Tuesday, July 31, 2012

สรุปภาวะการลงทุนรอบสัปดาห์ 23/07/2012 - 27/07/2012 * BIGC, BANPU


ลุงแมวน้ำเพิ่งสรุปภาวะการลงทุนในสัปดาห์ที่แล้วเสร็จ ยังอุ่นๆอยู่เลย

สัปดาห์ที่แล้วไม่มีข่าวใหญ่อะไร มีแต่ความคืบหน้าของสถานการณ์และตัวเลขทางเศรษฐกิจรายเดือนหรือว่ารายคาบอื่นๆที่ทยอยออกมา นอกจากนี้ก็มีเรื่องการปรับลดอันดับเครดิตที่โน่นที่นี่เช่นเดิม ลุงแมวน้ำไม่ได้ตามละเอียดนักเนื่องจากมัววุ่นกับการวางแผนธุรกิจอยู่ อีกประการคือตลาดช่วงนี้หากเป็นตลาดหุ้นส่วนใหญ่อยู่ในภาวะไร้ทิศทางหรือว่า sideway อยู่ ดังนั้นโดยธรรมชาติก็ต้องผันผวนขึ้นลงไปมาอยู่แล้ว หากตามตลาดใกล้ชิดในช่วงนี้จะหวั่นไหวเสียเปล่าๆ ควรดูอยู่ห่างๆใจจะได้มั่นคง

ในรอบสัปดาห์ที่แล้วดัชนีตลาดหุ้นระดับทั่วโลก Dow Jones Global index ปรับตัวขึ้น +1.25% ส่วน MSCI All Country World index +1.95% แต่หากพิจารณาดูตลาดหุ้นในรายประเทศที่สำคัญแล้วจะเห็นว่าส่วนใหญ่จะปรับตัวลงเสียมากกว่า เหตุที่ดัชนีระดับทั่วโลกปรับตัวขึ้นมาจากตลาดหุ้นในกลุ่มทวีปอเมริกา ประกอบกับเยอรมนี พวกนี้ปรับขึ้น ส่วนยุโรปอื่นๆและเอเชียแปซิฟิกปรับตัวลง โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีนลงแทบทุกวัน ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่นก็ขึ้นแทบทุกวัน เห็นได้ชัดว่าในระยะสั้นตลาดหุ้นในโลกมีความผันผวนไม่สอดคล้องตามกัน อันเป็นปรากฏการณ์ที่เห็นได้ในช่วงตลาดไร้ทิศทาง ส่วนตลาดหุ้นไทย SET index -2.5% ลงพอควรทีเดียว และอยู่ในภาวะไร้ทิศทาง

สำหรับตลาดสินค้าโภคัณฑ์ส่วนใหญ่มีทิศทางอยู่ในขณะนี้ คือเป็นแนวโน้มขาขึ้น น้ำมันดิบกับสินค้าเกษตรนั้นแนวโน้มขาขึ้น ทองคำยังไร้ทิศทางอยู่

ตลาดตราสารหนี้ ผลตอบแทนของพันธบัตรไทยอายุ 10 ปี ลดลง 5 จุดเบสิส (bp) มาอยู่ที่ 3.29% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี สรอ เพิ่มขึ้น 9 bp มาอยู่ที่ 1.55% เนื่องจากตลอดสัปดาห์ที่แล้วตลาดหุ้น สรอ +1.7% ผลตอบแทนพันธบัตร สรอ จึงลดลงบ้าง

สำหรับตลาดอัตราแลกเปลี่ยน สัปดาห์ที่ผ่านมาเงินดอลลาร์ สรอ อ่อนค่า ดัชนีดอลลาร์ สรอ (USD index) -1.0% ส่วนเงินยูโรกับฟรังก์สวิสแข็งค่า +1.2% เงินเยนทรงตัว ดอลลาร์สิงคโปร์ +0.7% ส่วนเงินบาท +0.4%

ตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์ที่ผ่านมามีหุ้นลงแรงหลายตัว ลุงแมวน้ำนำกราฟมาให้ดู 2 ตัว คือ BANPU, BIGC ด้าน BIGC เกิดสัญญาณขายมาประมาณ 3 สัปดาห์แล้ว สัปดาห์ที่แล้วลงไป -18% ส่วน BUNPU นั้นอาการหนักหนาอยู่ มีสัญญาณขายมานาน 141 วันปฏิทินแล้ว และดูท่ายังลงไม่หยุด จนหลุด 400 บาทลงมาแล้ว ในทางเทคนิคสามารถลงไปได้ถึง 300 ถึง 350 บาททีเดียว ใครว่าถูกแสนถูก ซื้อได้แล้ว ก็ควรไตร่ตรองให้ดีครับ








Friday, July 27, 2012

27/07/2012 * มูลค่าแท้จริงของทองคำและน้ำมันดิบ (1)


การลงทุนและค่าเงิน 27/07/2012 (รายงานวันเทรดที่ 26/07/2012)



วันที่ 26/07/2012 นี้ ตลาดหุ้นในย่านเอเชียแปซิฟิกไปกันคนละทาง มีทั้งปิดบวก ปิดลบ และทรงตัว ส่วนตลาดหุ้นไทยนั้น SET index ไหลลงในชาวงบ่าย สุดท้ายปิดที่ 1172.92 จุด (-1.3%) ต่างชาติขายสุทธิเล็กน้อย ประมาณ 76 ล้านบาท แต่วันที่ 25/07/2012 ต่างชาติขายสุทธิเยอะ ประมาณ 3800 บ้านบาท

ทางด้านตลาดหุ้นฝั่งยุโรป ปิดเขียวสวย ดัชนีตลาดหุ้นในยุโรปขึ้นไปมากพอควรจากข่าวอัดฉีดเงินเข้าสเปน ดัชนี DAX ของเยอรมนี +2.8% ดัชนี CAC 40 ของฝรั่งเศสขึ้นไป +4.1%

ทางด้านฝั่งอเมริกาก็ขึ้นเหมือนกัน ดัชนีโบเวสปา (Ibovespa) ของบราซิลขึ้นไป +2.8% ส่วนดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ของสหรัฐอเมริกา +1.7%

ด้านสินค้าโภคภัณฑ์ น้ำมันดิบปรับตัวขึ้นจากข่าวความไม่สงบในซีเรีย ช่วงนี้น้ำมันเล่นข่าวเรื่องซีเรียกัน น้ำมันดิบเบรนต์ +1.1% น้ำมันดิบ wti +0.7% เล่นด้วย พุ่งไป +0.5% ส่วนสินค้าเกษตรไม่ตามน้ำมันดิบ วันนี้ปรับตัวลง ดัชนีสินค้าเกษตร DJUBSAG อยู่ที่ 91.59 (-2%) ราคาข้าวโพด ถั่วเหลือง ข้าวสาลี ปรับตัวลงต่อเนื่องมาสองสามวันแล้ว สินค้าเกษตรช่วงนี้เล่นข่าวภัยแล้ง ไม่ได้เล่นข่าวน้ำมัน ดังนั้นราคาจึงอาจไม่ตามน้ำมันดิบในช่วงสั้นๆ

ด้านค่าเงินหรืออัตราแลกเปลี่ยน เงินดอลลาร์ สรอ อ่อนค่าลงแรง ดัชนีดอลลาร์ สรอ (USD index) แกว่งในกรอบ 82.7 ถึง 83.7 จุด เงินสกุลยุโรปแข็งค่า เงินยูโรกับฟรังก์สวิส +1.0% ส่วนเงินสกุลเอเชียแปซิฟิกปรับตัวน้อย ดอลลาร์ออสเตรเลีย +1.0% ดอลลาร์สิงคโปร์ +0.4% เงินเยนกับเงินบาททรงตัว แทบไม่เปลี่ยนแปลง

วันนี้ (26/07/2012) ทองคำเกิดสัญญาณซื้อ ราคาทองคำนึกว่าจะหลุดชายธงลงมาข้างล่าง แต่ตอนนี้กลับเด้งไปติดปลายชายธงด้านบน (ยังไม่ทะลุ) ส่วนฟิวเจอร์สของ SET50 เกิดสัญญาณขายแล้ว ส่วนดัชนีเซ็ตยังไม่เกิดสัญญาณขาย สัญญาณฟิวเจอร์สครั้งนี้ไว้กว่า ส่วนดัชนี DAX เด้งขึ้นไปพยายามจะไปปิดช่อง (gap) ที่วันก่อนเปิดเอาไว้เป็น falling window ลองดูอีกวันสองวัน หากดัชนีสามารถขึ้นไปปิดช่องได้ สภาพความเป็น falling window ก็ถูกหักล้างหมดไป

แถมท้ายสำหรับวันนี้ ลุงแมวน้ำเอาภาพหุ้นอภินิหารมาให้ดูตัวหนึ่ง นั่นคือ KWH ดังภาพต่อไปนี้




หลังจากที่ราคานิ่งมานานหลายปี เมื่อวันที่ 25 จู่ๆก็เกิดวิ่งขึ้นไปติดเพดาน มาพร้อมกับปริมาณซื้อขายราวๆ 101 ล้านหุ้น และวันต่อมาก็ร่วงหัวทิ่ม วันที่ 26 ซื้อขายกันเพียง 26 ล้านหุ้น ปกติหุ้นตัวนี้ไม่มีสภาพคล่อง ราคาที่หวือหวา สภาพคล่องแบบมาเร็ว เคลมเร็ว ไปเร็ว เช่นนี้ ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคไม่ได้เพราะกว่าจะวิเคราะห์ทางเทคนิคเสร็จนักลงทุนก็อาจหมดตัวไปแล้ว หุ้นแบบนี้ต้องใช้การวิเคราะห์เจ้ามากกว่า ซึ่งปกติก็วิเคราะห์กันไม่ค่อยออกหรอก แต่สำหรับกรณีนี้ลุงแมวน้ำคิดว่าเจ้าปล่อยของออกมาแล้วเรียบร้อย เราอยู่เฉยๆอย่าไปยุ่งดีกว่า เดี๋ยวรายย่อยจะกลายเป็นรายยุ่ยไปเสีย การลงทุนเป็นกิจกรรมต่อเนื่องตลอดชีวิต หวังผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 8% ถึง 12% ก็พอ ค่อยๆสะสมทุนและขยายผลไป อย่าไปหวังรวยลัด



