Wednesday, September 29, 2010

28/09/2010

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 959.27 จุด ลดลง 3.20 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาซื้อขาย ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 43 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาซื้อขาย

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาซื้อขาย ตลาดเอเซียในรายงานแดงทั้งหมด

ช่วงนี้ทุกอย่างยังคงดำเนินไปเรื่อยๆ ที่ขึ้นก็ขึ้นต่อ เช่น SET ทองคำ ยางพารา ฯลฯ ที่ลงก็ลงต่อ เช่น ดัชนีดอลลาร์ สรอ (DX) และที่ไร้ทิศทางก็ยังไร้ทิศทางต่อไป เช่น น้ำมันดิบ (CL) ผู้ที่เทรดโดยใช้ระบบสัญญาณซื้อขายและเกาะคลื่นนี้มาตั้งแต่ต้น อะไรที่ขึ้นอยู่ก็ไม่ต้องรีบขายเพราะกลัวว่าราคาจะลง มีสัญญาณขายแล้วจึงค่อยขาย รวมทั้งไม่ควรเพิ่มพอร์ตเพราะอยากได้กำไรมากยิ่งขึ้นไปอีก ช่วงนี้เป็นช่วงที่ต้องใช้อุเบกขาธรรมเช่นกัน

Tuesday, September 28, 2010

27/09/2010

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 962.47 จุด เพิ่มขึ้น 10.57 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ PTTEP, SCCC ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 43 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส มีสัญญาณซื้อ PTTEP

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาซื้อขาย ตลาดเอเซียขึ้น ส่วนตลาดยุโรปลงนิดหน่อย

Monday, September 27, 2010

24/09/2010 * DX

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 951.90 จุด เพิ่มขึ้น 4.80 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ SELTA, TPIPL ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 41 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณซื้อโกโก้ (CC)

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาซื้อขาย ตลาดส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้น ตลาดจีนหยุดทำการ

ช่วงนี้ใครๆก็พูดกันถึงเรื่องค่าเงินบาทแข็ง ที่จริงไม่ใช่แข็งเฉพาะบาท แต่ค่าเงินสกุลอื่นๆก็แข็งขึ้นด้วย แต่จะมากหรือน้อยนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ค่าเงินสกุลต่างๆในโลกแข็งค่าขึ้นก็เพราะว่าค่าเงินดอลลาร์อ่อนนั่นเอง

มาดูกราฟค่าดัชนีดอลลาร์ สรอ (DX) อันเป็นตัวชี้วัดที่สะท้อนถึงความแข็งอ่อนของเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ที่ผ่านมา DX อ่อนค่าลงมามากจนถีึงระดับ 74.325 จุดในช่วงเดือนธันวาคม 2009 หลังจากนั้น DX ก็แข็งค่าขึ้นไปจนถึง 88.473 จุดในเดือนมิถุนายน 2010 หรือว่าในช่วงกลางปีมานี้เอง จากนั้น DX ก็ร่วงลงมาจนในปัจจุบัน DX มีราคาต่ำกว่า 80 จุดแล้วและเป็นที่มาส่วนหนึ่งที่ทำให้เงินตราสกุลอื่นๆแข็งค่าขึ้น

แต่อย่างไรก็ดี จากการวิเคราะห์ทางเทคนิคโดยใช้การนับคลื่น ลุงแมวน้ำก็ยังมองอย่างเดิมว่าคลื่นลูกปัจจุบันที่กำลังดำเนินอยู่นี้เป็นคลื่น 4 (สีน้ำตาล) ตราบใดที่ DX ยังไม่หลุด 78.610 จุดลุงแมวน้ำก็คงยังไม่เปลี่ยนมุมมอง และนั่นหมายความว่าลุงแมวน้ำมองว่า DX ยังมีโอกาสเข้าสู่คลื่น 5 (สีน้ำตาล) ซึ่งเมื่อเข้าสู่คลื่น 5 จะทำให้เงินดอลลาร์แ็ข็งค่าขึ้น




Friday, September 24, 2010

23/09/2010

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 947.10 จุด เพิ่มขึ้น 2.10 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 39 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณขายข้าวสาลี (W)

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาซื้อขาย ตลาดเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และจีนหยุดทำการ

22/09/2010

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 945.00 จุด เพิ่มขึ้น 7.79 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ AOT, GLOW, KBANK, SCB ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 39 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาซื้อขาย ตลาดเกาหลีใต้และจีนหยุดทำการ

Wednesday, September 22, 2010

21/09/2010 * DJIA

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 937.21 จุด เพิ่มขึ้น 14.15 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ BLA, CPF ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 35 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาซื้อขาย ตลาดเกาหลีใต้หยุดทำการ ตลาดส่วนใหญ่ปิดบวกนิดลบหน่อยกระจายกันไป

เมื่อวานดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jones, DJI, DJIA) ปิดบวกเพิ่มขึ้นราว 1.5% ด้วยข่าวที่ว่าสหรัฐอเมริกาหลุดพ้นจากสภาพเศรษฐกิจถดถอยแล้ว ข่าวก็คือข่าว สภาพความจริงก็คือสภาพความจริง แต่การเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหุ้นเกิดจากปัจจัยของอารมณ์ ดังนั้นไม่ว่าสภาพความเป็นจริงจะเป็นอย่างไรแต่ว่าขณะนี้อารมณ์ของนักลงทุนในตลาดดาวโจนส์ตอบสนองข่าวนี้ด้วยดี เราลองมาดูทางด้านเทคนิคซึ่งเป็นเครื่องมือที่พยายามตรวจวัดและคาดการณ์อารมณ์ของนักลงทุนว่าเป็นอย่างไร

จากกราฟ DJI ขณะนี้ในระยะสั้นๆ DJI เป็นแนวโน้มขาขึ้นเนื่องจากมีท้องคลื่นที่ยกสูงขึ้น (rising trough) อีกทั้งขณะนี้ดัชนีได้ขึ้นมาเกินยอดเดิมที่ 10,698.80 จุดมาแล้ว



ขั้นต่อไปเราต้องรอดูที่ดัชนี 11,205 (ยอดคลื่น 3 สีน้ำตาล) จุดว่า DJI จะผ่านระดับนี้ไปได้หรือไม่ หากผ่านไปได้ โอกาสที่คลื่น B (สีน้ำเงิน) จบไปแล้วและเรากำลังอยู่ในคลื่นขาขึ้น 1-2-3-4-5 จะมีสูง ดังนี้



และถ้าเราอยู่ในคลื่นขาขึ้น 1-2-3-4-5 จริงก็หมายความว่าโอกาสที่ดัชนีจะไปต่อจนเกินยอดคลื่น 5 (สีน้ำเงิน) เดิม (ที่ 14,164.50 จุด) ก็มีสูงด้วย ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เนื่องจากดัชนี SET เราก็ต้องนับคลื่นใหม่และประเมินกันใหม่ไปแล้ว ดัชนี DJI ก็อาจจำเป็นต้องนับคลื่นและประเมินใหม่เช่นกัน รวมทั้งดัชนีของประเทศในแถบยุโรปซึ่งมักตามอเมริกาด้วย

สมมติว่าดัชนีดาวโจนส์อยู่ในคลื่นขาขึ้นจริงก็คงต้องระวังว่าเงินที่หมุนเวียนในภูมิภาคเอเชียจะไหลกลับไปเก็งกำไรในฝั่งตะวันตก

Tuesday, September 21, 2010

20/09/2010

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 923.06 จุด ลดลง 0.51 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ THAI และมีสัญญาณขาย SCCC ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 33 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาซื้อขาย ตลาดญี่ปุ่นหยุดทำการ ตลาดส่วนใหญ่ปิดบวกยกเว้นจีนและออสเตรเลียที่ปิดลบนิดหน่อย

Monday, September 20, 2010

17/09/2010 * Currencies, เทรดตามระบบแล้วได้กำไรแน่ๆหรือไม่ (8)

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 923.57 จุด ลดลง 1.24 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ PS และมีสัญญาณขาย ADVANC, PTTEP, TRUE ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 33 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาซื้อขาย

ในระยะนี้ตลาดส่วนใหญ่กลายเป็นไม่มีทิศทาง ดังนั้นจึงยังดูอะไรไม่ชัด ที่ทำได้คือรอดูไปก่อน

