับที่ฮ่องกงนั่นเอง นั่นเป็นเรื่องสมัยก่อน แต่ตอนนี้ฮ่องกงมีปัญหาเรื่องค่าเงินอีกแล้ว เพราะใครๆก็คาดว่าในที่สุดฮ่องกงต้องลอยตัวค่าเงินจนได้ จึงมีแรงซื้อเงินดอลลาร์ฮ่องกงเข้ามาเรื่อยๆเพื่อเก็งกำไรระยะสั้น สงครามค่าเงินระเบิดอีกแล้ว จะกระทบเงินเอเชียโดยรวมมากน้อยแค่ไหน ต้องตามดูต่อไป

ด้านล่างของบทความนี้มีกราฟของดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJI) ราคาน้ำมันดิบเบรนต์ (BZ) ราคาทองคำ (GC) และดัชนีดอลลาร์ สรอ (USD index) ให้ดูด้วยครับ ^_^


สรุปการเปลี่ยนแปลงของตลาดในวันที่ 06/11/2012


ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ของ สรอ สังเกตว่าช่วงปลายเดือนตุลาคมจนถึงตอนนี้ ตลาดหุ้นอเมริกาค่อนข้างผันผวน เกิดแท่งเทียนขาวใหญ่ (big white candle) และแท่งเทียนดำใหญ่ (big black candle) สลับกันเป็นว่าเล่น คงเป็นการต้อนรับ ปธน. คนใหม่มั้ง


น้ำมันดิบเบรนต์ ช่วงนี้แรง ทั้งลงแรงและขึ้นแรง ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานและนักวิเคราะห์หลายรายประเมินว่าราคาน้ำมันจะลงต่อ แต่ทางเทคนิคแล้วลุงแมวน้ำประเมินว่ายังเป็นคลื่นใหญ่ขาขึ้นอยู่ เราน่าจะอยู่ในคลื่น 5 มากกว่าอยู่ในคลื่น B



ราคาทองคำหลายวันมานี้ก็น่าเวียนหัว แท่งเทียนดำใหญ่และขาวใหญ่มาติดกัน ใครเทรดฟิวเจอร์สปิดสัญญากันจ้าละหวั่นหรือไม่ก็เติมเงินกันแทบไม่ทัน 



ดัชนีดอลลาร์ สรอ หรือ USD index นิ่งมาช่วงหนึ่ง แล้ววันที่ 2 พย ที่ผ่านมาก็ทำแท่งเทียนขาวใหญ่ ตอนนี้นิ่งอีก แต่คาดว่าไม่น่าจะนิ่งนาน คงเล่นแรงให้เห็นอีก



Tuesday, November 6, 2012

06/11/2012 สรุปภาวะการลงทุนประจำเดือนตุลาคม (10/2012)

วันนี้เรามาดูรายงานสรุปความเคลื่อนไหวของตลาดต่างๆในรอบเดือนตุลาคมที่ผ่านมากันครับ

ตลอดทั้งเดือนตุลาคมตลาดหุ้นฝั่งอเมริกา คือสหรัฐอเมริกากับกลุ่มละตินอเมริกาปรับตัวลง แคนาดาปรับตัวขึ้นนิดเดียว ส่วนฝั่งยุโรปนั้นส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้น ที่ขึ้นมากหน่อยคือตลาดหุ้นกรีซกับออสเตรีย

ทางด้านตลาดหุ้นเอเชียมีทั้งปรับตัวขึ้นและลง กระจายกันออกไป แต่ค่าเฉลี่ยดัชนีตลาดของกลุ่มเอเชียปรับตัวลงเล็กน้อย ส่วนตลาดหุ้นไทยแทบไม่เปลี่ยนแปลง

ในเดือนที่แล้วที่เปลี่ยนแปลงมากคือตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มน้ำมันดิบ โลหะ และสินค้าเกษตร ปรับตัวลงไปมากพอควร เฉลี่ยแล้วลงไปประมาณ -3% ถึง -4%

ส่วนตลาดอัตราแลกเปลี่ยนและตลาดพันธบัตรเปลี่ยนแปลงไม่มากนัก

รายละเอียดอยู่ในตารางข้างล่างนี้คร้าบ ^_^


Photobucket

Monday, November 5, 2012

05/11/2012 * แนวคิดในการเฟ้นหาหุ้นเด่น (2)