มูลค่าแท้จริงของทองคำและน้ำมันดิบ (1)



มีเรื่องหนึ่งที่ลุงแมวน้ำอยากคุยมานานแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสเขียนสักที นั่นคือเรื่องเกี่ยวกับทองคำ ว่ามีมูลค่าหรือว่ามีราคาที่แท้จริงหรือที่เรียกว่า fair value เท่าไรกันแน่

ลุงแมวน้ำเคยพูดหลายครั้งแล้วว่าทองคำไม่มีมูลค่าแท้จริงหรือว่าไม่มี fair value เพราะว่าไม่รู้จะไปเทียบกับอะไร บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นยังสามารถประเมิน fair value ได้จากงบการเงินของบริษัท แต่ทองคำนั้นไม่มีงบการเงินอะไรให้ดู ถ้าเช่นนั้นแล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าทองคำราคาเท่านั้นเท่านี้ถูกไปหรือแพงไป จะได้เข้าลงทุนได้ถูกจังหวะ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่มีใครตอบคำถามข้อนี้ได้หรอก ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคบ้าง ใช้ความถูกใจบ้าง เดาบ้าง ฯลฯ นักลงทุนชื่อดังหลายคนก็ไม่ค่อยชอบทองคำและหลีกเลี่ยงการลงทุนทองคำเพราะว่าประเมินมูลค่าไม่ออกนั่นเอง

ในความเห็นของลุงแมวน้ำ การลงทุนทองคำกับการลงทุนน้ำมันดิบก็พอๆกัน นั่นคือเราไม่รู้ fair value ของทองคำพอๆกับที่เราไม่รู้ fair value ของน้ำมันดิบ แต่ในความรู้สึกของนักลงทุนคิดว่าราคาน้ำมันดิบพอจะมีเกณฑ์อะไรให้วัดหรือเปรียบเทียบได้บ้าง นั่นคือ เรามักใช้ระดับราคาที่กลุ่มโอเปกพอใจเป็นเกณฑ์หรือคืออนุมานว่าความพอใจของโอเปกเป็น fair value ของน้ำมันดิบ

สำหรับชาวบ้านทั่วไป เรามีวิธีการอย่างหนึ่ง นั่นคือการเทียบราคาก๋วยเตี๋ยวกับราคาทองคำ ลุงแมวน้ำได้ยินการเปรียบเทียบแบบนี้อยู่เสมอ เช่น บอกว่าเมื่อก่อนก๋วยเตี๋ยวชามละหกสลึง (หกสลึงรู้จักกันไหม ภาษาเก่า 1.50  บาทน่ะ ^_^) ตอนนั้นทองคำบาทละ 400 บาท ส่วนตอนนี้ก๋วยเตี๋ยวชามละ 50 บาท ทองคำบาทละ 24000 บาท เป็นต้น นัยของการเทียบมูลค่าของทองคำก็คือการเอาไปเทียบกับราคาสินค้าหรือเทียบกับเงินเฟ้อนั่นเอง โดยเราเชื่อกันว่าทองคำนั้นเป็นสินทรัพย์ต้านเงินเฟ้อ ถือเงินสดเอาไว้แล้วเงินสดจะด้อยค่าลงไปเรื่อยๆ แต่หากถือทองคำแล้วไม่มีวันด้อยค่า ดังนั้นเราจึงมักนิยมเก็บสะสมทองคำกันเอาไว้

สาเหตุที่ทองคำเป็นที่นิยมสะสมกันนั้นเพราะในอดีตทองคำเป็นสินทรัพย์ที่สมมติขึ้นมาให้เป็นสิ่งมีค่าที่หนุนหลังระบบเงินตรา นั่นคือ ในสมัยก่อน ประเทศใดหากต้องการพิมพ์หรือผลิตเงินตราออกมาจะต้องมีทองคำหนุน นั่นคือ มีทองคำเท่ากับมูลค่าของเงินตราที่จะผลิตออกมา เพราะหากไม่มีกฎกติกากันเลยใครอยากพิมพ์เงินเท่าไรก็พิมพ์ออกมาได้ ธนบัตรคงปลิวว่อนกันทั่วโลก ดังนั้นในยุคหนึ่งทองคำคือกฎกติกาของการผลิตเงินตรา และเราจึงถือว่าทองคำเป็นทรัพย์สินมีค่าต้านเงินเฟ้อกันเรื่อยมา

แต่ต่อมาเมื่อถึงยุคหนึ่งที่ระบบการค้าของโลกขยายตัวมากขึ้น ปริมาณทองคำที่มีอยู่ในโลกเริ่มไม่เพียงพอ รวมทั้งปัจจัยด้านอื่นๆ เช่น ด้านการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กฎกติกาก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป นั่นคือ การผลิตเงินตราไม่ต้องใช้ทองคำหนุนหลังทั้งหมด ใช้เพียงบางส่วน หรือจะไม่ใช้เลยก็ได้ แล้วแต่ว่าใครใหญ่ อย่างสหรัฐอเมริกาบอกว่าไม่ใช้ทองคำหนุนเงินตราเลยก็ทำได้ เพราะว่าใหญ่ไง แต่หลายๆประเทศก็ใช้ทองคำหนุนระบบเงินตราบางส่วน

ที่จริงมูลค่าของทองคำนั้นก็เป็นเรื่องที่เราอุปโลกน์กันขึ้นมา ในสมัยโรมัน สิ่งที่มีค่ามากไม่ใช่ทองคำ กลับเป็นเกลือ เกลือที่เราเหยาะใส่อาหารนี่แหละ ในยุคโรมันที่มีการยกทัพไปตีประเทศต่างๆ ทหารจึงมักไม่ได้อยู่ภายในบ้านเมืองของตน แต่ต้องยกทัพไปอยู่ในดินแดนต่างๆ ในยุคนั้นเกลือมีค่ามาก ถึงขนาดที่รัฐบาลโรมันต้องจ่ายเงินเดือนทหารเป็นเกลือ เพราะว่าในดินแดนบางแห่งเกลือหายากหรือไม่มีเลย อ้าว ไม่เชื่อลุงแมวน้ำเหรอ จริงๆ ไม่ได้หลอก ลุงแมวน้ำมีหลักฐาน เกลือในภาษาละติน (ภาษาของชาวโรมัน) นั้นคือ sal และการจ่ายเบี้ยเลี้ยงเป็นเกลือนั้นภาษาละตินเรียก salarium (เงินค่าเกลือ) ซึ่งต่อมาเมื่อหมดยุคที่เกลือหายากยิ่งกว่าทองคำ การจ่ายค่าตอบแทนหรือเบี้ยเลี้ยงก็กลายมาเป็นการจ่ายด้วยเงินตรา แต่คำว่า salarium ก็ยังคงถูกใช้กันต่อมา และก็เป็นที่มาของคำว่า salary ที่แปลว่าเงินเดือนในภาษาอังกฤษนั่นเอง

พูดเรื่องทองไหงวกมาลงที่เกลือ คุยกันขำๆ อย่าไปเครียดมาก วันนี้ลุงแมวน้ำต้องไปแล้วละครับ เอาไว้คุยต่อสัปดาห์หน้าก็แล้วกันเนอะ ^_^




Wednesday, July 25, 2012

25/07/2012 * สัญญาณกลับทิศแนวโน้มของดัชนีสำคัญ DAX, SET, BZ, GC, DBA, DJUBSAG



ตั้งแต่ต้นสัปดาห์มา วันจันทร์กับอังคาร แนวโน้มตลาดโลกปรับตัวลง ทั้งตลาดหุ้นและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ตลาดหุ้นไทยก็เช่นกัน SET index ปรับตัวลงตามทิศทางของตลาดโลก และต่างชาติขายสุทธิต่อเนื่อง ขณะเดียวกันเงินตราสกุลต่างๆอ่อนค่าลงและดอลลาร์ สรอ แข็งค่าขึ้น ประกอบกับในตอนน้นสัปดาห์มีข่าวไม่ค่อยดีจากทางยุโรปอีก กล่าวคือ รัฐบาลท้องถิ่นของสเปนเริ่มขาดสภาพคล่องและขอความช่วยเหลือทางการเงินจากรัฐบาลกลาง ซึ่งลักษณะเดียวกันนี้เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาเช่นกัน คือ รัฐบาลท้องถิ่นเริ่มถังแตกกัน

ผลจากฐานะทางการเงินที่ง่อนแง่นของรัฐบาลท้องถิ่นของสเปนทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสเปน อายุ 10 ปี พุ่งไปถึงประมาณ 7.5% ซึ่งหากเกิน 7% ถือว่าเป็นระดับที่อันตรายต่อฐานะทางการคลังแล้วเนื่องจากต้นทุนทางการเงินสูงจนอาจนำไปสู่การล้มละลายได้

ในขณะเดียวกัน ทางบริษัทจัดอันดับเครดิตมูดีส์ก็ปรับลดความน่าเชื่อถือของแนวโน้ม (Outlook rating) ของรัฐบาล 3 ประเทศ นั่นคือ เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ และลักเซมเบิร์ก โดยเฉพาะการปรับลดมุมมองของเยอรมนีลงถือว่ามีความสำคัญทีเดียว เพราะนั่นคือสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจของเยอรมนีอาจถูกเพื่อนๆในกลุ่มยูโรโซนฉุดให้จมปลักไปด้วยเช่นกัน

วันนี้ลุงแมวน้ำนำกราฟของดัชนีสำคัญบางตัวมาให้ดูกัน เนื่องจากบางตัวเริ่มมีสัญญาณทางเทคนิคที่บ่งชี้การกลับทิศแนวโน้มเป็นขาลง แม้สัญญาณจะยังมีไม่ครบครัน แต่ก็ถือว่าเป็นสิ่งบอกเหตุที่ไม่ควรประมาท


เรามาเริ่มกันที่เยอรมนีก่อน ดังกราฟต่อไปนี้


ดัชนี DAX ของเยรมนีเกิดช่องหรือ gap ขึ้น ช่องนี้โดยทั่วไปเรียกว่า falling window คือช่องที่บ่งชี้ถึงแนวโน้มขาลง แต่ลุงแมวน้ำมองว่าช่องนี้อยู่ใกล้ยอดคลื่น และเป็นยอดคลื่นที่ลุงแมวน้ำสันนิษฐานว่าเรากำลังเข้าสู่คลื่นย่อย 3 ของคลื่น C ประกอบกับมีแท่งเทียนดำใหญ่ (big black candle) 2 แท่ง ดังนั้นช่องนี้อาจไม่ใช่เพียง falling window ธรรมดา แต่อาจหมายถึง runaway gap อันเป็นช่องซึ่งเป็นสัญญาณทางเทคนิคที่บ่งชี้ถึงขาลงอันยาวนานก็เป็นได้