ทางด้านอัตราแลกเผลี่ยนเงินตรานั้น ช่วงที่ผ่านมาเงินเยนของญี่ปุ่นแข็งค่าค่อนข้ารวดเร็วและต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน ธนาคารชาติของญี่ปุ่นของเข้าแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยน ผลทำให้ค่าเงินเยนอ่อนตัวลงมาบ้าง เงินบาทของไทยก็เช่นกัน แต่ยังไม่รู้ว่าผลในระยะยาวจะเป็นอย่างไร ที่จริงแล้วยังมีเงินอีกสกุลหนึ่งซึ่งแข็งค่าค่อนข้างเร็ว นั่นก็คือเงินดอลลาร์ออสเตรเลีย ดูจากกราฟเปรียบเทียบก็จะเห็นว่าเส้นกราๆของเงินดอลลาร์ออสเตรเลียดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ เส้นยิ่งลงต่ำแปลว่าค่าเงินยิ่งแข็ง



เทรดตามระบบอย่างไรให้ได้กำไร

ข้อ 6 เตรียมเงินลงทุนให้เพียงพอ (ต่อ)

เมื่อวันก่อนลุงแมวน้ำคุยค้างเอาไว้ถึงข้อ 6 นั่นคือเรื่องของการเตรียมเงินลงทุนซึ่งจำเป็นต้องเตรียมให้เพียงพอ รวมทั้งต้องใช้วิธีการเทรดแบบเงินต้นสม่ำเสมอ คือเงินลงทุนต้องเท่ากันทุกครั้ง หากปล่อยให้เงินลงทุนหดลงไปเมื่อเทรดไปนานๆอาจขาดทุนจนเงินหมดได้ ดังเหตุผลที่ได้คุยกันไปแล้ว

สำหรับการเตรียมเงินลงทุนเท่าไรจึงจะเพียงพอนั้นก็แล้วแต่ว่าจะใช้หลักเกณฑ์อะไร ดังนั้นเรื่องเตรียมเงินลงทุนเท่าไรนั้นจึงไม่มีคำตอบที่ตายตัว แต่ละคนก็มีหลักเกณฑ์ต่างๆกันไป สำหรับกลุ่มที่เทรดด้วยระบบ peak and trough นั้นหากเป็นกรณีเทรดฟิวเจอร์สมักใช้หลักเกณฑ์เป็นจำนวนเท่าของ IM+MM เช่น เตรียมเงินเป็น 4 เท่าของ IM+MM เป็นต้น โดย IM นั้นคือ initial margin ส่วน MM นั้นคือ maintenance margin

ในวันนี้ลุงแมวน้ำจะขอเสนอสูตรการคำนวณเงินลงทุนโดยอิงจากหลักสถิติ ลองมาดูกัน


ตารางข้างบนนี้เป็นการคำนวณการเตรียมเงินลงทุนในหุ้นหรือกองทุนโดยขึ้นกับระดับความเสี่ยง (หรืออีกนัยหนึ่งระดับความปลอดภัย) ตามสถิติที่ผ่านมา กล่าวคือ ถ้าให้มีระดับความปลอดภัย 70% ต้องเตรียมเงินเผื่อเอาไว้ 5% ของเงินที่คิดจะลงทุนในการเทรด และหากต้องการให้มีระดับความปลอดภัย 80% ก็ต้องเตรียมเงินเผื่อเอาไว้ 6% และหากต้องการให้ปลอดภัยถึงระดับ 96% ก็ต้องเตรียมเงินเผื่อเอาไว้ 10%

ความหมายของย่อหน้าข้างบนก็คือ จากสถิติของการเทรดแล้วขาดทุนนั้น พบว่าใน 100 ครั้งที่เทรดแล้วขาดทุน จะมีอยู่ 70 ครั้งที่ขาดทุนไม่เกิน 5% ของเงินลงทุน ส่วนอีก 30 ครั้งจะขาดทุนเกินกว่า 5% และนั่นแปลว่าหากเราเตรียมเงินเผื่อเอาไว้ 5% โอกาสที่เงินจำนวนนี้จะไม่เพียงพอเพราะว่าเกิดการขาดทุนมากกว่าเงินที่เตรียมเอาไว้ยังมีอยู่ถึงร้อยละ 30

แต่หากเราเผื่อเงินเอาไว้ 6% ของเงินลงทุน ความปลอดภัยของเราจะมี 80% หมายความว่าในการเกิดสัญญาณหลอก 100 ครั้ง จะมีโอกาสขาดทุนมากกว่าเงินที่เตรียมเอาไว้ (คือ 6%) อยู่ 20 ครั้ง

แต่หากเราเผื่อเงินเอาไว้ 10% ในการขาดทุน 100 ครั้งโอกาสที่จะขาดทุนหนักจนเงินไม่พอจ่ายมีอยู่เพียง 4 ครั้งเท่านั้น

นั่นคือความหมายในเชิงสถิติ และเป็นที่มาของระดับความปลอดภัยหรือระดับความเสี่ยงของการเทรดแต่ละครั้งที่ลุงแมวน้ำพูดถึง นอกจากนี้แล้วเรายังต้องไม่ลืมว่าโอกาสเกิดสัญญาณหลอกและขาดทุนติดกันมากกว่าหนึ่งครั้งก็เป็นไปได้ จากสถิติอีกเช่นกัน เราพบว่าดัชนี SET นั้นในอดีตเคยเกิดสัญญาณหลอกได้ถึง 5 ครั้งติดกัน ดังนั้นในการเตรียมเงินเผื่อเราต้องเผื่อสำหรับการขาดทุนติดกันถึง 5 ครั้ง ไม่ใช่เพียงครั้งเดียว

ดังนั้น จากตารางข้างบน หากเราต้องการเทรดด้วยเงินลงุทน 100,000 บาท เราก็เลือกดูระดับความปลอดภัยว่าต้องการความปลอดภัยสูงเพียงใด แล้วเตรียมเงินเอาไว้ตามนั้น ซึ่งระดับความปลอดภัยที่ลุงแมวน้ำแนะนำก็คือที่ระดับ 96% หรือว่าต้องเตรียมเงินสำรองเอาไว้ในระดับ 10% ของเงินลงทุน ถ้าต่ำกว่านี้ลุงแมวน้ำไม่แนะนำอย่างยิ่ง

ที่ระดับความปลอดภัย 96% หากต้องการลงทุน 100,000 บาท ต้องเตรียมเงินเอาไว้ 150,000 บาท 100,000 บาทเอาไว้เทรด ส่วนเงินอีก 50,000 บาทสำรองเอาไว้สำหรับการขาดทุน เนื่องจากเราต้องรักษาเงินลงทุนในการเทรดให้คงที่เสมอ จะปล่อยให้ลดต่ำลงไม่ได้ หากต้องการเทรดในระดับ 500,000 บาทก็ต้องเตรียมเงินเอาไว้ 750,000 บาท

ส่วนการเทรดฟิวเจอร์สนั้น เราใช้หลักการเดียวกัน ลุงแมวน้ำคำนวณออกมาได้เป็นตารางดังนี้

การคำนวณสำหรับฟิวเจอร์สจะแตกต่างกันอยู่บ้าง เนื่องจากการคิดในระบบเปอร์เซ็นต์นั้นที่ระดับราคาหรือดัชนีต่างๆกันจะมีค่าไม่เท่ากัน สมมติเช่น การขาดทุน 10% ที่ระดับ 500 จุดก็เท่ากับขาดทุน 50 จุด แต่หากขาดทุน 10% ที่ระดับ 800 จุดจะเท่ากับ 80 จุด ดั้งนั้นการเตรียมเงินสำหรับเทรดฟิวเจอร์สต้องเปลี่ยนแปลงไปตามระดับราคาหรือดัชนีที่เปลี่ยนไปด้วย ซึ่งลุงแมวน้ำคำนวณมาให้เรียบร้อยแล้ว พร้อมกับแสดงการเตรียมเงินแบบจำนวนเท่าของ IM+MM เปรียบเทียบให้ดูด้วย