ในตอนที่แล้วเราได้คุยกันไปแล้วถึงการเฟ้นหาหุ้นเด่นขั้นแรก นั่นคือ การใช้ตารางเพื่อสแกนหุ้น หาหุ้นที่อ่อนกว่าตลาดนิดหน่อยไปจนถึงแรงกว่าตลาดนิดหน่อย โดยในตัวอย่างลุงแมวน้ำเลือกหุ้นขั้นต้นมาได้ 9 ตัว ดังนี้

หุ้นที่่อ่อนกว่าตลาด แต่น่าสนใจ ได้ PSL, TTA, DEMCO, BAT-3K

หุ้นที่แข็งกว่าตลาด ได้หุ้น SVI, TOP, THAI, HEMRAJ, SCC 

หลังจากนั้นเราจะมากรองหุ้นออกไปให้เหลือน้อยลงไปอีกในขั้นที่สอง


การเฟ้นหาหุ้นเด่นขั้นที่ 2 ตัดตัวเลือกด้วยกราฟ

ตัวกรองในขั้นที่สองนี้ยังเป็นตัวกรองด้วยการใช้ปัจจัยทางเทคนิค นั่นคือ การพิจารณาจากกราฟ

ในขั้นนี้ เมื่อเราได้หุ้นในขั้นต้นมาแล้ว เราก็เอากราฟราคาของหุ้นทุกตัวมาพิจารณา กราฟราคาหุ้นนี้ทางที่ดีควรมีราคาหรือว่าข้อมูลย้อนหลังหลายๆปี อย่างน้อย 10 ปี มากกว่านั้นได้ยิ่งดี หรือหากมีตั้งแต่หุ้นตัวนี้เริ่มเข้าเทรดได้ก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ เพราะเราต้องใช้ดูทั้งในภาพใหญ่หรือในระดับคลื่นใหญ่ ตลอดไปจนถึงในระดับคลื่นระยะกลางหรือว่าคลื่นรายปี และละเอียดลงมาจนถึงคลื่นย่อยหรือในระดับภาพระยะสั้น ทั้งนี้ เพื่อให้ได้มุมมองในเชิงเทคนิคเกี่ยวกับหุ้นให้ได้มากที่สุด ปกติแล้วลุงแมวน้ำจะดูทั้งกราฟราคารายเดือน (monthly chart) กราฟราคารายสัปดาห์ (weekly chart) และกราฟรายวัน (daily chart) 

สำหรับแหล่งที่จะหากราฟราคาหุ้นเหล่านี้ดูในสมัยนี้หาได้ไม่ยาก โบรกเกอร์ที่เราเทรดหุ้นทุกแห่งจะมีข้อมูลเหล่านี้ให้บริการอยู่ ผู้ที่เทรดแบบออนไลน์สามารถเรียกข้อมูลเหล่านี้มาดูได้

สำหรับการกรองในขั้นที่สองนี้ลุงแมวน้ำจะเปิดดูกราฟของหุ้นที่ผ่านเข้ารอบสองนี้ดูทุกตัว หุ้นใดที่เข้าเงื่อนไขต่อไปนี้ลุงแมวน้ำจะเก็บเอาไว้ หากไม่เข้าเงื่อนไขก็จะคัดออกไป เงื่อนไขในการคัดหุ้นก็คือ