ทีนี้มาดูดัชนีเซ็ตกันบ้าง ดังภาพต่อไปนี้


จากภาพ จะเห็นว่ากราฟของ SET index คล้ายคลึงกับดัชนี DAX นั่นคือ มีหน้าต่างขาลง (falling window) ที่ใกล้ยอดคลื่น แต่ยังขาดแท่งเทียนดำใหญ่ แต่ก็เป็นไปได้ว่าช่องนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของขาลงยาวหรือเป็น runaway gap ได้ ควรติดตามดูต่อไป


จากนั้นก็มาดูกราฟราคาทองคำ ดังภาพต่อไปนี้


นักลงทุนไทยเท่าที่ลุงแมวน้ำสังเกต ดูจะนิยมลงทุนทองคำมากกว่าลงทุนน้ำมันดิบ อันที่จริงช่วงก่อนหน้านี้น้ำมันดิบเทรดยากกว่าทองคำ แต่ตอนนี้รูปแบบทางเทคนิคของน้ำมันดิบดูจะเทรดง่ายกว่าทองคำ เนื่องจากราคาทองคำมีก่อรูปแบบทางเทคนิคเป็นสามเหลี่ยมชายธง เด้งไปเด้งมาอยู่แถวนี้ไม่ไปไหนไกล แบบนี้เทรดยาก แต่อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เข้าสู่ปลายชายธงแล้ว อีกไม่นานก็จะรู้ว่าราคาจะตัดทะลุขึ้นหรือตัดทะลุลงที่ปลายชายธง


จากนั้นก็มาดูราคาน้ำมันดิบกับบ้าง ดูน้ำมันเบรนต์ BZ กันดีกว่า ดังภาพต่อไปนี้



ราคาน้ำมันดิบเบรนต์อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น มาติดที่ระดับฟิโบนาชชี 50% แล้วย่อลงมา ที่จริงยังไม่มีสัญญาณกลับทิศอะไรที่ชัดเจนนัก แต่เนื่องจากราคาน้ำมันดิบมักตามสถานการณ์ของตลาดหุ้น หากตลาดหุ้นวายราคาน้ำมันดิบก็มักวายไปด้วย ดังนั้นเผื่อใจระวังเอาไว้หน่อยก็ดี


จากนั้นก็มาดูสินค้าเกษตรกัน เราดูกองทุน DBA อันเป็นอีทีเอฟสินค้าเกษตรในตลาดสหรัฐอเมริกา


ลุงแมวน้ำทำราคา DBA เทียบกับกองทุน K-agri และดัชนีสินค้าเกษตร DJUBSAG เทียบไว้ให้ดู 2 จุด จะเห็นว่าสินค้าเกษตรเด้งแรงในช่วงสั้น จากนั้นก็ก่อตัวเป็นยอดคลื่น สัญญาณกลับทิศยังไม่ชัด จะเป็นอย่างไรต่อไปต้องติดตาม


จากนั้นก็มาดูราคายางพารา ดูที่ยางพาราตลาดโคตอมหรือ tocom rubber ในตลาดญี่ปุ่นกันก่อน ดังภาพต่อไปนี้


ในระยะที่ผ่านมาช่วงสั้นๆ ราคายางพาราไม่ค่อยตามสินค้าเกษตรอื่นเท่าไร เนื่องจากพางพารามีความเป็นอสินค้าอุตสาหกรรมด้วย ราคายางโตคอมทำจุดต่ำสุดใหม่ เป็นสัญญาณที่ไม่ดีเลย บ่งชี้ว่าราคายังลงได้อีก

จากนั้นมาดูยางพาราตลาด AFET หรือ RSS3 กันบ้าง ดังภาพต่อไปนี้


ราคายางพารา RSS3 ยังไม่เกิดจุดต่ำสุดใหม่อันเนื่องจากผลของอัตราแลกเปลี่ยน แต่ไม่ควรประมาทเพราะราคาลงลดทุกวัน ไม่แน่ว่าอาจทำจุดต่ำสุดใหม่ในอีกไม่กี่วันนี้ โอกาสลงยาวก็มีครับ ควรระวัง






Tuesday, July 24, 2012

สรุปภาวะการลงทุนรอบสัปดาห์ 16/07/2012 - 20/07/2012 * คลื่นย่อย 3 ของคลื่นคลื่น C ใหญ่



วันนี้เป็นวันแรกที่ลุงแมวน้ำเริ่มใช้เว็บบล็อกรูปโฉมใหม่ หลายคนคงไม่ค่อยคุ้นตา ลุงแมวน้ำเองก็ไม่คุ้นหมือนกัน คลำหาเมนูแบบใหม่อยู่ตั้งนานกว่าจะพอใช้ได้

ที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบนี้ก็ไม่มีอะไรหรอก ขอสารภาพว่าลุงแมวน้ำเล่นซนน่ะ คลิกโน่นคลิกนี่ไปเรื่อย จนไปเปลี่ยนเทมเพลตของบล็อกเข้า ก็เลยกลายเป็นแบบนี้ แถมเปลี่ยนถาวรเสียด้วย กู้คืนไม่ได้ ลุงลองพยายามกู้คืนแล้วใช้เวลาไปโข แต่กู้ไม่สำเร็จ ก็เลยต้องปล่อยเลยตามเลย คิดเสียว่าโลกก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลง แต่ที่จริงลุงแมวน้ำน่าจะพูดสร้างภาพเสียหน่อยนะ บอกว่าทำให้บล็อกดูทันสมัย มีการเปลี่ยนแปลง มากกว่าที่จะบอกว่าคลิกผิดแล้วแก้กลับคืนไม่ได้ แต่ก็ช่างเถอะ บอกไปแล้วนี่ ^_^

วันนี้ลุงแมวน้ำเขียนอะไรมากไม่ทันครับ เพราะเสียเวลาไปการการคลำเมนูการใช้งานแบบใหม่ ได้แต่เอาภาพมาให้ดู ลุงแมวน้ำขอสรุปในสัปดาห์ที่ผ่านมา (16/07/2012 ถึง 20/07/2012) พร้อมกับเมื่อวาน 23/07/2012 ไปพร้อมกันเลยละกัน

ตลาดในสัปดาห์ที่แล้ว ทั้งตลาดหุ้นและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวขึ้น โดยเฉพาะน้ำมันขึ้นแรง สาเหตุน่าจะมาจากเรื่องความวุ่นวายในซีเรียกับเรื่องเดิมคืออิหร่าน บวกกับการปั่นตลาดสินค้าโภคภัณฑ์เพื่อเก็งกำไร ทั้งน้ำมันดิบและสินค้าเกษตรขึ้นแรง ส่วนตลาดตราสารหนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอเมริกัน 10 ปี ลดลงอีก ค่าเงินดอลลาร์ สรอ แข็งค่าเล็กน้อย เงินยูโรอ่อนตัวลงเล็กน้อย

จนมาถึง 23/07/2012 ตลาดหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกปรับตัวลงแรงพอควร เนื่องจากมีข่าวว่ารัฐบาลท้องถิ่นของแคว้นวาเลยเซียของสเปนต้องขอรับเงินช่วยเหลือฉุกเฉินเพราะขาดสภาพคล่อง พูดง่ายๆคือถังแตกแล้ว ก็เลยเป็นเรื่องขึ้นมา อัตรผลตอบแทนพันธบัตรสเปนจึงพุ่งเกิน 7% ซึ่งถือว่าอันตรายแล้ว หุ้น และน้ำมัน สินค้าเกษตรจึงถูกเทขาย ยกเว้นทองคำที่ยังทรงตัวอยู่

หากมองในแง่การวิเคราะห์ทางเทคนิค ตอนนี้โลกน่าจะเข้าสู่คลื่น 3 ในคลื่น B ดัชนีตลาดหุ้นเยอรมนีเกิดช่องที่เรียกว่า falling window และยังเกิดแท่งเทียนดำใหญ่ (big black candle) ซึ่งเป็นสัญญาณที่ไม่ดี ดังในภาพ ตลาดหุ้นและน้ำมันดิบไหลลงแล้ว ยางพาราก็ไหล ทองคำเข้าถึงปลายสามเหลี่ยมชายธงพอดี ปกติเมื่อถึงปลายชายธง หากไม่ขึ้นแรงก็ลงแรง แต่ลุงแมวน้ำคิดว่าคงลงแรงมากกว่า เพราะดอลลาร์ สรอ มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอีก

วันนนี้คุยกันสั้นๆก่อน แต่อยากให้ลองพิจารณาตารางสรุปข้าล่างของบทความดู น่าจะพอเห็นสัญญาณอะไรหลายๆอย่างทีเดียว







Sunday, July 22, 2012

22/07/2012 * เช้าวันหยุดกับลุงแมวน้ำ: แอ่วเชียงใหม่






ลุงแมวน้ำไม่ได้เขียนบทความวันหยุดมาหลายสัปดาห์ พยายามหาโอกาสแต่ก็ต้องไปโน่นมานี่ วันนี้เพิ่งจะมีโอกาสเขียน ช่วงนี้ลุงแมวน้ำมีเวลาที่จะอัปเดตเว็บบล็อกน้อยลง เนื่องจากต้องแบ่งเวลาส่วนหนึ่งไปสานฝันครั้งยิ่งใหญ่ของลุงแมวน้ำ นั่นคือการทำธุรกิจ ดังนั้นจึงอาจต้องปรับรูปแบบการนำเสนอในเว็บบล็อกอีกครั้งหนึ่ง (หมู่นี้เปลี่ยนบ่อย) ส่วนจะเป็นอย่างไรยังนึกไม่ค่อยออกเหมือนกัน แต่ที่แน่นอนคือในเว็บบล็อกยังคงมีบทความความและการอัปเดตสภาวะการลงทุนรายสัปดาห์เช่นเดิม ที่ผ่านมาคงเห็นว่าลุงแมวน้ำใช้ใช้เฟซบุ๊กน้อยลงไปบ้าง มักไปใช้ทวิตเตอร์ โฟร์สแควร์ และอินสตาแกรม จากนั้นส่งข้อความมาที่ FB นั่นคือลุงกำลังหัดใช้งานอยู่ ตอนนี้พอใช้เป็นแล้ว ก็คงกลับมาใช้ FB มากขึ้น ชีวิตก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยแบบนี้แหละ ก็ต้องขอขอบคุณทุกคนที่มาเป็นเพื่อนและเป็นกำลังใจให้ลุงแมวน้ำอย่างสม่ำเสมอ

