Tuesday, August 31, 2010

30/08/2010 * ดัชนี SET มาไกลแล้ว อย่าประมาท, SET, Currencies

วันนี้ตลาดลอนดอนหยุด

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 909.65 จุด เพิ่มขึ้น 9.28 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ BAY, KTB, TPIPL และมีสัญญาณขาย PSL ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 46 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณซื้อ KTB

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ตลาดฝั่งเอเซียและออสเตรเลียปิดบวก ส่วนตลาดฝั่งยุโรปและอเมริกาปิดลบ

ค่าเงินบาทไทยแข็งค่าอย่างต่อเนื่องคู่ไปกับเงินเยนของญี่ปุ่น และรูปแบบการแข็งค่าค่อนข้างเป็นแนวเส้นตรง ไม่ค่อยมีการแกว่ง ค่าเงินเยนยังมีการแกว่งตัวมากกว่า



ลักษณะเช่นนี้มักเป็นปรากฏการณ์เมื่อมีเงินต่างชาติไหลเข้ามาซื้อเงินบาทไทย รวมทั้งหุ้นมักจะขึ้นด้วย หากมองความเชื่อมโยงก็อาจเป็ํนไปได้ที่ว่าเงินเหล่านี้เป้นเงินที่ไหลเข้ามาเพื่อเก็งกำไรทั้งในตลาดเงินและตลาดทุน เข้ามาแบบตีหัวเข้าบ้าน เมื่อเจ้าของบ้านเจ็บตัวแล้วก็จากไป อันหมายความว่าเมื่อทำกำไรได้ช่วงหนึ่งแล้วเงินเหล่านี้ก็จะไหลออก ค่าเงินบาทก็จะอ่อนลง ตลาดหุ้นก็จะวาย

ลองมาดูภาพดัชนี SET กัน ดังภาพต่อไปนี้



ภาพนี้ลุงแมวน้ำอยากให้ดูปริมาณการซื้อขายซึ่งเห็นเป็นแท่งสีแดงในส่วนล่างของภาพ จะเห็นว่าช่วงนี้ปริมาณซื้อขายหนาแน่นผิดปกติ ซึ่งถ้าติดตามข่าวคราวจะพบว่าบางวันวอลุมซื้อขายเกือบถึง 50,000 ล้านบาท ลักษณะที่ปริมาณซื้อขายกระชากขึ้นอย่างรวดเร็วหรือที่เรียกว่า volume spike นั้น ถือเป็นสัญญาณการกลับทิศแนวโน้ม (trend reversal signal) ได้อย่างหนึ่ง ใช้พิจารณาร่วมกับสัญญาณกลับทิศอื่นๆ ตอนนี้สัญญาณด้านวอลุมเริ่มเห็นเค้าลางแล้ว คงต้องติดตามรอดูสัญญาณอื่นๆต่อไป

ทีนี้มาดูภาพต่อไปนี้กันบ้าง


ภาพข้างบนนี้ลุงแมวน้ำนำมาจากเว็บกระทิงเขียว สังเกตว่าหุ้นตัวเล็กตัวน้อยทำงานกันแข็งขัน สามารถติดอันดับทั้งด้านราคาและด้านปริมาณซื้อขายได้หลายตัวทีเดียว เรื่องนี้ไม่มีในตำราด้านเทคนิค แต่จากประสบการณ์และการสังเกตตลาดหุ้นไทยของลุงแมวน้ำ พบว่าเมื่อตลาดเป็นขาขึ้นอย่างแรง ปัจจัยที่นำให้ดัชนี SET ขึ้นในช่วงแรกนั้นเป็นหุ้นตัวใหญ่ ถัดจากนั้นจะเป็นรอบของหุ้นตัวขนาดกลาง และท้ายที่สุดตามมาด้วยรอบของหุ้นตัวเล็ก เมื่อจบรอบของหุ้นตัวเล็กเมื่อไรก็เป็นอันว่าถึงยอดดอยพอดี แล้วรถขบวนนี้ก็ลงจากดอยไป ทิ้งให้ผู้โดยสารรายย่อยชมดอยอยู่เป็นเวลานานๆ