ลองมาดูตัวอย่างการอ่านตารางกัน สมมติว่าต้องการเทรดยางพารา 1 สัญญา ตอนนี้ราคา RSS3 อยู่แถวๆ 100-110 บาท ดังนั้นระดับราคาเราใช้ค่า 110 คือเอาค่ามากมาใช้ และที่ระดับความปลอดภัย 96% เราต้องเตรียมเิงินเพื่อการเทรดฟิวเจอร์ยางพารา 380,000 บาท

หรือหากจะเทรด S50 ซึ่งตอนนี้ดัชนีอยู่ที่ 600 กว่าๆ เราก็ใช้ระดับราคา 700 ดูที่ระดับความปลอดภัย 96% จะได้ว่าต้องเตรียมเงิน 525,600 บาท สำหรับการเทรด S50 1 สัญญา

จะเห็นว่าการเตรียมเงินโดยวิธีการนี้ต้องเผื่อเงินเอาไว้สูงมาก สูงกว่า 6 เท่าของ IM+MM เสียอีก ซึ่งเมื่อพิารณาดูให้ดีแล้วจำนวนเงินที่ต้องเตรียมจะเสมือนกับว่าทำให้เราไม่ได้เปรียบจากอัตราทดเลย หากเทรด S50 แล้วต้องเตรียมเงินเผื่อเอาไว้ถึงขนาดนี้ก็เท่ากับการเทรด TDEX นั่นเอง หลายคนคงสงสัยว่าถ้าเช่นนั้นจะเทรดฟิวเจอร์สไปเพื่ออะไรถ้าไม่ได้รับประโยชน์จากอัตราทด (leverage)

ประเด็นนี้เป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่งสำหรับการเทรดของมือใหม่ นั่นคือ การเตรียมเงินของระบบนี้จะมีความปลอดภัยสูง ทำให้โอกาสลงทุนเกินตัวมีน้อย และโอกาสขาดทุนจนหายนะก็มีต่ำ รวมทั้งเป็นการฝึกใจให้ควบคุมความโลภ ไม่หวังประโยชน์จนเกินควรจนลืมรักษาความปลอดภัยของตนเองเอาไว้ ซึ่งการฝึกใจให้ควบคุมความโลภได้นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะเมื่อไรที่นักลงทุนติดนิสัยโลดโผนและชอบเสี่ยงเมื่อไรมันก็ไม่ต่างจากการพนัน โอกาสพังมีสูง การแก้ไขนิสัยเหล่านั้นให้หมดไปจากใจเพื่อให้กลับมาเทรดแล้วมีกำไรจะเป็นไปได้ยากมาก

อีกประการก็คือนักลงทุนมือใหม่ที่สนใจจะลงทุนเทรดอย่างเป็นระบบนั้นควรต้องฝึกฝนความรู้ด้านเทคนิคด้วยและสะสมประสบการณ์ความชำนาญในการเทรดด้วย จึงจะหลบเลี่ยงสัญญาณหลอกได้บ้าง ซึ่งเรื่องเหล่านี้ใช้เวลานานหลายปีทีเดียว ดังนั้นในปีแรกๆมักขาดทุนจากสัญญาณหลอก เรื่องกำไรอย่าเพิ่งไปหวัง การเผื่อเงินไว้มากพอจะทำให้นักลงทุนอยู่รอดไปจนถึงปีหลังๆได้ เปรียบเหมือนกับต้นอ่อนของพืชที่มีอาหารสะสมอยู่ในใบเลี้ยงมากย่อมมีโอกาสอยู่รอดในธรรมชาติได้มากกว่าต้นอ่อนของพืชที่มีอาหารสะสมอยู่ในใบเลี้ยงน้อยนั่นเอง




Friday, September 17, 2010

16/09/2010 * เทรดตามระบบแล้วได้กำไรแน่ๆหรือไม่ (7)

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 924.81 จุด เพิ่มขึ้น 3.71 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ EGCO และมีสัญญาณขาย AOT, DTAC, SCB ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 37 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ยางญี่ปุ่น (TOCOM rubber) เกิดสัญญาณขาย แม้ยางไทย (RSS3) ยังไม่เกิดสัญญาณขายแต่ก็ใกล้มากแล้ว หากวันถัดไปราคาลงอีกก็อาจเกิดสัญญาณขายได้

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต (Shanghai Composite Index) ของจีนเกิดสัญญาณขาย ปกติตลาดจีนจะหยุดทำการยาวเนื่องในช่วงวันชาติของจีนในตอนต้นเดือนตุลาคม ราว 7 วัน ซึ่งตลาดฟิวเจอร์สยางพาราของจีนเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่กว่าตลาดโตคอมของญี่ปุ่นเสียอีกและเป็นตลาดผู้กำหนดทิศทางราคาฟิวเจอร์สยางพารา ดังนั้นในช่วงนี้อาจต้องสังเกตดูราคาฟิวเจอร์สยางพาราเอาไว้บ้างเนื่องจากราคายางพาราอาจมีการเปลี่ยนแปลงอันเนื่องมาจากการทิ้งทวนก่อนวันหยุดยาวก็เป็นได้ และช่วงที่ตลาดจีนหยุดราคายางพาราคงไม่ไปไหนไกลเนื่องจากต้องรอให้ตลาดจีนเปิดเสียก่อน

เทรดตามระบบอย่างไรให้ได้กำไร

วันก่อนเราดูเทคนิคการเทรดตามระบบอย่างไรให้ได้กำไรไปแล้ว 3 ข้อ วันนี้เรามาดูกันต่อ

ข้อ 4 เทรดเฉพาะด้านลองหรือว่าซื้อก่อนขายทีหลัง

เทรดเฉพาะด้านลองหรือว่าซื้อก่อนขายทีหลังก็เหมือนกับการเทรดหุ้นนั่นเอง ที่แนะนำเช่นนี้เพราะจากสถิติพบว่าการเทรดด้านลองมีโอกาสได้กำไรมากกว่าการเทรดด้านชอร์ต ดังนั้นการเทรดด้านลองจะปลอดภัยกว่าบ้าง แต่นั่นก็หมายความว่าต้องเทรดด้านลองในช่วงตลาดขาขึ้นเท่านั้น หากอยู่ในคลื่น A-B-C การเทรดด้านลองก็ขาดทุนเพราะมักเป็นสัญญาณหลอก แต่คำถามที่ตามมาก็คือว่าถ้าจะให้เทรดด้านลองในตลาดขาขึ้นแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อไรเป็นตลาดขาขึ้น คำตอบอยู่ในข้อถัดไป

ข้อ 5 ควรมีความรู้ด้านการวิเคราะห์ทางเทคนิคพอสมควร

ในการเทรดหุ้นหรือฟิวเจอร์สตามระบบนั้นนักลงทุนควรมีความรู้ด้านการวิเคราะห์ทางเทคนิคบ้าง การที่ไม่รู้อะไรเลยทางเทคนิคจะทำให้เราเลี่ยงสัญญาณหลอกไม่ได้ซึ่งทำให้โอกาสที่จะได้กำไรลดลงไป (หรืออาจถึงขาดทุนได้) ความรู้ที่ควรมีก็คือรู้เกี่ยวกับทฤษฎีคลื่นของอีเลียต สามารถนับคลื่นรูปแบบง่ายๆได้ รู้จักการใช้อินดิเคเตอร์ (indicator) เพื่อแยกแยะภาวะแนวโน้มขาขึ้น ขาลง หรือว่าไร้ทิศทางได้ เป็นต้น ซึ่งความรู้ทางเทคนิคนั้นนักลงทุนแต่ละคนจะมีความถนัดและความสามารถไม่เท่ากัน เปรียบเหมือนนักเรียนที่เรียนในชั้นเดียวกัน ครูอาจารย์ชุดเดียวกัน แต่ผลการเรียนของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน ทั้งนี้ ก็เนื่องจากความแตกต่างระหว่างบุคคลและการฝึกฝนนั่นเอง ดังนั้นนักลงทุนที่เทรดตามระบบซึ่งศึกษาด้านเทคนิคด้วยแต่ความรู้ความเข้าใจอาจไม่เท่ากันและฝีมือในการหลบเลี่ยงสัญญาณหลอกอาจไม่เท่ากัน ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถึงอย่างไรศึกษาเอาไว้บ้างก็จะเป็นประโยชน์