เมื่อต้นเดือนลุงแมวน้ำเดินทางไปเชียงใหม่มา ยังไม่ค่อยได้เล่าอะไรเท่าไร วันหยุดนี้จึงขอเล่าเกี่ยวกับการเดินทางไปเชียงใหม่พร้อมกับนำภาพในการเดินทางมาฝาก คงไม่ถึงกับเป็นสารคดีท่องเที่ยวอะไรหรอก เอาเป็นว่าเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับการเดินทางก็แล้วกัน ลุงแมวน้ำจะโพสต์ภาพและเล่าเกี่ยวกับการเดินทางไปด้วย




คณะละครสัตว์ออกเดินทาง ช่วยกันขับรถเองตามประสาคณะละครสัตว์จอมประหยัด ภาพนี้เอามาจากหนังแอนิเมชันเรื่องมาดากัสการ์ 3 เห็นว่าเข้ากับบรรยากาศดีเลยขอนำมาใช้เสียหน่อย ^_^ ออกจากรุงเทพฯตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง




ภาพนี้ถึงสิงห์บุรีแล้ว เลยถ่ายป้ายบอกทางเอาไว้เป็นหลักฐาน ว่ายังไม่หลงทาง ฟ้าครึ้มมาตลอดทางเลย




เราใช้ทางหลักสู่เชียงใหม่ เส้นที่รถทัวร์ใช้กันนั่นแหละ คือผ่านสิงห์บุรี ชัยนาท กำแพงเพชร ตาก ลำปาง แล้วก็เข้าสู่เชียงใหม่ ลุงไล่จังหวัดตามรายทางที่ผ่านไม่ครบทุกจังหวัดหรอกนะ เอาเท่าที่จำได้

นาข้าวเขียวขจีตามรายทาง ดูแล้วชื่นใจ เส้นทางระหว่างจังหวัดกำแพงเพชรกับตากนั้นถนนชำรุดเยอะมาก เป็นหลุมเป็นบ่อ ปุๆปะๆ เต็มไปหมด ถามชาวบ้านว่าทำไมถนนช่วงนี้จึงเป็นแบบนี้ ชาวบ้านตอบว่าเป็นเพราะรถบรรทุกวิ่งกันมาก อีกทั้งยังแบกน้ำหนักเกิน ถนนจึงชำรุดเร็ว ชำรุดแบบนี้มาหลายปีแล้ว ไม่ค่อยมีการซ่อมแซมเท่าไร ลุงถามเขาอีกว่าแล้วทำไมรถบรรทุกจึงบรรทุกน้ำหนักเกินล่ะ แบ๊ะ...แบ๊ะ...แบ๊ะ... บอกไม่ได้...

คณะละครสัตว์ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯถึงเชียงใหม่ 9 ชั่วโมง คันอื่นๆวิ่ง 7 ชั่วโมงกว่าๆก็ถึงแล้ว แต่พวกเราขับๆหยุดๆ แวะตามรายทางบ่อย จึงเดินทางช้าไปบ้าง เมื่อไปถึงเชียงใหม่ก็บ่ายแก่ๆ เกือบเย็นแล้วล่ะ ก็เลยหาที่พักและเช็คอินเข้าที่พักกันก่อน




เชียงใหม่ในเดือนกรกฏาคมไม่คึกคัก ถือเป็นโลว์ซีซัน ห้องพักจึงหาได้ไม่ยาก ไม่มีที่ไหนเต็มสักแห่ง เราก็เลือกพักกันได้ตามสบาย โดยเลือกเอาแถวถนนห้วยแก้ว ถนนเส้นนั้นที่พักเยอะทีเดียว ไปได้โรงแรมแห่งหนึ่งในราคาห้องละ 800 บาท/คืน รวมอาหารเช้าเสียด้วย หากไม่ต้องการอาหารเช้าก็คิด 500 บาท นี่เป็นราคาโลว์ซีซัน เราก็เลยแบ่งกันพักห้องละ 2 ตัว

โรงแรมนี้เป็นโรมแรมเก่า แต่ปรับปรุงสภาพห้องเสียใหม่หรือที่เรียกว่ามีการรีโนเวต ห้องพักดูดี น่าอยู่ แต่ห้องน้ำนี่สิ ยังเห็นเค้าของความเก่าแก่อยู่ นั่นคือ อ่างอาบน้ำยุคโบราณ อ่างแนวนี้นิยมกันในสมัย 20-30 ปีที่แล้ว มีน้ำอุ่นด้วย แต่ใช้งานน้ำอุ่นค่อนข้างยุ่งยาก ต้องเปิดก๊อกน้ำอุ่นผสมกับน้ำเย็น แล้วต้องเปิดน้ำแรงพอควรฝักบัวจึงจะทำงาน ไม่อย่างนั้นฝักบัวจะไม่ทำงาน สมัยนี้ห้องพักตามโรงแรมใหม่ๆ ถ้าเป็นราคาระดับกลางๆแบบนี้ก็มักไม่มีอ่างอาบน้ำกันแล้ว ส่วนใหญ่เป็นฝักบัวกันหมดเพราะว่าต้องการประหยัดน้ำ

ลุงแมวน้ำชอบอ่างอาบน้ำนี้มาก ใช้เป็นที่นอนตอนกลางคืนได้อย่างสบาย เป็นแมวน้ำก็ต้องชอบน้ำสิ ^_^




อาหารมื้อเช้าที่ห้องอาหารของโรมแรมมีสลัดผัก ขนมปัง นมกับคอร์นเฟลก ข้าวต้มกุ๊ย ข้าวต้มเครื่อง และอาหารไทย 3-4 อย่าง แล้วแต่จะเลือก ตามด้วยผลไม้ ชา กาแฟ อากาศยามเช้าสบายๆ มุมที่ถ่ายภาพนี้รับไออุ่นของแดดยามเช้า ด้านหลังเป็นเรือนไทยทรงสวย บรรยากาศดีเชียวแหละ แต่ว่าไม่ได้นั่งกินตรงนี้จริงๆหรอก ใช้ถ่ายรูปเท่านั้นเพราะว่านั่งเดี๋ยวเดียวก็ร้อนแดดแล้ว




กินอาหารเช้าแล้วก็เข้าไปเที่ยวในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่หรือที่เรียกสั้นๆว่า มช. กัน มช. ในวันนี้แตกต่างจากเมื่อหลายปีก่อนพอสมควร ตึกรามปลูกใหม่ขึ้นมาหลายตึก บรรยากาศภายใน มช. ช่วงฤดูฝนร่มรื่นและเขียวขจี น่าอยู่ทีเดียว แต่หน้าร้อนก็ร้อนเอาเรื่อง ในภาพนี้เป็นโรงอาหารของคณะสังคมวิทยา เมื่อก่อนถ้าลุงแมวน้ำแวะมาก็จะมากินข้าวซอยที่นี่ ชามละ 15 บาทเอง ชามเบ้อเริ่ม อร่อยด้วย แต่ต่อมามีการจัดร้านค้าเสียใหม่ แถมวันนี้ร้านอาหารในโรงอาหารก็ไม่เปิดกันเพราะว่าเป็นวันหยุด ไม่รู้ว่าป้าข้าวซอยเจ้านั้นยังขายอยู่หรือเปล่า คิดถึงจัง ^_^




ออกจาก มช. ก็ขับรถไปตามถนนสายบ่อสร้าง สันกำแพง แวะชมศูนย์ศิลปหัตถกรรมบ่อสร้างกัน ที่บ่อสร้างนี้เป็นชุมชนศิลปวัฒนธรรมแห่งหนึ่ง บนถนนช่วงสั้นๆมีร้านรวงที่ขายงานหัตถกรรมท้องถิ่น เช่น เสื้อผ้า เครื่องจักสาน งานไม้ ร่มกระดาษสา ฯลฯ ส่วนใหญ่เป็นร้านค้าย่อย มีร้านขนาดใหญ่อยู่เพียงไม่กี่ร้าน วันนั้นเป็นวันเสาร์ แต่ที่บ่อสร้างเงียบมากกกกกก อย่างที่เห็นในภาพ แทบไม่มีนักท่องเที่ยวเลย ลุงแมวน้ำถามผู้ประกอบการร้านค้าต่างๆดู ต่างก็บ่นกันว่าเงียบมาหลายเดือนแล้ว




ภาพนี้เข้ามาในศูนย์ศิลปหัตถกรรมบ่อสร้าง ที่นี่เป็นร้านค้าขนาดใหญ่ ปกติมักมีคณะทัวร์แวะมาเที่ยวและช้อปปิ้งสินค้า สินค้าขึ้นชื่อคือร่มที่ทำจากกระดาษสา วันนั้นที่ลุงแมวน้ำเห็นมีทัวร์ไต้หวันคณะเดียว และก็กำลังจะกลับกันแล้วด้วย ในร้านค้าจึงไม่มีนักท่องเที่ยว ที่เห็นในภาพมีแต่พนักงานขายและนักศึกษาที่มาดูงาน

ด้านหลังของตึกที่ขายสินค้านี้เป็นลานเล็กๆ แต่ไม่เห็นในรูปหรอก ในลานหลังตึกจะมีช่างเขียนประจำอยู่หลายคน ใครที่ซื้อเสื้อยืดหรือซื้อร่มจากในตึกสามารถเอามาให้ช่างที่นี่เพนต์สีและลวดลายเพิ่มเติมลงไปได้ ค่าเขียนประมาณ 100 บาท วันที่ลุงแมวน้ำไปนั้นช่างก็นั่งเหงากัน




ถัดจากศูนย์ร่มบ่อสร้างเป็นร้านเซรามิกขนาดใหญ่มาก ตัวร้านค้าเป็นอาคารชั้นเดียวที่ยาวมาก ที่เห็นในภาพเป็นส่วนเดียวของร้านเท่านั้น แต่ทว่าภายในร้านก็ดังที่เห็น ไม่มีลูกค้าอยู่เลย ทัวร์ก็ไม่มีลง บรรยากาศวังเวง