ลุงแมวน้ำขอแสดงความเห็นว่า SET ขณะนี้อันตรายแล้ว ผู้ที่ถือตามระบบก็ไม่ต้องทำอะไร เมื่อไรเกิดสัญญาณขายก็ทำตามสัญญาณไป แต่ผู้จะเข้าลงทุนหรือเพิ่มพอร์ตการลงทุนในตอนนี้น่าจะไม่เหมาะแล้ว โอกาสพลาดพลั้งมีสูง

Monday, August 30, 2010

27/08/2010 * เทรดตามระบบแล้วได้กำไรแน่ๆหรือไม่ (2)

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 900.37 จุด เพิ่มขึ้น 14.27 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ TOP ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 44 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้มีไม่มีสัญญาณซื้อขาย ตลาดต่างๆในรายงานปิดบวกเกือบทั้งหมด ยกเว้นตลาดอินเดียที่ปิดลดลงกว่า 1%

ความน่าจะเป็นที่จะได้กำไรในการเทรดด้วยระบบ Peak and Trough 1.1 (PnT 1.1) (ต่อ)


เมื่อวานเราคุยกันถึงเรื่องสถิติที่น่าสนใจของระบบ PnT 1.1 ในแง่ของผลกำไรขาดทุนตลอดระยะเวลาของข้อมูลที่ยาวนานกว่าสิบปี วันนี้เราลองมาดูสถิติอื่นๆกันต่อ



ท่านทราบหรือไม่ว่าเมื่อท่านเทรดด้วยระบบ PnT 1.1 ใน 100 ครั้งของการเทรด หมายถึงว่าเปิดสัญญาซื้อแล้วปิดไป หรือว่าซื้อหุ้นแล้วขายออกไป ถือว่าเป็น 1 รอบการเทรด ใน 100 ครั้งที่ท่านเทรดไปนั้นได้กำไรกี่ครั้งและขาดทุนกี่ครั้ง

ลุงแมวน้ำลองคำนวณย้อนหลังดู ลองมาดูดัชนี SET กันก่อน ดูตรงคอลัมน์ probability of profitable long trades ในบรรทัดของ SET พบว่ามีค่าเท่ากับ 0.51 อันหมายความว่าในการเทรดดัชนีเซ็ตด้านลอง 100 ครั้งได้กำไร 51 ครั้ง

ทีนี้ลองมาดูด้านชอร์ตบ้าง อันหมายถึงการเปิดสัญญาขายแล้วก็ปิดไป ถือเป็นหนึ่งรอบของการเทรด ดูที่คอลัมน์ probability of profitable long trades พบว่ามีค่าเท่ากับ 0.48 หมายความว่าอชร์ต 100 ครั้งจะได้กำไรอยู่ 48 ครั้ง

ทีนี้ลองมาดูสินค้าตัวอื่นกันบ้าง ดัชนีดาวโจนส์ลอง 100 ครั้งได้กำไร 40 ครั้ง (อีก 60 ครั้งขาดทุน) ชอร์ต 100 ครั้งได้กำไร 22 ครั้ง (อีก 78 ครั้งขาดทุน)

เมื่อพิจารณาจากทุกตัวในตาราง ทั้งด้านลองและด้านชอร์ต พบว่าดัชนี SET มีความน่าจะเป็นที่จะได้กำไรสูงกว่าตัวอื่นๆ เนื่องจากค่าความน่าจะเป็นมีค่าสูงกว่าตัวอื่นๆ ส่วนตัวที่แย่ เทรดแล้วความน่าจะเป็นที่เทรดแล้วได้กำไรมีน้อย นั่นคือ น้ำตาล (SB) ลอง 100 ครั้งได้กำไร 32 ครั้ง และชอร์ต 100 ครั้งได้กำไร 29 ครั้ง แต่เมื่อเฉลี่ยในภาพรวมแล้วเราได้ค่าเฉลี่ยว่าสำหรับหุ้นและดัชนีทุกตัว เทรดด้านลอง 100 ครั้งมีโอกาสได้กำไรอยู่ 40 ครั้ง และเทรดด้านชอร์ต 100 ครั้งมีโอกาสได้กำไร 35 ครั้ง