ข้อ 6 เตรียมเงินลงทุนให้เพียงพอ

เรื่องจำเป็นอีกประการหนึ่งในการเทรดอย่างเป็นระบบ นั่นก็คือ การเตรียมเงินลงทุน ปกติหลักการเทรดอย่างเป็นระบบนั้นต้องเทรดด้วยเงินลงทุนที่เสมอต้นเสมอปลาย สมมติว่าจะลงทุน 100,000 บาทก็ต้องลงทุน 100,000 บาทในทุกรอบของสัญญาณซื้อขายที่เกิดขึ้น ถึงแม้จะได้กำไรหรือถึงแม้จะขาดทุนจากสัญญาณหลอก เมื่อเกิดสัญญาณในครั้งถัดไปก็ต้องลงทุนด้วยเงินจำนวนเท่าเดิมเสมอ

จากหลักการดังกล่าว นั่นหมายความว่านักลงทุนต้องเตรียมเงินต่างหากเอาไว้จำนวนหนึ่งเืพื่อสำรองสำหรับการขาดทุน เพราะหากคิดลงทุน 100,000 บาทและมีเงินเพียง 100,000 บาท หากเทรดแล้วขาดทุนในครั้งแรกๆ เงินลงทุนจะหดหายไป เมื่อถึงคราวได้กำไรยาวๆก็จะกลายเป็นได้มาไม่คุ้มกับที่ขาดทุนไป ข้อนี้มีความสำคัญ ลองมาดูตัวอย่างกันก่อนเพื่อความเข้าใจ

สมมติว่าเตรียมเงินเพื่อการเทรดหุ้นเอาไว้ 100,000 บาท และสมติว่าเจอสัญญาณหลอกขาดทุนครั้งละ 10% เป็นจำนวน 3 ครั้งติดกัน หลังจากนั้นจึงจะได้กำไรยาว 30% เป็นจำนวน 1 ครั้ง ลองมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เืพื่อให้คำนวณง่ายลุงแมวน้ำขอสมมติว่าไม่คิดค่าคอมมิชชัน

เงิน 100,000 บาท เทรดครั้งแรกขาดทุน 10% ดังนั้นจะเสียเงินไป 10,000 บาท เหลือเงินเอาไว้เทรดในครั้งต่อไป 90,000 บาท บาท

เงิน 90,000 บาท เทรดแล้วขาดทุนอีก 10% ดังนั้นเสียเงินไปอีก 9,000 บาท เหลือเงินเอาไว้เทรดในครั้งต่อไป 81,000 บาท

เงิน 81,000 บาท เทรดแล้วขาดทุนอีก 10% ดังนั้นเสียเงินไปอีก 8,100 บาท เหลือเงินเอาไว้เทรดในครั้งต่อไป 72,900 บาท

เงิน 72,900 บาท เืทรดแล้วได้กำไร 30% เท่ากับได้ทุนบวกกำไรมาเป็นเงิน 94,770 บาท

สรุปว่าขาดทุน 3 ครั้ง กำไร 1 ครั้ง รวมแล้วยังขาดทุนอยู่ 5,230 บาท (จากเงินตั้งต้น 100,000 บาท)

คราวนี้ลองมาดูกันใหม่ สมมติว่าเราเตรียมเงินเอาไว้จำนวนหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะขาดทุนแต่ก็เอาเงินสำรองนี้มาเติม ทำให้ในรอบถัดไปเงินที่เข้าเทรดยังเป็น 100,000 บาทเสมอ ผลจะเป็นดังนี้

เงินลงทุนครั้งละ 100,000 บาท ขาดทุน 3 ครั้ง ครั้งละ 10,000 บาท รวมแล้วขาดทุน 30,000 บาท

เทรดครั้งต่อมา (ครั้งที่ 4) ก็ใช้เงิน 100,000 บาท ครั้งนี้ได้กำไร 30% เป็นเงิน 30,000 บาท

สรุปว่าขาดทุน 30,000 บาท กำไร 30,000 บาท รวมแล้วเท่าทุน

ดังนั้นจะเห็นว่าทุนที่สม่ำเสมอนั้นมีความสำคัญ เพราะหากขาดทุนแล้วเงินต้นที่เข้าเทรดลดลง ถึงคราวที่ได้กำไรจะได้กำไรน้อยเพราะทุนหดหายไป

ถ้าเช่นนั้นควรจัดเตรียมเงินลงทุนอย่างไรจึงจะเหมาะสม

(โปรดอ่านต่อในวันถัดไป)


Thursday, September 16, 2010

15/09/2010 * SET, GC, DX

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 921.10 จุด ลดลง 0.29 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย KBANK, TTA ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 39 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีข้าวไทย (WBR5) กลับมาเกิดสัญญาณซื้ออีกหลังจากมีเมื่อวานเพิ่งเกิดสัญญาณขายไป แต่ข้าวไม่มีวอลุ่ม ดังนั้นการนำกราฟราคามาใช้และตีความจึงต้องระมัดระวัง

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ดัชนี SET นั้นเดิมลุงแมวน้ำเคยนับคลื่นเอาไว้แบบนี้



ตอนนี้คงถึงเวลาต้องนับใหม่แล้ว ลุงแมวน้ำลองนับคลื่นดูใหม่ เป็นดังภาพต่อไปนี้



แต่ถึงแม้ว่าจะนับคลื่นใหม่แต่ผลการตีความอาจไม่แตกต่างจากเดิมนัก เพราะถึงอย่างไรลุงแมวน้ำก็ยังประเมินว่าขณะนี้เราอยู่บนคลื่นลูกสุดท้ายของคลื่นขาขึ้น รออยู่แต่เพียงว่าคลื่นลูกสุดท้ายของขาขึ้นนี้จะจบลงเมื่อไรเท่านั้น เมื่อพิจารณาจากเครื่องมือ fibonacci เป็นไปได้ที่ว่าดัชนีถ้าไม่จบแถวๆนี้ก็อาจสามารถขึ้นต่อไปได้จนถึง 1,050 จุด แต่ทั้งหมดคือการประเมิน ไม่มีใครรู้อนาคต ดังนั้นมันอาจไม่ใช่ก็ได้ ดังนั้นแม้ลุงแมวน้ำจะตกรถขบวน S50 ไป (ดูในพอร์ตจำลองจะเห็นว่า S50 นั้นกำไรไม่เพิ่มมานานแล้วเนื่องจากตกรถ) แต่ลุงแมวน้ำไม่ตามเข้าไปตอนนี้แล้วเพราะว่าเสี่ยงเกินไป การเข้ามาเริ่มเทรดในคลื่น 5 ไม่สมควรทำ ควรตามสัญญาณกลับทิศแนวโน้มมากกว่า

ทางด้านทองคำทำราคาสูงสุดใหม่เมื่อหลายวันก่อน แต่ลุงแมวน้ำก็ยังประเมินเช่นเดิมว่าเราน่าจะอยู่ในคลื่นขาขึ้นลูกสุดท้ายหรือว่าคลื่น 5 แล้ว พิจารณาจากระดับ fibaonacci ทองคำมีโอกาสจบคลื่น 5 แถวๅ 1,320 ดอลลาร์/ออนซ์



ทางด้านดัชนีดอลลาร์ สรอ (DX) ลุงแมวน้ำประเมินว่าอยู่ในคลื่น 4-5 ดังนั้นเมื่อเกิดสัญญาณขายจึงยังไม่ทำอะไรเนื่องจากเป็นคลื่นขาขึ้นอยู่ รอให้เกิดสัญญาณซื้ออีกรอบลุงแมวน้ำจึงค่อยเข้าไปเปิดสัญญาซื้อ



14/09/2010

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 921.39 จุด ลดลง 15.65 จุด เนื่องจากมีข่าวลือว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะประกาศมาตรการสกัดเงินไหลเข้าและทำให้บาทแข็งรวดเร็วเกินไป

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย EGCO, THAI, TPIPL ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 39 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณขายดัชนีดอลลาร์ สรอ (DX) ลุงแมวน้ำจึงเปิดสัญญาซื้อไปแต่ไม่ได้เปิดสัญญาขายเนื่องจากลุงแมวน้ำประเมินว่ายังอยู่ในคลื่น 4-5 อันเป็นคลื่นขาขึ้น นอกจากนี้ TTA, ข้าวไทย (WBR5) เกิดสัญญาณขาย