ออกจากบ่อสร้าง ลุงแมวน้ำก็ไปเที่ยวย่านอำเภอหางดงอันเป็นถิ่นของหัตถกรรมแกะสลัก สถานที่ท่องเที่ยวที่ลุงแมวน้ำต้องแวะให้ได้ก็คือบ้านร้อยอันพันอย่าง ของ อาจารย์ชรวย ณ สุนทร ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้วแต่ยังไม่เคยเข้าไปชมเสียที

บ้านร้อยอันพันอย่างนี้มีลักษณะเป็นพิพิธภัณฑ์เอกชน ซึ่งจัดว่าเป็นธุรกิจเพื่อสังคมที่น่าสงสารมาก เพราะโดยสภาพแล้วพิพิธภัณฑ์มีไว้เพื่อบริการความรู้ แต่ด้วยความที่เป็นเอกชนจึงต้องดิ้นรนหารายได้เพื่อเลี้ยงตนเอง ช่องทางการหารายได้มีค่อนข้างจำกัด ส่วนหนึ่งคือมาจากค่าเข้าชม ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ไม่อยากจ่ายแม้ว่าจะไม่ได้แพงมากมายอะไร รายได้อื่นก็เช่นการขายสินค้าหรือของที่ระลึกแก่ผู้เข้าชม

ลุงแมวน้ำเคยไปดูพิพิธภัณฑ์จ่าทวีที่พิษณุโลกซึ่งอนุรักษ์ศิลปะพื้นบ้านของถิ่นนั้นเอาไว้ เมื่อเข้าไปดูแล้วก็ต้องทึ่งถึงทุนทรัพย์และแรงกายแรงใจของจ่าทวีผู้บุกเบิกที่ทุ่มเทให้แก่พิพิธภัณฑ์ คนใจไม่รักจริงๆทำไม่ได้หรอก แต่ผลที่เกิดขึ้นก็คือพิพิธภัณฑ์เลี้ยงตนเองไม่ได้ ได้รางวัล ได้กล่องอะไรต่ออะไรมาก็มากแต่ไม่ค่อยได้เงิน เพราะค่าเข้าชมประมาณ 20-30 บาทเท่านั้น เก็บเฉพาะผู้ใหญ่ด้วย เด็กเข้าฟรี แต่คนก็ไม่ค่อยอยากเข้ากันเพราะคิดเสียดายเงินค่าเข้าชม บางคนเดินมาด้อมๆมองๆอยู่หน้าพิพิธภัณฑ์ พอรู้ว่าต้องเสียเงินค่าเข้าชม 20 บาทเดินกลับก็มี นอกจากรายได้น้อยแล้วแถมยังต้องเสียภาษีท้องถิ่นอีกมากโดยไม่มียกเว้น

พิพิธภัณฑ์บ้านร้อยอันพันอย่างนี้ก็เช่นกัน ชั้นล่างเป็นร้านขายงานไม้แกะสลัก สวยๆทั้งนั้น เก็บค่าเข้าชม 20 บาท ส่วนชั้นบนเป็นตัวพิพิธภัณฑ์จริงๆ มีอยู่สามชั้น เก็บค่าเข้าชม 100 บาท มีนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยที่ชมแค่ชั้นล่าง ไม่ได้ขึ้นไปถึงชั้นบน แต่ถ้าใครที่ได้ขึ้นไปแล้วก็จะรู้ว่าค่าเข้าชมนั้นเก็บอย่างไรก็ไม่มีทางที่พิพิธภัณฑ์จะรวยขึ้นมาได้ เพราะว่างานแกะสลักที่อยู่ชั้นบนนั้นเป็นงานชั้นเลิศทั้งนั้น แกะจากท่อนไม้สักเก่า บางท่อนใหญ่มากอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน และแกะด้วยช่างแกะสลักมือชั้นครูซึ่งหลายคนก็ได้เสียชีวิตไปแล้วและปัจจุบันไม่มีช่างรุ่นใหม่ที่มีฝีมือเทียบเคียงได้เลย แค่การสะสมงานเก่าฝีมือชั้นครูเหล่านี้ก็ต้องหมดเงินไปมหาศาลแล้ว

พิพิธภัณฑ์ชั้นบนนั้นคุ่มค่าน่าชมมาก แต่บางส่วนไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป บางส่วนก็อนุญาต แต่แค่นี้ก็ถือว่าใจกว้างมากแล้วเพราะงานแบบนี้หากเป็นพิพิธภัณฑ์อื่นคงห้ามถ่ายรูปทุกชิ้น ภาพที่ลุงแมวน้ำเอามาให้ชมนี้เป็นงานไม้สักแกะสลัก แกะเป็นรูปฟอสซิลไดโนเสาร์ วันนั้นตอนที่ลุงแมวน้ำไปมีคนเข้าชมพิพิธภัณฑ์น้อยมาก




ภาพนี้เป็นเสาช้าง แกะสลักจากไม้สักท่อนใหญ่ สังเกตลวดลายที่สลักเป็นผิวหนังของช้าง ละเอียดงดงามวิจิตรมาก




กว่าจะชมพิพิธภัณฑ์เสร็จก็เย็นแล้ว ลุงแมวน้ำจึงไปเที่ยวตลาดนัดถนนคนเดินต่อเลย ถนนสายนี้มีชื่อว่าถนนวัวลาย อยู่ในตัวเมืองเชียงใหม่นั่นเอง ทุกเย็นวันเสาร์จะปิดถนนและจัดเป็นถนนคนเดิน เป็นถนนสายที่ยาวมาก มีสินค้าขายตลอดถนน หากเดินชมสินค้าไปเรื่อยๆกว่าจะสุดถนนก็หลายชั่วโมง เดินกันจนเมื่อยครีบเจ็บพุงไปหมด

บรรยากาศของถนนคนเดินตลาดวัวลายนี้ต่างจากสภาพเงียบเหงาในตอนกลางวันที่ลุงแมวน้ำพบเห็นมาอย่างลิบลับ เพราะที่นี่คนแน่นมาก มีทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ สินค้าและความหลากหลายมากกว่าที่อำเภอปายหลายขุมทีเดียว




สินค้าที่ขายก็มีต่างๆนานาหลากหลาย ที่เห็นในภาพเป็นภาชนะย้อนยุค สมัยลุงแมวน้ำยังเด็กๆ ปิ่นโต ถัง กะละมัง โลหะเคลือบสี แต่นี่เป็นของใหม่ ปัจจุบันก็ยังมีผลิตกันอยู่ ไม่ใช่ของใช้แล้ว แผงนี้ไม่ค่อยมีคนสนใจแวะดู ส่วนใหญ่เดินผ่านไปกันหมด เจ้าของแผงนั่งเหงาเชียว




ดูร้านนี้ ต่างจากร้านขายปิ่นโตโบราณลิบลับ ร้านนี้คนจะเหยียบกันตาย เป็นร้านขายกระเป๋าผ้า พวกกระเป๋าแม้วก็มี ราคา 140 บาทขึ้นไป ซึ่งถือว่าไม่แพง ที่กรุงเทพฯแพงกว่านี้มาก จึงขายดี คนขายนับเงินเหนื่อยมากกกกกก ลุงแมวน้ำเห็นแล้วอยากไปช่วยเขานับเงินจัง




เห็นอะไรไหม นี่ไง หมอนข้างช้าง หมอนข้างปลา ขายดีไม่น้อย เด็กๆชอบซื้อ ต่อไปลุงแมวน้ำจะผลิตหมอนข้างแมวน้ำมาขายแข่งกับหมอนข้างพวกนี้ รอก่อน อีกไม่นานเกินรอ ^_^




ในงานนอกจากมีสินค้าแล้วยังมีบริการและโชว์ต่างๆอีกด้วย วงดนตรีคนพิการมีอยู่ 2 คณะ วงดนตรีชาวเขาก็มี ที่เห็นนี้เป็นคณะละครสัตว์สี่ขา หมาน้อยตัวนี้ขับรถได้คล่องแคล่ว คนถ่ายรูปกันใหญ่ ที่จริงไม่ได้ขับรถเองหรอก รถคันนี้ใช้รีโมตน่ะ เป็นรถวิทยุบังคับ มีคนขับตัวจริงยืนอยู่ใกล้ๆ แต่คนขับสี่ขาวางมาดได้เท่มาก ลุงแมวน้ำเห็นแล้วเสียวตกงานอยู่เหมือนกัน อ๊ะ ไม่ได้สิ...ต้องหาทางสกัดดาวรุ่งเสียแล้ว ^_^




บริการเขียนภาพเหมือน นี่เป็นจุดหนึ่งที่มีนักท่องเที่ยวแวะชมกันแน่นขนัด วาดภาพเหมือนและรอรับกันเดี๋ยวนั้นเลย มีช่างวาดภาพให้บริการอยู่หลายคน

และในถนนคนเดินเส้นนั้นยังมีบริการแหวกแนวอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือ บริการวาดภาพด้วยแท็บเล็ต นี่ทันสมัยจ๋าเลย ก็คือวาดภาพเหมือนแบบนี้แหละ แต่ไม่ได้วาดด้วยดินสอและกระดาษ ใช้ปากกาสไตลัสและแท็บเล็ตแทน ดูเหมือนจะราคาภาพละ 300 บาท ภาพที่ได้เป็นไฟล์ดิจิตัล วาดเสร็จก็ส่งให้ลูกค้าทางอีเมล สะดวกมาก ลูกค้าเยอะพอควร ถนนทั้งเส้นเห็นมีอยู่รายเดียว ถ้ามองในแน่การตลาดก็ถือว่าเป็นธุรกิจแบบน่านน้ำทะเลครามหรือ blue ocean business ได้กระมัง ลุงแมวน้ำไม่ได้ถ่ายรูปเอาไว้ น่าเสียดาย ได้แต่เล่าให้ฟังโดยไม่มีรูป

กว่าจะเดินเสร็จก็ห้าทุ่ม ลุงแมวน้ำยังเดินไม่หมดถนนเลย แต่ตลาดวายเสียก่อน เพราะถนนคนเดินเลิกห้าทุ่ม แต่ถึงจะเดินไม่หมดลุงแมวน้ำก็เมื่อยมากเหมือนกัน เลยกลับที่พัก ไปนอนในอ่างอาบน้ำดีกว่า คร่อก...