  1. เป็นหุ้นที่มีรูปแบบของกราฟแบบพื้นฐาน รูปทรงกราฟชัดเจน นับง่าย ซึ่งก็คือกราฟที่เห็นคลื่น 1-2-3-4-5-a-b-c ได้ชัดนั่นเอง อะไรที่พอดูเข้าท่าว่าเป็นรูปแบบพื้นฐานก็จะเก็บไว้ ส่วนหุ้นตัวใดที่มีรูปแบบกราฟซับซ้อน หรือว่านับคลื่นไม่ถูก ก็คัดออกไป 
  2. อยู่ในคลื่น 3 (คลื่น 5 พออนุโลมได้หากเป็นระดับคลื่น 5 ใหญ่) คืออยู่ในคลื่นขาขึ้นนั่นเอง ส่วนคลื่น B เป็นขาขึ้นในขาลง เสี่ยงเกินไป (ยกเว้นคลื่น B ที่เป็นคลื่นใหญ่ แต่ในที่นี้ถือว่าคลื่น B ไม่เอาไว้ก่อน)
  3. เป็นหุ้นที่มีสภาพคล่อง ส่วนใหญ่ลุงแมวน้ำถือว่าหุ้นที่อยู่ในกลุ่ม SET50 หรือ SET100 มีสภาพคล่องใช้ได้ หากไม่อยู่ใน SET100 ต้องพิจารณาให้ละเอียด พวกหุ้นที่มีสภาพคล่องต่ำหรือว่ามีสภาพคล่องไม่แน่นอน บางช่วงเวลาก็สภาพคล่องต่ำ บางช่วงเวลาก็สภาพคล่องสูง แบบนี้ก็ควรคัดออกไป เนื่องจากหุ้นที่มีสภาพคล่องต่ำนั้นง่ายต่อการทำราคาหรือว่าปั่นได้ง่าย ไม่ควรเข้าไปยุ่ง หุ้นปั่นนั้นใช้ปัจจัยอะไรก็สู่ไม่ไหว ขึ้นกับใจเจ้ามือเท่านั้น และถึงแม้ไม่ใช่หุ้นปั่น แต่หุ้นสภาพคล่องต่ำนั้นอาจทำให้เราติดหุ้น อยากออกก็ออกไม่ได้
เราลองมาดูหุ้นทั้ง 9 ตัวที่ผ่านการประกวดรอบแรกมาแล้ว ดูว่าแต่ละตัวมีกราฟเป็นอย่างไร หุ้นตัวใดควรคัดออกไปบ้าง เราเริ่มกันที่หุ้นที่อ่อนกว่าตลาดกันก่อน

หุ้นตัวนี้รูปแบบกราฟค่อนนข้างจะเป็นแบบคลื่นพื้นฐาน คือพอนับได้ว่าเป็น 1-2-3-4-5-a-b-c แต่ว่าสภาพคล่องน้อย   และขึ้นลงแรง คัดออกไปดีกว่า (สรุปคือ ทิ้ง)

หุ้นตัวนี้รูปแบบคลื่นค่อนข้างชัดว่าเป็นรูปแบบพื้นฐาน ราคาผันผวนขึ้นลงแรงอยู่เหมือนกัน ประเด็นสำคัญคือตอนนี้ราคาหุ้นน่าจะอยู่ในคลื่น 4 ซึ่งคงยังไม่จบ คลื่น 4 ไม่ควรเข้าลงทุน ดังนั้นเก็บไว้ก่อน ที่ว่าเก็บไว้ก่อนไม่ได้หมายความว่าเก็บเพื่อนำไปพิจารณาในรอบ 3 แต่เก็บเอาไว้ตามดูเท่านั้น ตามดูว่าเมื่อไรเข้าคลื่น 5 ค่อยมาว่ากัน สภาพคล่องมีหรือไม่ยังไม่ต้องพิจารณาก็ได้ เพราะว่าประเด็นเรื่องอยู่ในคลื่น 4 เป็นตัวตัดสิน ถึงแม้มีสภาพคล่องก็ยังไม่เอาอยู่ดี (สรุปคือ รอ)

ตัวนี้กราฟสวยเชียว หากดูในระดับกรอบเวลากว้างหรือกราฟรายสัปดาห์สักสิบปีย้อนหลัง จะเห็นว่าราคาหุ้นตัวนี้น่าจะจบคลื่น C ไปแล้ว ตอนนี้น่าจะกำลังอยู่ในคลื่นขาขึ้น 1-2-3 ซึ่งจากการนับคลื่นตามรูป คิดว่าน่าจะจบคลื่น 2 ไปแล้ว และกำลังเข้าคลื่น 3 ซึ่งในทางเทคนิคถือว่าคลื่น 3 เป็นคลื่นที่น่าลงทุนยิ่งกว่าคลื่นอื่นๆ สภาพคล่องก็มี ดังนั้นตัวนี้ลุงแมวน้ำจะเก็บหุ้นตัวนี้เอาไว้คัดในรอบสามต่อไป (สรุปคือ ผ่าน)

หุ้นตัวนี้หากดูจากกราฟ 10 ปีย้อนหลัง คิดว่าน่าจะจบคลื่น C ไปแล้ว และตอนนี้น่าจะกำลังอยู่ในคลื่น 2 แต่ว่าคลื่น 2 นี้จบหรือยังก็ไม่รู้ ยังดูไม่ออก ดังนั้นหุ้นตัวนี้เก็บไว้ตามดูต่อไปก่อน (สรุปคือ รอ)