จากข้อมูลชุดนี้ทำให้เราทราบว่าดัชนีและสินค้าแต่ละตัว หรือว่าตลาดแต่ละตลาดนั้นมีความยากง่ายในการทำกำไรไม่เท่ากัน SET ดูจะเล่นได้ง่ายกว่าเพื่อนเนื่องจากค่าความน่าจะเป็นสูงกว่าตัวอื่นๆดังที่ว่า ส่วนน้ำตาลเทรดได้ยากที่สุดเนื่องจากมีโอกาสได้กำไรน้อยครั้ง และก็แปลได้อีกนัยหนึ่งว่ามีโอกาสพบสัญญาณหลอกได้บ่อยกว่าตัวอื่นๆนั่นเอง

นอกจากนี้เรายังพบอีกว่าความน่าจะเป็นในการเทรดด้านลองแล้วได้กำไรมีมากกว่าการเทรดด้านชอร์ต (เนื่องจากเทรดด้านลอง 100 ครั้งมีโอกาสได้กำไรอยู่ 40 ครั้งโดยเฉลี่ย และเทรดด้านชอร์ต 100 ครั้งมีโอกาสได้กำไร 35 ครั้งโดยเฉลี่ย) ดังนั้นการเทรดด้านลองจึงปลอดภัยกว่าด้านชอร์ตอยู่บ้าง

และเมื่อลองสังเกตดูต่อไปก็จะพบว่าในการเทรดนั้นเรามีความน่าจะเป็นที่จะขาดทุนมากกว่ากำไร โดยดูได้จากค่าความน่าจะเป็น แทบไม่มีค่าใดเกิน 0.5 เลย (ยกเว้น SET ด้าน long ค่าเดียวเืท่านั้นที่เกิน 0.5) หากไม่เกิน 0.5 หมายความว่ามีโอกาสได้กำไรไม่ถึงครึ่ง (หรืออีกนัยหนึ่งคือความน่าจะเป็นที่จะเกิด false signal มีมากกว่าครึ่งนั่นเอง เพราะว่า false signal คือการเทรดแล้วขาดทุน)

เมื่อเทรดอะไรก็มีโอกาสผิดมากกว่าถูก ถ้าเช่นนั้นแล้วจะเอากำไรมาจากไหนกัน

(โปรดอ่านต่อในวันถัดไป)

Friday, August 27, 2010

26/08/2010 * เทรดตามระบบแล้วได้กำไรแน่ๆหรือไม่ (1)

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 886.1 จุด เพิ่มขึ้น 1.59 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 43 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้มีไม่มีสัญญาณซื้อขาย ตลาดต่างๆในรายงานเป็นสัญญาณขายเกือบทั้งหมดแล้ว ยกเว้น ไทย จีน และอินเดียที่ยังเป็นสัญญาณซื้ออยู่

ช่วงที่ผ่านหุ้นไทยขึ้นมาไกลที่เดียว แม้ในช่วงนี้จะมีอาการชะลอตัวบ้างก็ตาม อีกทั้งยางพาราก็ย่อแล้วขึ้นต่อ รวมความแล้วผู้ที่ลงทุนในช่วงที่ผ่านมาน่าจะมีกำไรกันถ้วนหน้า โดยเฉพาะผู้ที่ลงทุนอย่างเป็นระบบโดยใช้การเทรดตามแนวโน้มหรือที่เรียกว่า trend foollowing system น่าจะได้กำไรกันไม่น้อยเนื่องจากเกิดสัญญาณซื้อต่อเนื่องมานานพอสมควรแล้วโดยไม่มีสัญญาณหลอกมาคั่นให้เสียเงิน