เช้าวันถัดมาลุงแมวน้ำมีงานโชว์ตัว ก็ไม่เล่าละนะ ขอข้ามไป ไปเล่าตอนเที่ยวขากลับก็แล้วกัน

ลุงแมวน้ำกลับทางถนนเส้นอำเภอสารภี คือจากเชียงใหม่ไปทางสารภี แล้วไปออกลำพูน ที่เลือกใช้เส้นทางนี้เพราะอยากชมวิว เนื่องจากถนนเส้นอำเภอสารภีนี้ขึ้นชื่อลือเลื่องด้านความสวยงามเพราะมีป่ายางนาอยู่สองฟากข้างของถนนเป็นระยะทางยาวหลายกิโลเมตร

ต้นยางนานี้สูงใหญ่มาก ความสูงได้ถึง 20-30 เมตรทีเดียว อย่างที่ลุงแมวน้ำเห็นในถนนเส้นนี้ หากเปรียบต้นยางนาเป็นยักษ์ตนหนึ่ง ตึกสี่ชั้นเมื่อเทียบกับต้นยางนาก็เหมือนตึกสูงแค่ระดับเข่าของยักษ์เท่านั้นเอง คิดดูละกันว่าต้นยางนาสูงขนาดไหน ต้นยางนานี้ที่เด็กๆในสมัยก่อนชอบเอาผลยางนามาเล่นไง เพราะผลยางนามีปีกสองข้าง โยนเล่นแล้วผลยางนาจะค่อยๆร่อนลงมาเหมือน ฮ. ที่กำลังร่อนลง น่าสนุก แต่เด็กสมัยนี้ไม่เล่นผลยางนาแล้ว ไปเล่นแท็บเล็ตแทน

เวลาขับรถไปตามถนน ยางนาตระหง่านสองข้างทางเหมือนกำลังตั้งแถวต้อนรับลุงแมวน้ำ เท่มากเลย ถนนสายยางนานี้เมื่อหลายปีก่อนเคยมีเรื่องมีราว คือจะมีการขยายถนนและตัดต้นยางนาออกไป แต่ชาวบ้านไม่ยอม ก็เลยทำการบวชต้นไม้เสียเลย เพื่ออาศัยผ้าเหลืองคุ้มครองไม่ให้ใครมาตัดไปได้ ดังนั้นเราจึงเห็นผ้าเหลืองพันอยู่รอบโคนต้นยางนาในภาพ ลุงแมวน้ำก็ได้แต่เอาใจช่วยให้ชุมชนท้องถิ่นสามารถอนุรักษ์เส้นทางสายยางนาเส้นนี้เอาไว้ได้นานเท่านาน




เมื่อผ่านลำพูนก็แวะดูการทอผ้าฝ้ายเสียหน่อย หมู่บ้านทอผ้าฝ้ายมีอยู่ทั้งในเชียงใหม่และลำพูน ในเชียงใหม่จะอยู่แถวอำเภอจอมทอง เมื่อก่อนมีกลุ่มทอผ้าที่มีชื่อเสียงมาก นั่นคือกลุ่มของ ป้าดา ผู้บุกเบิกการทอผ้าฝ้ายและใช้สีย้อมธรรมชาติ ไม่ใช้สีย้อมที่เป็นสารเคมีสังเคราะห์ แต่ปัจจุบันป้าดาเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว

การทอผ้าพื้นเมืองเป็นหัตถกรรมที่ตกทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผ้าฝ้ายทอมือได้รับความนิยม ชาวบ้านก็มีรายได้ดี นอกจากนี้เมื่อการทอผ้าฝ้ายมีรายได้ดีทำให้แรงงานกลับคืนถิ่น พ่อแม่ลูก ปู่ย่าตายาย ได้กลับมาเป็นครอบตัวที่พร้อมหน้ากัน แต่ปัจจุบันก็งั้นๆ กระแสความนิยมไม่ค่อยเท่าไรแล้ว ค่าแรงทอผ้าฝ้ายก็งั้นๆ ดังนั้นแรงงานหนุ่มสาวก็ไหลออกไปต่างถิ่นไปเข้าโรงงานกันเป็นส่วนใหญ่ คนที่ทอผ้าก็เหลือแต่หญิงสูงอายุหรือป้าๆนั่นแหละ กับหญิงที่ติดภาระ เช่น หญิงที่ต้องเลี้ยงลูกอ่อน เป็นต้น

งานทอผ้าฝ้ายไม่ง่าย ต้องใช้แรงกายพอสมควร โดยเฉพาะแรงขา ดังนั้นหากอายุมากก็ทำไม่ได้ เป็นป้ายังพอทอไหว แต่หากเป็นยายก็ทอไม่ไหวแล้ว นอกจากนี้งานทอผ้ายังเป็นงานที่ละเอียดอ่อนและกินเวลา หากมีงานอื่นที่ง่ายกว่า คนก็เลิกทอผ้า หันไปทำอย่างอื่นแทน อย่างเช่นตอนนี้ก็ไม่ทอผ้ากันแล้ว ไปเก็บลำใยกันอยู่เพราะปีนี้ลำใยราคาดี ค่าจ้างเก็บลำใยจึงสูงกว่าค่าจ้างทอผ้า ดังนั้นหัตถกรรมผ้าฝ้ายทอมือหากนานไปและไม่ได้รับการส่งเสริมก็มีโอกาสสูญพันธุ์ได้เหมือนกัน




ลำใยจ้ะลำใย หวานชื่นใจ แต่อย่ากินเยอะนะ น้ำตาลในเลือดปรี๊ดเชียว




เส้นทางช่วงลำปาง ถนนช่วงนี้คดเคี้ยว ขับรถแล้วเหมือนเล่นอยู่ในสวนสนุก ทิวทัศน์สวยงามทีเดียว แต่ตอนขากลับฟ้ามืดเพราะฝนตั้งเค้า ตอนขากลับเจอฝนตามรายทางไปหลายรอบ แต่คณะละครสัตว์ก็กลับถึงกรุงเทพฯได้โดยสวัสดิภาพ



ทริปเชียงใหม่ของลุงแมวน้ำก็จบลงแต่เพียงนี้ เล่าโน่นเล่านี้ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย เพื่อให้สมกับเป็นวันพักผ่อน หวังว่าคงไม่เบื่อกัน

ไปก่อนละคร้าบ แล้วคุยกันใหม่ ^_^

Thursday, July 19, 2012

19/07/2012 * อัตราผลตอบแทนพันธบัตรบอกสภาวะตลาดหุ้น, ระวังราคายางพารา

การลงทุนและค่าเงิน 19/07/2012 (รายงานวันเทรดที่ 18/07/2012)



ช่วงนี้ลุงแมวน้ำอัปเดตกะพร่องกะแพร่งไปบ้างหวังว่าคงให้อภัย งานล้นครีบไปหมด ทำไม่ค่อยทัน เมื่อวานแว่บได้เดินเล่นที่เจเจมอลล์มา คนเงียบจัง ลองถามคนขายดูบอกว่าเป็นแบบนี้มาหลายเดือนแล้ว ส่วนตลาดต้นไม้คนเยอะ ดูต้นไม้ดอกไม้แล้วชื่นใจดี แต่ก็คิดว่าน้อยลงกว่าเมื่อหลายเดือนก่อน แต่เรื่องตลาดต้นไม้จตุจักรนี่ที่คนน้อยเป็นเพราะสภาวะเศรษฐกิจหรือเพราะช่วงนั้นฝนตกอยู่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่เรื่องในวงการธุรกิจสามารถบ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจได้ดี โดยเฉพาะเรื่องการดึงหนี้การค้าอันหมายถึงการชำระหนี้การค้าให้ช้าลง ถ้ามีมากขึ้นก็เป็นตัวชี้วัดได้ดี อย่างยุโรปตอนนี้ก็ลดคำสั่งซื้อและชะลอการชำระหนี้การค้ากัน ผู้ส่งออกไทยโดนกันมาหลายเดือนแล้ว ลุงแมวน้ำจะทำธุรกิจตอนนี้ก็เสียวอยู่ กลัวเจ๊งน่ะสิ แต่ถ้าถามว่าลุงจะชะลอโครงการไปก่อนไหมก็คงตอบว่าไม่หรอก โจทย์ยากก็ท้าทายดีเหมือนกัน ^__^

มาดูภาวะการลงทุนของเมื่อวันที่ 18/07/2012 กัน ตลาดหุ้นย่านเอเชียแปซิฟิกปิดบวกและลบคละกัน แต่ออกไปทางปิดลบมากกว่า ส่วนตลาดหุ้นไทยปิดที่ 1220.14 จุด (-0.33%)

ทางด้านตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ปิดบวก ดัชนีแดกซ์ 6684.42 จุด (+1.6%) ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาก็ปิดบวก 12908.70 จุด (+0.8%) ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้น น้ำมันดิบเบรนต์ 105.3 ดอลลาร สรอ/บาเรล (+1.3) ราคาทองคำ 1576.7 ดอลลาร์ สรอ/ทรอยออนซ์ (-0.8%) จะเห็นว่าดัชนีและราคาที่ลุงแมวน้ำพูดมาใกล้ราคาเป้าหมายเต็มทีแล้ว บางอย่างก็ถึงไปแล้ว

สำหรับสินค้าเกษตรปรับตัวขึ้นต่อ แต่ราคายางไม่ไปไหน ปรับตัวลงด้วยซ้ำทั้งๆที่มีข่าวรัฐบาลให้องค์การสวนยาง (อสย) รับซื้อยางแผ่นดิบในราคา 100 บาท/กก และยางพาราแผ่นดิบรมควันชั้น 3 ที่ 104 บาท/กก และมีเงื่อนไขว่าให้เฉพาะสมาชิกองค์การสวนยาง ไม่ใช่เกษตรกรทั่วไป แม้จะไม่ใช่การรับจำนำหรือการประกันราคาแต่ก็ถือว่ารัฐเริ่มเข้ามาบิดเบือนกลไกราคา นักลงทุนควรระมัดระวังเนื่องจากรัฐเข้ามาแทรกแซงตลาด หากแทรกแซงได้ผลยางพาราเริ่มไม่น่าลงทุนแล้ว หากเป็นแบบนี้ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคก็ไม่ได้ ปัจจัยพื้นฐานก็ไม่ได้อีก เพราะราคาไม่ได้เคลื่อนไหวตามธรรมชาติ ก็เหมือนราคาข้าวในตลาด AFET นั่นแหละ ไม่มีใครเทรดกันเลย ลุงแมวน้ำเองขอติดตามสักระยะหนึ่ง หากเรื่องการรับซื้อราคาสูงนี้มีผลต่อกลไกราคาลุงแมวน้ำก็คงต้องหยุดเทรด น่าเสียดายตลาด AFET เหมือนกัน ที่จริงเป็นหนทางช่วยเกษตรกรได้ทางหนึ่งในการประกันความเสี่ยงแต่ก็ไปได้ไม่ถึงไหน