ที่ผ่านไปแล้วเป็นหุ้นในกลุ่มที่อ่อนกว่าตลาด ต่อไปเป็นหุ้นกลุ่มที่แรงกว่าตลาด


จากกราฟ หุ้นตัวนี้น่าจะอยู่ในคลื่น 3 แต่ว่าไม่ใช่ต้นคลื่น 3 เป็นคลื่น 3 ที่ดำเนินมาไกลแล้ว ซึ่งในที่สุดก็จะเข้าคลื่น 4 ซึ่งเป็นคลื่นที่ควรหลีกเลี่ยงการเข้าลงทุน แม้ว่ารูปแบบกราฟจะเข้าข่ายรูปแบบพื้นฐาน ดูง่าย สภาพคล่องก็มี แต่ว่าอาจจะกำลังอยู่ปลายคลื่น 3 ก็ได้ ลุงแมวน้ำไม่เลือกตัวนี้ดีกว่าเพราะไม่ค่อยปลอดภัย (สรุปคือ ทิ้ง)

หุ้นตัวนี้กราฟรูปทรงแปลกๆ ไม่เชิงว่าจะเป็นรูปแบบพื้นฐาน อีกทั้งแกว่งอยู่ในกรอบ SEC มาประมาณหนึ่งปีแล้ว ไม่หลุดจากกรอบเสียที แต่อีกไม่นานน่าจะรู้แล้วว่าทะลุกรอบ SEC ได้หรือไม่ หากทะลุขึ้นข้างบนได้ก็น่าจะเทรดได้ เก็บตัวนี้เข้าไปในการพิจารณารอบสามได้ (สรุปคือ ผ่าน)

หุ้นตัวนี้รูปแบบกราฟค่อนข้างดูง่าย ถือว่าเข้าข่ายรูปแบบพื้นฐานได้ อีกทั้งตอนนี้น่าจะกำลังเข้าคลื่น 3 แม้ยังไม่ชัดแต่อีกไม่นานก็น่าจะรู้ว่าใช่คลื่นสามหรือไม่ ให้ผ่านเข้ารอบสามได้ (สรุปคือ ผ่าน)

หุ้นตัวนี้รูปทรงพื้นฐานยังไม่ชัด แต่ที่ชัดคือขณะนี้กำลังอยู่ในกรอบสามเหลี่ยมชายธง ยังไม่ทะลุปลายชายธงด้วย แบบนี้ไม่ควรเข้าลงทุน ควรรอดูให้ทะลุปลายชายธงขึ้นด้านบนไปก่อน ซึ่งอีกไม่นานก็น่าจะรู้ ดังนั้นให้ผ่านเข้ารอบสามได้ (สรุปคือ ผ่าน)

หุ้นตัวนี้มีรูปแบบพื้นฐาน ดูค่อนข้างง่าย อีกทั้งน่าจะจบคลื่น 4 ไปแล้ว กำลังเข้าคลื่น 5 อีกไม่นานก็รู้แล้วว่าใช่คลื่น 5 จริงหรือไม่ ที่จริงหุ้นในคลื่น 5 ไม่น่าเทรดเท่าไรนัก แต่ตัวนี้แรงกว่าตลาด และมีสภาพคล่องสูง อีกทั้งคลื่น 5 ในที่นี้เป็นคลื่นใหญ่พอควร น่าจะกินเวลาหลายเดือนหรืออาจเป็นปี ดังนั้นให้เข้ารอบสามไปก่อน หากจะคัดออกก็ไปคัดออกในรอบสามได้ (สรุปคือ ผ่าน)


สรุปว่ามีหุ้นที่ผ่านการคัดเลือกเพื่อเข้ารอบ 3 อยู่ 5 ตัว คือ TTA, SVI, THAI, TOP, SCC ส่วนหุ้นที่ตกรอบคือ BAT-3K, HEMRAJ และหุ้นที่รอสังเกตไปก่อน คือ DEMCO, PSL

แนวทางการพิจารณาด้วยรูปแบบกราฟทางเทคนิคของลุงแมวน้ำก็เป็นแบบนี้แหละ ลุงแมวน้ำแบ่งเป็นสามกลุ่ม คือ ทิ้ง ก็หมายความว่าตกรอบสองไปเลย ส่วน รอ นี่หมายความว่ารอดูรูปแบบให้ชัดเจนกว่านี้ก่อน ซึ่งอาจใช้เวลาอีกนาน 