ลองย้อนกลับไปนึกถึงเหตุการณ์เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ราวๆช่วงเดือนพฤษภาคม มิถุนายน กรกฎาคม แถวๆนั้น ทั้ง S50 และยางพารา RSS ต่างเกิดสัญญาณหลอกหรือ false signal หลายครั้งติดกัน ช่วงนั้นนักลงทุนที่เทรดตามระบบแม้แต่มือเก่าก็อาจจะยังอดบ่นไม่ได้ว่าเมื่อไรมันจะเลิกคืนกำไรเสียที ส่วนมือใหม่ที่เริ่มเข้ามาเทรดในช่วงนั้นคงไม่ต้องพูดถึง เพราะไม่มีกำไรให้คืน ต้องเรียกว่าขาดทุนเลย บางคนเทรดฟิวเจอร์สจนเงินหมดเนื่องจากเกิดสัญญาณหลอกหลายครั้งและเตรียมเงินสำรองเอาไว้ไม่เพียงพอ บางคนก็หมดกำลังใจที่จะเทรดตามระบบต่อไป ออกจากตลาดไปด้วยความบอบช้ำหรือไม่อย่างนั้นก็เปลี่ยนไปเทรดตามวิธีการอื่นๆ เช่น เทรดตามข่าวลือ เทรดตามโพย เทรดด้วยการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน และเทรดตามใจฉัน

คำถามที่น่าสนใจข้อหนึ่งซึ่งเป็นคำถามที่มีผู้ถามกันมากก็คือ การเทรดตามแนวโน้มอย่างเป็นระบบนั้นทำให้ได้กำไรแน่จริงหรือ หากไปถามผู้ที่เคยเทรดตามระบบมาจนหมดแรงและต้องเลิกราไปก็คงได้คำตอบแบบหนึ่ง หากถามผู้ที่เทรดจนเป็นมือเก่าแล้วก็คงได้คำตอบอีกแบบหนึ่ง

ถ้าเช่นนั้นคำตอบคืออะไรกันแน่ ตั้งแต่วันนี้ไปเราจะลองมาวิเคราะห์กันว่าการเทรดตามแนวโน้มอย่างเป็นระบบนั้นแท้ที่จริงแล้วเป็นอย่างไร ระบบที่ลุงแมวน้ำจะนำมาเป็นตัวแบบสำหรับศึกษากันก็คือระบบ Peak and Trough 1.10 (PnT 1.10) ที่จริงการเทรดตามแนวโน้มอย่างเป็นระบบนั้นมีระบบอื่นให้เลือกใช้อีกมากมายแต่ลุงแมวน้ำเลือกระบบ PnT 1.10 มาศึกษากันเนื่องจากเป็นระบบที่แพร่หลายและนิยมใช้กันมาก

ก่อนที่เราจะไปดูกันในเรื่องหุ้นหรือฟิวเจอร์ส ลุงแมวน้ำอยากเปรียบเทียบกับเรื่องมีดเพื่อให้เพื่อนนักลงทุนเห็นภาพเสียก่อน

สมมติว่าลุงแมวน้ำต้องการจะหั่นผัก ลุงแมวน้ำจำเป็นจะต้องรู้อะไรบ้าง

ขั้นแรก ลุุงแมวน้ำจำเป็นจะต้องเลือกให้อุปกรณ์ให้เหมาะสม คงไม่มีใครเอาที่ปอกมะม่วงมาหั่นผัก และมีดก็มีตั้งมากมายหลายแบบ มีดทาเนยบ้าง คัตเตอร์บ้าง มีดอีโต้บ้าง ฯลฯ เมื่อต้องการจะหั่นผักก็ต้องรู้จักเลือกใช้มีดที่เหมาะสม อีกทั้งยังต้องถนัดมืออีกด้วย