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

Tuesday, September 14, 2010

13/09/2010

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 937.04 จุด เพิ่มขึ้น 12.47 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 42 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณซื้อฟิวเจอร์สของน้ำมันดิบ(CL) ลุงแมวน้ำจึงเปิดสัญญาซื้อไป ขณะนี้พอร์ตจำลองของลุงแมวน้ำมีขาดทุนอยู่เพียงตัวเดียวคือน้ำมันดิบนี่เองและขาดทุนหนักเสียด้วยเนื่องจากราคาน้ำมันดิบแกว่งแรง การขาดทุนแต่ละครั้งจึงเป็นเงินค่อนข้างมาก แต่ยังดีที่ลุงแมวน้ำกระจายการลงทุนไปยังสินค้าต่างๆ ไม่ได้ลงทุนเพียงอย่างเดียว

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ดัชนีโบเวสปา(Bovespa Index, BVSP, IBVSP) ของบราซิล ดัชนีนิกเกิ (NIX) ของญี่ปุ่น และดัชนีไทเอกซ์ (TWII) ของไต้หวันเกิดสัญญาณซื้อ ขณะนี้ดัชนีของประเทศต่างๆที่มีอยู่ในรายงานกลับเป็นสัญญาณซื้อทั้งหมดแล้ว

Monday, September 13, 2010

10/09/2010 * เทรดตามระบบแล้วได้กำไรแน่ๆหรือไม่ (6)

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 924.57 จุด เพิ่มขึ้น 3.08 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 42 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณซื้อฟิวเจอร์สของดัชนีดาวโจนส์ (DJ) ลุงแมวน้ำจึงปิดสัญญาขายและเปิดสัญญาซื้อตามไป รอบที่แล้วที่ชอร์ตเอาไว้ขาดทุนเนื่องจากเป็นสัญญาณหลอก

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ดัชนีดาวโจนส์ (DJI, DJIA) ของสหรัฐอเมริกาเกิดสัญญาณซื้อ

ลุงแมวน้ำมองว่าดัชนีดาวโจนส์ น้ำมันดิบ และสินค้าเกษตรยังสามารถไปต่อได้อีก แต่ทองคำไม่แน่ใจว่าจะไปต่อได้ ความเห็นลุงแมวน้ำมองไปทางที่ว่าทองคำจะเข้าคลื่น A B C เสียมากกว่า

ส่วนหุ้นไทยและหุ้นในภูมิภาคเอเชียนั้นลุงแมวน้ำไม่แน่ใจว่าจะขึ้นต่อตามดาวโจนส์ ทั้งนี้ เนื่องจากสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์บ่งชี้ว่าดัชนีดาวโจนส์และดัชนีเซ็ตมีความสัมพันธ์กันน้อย อีกประการปัจจุบันการเคลื่อนย้ายเงินทุนเป็นไปโดยง่ายและรวดเร็ว ดังนั้นไม่แน่ว่าเมื่อตลาดหลักทรัพย์ทางสหรัฐอเมริกาและยุโรปกลับมาเป็นขาขึ้น เงินอาจจะไหลออกจากฝั่งเอเชียกลับไปฝั่งตะวันตกเพื่อเก็งกำไรในตลาดฝั่งตะวันตกแทนก็เป็นได้ ดังนั้นนักลงทุนจึงไม่ควรประมาท

เทรดตามระบบอย่างไรให้ได้กำไร

เมื่อวันก่อนเราได้คุยกันเกี่ยวกับการเทรดตามระบบอย่างไรให้มีโอกาสได้กำไรกันไป 2 ข้อแล้ว นั่นคือ ต้องเลือกตลาดที่มีทิศทางและเลือกตลาดที่มีโอกาสทำกำไรสูงกว่า วันนี้เรามาคุยกันต่อ

ข้อที่ 3 เลือกจังหวะในการเทรด

การเข้าเทรดจำเป็นต้องรู้จังหวะ ไม่ใช่รู้แต่เพยีงว่าเขียวมาก็ซื้อ แดงมาก็ขาย เปรียบเหมือนกับการเต้นรำ ปกติหากจะให้ง่ายก็ควรเต้นตั้งแต่เริ่มต้นเพลงจะทำให้การเข้าจังหวะทำได้ง่ายและการเต้นเป็นไปอย่างราบรื่น แต่หากโดดเข้าไปเต้นกลางเพลงแล้วการจับจังหวะและตามเท้าคู่เต้นจะทำได้ยากกว่า ดีไม่ดีก็สะดุดขาเหยียบเท้่ากันจนเจ็บตัว

การเทรดหุ้นหรือฟิวเจอร์ส์ก็เช่นกัน ลองมาดูภาพกันดีกว่า


ในภาพนี้สมมติว่าหากใครเริ่มเข้าเทรดในตำแหน่งที่ 1 หรือ 3 (ลูกศรสีน้ำเงิน) ก็สบาย เพราะหลังจากลูกศร 1 ก็เป็นขาขึ้นไปนานปีกว่า หรือลูกศร 3 ก็เช่นกัน หลังจากนั้นก็เป็นขาขึ้นไปอีกกว่าหนึ่งปี แบบนี้เขียวมาก็ซื้อ แดงมาก็ขาย ถึงแม้จะพบกับสัญญาณหลอกหลายครั้งแต่เนื่องจากเริ่มเทรดที่ต้นทุนต่ำหรือว่าเป็นต้นคลื่นจริงๆ ดังนั้นจึงมีกำไรสะสมมาแล้วพอสมควร ถึงช่วงคืนกำไรไปก็ยังไม่เท่าไรนัก

แต่หากสมมติใหม่ สมมติว่านักลงทุนเริ่มเข้าเทรดที่ตำแหน่งลูกศร 2 หรือ 4 ใครเข้าเทรดในจังหวะเช่นนี้ก็คางเหลืองเพราะว่าจะได้กำไรจากเขียวแรกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น หากใครเข้าที่ลูกศร 3 จะได้กำไรจากการเทรดในรอบแรกเพียงครั้งเดียว หลังจากนั้นก็เป็นคลื่นขาลงยาวไปเลย เขียวที่ตามมาล้วนแต่เป็นสัญญาณหลอกเกือบทั้งนั้น ส่วนใครที่เริ่มเข้าเทรดที่ลูกศร 4 ก็เช่นกัน จะได้กำไรจากเขียวแรกหรือเขียวสองเพียงหนึ่งหรือสองครั้งเท่านั้น หลังจากนั้นเขียวถัดมาก็เป็นสัญญาณหลอกเนื่องจากช่วงนั้นเป็นช่วงตลาดไร้ทิศทาง

ลองดูตัวอย่างกันอีกสักภาพหนึ่ง



ภาพนี้น่าสนใจ เป็นกราฟราคาของฟิวเจอรส์ข้าวโพด หากใครเริ่มเข้าเทรดโดยเปิดสัญญาขายที่ลูกศร 1 นักลงทุนผู้นั้นจะขาดทุนเนื่องจาก false signal ถึง 5 ครั้งติดกันก่อนที่จะได้กำไรในครั้งที่ 6 แบบนี้แล้วใครจะทนไหว

ทีนี้ลองดูใหม่ สมมติว่าเริ่มเข้าเทรดที่ลูกศร 2 โดยเปิดสัญญาซื้อที่ลูกศร 2 เมื่อซื้อไปแล้วราคาข้าวโพดก็ร่วงลงไปอย่างแรงและไม่เกิดสัญญาณขาย อาการแบบนี้หากเป็นนักลงทุนหน้าใหม่คงตกใจและอาจปิดสัญญาไปเลย ซึ่งก็คงขาดทุนไปพอควร แต่หากทนได้ก็จะมีกำไรในที่สุด แต่ปัญหาก็คือจะมีสักกี่คนที่ทนการ draw down ลึกๆได้ หรือหากเป็นผู้ที่เริ่มเทรดมาตั้งแต่ลูกศร 1 เจอสัญญาณหลอกไปแล้ว 5 ครั้ง แล้วครั้งนี้มาพบกับ draw down อีกคงนึกว่าครั้งนี้ก็ขาดทุนอีก อาจจะถอดใจไปเลยก็ได้