กับอีกกลุ่มหนึ่งคือ ผ่าน หมายความว่าผ่านรอบสองนี้ไปได้ แต่ก็ยังไม่ได้หมายความว่าจะซื้อลงทุนได้ ยังมีกระบวนการพิจารณาในรอบ 3 อีก ซึ่งในรอบสามนี้จะใช้ปัจจัยพื้นฐานเข้ามาช่วย

การที่จะให้หุ้นตัวใดตกรอบ รอ หรือว่าผ่านนั้น จากตัวอย่างคงเห็นว่านอกจากใช้รูปแบบทางเทคนิคแล้ว ยังมีการใช้ดุลพินิจด้วย ดังนั้นการดุลพินิจจึงเป็นเรืองที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล แม้ว่าจะใช้ตารางสแกนหุ้นตารางเดียวกัน แต่ผลในการคัดหุ้นผ่านเข้ารอบหนึ่ง รอบสอง และรอบสาม และหุ้นในดวงใจ ของแต่ละคนก็อาจแตกต่างกันไป และนั่นหมายถึงผลตอบแทนที่ได้ก็ย่อมแตกต่างกันออกไปด้วย ซึ่งข้อนี้ต้องทำใจ ถือว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ เราก็ทำของเราไป พัฒนาตนเองไปเรื่อยๆ อย่าพยายามไปแข่งเรื่องผลตอบแทน อย่าไปคิดหวังว่าเราเป็นคนพิเศษที่จะเทรดได้เป็นร้อยล้านพันล้าน คนพิเศษมีเพียงไม่กี่คน เอาเป็นว่าเราเป็นนักลงทุนทั่วไปที่สามารถเอาชนะตลาดได้และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขทั้งกายและใจจนถึงวัยหลังเกษียณได้ก็เป็นพอ

ยังไม่จบนะคร้าบ ยังมีตอนต่อไปอีก ^__^


Sunday, November 4, 2012

04/11/2012 เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ: เรื่องน่ารัก





เช้าวันหยุด อากาศแจ่มใสเย็นสบายแบบนี้คงเริ่มเข้าฤดูหนาวแล้วมั้ง หวังว่าคงไม่มีฝนตกลงมาอีก

ฤดูหนาวปีนี้เริ่มต้นด้วยความผันผวนเหมือนกับตลาดหุ้น ตอนนี้บางมณฑลในประเทศจีน อย่างเช่นมณฑลกานซู มองโกเลียใน ซินเจียง ฯลฯ เจอพายุทรายซึ่งเป็นลมหนาวจากทะเลทรายโกบีพัดเข้ามาในประเทศจีน ซึ่งเป็นสภาพอากาศที่ไม่ค่อยปกตินัก ปีนี้คงหนาวไม่มาก ช่วงที่อากาศหนาวมากหากมีก็จะสั้น เนื่องจากปีนี้เป็นปีเอลนีโญ หรือว่าปีแล้ง กระแสน้ำอุ่นในมหาสมุทรมีอุณหภูมิสูงกว่าปกติ ลักษณะเช่นนี้มีผลกระทบต่อภูมิอากาศทำให้ฤดูหนาวไม่หนาวมากนัก แต่ผลที่จะตามมาที่มีความสำคัญก็คือความแห้งแล้ง ซึ่งจะกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตรรวมทั้งการระบาดของโรคและแมลงต่างๆ ใครที่อยู่ต่างจังหวัดหรือทำการเกษตรต้องเตรียมวางแผนบริหารจัดการน้ำสำหรับหน้าแล้งเอาไว้ได้เลย

คุยเรื่องดินฟ้าอากาศกันแล้วมาเข้าเรื่องน่ารักๆที่ลุงแมวน้ำเกริ่นเอาไว้ดีกว่า วันหยุดนี้ลุงแมวน้ำมีเรื่องน่ารักมาฝากสองเรื่องด้วยกัน


เรื่องแรกคือเรื่องตามภาพด้านบน เป็นเรื่องของหมาจรจัดที่ช่วยชีวิตทารกแรกเกิดเอาไว้