เมื่อเลือกมีดที่เหมาะสมและถนัดมือได้แล้ว ขั้นต่อไปก็ต้องรู้จักวิธีใช้มีด เอาด้านคมลงไปหั่น ไม่ใช่เอาด้านสันลงไปหั่น รวมทั้งรู้จักวิธีหั่น หากใช้ไม่เป็นก็อาจบาดมือจนบาดเจ็บเอาได้

เมื่อรู้จักวิธีใช้แล้ว ขั้นต่อไปก็ต้องรู้จักใช้มีดอย่างมีสติ เพราะมีดนั้นมีทั้งประโยชน์และโทษ หากขาดสติ แทนที่จะเอาไปหั่นผักกลับเอาไปไล่แทงคน ผลก็คือต้องติดคุกหัวโต

การลงทุนในตลาดหุ้น ฟิวเจอร์ส ด้วยระบบเทรดตามแนวโน้มนั้นก็เช่นกัน ผู้ลงทุนต้องมีความรู้อะไรหลายๆอย่าง เริ่มตั้งแต่รู้ว่าระบบทำงานอย่างไร มีข้อจำกัดอย่างไรหรือไม่ ใช้ได้ทุกสถานการณ์หรือไม่ ฯลฯ

เมื่อมีความรู้เกี่ยวกับตัวระบบเทรดที่เราจะใช้ดีพอควรแล้ว ขั้นต่อมาก็ต้องรู้จักวิธีการใช้ นั่นคือ การนำระบบไปเทรดในตลาดจริงต้องบริหารระบบอย่างไร บริหารเงินอย่างไร ต้องสำรองเงินเท่าไร เป็นต้น

เมื่อมีความรู้เกี่ยวกับตัวระบบและวิธีใช้ระบบแล้ว ขั้นต่อมาซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมากแต่หลายๆคนกลับมองว่ามีความสำคัญน้อยที่สุดหรือไม่สำคัญเอาเลย นั่นก็คือการรู้จักใช้อย่างมีสติ

ลุงแมวน้ำจะทิ้งประเด็นไว้เพียงแค่นี้ก่อน ต่อไปเราจะมาดูกันที่ข้อแรก คือทำความรู้จักเกี่ยวกับตัวระบบกัน

ระบบ Peak and Trough 1.10 และสถิติที่น่าสนใจ

ความน่าจะเป็นที่จะได้กำไรในการเทรดด้วยระบบ Peak and Trough 1.10 (PnT 1.10)

ระบบ PnT 1.10 ทำงานอย่างไรนั้นหากจะนำมาคุยกันในที่นี้ด้วยอาจจะยาวเกินไป เอาเป็นว่าแทนที่เราจะดูว่าระบบนี้มีทฤษฎีในการสร้างระบบเทรดขึ้นมาอย่างไร เราลองมาดูผลการเทรดด้วยระบบนี้กันดีกว่า

ตารางต่อไปนี้เป็นผลจากการเทรดด้วยระบบ PnT 1.10 ที่ทดสอบกับสินค้าและดัชนีหลายตัว ได้แก่ ดัชนี SET (SET) ดัชนีดาวโจนส์ (DJI) ดัชนีหั่งเส็ง (HSI) และดัชนีนิกเกอิ (NIX) ส่วนสินค้าก็ได้แก่ ดัชนีดอลลาร์ สรอ (DX) น้ำมันดิบ (CL) ทองคำ (GC) ยางโตคอม (JPIR) ถั่วเหลือง (S) น้ำตาล (SB) และข้าวสาลี (W) โดยสมมติว่าเทรดครั้งละ 1 หุ้น (หรือ 1 สัญญา)