วันนี้ลุงแมวน้ำเอาภาพมาฝากภาพหนึ่ง นั่นคือภาพเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย หรือ Thai Government Bond Yield Curve ดัชนีตัวหนึ่งที่บ่งชี้ตลาดหุ้นได้ดีซึ่งลุงแมวน้ำใช้อยู่ก็คืออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลนี่เอง ในช่วงที่อัตราผลตอบแทนหรือ bond yield ลดต่ำลงอย่างต่อเนื่องทั้งๆที่ตลาดหุ้นยังขึ้นได้ ก็ให้ระวังเอาไว้ว่าอีกไม่นานตลาดหุ้นจะลง

ลองมาดูภาพต่อไปนี้กัน


เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย


ภาพไม่ค่อยชัด ต้องเพ่งเอาหน่อย ^_^ภาพนี้เป็นอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรไทยในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา เส้นที่เห็นมี 5 เส้น แต่ละเส้นเป็นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่มีอายุต่างกัน จะเห็นว่าเส้นสีส้มเป็นอายุ 6 เดือน ที่จริงเรียกตั๋วเงินคลัง เป็นตราสารตลาดเงิน แต่ก็เรียกรวมว่าพันธบัตรเพื่อให้เรียกง่ายๆ

เส้นสีส้มหรือพันธบัตรอายุ 6 เดือนนั้นผลตอบแทนค่อนข้างคงที่ ส่วนเส้นอื่นๆในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมาค่อยๆปรับตัวลง โดยเฉพาะในเดือนกรกฎาคมหรือเดือนปัจจุบันนี้เป็นเดือนที่อัตราผลตอบแทนลดลงฮวบฮาบ ทั้งๆที่เดือนมิถุนายนกับกรกฎาคมเป็นเดือนที่ตลาดหุ้นไทยขึ้น โดยเฉพาะวันที่ 18/07/2012 นี้ Thai gov 10 year bond yield ลดลงถึง -7.12 จุดเบสิส (bp) ในวันเดียว แสดงว่ามีเงินไหลออกจากตลาดหุ้นไปเข้าตลาดตราสารหนี้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเงินที่ออกจากตลาดหุ้นไม่ได้เข้าไปในตลาดตราสารหนี้ทั้งหมด แต่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรก็ยังพอบ่งชี้ตลาดหุ้นได้

นี่แหละเป็นสัญญาณที่ผิดปกติ ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาขณะนี้ก็มีลักษณะเช่นเดียวกันนี้ โดย โดยตลาดหุ้นขึ้นแต่ bond yield curve ปรับตัวลง อย่างเช่นในวันที่ 18/07/2012 นี้ ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJI) ขึ้นไป +103 จุด แต่ US 10 year bond yield ลดลง 2 จุดเบสิส

หากเหตุการณ์แบบนี้เกิดยาวเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งก็ถือว่าเป็นสัญญาณบ่งชี้ทิศทางตลาดหุ้นได้ประการหนึ่ง ลองติดตามสังเกตกันดูต่อไปครับ ^_^



Tuesday, July 17, 2012

สรุปภาวะการลงทุนรอบสัปดาห์ 09/07/2012 - 13/07/2012 * ไม้สุดท้ายมาแล้ว



ช่วงนี้ลุงแมวน้ำอัปเดตอย่างกะพร่องกะแพร่งตามเคย ชีวิตวุ่นวายหลายอย่าง ส่วนหนึ่งเกิดจากข้อมูลของ yahoo รวนหนักมาก นอกจากอาการไม่ดีขึ้นแล้วยังแย่ลง ข้อมูลผิดๆถูกๆ ลุงแมวน้ำต้องระวังมากในการนำเสนอ จึงทำให้ช้า

อีกเรื่องก็คือลุงแมวน้ำกำลังวุ่นกับการตกแต่งร้านค้าอยู่ อ้าว อย่าเพิ่งงง ร้านค้าออนไลน์กับร้านร้านค้าจริงก็ต้องตกแต่งเหมือนกัน เพราะว่าหากไม่ตกแต่งแล้วก็คงไม่มีใครอยากเข้า เพียงแต่ว่าการตกแต่งคนละอย่างกัน แต่งร้านค้าไปก่อน สินค้ายังไม่มีเลย เล็งเอาไว้ตั้งแต่กล้วยตาก (ของโปรดนายจ๋อ) ไปจนถึงสินค้าแนววัยรุ่นเกาหลี (จะวางขายด้วยกันได้ไหมเนี่ย กล้วยตากกับแฟชั่นเกาหลี) แบรนด์ก็ยังไม่มี ชื่อร้านก็ยังไม่มี เพราะยังคิดไม่ออก ที่จริงตอนนี้ลุงแมวน้ำมีข้อมูลต่างๆอยู่เยอะพอควร เพียงแต่ว่ามันเหมือนจิ๊กซอว์ที่ยังไม่ได้ต่อ ลุงแมวน้ำเลยยังจับต้นชนปลายไม่ค่อยถูก เอาไว้อีกสักพักน่าจะค่อยๆลงตัวมากขึ้น

ช่วงนี้ลุงแมวน้ำเรียนเยอะด้วยครับ ไปอบรมโน่น นี่ นั่น เพื่อเสริมความรู้ เพราะว่าการเรียนรู้ก็เป็นกิจกรรมตลอดชีวิตเหมือนกับการลงทุนนั่นแหละ แม้ว่าลุงแมวน้ำหาความรู้รอบพุงอยู่เสมอ แต่เมื่อไปนั่งเรียนแบบชั้นเรียนนานหลายชั่วโมงก็ง่วงเหมือนกัน เรียนไปหลับไป เพลินดี ใส่แว่นดำซ่อนตาดำเอาไว้ไม่ให้ใครเห็นว่าหลับ ^__^

เอาละ เรามาดูเรื่องการลงทุนในรอบสัปดาห์ที่แล้วกันดีกว่า

ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา 09/07/2012 - 13/07/2012 ตลาดหุ้นโลกโดยรวมปรับตัวลงนิดหน่อย ดัชนีที่บ่งชี้ภาพรวม คือ Dow Jones Global Index ลดลงไปประมาณ -0.6% ส่วน MSCI all country world index ลดลงประมาณ -0.15% หากมองในระดับภูมิภาค ฝั่งทวีปอเมริกา ตั้งแต่แคนาดา สหรัฐอเมริกา ไปจนถึงกลุ่มละตินอเมริกา ส่วนใหญ่ปรับตัวลง กลุ่มยุโรปส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้น แรงฉุดขึ้นมาจากเยอรมนี ส่วนที่ฉุดลงก็มี ได้แก่ อิตาลีและโปแลนด์

กลุ่มแอฟริกาปรับตัวลง

ทางด้านตลาดหุ้นฝั่งเอเชียแปซิฟิกส่วนใหญ่ปรับตัวลง ตลาดใหญ่ๆทั้งนั้น ได้แก่ ออสเตรเลีย ฮ่องกง อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน ปรับลงกันไป -2% ถึง -3% ดูผิวเผินเหมือนจะแปลกๆที่ทำไมเอเชียลงมากกว่ายุโรปทั้งๆที่ปัญหาอยู่ที่ยุโรป แต่ทีจริงก็ไม่แปลก เพราะว่าเมื่อคราววิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ตลาดก็ลงหมดทั้งโลก แนวโน้มเดียวกัน แต่ในระหว่างสัปดาห์ต่อสัปดาห์หรือวันต่อวันอาจทำรูปแบบคลื่นย่อยแตกต่างกันบ้างเท่านั้นเอง

ตลาดหุ้นไทย ตลอดสัปดาห์ดัชนี SET ปรับตัวขึ้น +0.85% ต่างชาติทั้งซื้อและขายสุทธิสลับกัน แต่วันที่ซื้อก็ซื้อสุทธิน้อย

ด้านตลาดตราสารหนี้ พันธบัตรอเมริกัน อายุ 10 ปี สัปดาห์ที่ผ่านมามีอัตราผลตอบแทนลดลงอีก -4 จุดเบสิส (bps) ส่วนพันธบัตรไทย เส้นอัตราผลตอบแทน (yield curve) ลดลงตลอดทั้งเส้น พันธบัตรไทยอายุ 10 ปีลงมาอยู่ที่ 3.48% หรือลดลง -6 bps

ด้านตลาดสินค้าโภคภัณฑ์สัปดาห์ที่ผ่านมาขึ้นกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเลยทีเดียว กลุ่มพลังงาน น้ำมันดิบเบรนต์ (BZ) ขึ้นไป +3.7% ส่วนน้ำมันดิบ wti (CL) ปรับขึ้นไป +3.6% กลุ่มโลหะ (HG) ทองแดง +2.8% แต่ราคาทองคำ (GC) ไม่ค่อยไปไหน +0.8% ส่วนสินค้าเกษตรนั้นขึ้นแรง นำโดยข้าวโพด (C) +8.6% ราคาข้าวโพดใกล้ทำลายสถิติตลอดกาลแล้ว สถิติอยู่ที่ 796 ดอลลาร์ สรอ ปัจจุบันอยู่ที่ 772.5 ดอลลาร์ สรอ แรงถัดมาคือข้าวสาลี (W) +5% ข้าวสาลียังห่างสถิติอีกไกล สาเหตุมาจากการคาดการณ์เรื่องความแห้งแล้งแถบมิดเวสต์ดังที่ลุงแมวน้ำเคยเล่าให้ฟังไปแล้ว