ดังนั้นเองลุงแมวน้ำจึงบอกว่าการเข้าเทรดต้องรู้จังหวะ โดยอุดมคติแล้วควรเข้าเทรดเมื่อต้นคลื่น 3 และหยุดเทรดเมื่อเข้าคลื่น 4 หากจะเทรดด้านชอร์ตด้วยก็เพิ่มคลื่น C เข้าไปอีกหนึ่งคลื่น แค่นี้ก็พอแล้ว คลื่นอื่นไม่ควรเทรดเพราะจะพบกับสัญญาณหลอกมากมาย แต่ปัญหาก็คือ แล้วใครจะรู้ล่ะว่าเมื่อไรเป็นต้นคลื่น 3 และเมื่อไรเข้าคลื่น 4 หรือเมื่อไรเข้าคลื่น C สำหรับประเด็นนี้ลุงแมวน้ำขอยกไปคุยกันในข้อต่อๆไป ประเด็นสำคัญของข้อนี้ที่อยากจะฝากแก่เพื่อนนักลงทุนก็คือต้องรู้จักเลือกจังหวะในการเทรด

(โปรดอ่านต่อในวันถัดไป)


Friday, September 10, 2010

09/09/2010 * เทรดตามระบบแล้วได้กำไรแน่ๆหรือไม่ (5)

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 921.49 จุด ลดลง 2.39 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย BLA และมีสัญญาณซื้อ PTTEP ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 42 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ดัชนีแดกซ์ (DAX) ของเยอรมนีเกิดสัญญาณซื้อ

เทรดตามระบบอย่างไรให้ได้กำไร

จากบทความทั้งสี่ตอนที่ผ่านมา เราลองมาทบทวนกันดูว่าเราได้พบข้อเท็จอะไรบ้างเกี่ยวกับการเทรดตามระบบโดยใช้ระบบ Peak and Trough 1.1 หรือ PnT 1.1 เป็นตัวแบบ
  1. จากตัวอย่างผลการเทรดอย่างยาวนานกว่า 10 ปี ผลิตภัณฑ์ 11 ตัว ถ้าเทรดด้านลอง (ซื้อแล้วขาย) เพียงทางเดียว จะเกิดผลกำไร 5 ตัว และผลิตภัณฑ์อีก 6 ตัวขาดทุน และถ้าเทรดทั้งด้านลองและชอร์ต จะเกิดผลกำไรเพียง 4 ตัว (ยังไม่พิจารณาว่ากำไรมากน้อยเพียงใด)
  2. โอกาสได้กำไรจากการเทรดมีไม่ถึงครึ่ง กล่าวคือ ในการเทรดด้านลอง 100 ครั้งมีโอกาสได้กำไรเพียง 40 ครั้ง และในการเทรดด้านชอร์ต 100 ครั้งมีโอกาสได้กำไรเพียง 35 ครั้ง (ยังไม่พิจารณาว่ากำไรมากน้อยเพียงใด)
  3. ในครั้งที่ได้กำไร ผลกำไรที่ได้ในแต่ละครั้งมักอยู่ในช่วง 0-9% โดยมีความชุกอยู่ที่ระดับ 0-2%
  4. ในการเทรดครั้งที่ขาดทุน ผลขาดทุนในแต่ละครั้งมักอยู่ในช่วง 0-6% โดยมีความชุกที่ระดับ 3-4%
  5. ในยามเคราะห์ร้าย ระดับการขาดทุนอาจมากกว่า 30% ก็ได้
จาก 5 ข้อที่กล่าวมาจะเห็นว่าในการเทรดตามระบบนั้นโอกาสที่จะเทรดแล้วขาดทุนดูจะมีมากกว่าโอกาสที่จะเทรดแล้วกำไร ถ้าเช่นนั้นเราลองมาดูกันว่าเราจะวางกลยุทธ์ในการเทรดอย่างไรได้บ้างเพื่อเพิ่มโอกาสในการได้กำไรให้มีมากขึ้น

ข้อ 1 เลือกตลาดที่มีทิศทาง

จากสถิติที่ลุงแมวน้ำได้แสดงให้เห็นตั้งแต่ตอนที่ 1 เราจะพบว่าไม่ใช่ว่าผลิตภัณฑ์ทุกตัวจะเทรดแล้วได้กำไร หุ้นหรือสินค้าบางตัวเทรดแล้วขาดทุนก็มี สาเหตุก็เพราะธรรมชาติของราคานั่นเอง สินค้าแต่ละตัวอาจมีรูปแบบราคาแตกต่างกันไป ซึ่งรูปแบบราคาที่แกว่งเป็นคาบหรือว่าแกว่งเป็นคลื่นจะทำไร้ทิศทางในการเทรด รูปแบบเช่นนี้เป็นรูปแบบที่ระบบแทรดตามแนวโน้มทำกำไรไม่ได้ พูดง่ายๆว่าแพ้ทางมวยกันนั่นเอง ลองดูตัวอย่างสองรูปต่อไปนี้





จะเห็นว่าราคาดำเนินไปแบบ sideway หรือว่าไร้ทิศทางเป็นเวลานาน ทำให้เกิดสัญญาณหลอกซ้ำแล้วซ้ำอีก แบบนี้เทรดอย่างไรก็ขาดทุน ดังนั้นต้องรู้จักเลือกตลาดหรือสินค้าที่จะเทรด ต้องเลือกสินค้าที่ราคามักมีทิศทางหรือว่ามักมีเทรนด์ อีกทั้งควรเป็นสินค้าที่ราคาไม่แกว่งรุนแรง โดยทั่วไปแล้วดัชนีจะเคลื่อนไหวด้วยรูปแบบที่นุ่มนวลเนื่องจากดัชนีเกิดจากการเฉลี่ยของสินค้าหลายๆตัว ดังนั้นจึงมักไม่หวือหวาเหมือนราคาสินค้าตัวเดี่ยว ดังนั้นข้อพิจารณากว้างๆก็คือการเทรดดัชนีน่าสนใจกว่าการเทรดสินค้าเดี่ยว





ข้อ 2 เลือกตลาดที่มีโอกาสทำกำไรสูงกว่า

ข้อนี้ต้องอาศัยผลการคำนวณกำไรขาดทุนในอดีตเข้ามาช่วย กล่าวคือ อาศัยสถิติมาคำนวณความน่าจะเป็นที่จะได้กำไร แล้วเลือกเอาสินค้าที่มีความน่าจะเป็นในการได้กำไรสูงๆ ถ้าไม่มีซอฟต์แวร์ก็จากยุ่งยากเอาการ ลองมาดูตัวอย่างกัน



จากตารางข้างบนนี้ สินค้าที่น่าเทรดเพราะมีความน่าจะเป็นที่จะทำกำไรค่อนข้างสูงก็คือดัชนี SET รองลงมาก็จะเป็นดัชนีหั่งเส็ง (HSI) ยางโตคอม (JPIR) และดัชนีดอลลาร์ สรอ (DX)


Thursday, September 9, 2010

08/09/2010

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 923.88 จุด ลดลง 0.01 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย DELTA ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 42 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

กองทุนอีทีเอฟ DBO ที่ลุงแมวน้ำใช้เป็นตัวแทนของดัชนีราคาน้ำมันดิบเกิดสัญญาณซื้อ แต่ขอให้สังเกตว่า CL ยังไม่เกิดสัญญาณซื้อ

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ช่วงนี้ตลาดส่วนใหญ่ค่อนข้างผันผวนและแกว่งอยู่ในกรอบ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในประเทศต่างๆส่วนใหญ่อยู่ในภาวะไร้ทิศทาง (sideway) ในภาพรวมแล้วยังไม่เห็นอะไรชัดเจน ต้องรอดูไปก่อน

07/09/2010

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 923.89 จุด ลดลง 7.63 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย KSL ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 43 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย แต่ทองคำ GC สามารถทำจุดสูงสุดตลอดกาลใหม่ (1,259.3 ดอลลาร์/ออนซ์) ทำลายจุดสูงสุดเดิมที่ 1,258.3 ดอลลาร์/ออนซ์ที่ทำเอาไว้เดิมเมื่อเดือนมิถุนายน 2010 ที่ผ่านมาไปได้ หากเป็นเช่นนี้ก็เป็นไปได้ว่าอาจต้องนับคลื่นกันใหม่เนื่องจากคลื่น 5 (สีน้ำตาล) ที่เดิมคิดว่าจบไปแล้วอาจยังไม่จบ ขอตามดูไปอีกสักระยะหนึ่งก่อน