เรื่องนี้เกิดขึ้นในเมืองไนโรบี ประเทศเคนยา ทวีปแอฟริกา ในปี 2005 แม้เรื่องจะเก่าไปนิดหนึ่งแต่ก็คงไม่เก่าเกินไปสำหรับเรื่องดีๆที่ทำให้หัวใจชื่นบาน

ที่ชายป่าแห่งหนึ่งในเขตยากจนของเมืองไนโรบี มีเด็กสองคนไปวิ่งเล่นและได้ยินเสียงทารกร้องจ้าดังขึ้น จึงไปตามแม่มาช่วยค้นหาต้นเสียง เมื่อแม่ของเด็กเดินเข้าไปสำรวจในชายป่าก็พบเด็กทารกคนหนึ่งกำลังนอนอยู่ในเพิงร้าง ข้างๆตัวเด็กนั้นมีหมาจรจัดแม่ลูกอ่อนนอนอยู่ โดยแม่หมาจรจัดนั้นแสดงท่าทีปกป้องเด็กจากคนแปลกหน้าที่บุกรุกเข้ามา สภาพแรกเห็นของทารกคนนั้นคือถูกห่อด้วยเสื้อเก่าๆและถุงพลาสติกที่เปรอะเปื้อนดินโคลนไปหมด พิจารณาตามรูปการณ์แล้วแม่หมาจรจัดน่าจะพบทารกคนนี้ในป่าและคาบมาเลี้ยงเอาไว้รวมกับลูกของเธอในเพิง ที่สันนิษฐานเช่นนี้เพราะว่าเด็กทารกที่คลอดแล้วถูกนำไปทิ้งตามที่ต่างๆเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในเมืองไนโรบี สาเหตุหลักก็มักมาจากความยากจนทำให้เลี้ยงดูไม่ไหวนั่นเอง

แม่หมาถูกกันออกไปและเด็กทารกถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล หมอในโรงพยาบาลไนโรบีบอกว่าเด็กทารกน่าจะถูกทิ้งมาหลายวันแล้ว เด็กมีการติดเชื้อที่สายสะดือ แต่ให้การรักษาแล้วก็ปลอดภัย เรื่องนี้เป็นข่าวดังในปี 2005 แม้แต่สำนักข่าวระดับนานาชาติอย่างสำนักข่าวเอพีก็ยังทำข่าวเผยแพร่เรื่องนี้ไปทั่วโลก

เนื้อข่าวจบลงเพียงแค่นี้ แต่เรื่องราวยังคงดำเนินต่อไป...

หลังจากนั้น แม่ของเด็กที่เป็นผู้พบทารกคนนี้ก็ยินดีที่จะรับเลี้ยงเด็กทารกคนนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ยังรับหมาจรจัดแม่ลูกอ่อนผู้ใจดีมาเลี้ยงด้วย คราวนี้จะได้เป็นหมามีเจ้าของเสียที

นอกจากนี้ แม่หมาจรจัดยังได้รับรางวัลหมาดีเด่นจากสมาคมพิทักษ์สัตว์แห่งหนึ่งด้วย พร้อมกันนั้น แม่บุญธรรมของทารกน้อยก็ได้รับเช็คของขวัญจำนวน 500 ดอลลาร์ สรอ จากสมาคมแห่งนี้

เห็นไหมว่าหมาจรจัดก็น่ารักและมีน้ำใจ ดังนั้นโปรดให้ความเมตตาหมาจรจัดกันด้วยนะ แต่โปรดอย่าเมตตาด้วยการให้อาหาร เพราะนั่นเป็นการสร้างปัญหา ไม่ใช่การแก้ปัญหา เราต้องพยายามตัดวงจรการเกิดหมาจรจัดให้ได้ การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุคือการรณรงค์ให้เลี้ยงสัตว์อย่างมีความรู้ความเข้าใจ ไม่ใช่ให้หมากันเป็นของขวัญ แต่คนรับเลี้ยงไม่เป็น ไม่นานพอเบื่อแล้วก็เอาไปทิ้ง