ด้านค่าเงิน ค่าเงินดอลลาร์ สรอ อ่อนตัวลงเล็กน้อย ดัชนีดอลลาร์ สรอ (usd index) -0.1% เงินยูโรอ่อนค่า -0.3% เงินเยนกับเงินดอลลาร์สิงคโปร์แข็งค่าพอกัน +0.5% เงินรูเบิลของรัสเซียแข็งค่าแรง +1.1% ส่วนเงินบาทอ่อนค่าเล็กน้อย -0.1%

ยังจำกันได้ไหมที่ลุงแมวน้ำเคยบอกว่าตลาดหุ้นอาจขึ้่นได้อีกเล็กน้อยเพื่อให้จบ reactive wave (คลื่นขาขึ้นที่อยู่ในแนวโน้มขาลง) คือ ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJI) อาจไปถึง 13050 จุด และดัชนีแดกซ์ (DAX) ของเยอรมนีอาจไปได้ถึง 6700 ส่วนตลาดหุ้นไทยอาจไปได้ถึง 1210 จุด และน้ำมันดิบเบรนต์อาจไปได้ถึง 105-107 ดอลลาร์ สรอ/บาเรล ส่วนทองคำลุงแมวน้ำประเมินตัวเลขชัดๆไม่ออก แต่น่าจะไปได้ถึง 1600 ต้นๆเท่านั้น

ทีนี้ ลองดูภาพต่อไปนี้กัน เริ่มด้วย DJI ของสหรัฐอเมริกาก่อน


กราฟดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJI)


จะเห็นว่า DJi ใกล้ถึงระดับฟิโบนาชชี 78.6% โดยผ่านระดับ 61.8% มาแล้ว

จากนั้นก็มาดูดัชนี DAX ของตลาดหุ้นเยอรมนีกัน


กราฟดัชนีแดกซ์ (DAX) ของตลาดหุ้นเยอรมนี


จะเห็นว่าดัชนีแดกซ์ตอนนี้ป้วนเปี่ยนอยู่ที่ระดับฟิโบนาชชี 50% กำลังจะไปทดสอบที่ระดับ 61.8%


จากนั้นมาดูดัชนีของตลาดหุ้นสำคัญอีกตลาดหนึ่ง นั่นคือ ตลาดหุ้นจีน ลุงแมวน้ำใช้ดัชนี CSI 300 ของจีน


กราฟดัชนี CSI 300 ของจีน


สำหรับตลาดหุ้นจีน ก่อนหน้านี้ เมื่อปีกว่ามาแล้ว ลุงแมวน้ำนับคลื่นอีกแบบหนึ่ง แต่ต่อมาข้อมูลเพิ่มมากขึ้น ลุงแมวน้ำจึงปรับการนับคลื่นใหม่ ได้เป็นภาพข้างบนนี้ จะเห็นว่ายังไม่จบคลื่น 4 ใหญ่ ตลาดหุ้นจีนยังมีโอกาสลงได้อีกมาก CSI 300 อาจหลุด 2000 จุดก็ยังเป็นไปได้

จากการวิเคราะห์ทางเทคนิค ลุงแมวน้ำก็ติดตามสถานการณ์จริงหรือวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานไปด้วย ลุงแมวน้ำพบว่าสถานการณ์ของสหรัฐอเมริกาแม้ดีขึ้นจากเมื่อคราววิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ แต่ตอนนี้อัตราการว่างงานกลับเพิ่มขึ้นมาอีก ตัวเลขต่างๆที่ดูดีขึ้นตอนนี้เริ่มย่อลงมาแล้ว

ขณะเดียวกัน ทางฝั่งยุโรป สถานการณ์เลวร้ายลงเรื่อยๆ แม้ข่าวเรื่องการอัดฉีดสภาพคล่องและข่าวมาตรการณ์ใหม่ๆจะมีเข้ามาให้ชื่นใจอยู่ตลอดเวลา แต่หากพิจารณาจากสภาพเศรษฐกิจจริงของยุโรปพบว่าบริษัทต่างๆทยอยปลดคนงานมาโดยตลอด การผลิตที่ลดลง การลดการนำเข้าและการชะลอการชำระหนี้การค้าแก่คู่ค้า การลดอันดับเครดิตของธนาคารต่างๆ อัตราการว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้น ฯลฯ นี่ลุงแมวน้ำไม่ได้เจาะจงประเทศใด พูดในภาพรวมๆ

ส่วนทางด้านจีนเอง เมื่อตอนเกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ใหม่ๆ จีนก็เกิดฟองสบู่อสังหาแตก ทารัฐบาลจีนอัดเงินไปประมาณ 4 ล้านล้านหยวนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ผลคือเงินเฟ้อมโหฬาร ตอนนี้แม้จีดีพีจะโตไม่ค่อยสวยนัก ตัวเลขล่าสุดคือ 7.6% ซึ่งถือว่าน่าผิดหวัง แต่นายกรัฐมนตรีเวินเจียเป่าเองก็ส่งสัญญาณออกมาว่าจะไม่กระตุ้นเศรษฐกิจอย่างรุนแรงอีก เปรียบเทียบได้กับว่าจีนคงแค่ประคองตนเองไม่ให้ล้มเจ็บตัวแรงมากกว่าจะคิดผลักดันให้เดินไปข้างหน้า

เมื่อประเมินจากการวิเคราะห์ทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐานดังกล่าว ลุงแมวน้ำคิดว่าตอนนี้โลกคงเริ่มไม้สุดท้ายกันแล้วล่ะ เมื่อเดือนก่อนหน้านี้ลุงแมวน้ำบอกว่าไม้สุดท้ายยังมาไม่ถึง แต่ตอนนี้คิดว่าถึงแล้ว นั่นคือ เรากำลังเข้าสู่คลื่นย่อย 3 ในคลื่นใหญ่ C ซึ่งเป็นคลื่นขาลงที่มีความรุนแรง ลองตามดูไปภายในสัปดาห์นี้หรือสัปดาห์หน้า ตลาดหุ้นทั่วโลกอาจเริ่มไหลลงอย่างแรง ราคาน้ำมันดิบ ทองคำ ยางพารา น่าจะร่วง เงินดอลลาร์ สรอ จะทะยาน ส่วนสินค้าเกษตรนั้นดูยาก ปีนี้ผลผลิตรวมทั้งโลกของพืชหลักไม่ได้ลดน้อยลง แต่พื้นที่บางส่วนอาจเกิดความแห้งแล้ง เช่น แถบมิดเวสต์ ของ สรอ จึงนำมาเก็งกำไรกัน อาจเป็นไปได้ว่าสินค้าเกษตรอาจขึ้นแรงๆได้อีกระยะหนึ่งจึงค่อยลง

ลุงแมวน้ำยังมองต่อไปอีกว่า มาตรการ QE3 ยังไม่มาในปีนี้ ลุงแมวน้ำประเมินว่าลุงเบนเฮลิคอปเตอร์ไม่กล้าใช้ QE3 แม้ว่าจะมีเสียงเรียกร้องท่วมท้นก็ตาม ก็ดูจีนเป็นตัวอย่าง ลุงเวินมีเงินยังไม่กล้าทุ่ม ลุงเบนเองก็คงตระหนักว่าสถานการณ์คราวนี้จะรุนแรงมาก หรือไม่อย่างนั้นก็ประเมินไม่ถูกว่ารุนแรงเพียงใด จึงไม่กล้าใช้ เพราะหากสถานการณ์รุนแรงมากจริง QE3 ก็ไม่มีประโยชน์ เปรียบเหมือนกับไฟไหม้บ้าน เหลือน้ำอยู่ถังเดียวก็ต้องคิดหนักว่าจะสาดเข้าไปในกองเพลิงหรือไม่ หรือจะเก็บน้ำนั้นเอาไว้ใช้ประโยชน์อย่างอื่น เช่น ใช้ดื่ม หรือใช้ทำความสะอาดบาดแผลของผู้บาดเจ็บ ฯลฯ

ก็มองแบบแมวน้ำๆละนะ พร้อมกันนั้นก็อยากเตือนให้เพื่อนนักลงทุนรายย่อยอย่าได้ประมาทกับสถานการณ์ในช่วงต่อจากนี้ไป



กราฟแสดงความสัมพันธ์ของอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินสำคัญบางสกุลรวมทั้งทองคำ



ตารางหุ้น ฟิวเจอร์ส และกองทุนรวม และค่าสถิติต่างๆ

Thursday, July 12, 2012

12/07/2012 * ราคาทองคำเข้าสู่ปลายสามเหลี่ยมชายธงแล้ว


วันนี้ลุงแมวน้ำอัปเดตรายละเอียดไม่ทัน ขอสรุปสาระสำคัญบางประเด็นก่อนละกัน

กลุ่มโอเปกประกาศลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบเพื่อพยุงราคาน้ำมันดิบเอาไว้ไม่ให้ต่ำเกินไป (หากต่ำเกินไปจะกระทบกับรายได้ของกลุ่มโอเปก) ดังนั้นราคาน้ำมันดิบทั้ง wti และ brent จึงปรับตัวขึ้น ลุงแมวน้ำประเมินจากการวิเคราะห์ทางเทคนิค คิดว่าราคาน้ำมันดิบเบรนต์อาจไปได้ถึง 105-107 ดอลลาร์ สรอ/บาเรล

ราคาทองคำขณะนี้ในทางเทคนิคเกิดรูปแบบสามเหลี่ยมชายธงและราคาเข้าสู่ปลายชายธงแล้ว อีกไม่กี่วันคงได้รู้กันว่าราคาจะทะลุขึ้นหรือลงที่ปลายชายธง แต่ถ้าน้ำมันดิบขึ้นลุงแมวน้ำคิดว่าราคาทองคำมีโอกาสขึ้นมากกว่าลง ประกอบกับพิจารณาอัตราส่วน gold/us dollar ratio กับ oil/usd ratio ยังมีสัดส่วนที่สูงได้มากกว่านี้อีก ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าในระยะสั้นๆต่อไปราคาทองคำกับน้ำมันดิบ อาจไปต่อได้อีกในขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ สรอ ไม่ร่วง คือแค่ทรงตัวหรือลงเล็กน้อย

ตลาดหุ้นโดยรวมน่าจะไปต่อได้อีกช่วงหนึ่งสั้นๆเพื่อให้จบคลื่นย่อย ทั้งของ สรอ ยุโรป เอเชีย ส่วนของไทยยังนับคลื่นย่อยไม่ค่อยถูกแต่น่าจะไปตามกระแสโลกครับ