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

Tuesday, September 7, 2010

06/09/2010

วันนี้ตลาดสหรัฐอเมริกาหยุด

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 931.52 จุด เพิ่มขึ้น 1.62 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย CPF, PS ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 44 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

กองทุนอีทีเอฟ IWRD ในตลาดลอนดอนซึ่งเราใช้เป็นตัวแทนของ MSCI World Index เกิดสัญญาณซื้อ

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ดัชนีหั่งเส็ง (HSI) ของฮ่องกง และดัชนีมุมไบเซ็นเซกซ์ (BSESN) ของอินเดียเกิดสัญญาณซื้อ

Monday, September 6, 2010

03/09/2010 * MSCI World Index, DJI, เทรดตามระบบแล้วได้กำไรแน่ๆหรือไม่ (4)

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 929.90 จุด เพิ่มขึ้น 9.36 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ IRPC และมีสัญญาณขาย GLOW ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 46 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ข้าวสาลี (W) เกิดสัญญาณซื้อ

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ดัชนีฟุตซี (FTSE 100) ของอังกฤษ ดัชนีสเตรตส์ไทมส์ (STI) ของสิงคโปร์ และดัชนีคอสปี (KS11) ของเกาหลีใต้เกิดสัญญาณซื้อ

ช่วงนี้หุ้นขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดัชนี MSCI World Index ที่ดูด้วยกองทุนอีทีเอฟ IWRL แทนเกิดแท่งเทียนขาวใหญ่หลังจากที่พ้นจากกรอบบนของ SEC อันเป็นสัญญาณของการกลับทิศเป็นขาขึ้น



ดัชนีดาวโจนส์ (DJI) ของสหรัฐอเมริกาก็มีรูปแบบคล้ายๆกัน



จากภาพข้างบนทั้งสองภาพคงเห็นว่าแนวโน้มกระแสเศรษฐกิจโลกน่าจะเกิดการกลับทิศเป็นขาขึ้นแล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าขาขึ้นครั้งนี้จะดำรงอยู่ได้ยาวนานเพียงใด เพราะต้องอย่าลืมว่าเรายังอ่านคลื่นได้ไม่ขาด นั่นคือ เมื่อจบคลื่น 3 (สีน้ำตาล) ไปแล้วขณะนี้เรากำลังอยู่ที่ไหน

- ถ้าเราอยู่ในคลื่น 4 (สีน้ำตาล) ต่อไปก็เข้าสู่คลื่น 5 ซึ่งเป็นคลื่นขาขึ้นจริงๆ ซึ่งก็คงไปได้อีกไกลพอสมควร
- ถ้าเราอยู่ในคลื่น C (สีน้ำเงิน) การขึ้นในครั้งนี้คงเป็นการขึ้นได้เพียงช่วงสั้นๆเพราะเป็นเพียงการรีบาวด์ในขาลงเท่านั้น


สถิติการขาดทุนสูงสุดเมื่อเทรด S50 ด้วยระบบ PnT 1.1

เมื่อวันก่อนลุงแมวน้ำได้แสดงการแจกแจงของระดับกำไร/ขาดทุนเมื่อเทรดด้วยระบบ Peak and Trough 1.1 ไปแล้ว และพบว่าเมื่อใดที่เทรดแล้วขาดทุน ระดับการขาดทุนมักถูกควบคุมให้อยู่ในช่วงการขาดทุน 0-5% เสียเป็นส่วนใหญ่ นี่เองที่ลุงแมวน้ำเคยกล่าวเอาไว้ว่าการเทรดตามระบบเป็นเหมือนการใช้ฟิวส์หรืออุปกรณ์ตัดวงจรไฟฟ้าที่คอยช่วยหยุดยั้งการขาดทุนของเราเมื่อเราเดินไปผิดทาง

แต่อย่างไรก็ตาม ระบบนี้ไม่อาจควบคุมให้ระดับการขาดทุนไม่ให้เกิน 5% ได้อย่างสมบูรณ์แบบ โอกาสที่จะขาดทุนมากกว่านี้ก็มีเหมือนกันแต่ว่าน้อย เราลองมาดูสถิติจากฟิวเจอร์สของ SET50 (S50) กันว่าในคราวที่แย่ที่สุดนั้นเสียหายไปมากน้อยเพียงใด



การขาดทุนครั้งที่ร้ายแรงที่สุดเกิดขึ้นในปี 2006 โดยในการเทรด S50 ในครั้งนั้นขาดทุนไป 68.1 จุดในครั้งเดียว หรือคิดเป็นจำนวนเงินที่ขาดทุนก็คือ 68,100 บาทต่อสัญญา และที่ยิ่งไปกว่านั้น ในการเทรดครั้งนั้นมีการขาดทุนขณะที่ยังไม่ปิดสัญญา (unrealized loss หมายถึงการขาดทุนจากการแกว่งของดัชนีในระหว่างวันขณะที่ยังไม่มีการปิดสัญญา) โดยลงลึกไปถึง 108 จุด หรือคิดเป็นการขาดทุนระหว่างเทรดถึง 108,000 บาทต่อสัญญา

และจากสถิติอีกเช่นกัน การเทรดตามระบบนั้นมีโอกาสได้กำไรติดกันค่อนข้างน้อย พูดเปรียบเทียบง่ายๆว่าโอกาสที่จะขาดทุนจากการเกิดสัญญาณหลอก 4 ครั้งติดๆกันยังเกิดได้ง่ายกว่าการได้กำไร 2 ครั้งติดกันเสียอีก ตามสถิติของ S50 แล้วเคยเกิดการขาดทุนหรือว่าเกิด flase signal ติดกันได้ถึง 5 ครั้งทีเดียว หรือที่เรียกว่า most consecutive loss ในตารางนั่นเอง และถ้ายังคงจำกันได้ ลุงแมวน้ำเคยนำกราฟราคาโกโก้ (CC) ที่เกิดสัญญาณหลอกให้สียเงินถึง 7 ครั้งซ้อนมาให้ดูกัน ดังนั้นการเกิดสัญญาณหลอกติดกันหลายๆครั้งจึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ในการเทรดตามระบบ

(โปรดอ่านต่อในวันต่อไป)

พอร์ตการลงทุนของ โครงการลงทุนเพื่อการเกษียณอายุ บำนาญสร้างเองของลุงแมวน้ำ ปรับปรุงยอด ณ 31/08/2010 สามารถคลิกดูได้ที่เมนูด้านขวาใต้สารบัญ


Friday, September 3, 2010

02/09/2010

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 920.54 จุด เพิ่มขึ้น 1.20 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ BANPU และมีสัญญาณขาย IRPC ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 46 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

Thursday, September 2, 2010

01/09/2010 * DJI, เทรดตามระบบแล้วได้กำไรแน่ๆหรือไม่ (3)

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 919.34 จุด เพิ่มขึ้น 6.15 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 46 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดขึ้นเกือบทั่วโลก ทั้งเซีย ยุโรป และอเมริกา บวกันเกินกว่า 1% ยกเว้นจีนที่ปิดแดง ดัชนีออลออร์ดิแนรีส์ (AORD) ของออสเตรเลียเกิดสัญญาณซื้อ กองทุนอีทีเอฟ EEM ซึ่งเราใช้ดูแทนดัชนี MSCI Emerging Markets Index เกิดสัญญาณซื้อ

ในที่สุดดัชนี SET ก็สามารถผ่านยอดคลื่น 5 (สีน้ำเงิน) เดิมที่ 615.03 จุดมาได้ แสดงว่าที่ลุงแมวน้ำมองว่าที่ผ่านมาเป็นคลื่น B (สีน้ำเงิน) คงนับผิด น่าจะต้องไปนับคลื่นใหม่ ปัญหาที่น่าคิดต่อมาก็คือ ในเมื่อดัชนี SET นับผิด แล้วดัชนีดาวโจนส์ (DJI) ที่ลุงแมวน้ำมองว่าเป็นคลื่น B (สีน้ำเงิน) ด้วย จะนับผิดด้วยหรือไม่ ปัญหานี้คงต้องขอเวลาติดตามไปอีกสักระยะหนึ่งก่อน