นอกจากต้นเหตุแล้ว เรายังต้องพยายามแก้ปัญหาที่กลางเหตุด้วย นั่นคือ การทำหมันหมาจรจัดทั้งหลายเพื่อไม่ให้ขยายพันธุ์สร้างลูกหลานหมาจรจัดได้อีกต่อไป ส่วนปลายเหตุนั้นคือการดูแลหมาจรจัดที่มีอยู่แล้วให้ปลอดภัยจากโรคกลัวน้ำ ไม่ทำอันตรายคน จนกว่าจะสิ้นอายุขัยกันไป หากทำได้ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ หมาจรจัดก็จะค่อยๆหมดไป แต่เป็นงานที่ต้องใช้กำลังคนและทุนทรัพย์ไม่น้อยทีเดียว

ผู้ที่พบหมาจรจัด หากเมตตาหมาเหล่านี้ก็ช่วยกันทำหมันให้มันก็แล้วกัน ลูกๆของหมาจรจัดนั้นน่าเวทนา ถูกรถทับบาดเจ็บ พิการ ถูกคนไล่ตี ฯลฯ สารพัด ทำหมันกันดีกว่า หากพบแก๊งหมาจรจัดที่ไหนและคิดว่าน่าจะทำหมันเสียก็แจ้งลุงแมวน้ำได้ เขียนอีเมลมาบอกลุงแมวน้ำ ลุงแมวน้ำพอจะรู้จักลุงๆป้าๆหลายคนที่ช่วยกันทำหมันหมาจรจัดอยู่ หากไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็จะไปจัดการทำหมันให้ ฟรี ฟรี และฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย อย่ากลัวว่าจะต้องจ่ายตังค์คร้าบ ไม่มีการเรียกร้องใดๆ



เรื่องที่สองก็เป็นเรื่องของญาติลุงเอง เอาญาติมาขายเสียหน่อย ^__^




ที่เห็นในภาพนี้เป็นญาติของลุงเอง เธอเป็นสิงโตทะเล (สิงโตทะเลก็เป็นแมวน้ำชนิดหนึ่ง) อยู่แถวๆเกาะกาลาปากอส

เธอไปติดอวนชาวประมงเข้าและมีบาดแผลลึกตามตัวหลายแห่ง ข่าวไม่ได้แจ้งว่าหลุดออกจากอวนได้ยังไงแต่ก็หลุดไปได้ และไปโผล่ที่ชายหาดซึ่งเป็นพื้นที่ของโรงแรมแห่งหนึ่งเข้า คนที่รักสัตว์แถวนั้นจึงรักษาพยาบาลเธอ หลังจากนั้นสามเดือนเธอก็หายดี และก็ได้กลายเป็นแขกประจำของโรงแรมแห่งนี้ ข่าวก็ไม่ได้แจ้งว่าโรงแรมคิดค่าที่พักกับเธอหรือไม่ แต่คิดว่าโรงแรมคงใจดีไม่ได้เก็บเงินค่าเข้าพักหรอก ทุกวันเธอจะเล่นน้ำอยู่ในทะเลแถวๆโรงแรม จากนั้นก็จะมานอนเล่นพักเอาแรงที่โรงแรมแห่งนี้ ไม่ได้นอนตามชายหาดหรือบนโขดหินทั่วไปหรอกนะ นี่นอนบนเตียงริมสระน้ำของโรงแรมและมีเบาะนุ่มๆรอง กลายเป็นสิงโตทะเลไฮโซไปเลย บางทีก็ว่ายน้ำกับแขกที่สระน้ำของโรงแรมเสียอีกด้วย

ในภาพเธอกำลังนอนพักผ่อนที่ริมสระน้ำของโรงแรม  เธอกำลังท้องแก่ ใกล้คลอดเต็มที อีกไม่นานโรงแรมคงได้สมาชิกใหม่ ข้างๆเธอนั้นเป็นนายแบบและดารารายการเรียลิตีโชว์ของอเมริกา กำลังนอนพักผ่อนเช่นกัน

นับว่าเธอมีโชคดี แต่ยังมีแมวน้ำอีกเป็นจำนวนมากที่ไม่ได้โชคดีอย่างเธอ ภาพนี้ถูกเผยแพร่โดยองค์กร The Seals of Nam (http://www.thesealsofnam.org/) อันเป็นองค์กรที่ตั้งขึ้นเพื่อต่อต้านการล่าสังหารแมวน้ำในแถบนามิเบีย ทวีปแอฟริกา อันเป็นดินแดนที่มีการล่าสังหารแมวน้ำเป็นจำนวนมากและอย่างโหดร้าย

สุขสันต์วันหยุดกันนะคร้าบ ^__^