วันนี้เรามาดูเรื่องการเทรดตามระบบและระบบ PnT 1.1 กันต่อ

ระดับกำไร/ขาดทุนเมื่อเทรดด้วยระบบ Peak and Trough 1.10 (PnT 1.10)

จากที่วันก่อนลุงแมวน้ำนำเอาสถิติมาวิเคราะห์และพบว่าการเทรดด้วยระบบ PnT 1.1 นั้นถ้าเป็นด้านลอง ในการลอง 100 ครั้ง (ซื้อแล้วขาย หรือเปิดสัญญาซื้อแล้วปิด ถือเป็น 1 ครั้ง) โดยเฉลี่ยแล้วจะได้กำไร 40 ครั้งและขาดทุน 60 ครั้ง ถ้าเป็นด้านชอร์ต ในการชอร์ต 100 ครั้งโดยเฉลี่ยแล้วจะได้กำไร 35 ครั้งและขาดทุน 65 ครั้ง

เมื่อพิจารณาจากตัวเลขแล้วจะเห็นว่าไม่ว่าจะเป็นด้านชอร์ตหรือด้านลอง ล้วนแต่มีโอกาสขาดทุนมากกว่ากำไร หลายคนคงเกิดคำถามขึ้นว่า ถ้าเช่นนั้นแล้วการเทรดตามระบบก็น่าจะพาให้ขาดทุนมากกว่าที่จะทำให้กำไรน่ะสิ

ก่อนจะตอบปัญหานี้ลุงแมวน้ำอยากให้พิจารณาคำถามอีกสัก 2 ข้อ นั่นคือ

  1. หากเทรดด้วยระบบอื่น ไม่ว่าระบบตามใจฉันหรือระบบอะไรก็ตาม ในการเทรด 100 ครั้งสามารถทำกำไรได้กี่ครั้งและขาดทุนกี่ครั้ง จะได้ลองนำสถิติมาเปรียบเทียบกันดู
  2. ระดับของผลกำไรหรือผลขาดทุนที่เกิดขึ้นในการเทรดด้วยระบบ PnT 1.1 เป็นอย่างไรบ้าง เพราะแม้ว่าจำนวนครั้งที่กำไรน้อยกว่าจำนวนครั้งที่ขาดทุน แต่ถ้ากำไรแต่ละครั้งได้มาพอสมควร และขาดทุนทีละครั้งไม่มากนัก โดยรวมแล้วก็ยังสามารถมีกำไรได้อยู่

สำหรับคำถามข้อ 1 ลุงแมวน้ำคงไม่มีคำตอบ ส่วนคำถามข้อที่ 2 นั้นจะขอนำสถิติที่คำนวณได้มาให้พิจารณากันดังนี้



ตารางที่เห็นข้างบนนี้เป็นตารางการแจกแจงผลกำไร/ขาดทุน ตามระบบ PnT 1.1 ที่ลุงแมวน้ำทดสอบมา ลองมาดูวิธีการอ่านผลและตีความกัน

ลองดูตัวอย่างกันที่ลอลัมน์ที่ 2 (distribution of probability of profitable long trades หรือเรียกสั้นๆว่า p_pl)บรรทัดแรกเป็นผลกำไร/ขาดทุนที่ระดับ 1% มีค่าเป็น 0.1329 หมายความว่า ในการเทรดด้านลองที่เทรดแล้วกำไร (เทรดด้านลองแล้วขาดทุนไม่นับ) 100 ครั้ง ใน 100 ครั้งนั้นจะได้กำไรในระดับต่างๆกัน แต่พวกที่ได้กำไร 0.01%-1% จะมีอยู่ 13.29 ครั้ง

ลองดูอีกสักตัวอย่างหนึ่ง ดูคอลัมน์ที่ 4 (p_ul) แถวที่ 3 (ระดับ 3%) มีค่าเท่ากับ 0.2036 หมายความว่าในการเทรดด้านลองแล้วขาดทุน (นับเฉพาะที่ลองแล้วขาดทุน ส่วนลองแล้วมีกำไรไม่นำมาคิด) 100 ครั้ง มีอยู่ 20.36 ครั้งที่ลองแล้วขาดทุนอยู่ในระดับ 2.01%-3%

หากดูแล้วงงก็ไม่ต้องไปสนใจมาก มาดูสรุปกันก็ได้

  1. ในการเทรดด้านลองแล้วมีกำไร ใน 100 ครั้งที่ลองแล้วกำไรจะมีอยู่ 70 ครั้งที่ได้กำไรอยู่ในช่วง 0-10% (ความชุกของกำไรจะอยู่ที่ระดับกำไร 0.01%-2%) ส่วนอีก 30 ครั้งที่เหลือนั้นเป็นพวกที่ได้กำไรมากกว่า 10% (ได้กำไรเกินกว่า 30% ก็ยังมี)
  2. ในการเทรดด้านชอร์ตแล้วมีกำไร ใน 100 ครั้งที่ชอร์ตแล้วกำไรจะมีอยู่ 77 ครั้งที่ได้กำไรอยู่ในช่วง 0-10% (ความชุกของกำไรจะอยู่ที่ระดับกำไร 0.01%-2%) ส่วนอีก 23 ครั้งที่เหลือนั้นเป็นพวกที่ได้กำไรมากกว่า 10% (ได้กำไรเกินกว่า 30% ก็ยังมี)
  3. ในการเทรดด้านลองแล้วขาดทุน ใน 100 ครั้งที่ลองแล้วขาดทุนจะมีอยู่ 70 ครั้งที่ขาดทุนอยู่ในช่วง 0-5% (ความชุกของการขาดทุนจะอยู่ที่ระดับขาดทุน 2.01%-4%) ส่วนอีก 30 ครั้งที่เหลือนั้นเป็นพวกที่ได้ขาดทุนมากกว่า 5% (ขาดทุนสูงสุดคือ 26%)
  4. ในการเทรดด้านชอร์ตแล้วขาดทุน ใน 100 ครั้งที่ชอร์ตแล้วขาดทุนจะมีอยู่ 72 ครั้งที่ขาดทุนอยู่ในช่วง 0-5% (ความชุกของการขาดทุนจะอยู่ที่ระดับขาดทุน 2.01%-4%) ส่วนอีก 28 ครั้งที่เหลือนั้นเป็นพวกที่ขาดทุนมากกว่า 5% (ขาดทุนเกินกว่า 30% ก็ยังมี)
จากตารางข้างบนก็พิจารณาตามสถิติได้ดังที่ว่ามา จะเห็นว่าระดับของกำไรที่ได้มาในภาพรวมแล้วมากกว่าระดับของการขาดทุน ยกเว้นเคราะห์หามยามร้ายจริงๆไปเจอเหตุการณ์แบบวันเดียวหุ้นตกไป 200 จุด แบบนั้นก็ขาดทุนหนัก แต่ว่ามีโอกาสน้อย

และข้อสังเกตของลุงแมวน้ำอีกประการหนึ่งก็คือ ระดับกำไร/ขาดทุนนี้คิดเป็นร้อยละ หากเทรดหุ้นก็ไม่เท่าไร แต่หากเทรดฟิวเจอร์ซึ่งมีอัตราทด (leverage) ก็จะแตกต่างกัน สมมติเช่น หุ้น A ราคา 600 บาท ขาดทุน 5% คือขาดทุนไป 30 บาทต่อหุ้น แต่หากไปเทรด S50 ที่ 600 จุด ขาดการทุน 5% ก็คือขาดทุน 30 จุด คิดเป็นขาดทุน 30,000 บาทต่อสัญญา



31/08/2010

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 913.19 จุด เพิ่มขึ้น 3.54 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 46 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ดัชนีมุมไบเซนเซ็กซ์ (BSESN) ของอินเดียเกิดสัญญาณขาย ตลาดฝั่งเอเซียปิดแดงส่วนตลาดฝั่งยุโรปและอเมริกาปิดเขียวนิดหน่อย