ดัชนีแต่ละตัวที่ทดสอบใช้ข้อมูลครอบคลุมระยะเวลากว่า 10 ปี เพื่อให้ครอบคลุมสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในช่วงต่างๆให้ได้มากที่สุด ดังนี้



ในคอลัมน์ daily bars นั้นแสดงจำนวนข้อมูลที่นำมาวิเคราะห์ จะเห็นทั้งหมดเป็นข้อมูลการเทรดที่ยาวนานกว่า 10 ปี

และเนื่องจากข้อมูลมีทั้งดัชนีและสินค้าโภคภัณฑ์หลายแบบ และวิธีการเทรดจะมีทั้งเทรดแบบหุ้น (เทรดด้าน long ด้านเดียว) และเทรดแบบฟิวเจอร์ส (คือเทรดทั้งด้าน long และ short) ดังนั้นลุงแมวน้ำจึงกำหนดค่านายหน้าซื้อขายแบบถัว นั่นคือ คิดเป็น 0.1% ของราคาหรือดัชนี จะไม่คิดเลยก็ไม่ได้เพราะการบางครั้งผลขาดทุนในการเทรดมาจากการขาดทุนค่านายหน้านี่เอง

เราลองมาดูคอลัมน์ที่เขียนไว้ว่า P/L (Long only) กันก่อน คอลัมน์นั้นเป็นผลกำไร/ขาดทุนจากการเทรดในแบบหุ้น นั่นคือ ซื้อแล้วขาย เขียวแรกก็ซื้อ แดงแรกก็ขาย ผลกำไรจากการเทรดดัชนีและสินค้าต่างๆตลอดระยะเวลาสิบกว่าปี ผลเป็นอย่างไร ตัวอย่างการอ่านผลก็เช่น

เทรดดัชนี SET ได้กำไร 2,953 จุด เทรดดัชนีดาวโจนส์ขาดทุน 221 จุด เทรดน้ำมันดิบขาดทุน 58 ดอลลาร์ เทรดทองคำกำไร 319 ดอลลาร์ เทรดน้ำตาลขาดทุน 15 เซ็นต์

จะเห็นว่าตลอดระยะเวลากว่าสิบปี เทรดตั้งแต่หนุ่มสาวจนเข้าวัยกลางคน ดัชนีและสินค้าบางตัวก็ขาดทุน มากบ้างน้อยบ้าง ทั้งหมดมี 11 ตัวขาดทุน 6 ตัว

ทีนี้ลองมาเทรดแบบฟิวเจอร์สดูบ้าง นั่นคือเทรดทั้งด้านลอง (เขียวแรกเปิดสัญญาซื้อ แดงแรกปิดสัญญาซื้อ) และด้านชอร์ต (แดงแรกเปิดสัญญาขาย และเขียวแรกปิดสัญญาขาย) ผลอยู่ในคอลัมน์ (P/L Long & Short) ทั้งหมด 11 ตัวขาดทุน 7 ตัว และจำนวนที่ขาดทุนแตกต่างไปจากเทรดแบบลองอย่างเดียว เช่น ดัชนี SET นั้นทำกำไรได้มากกว่าเทรดด้านลองอย่างเดียว แต่ดัชนี DJI กลับขาดทุนหนักยิ่งขึ้น ดัชนี NIX ขาดทุนน้อยลงแสดงว่าด้านชอร์ตช่วยให้มีกำไรผ่อนหนักเป็นเบาได้โข ส่วนทองคำเมื่อเทรดด้านชอร์ตด้วยกลับพลิกจากกำไรกลายเป็นขาดทุน

(โปรดอ่านต่อในวันถัดไป)

25/08/2010

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 884.51 จุด ลดลง 5.94 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย BANPU ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 43 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณขายข้าวสาลี (W)

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ดัชนีเกือบทุกประเทศในรายงานแดงกระจาย ดัชนีของไต้หวัน (TWII) จีน (SSECI) ญี่ปุ่น (NIX) และเกาหลี (KS11) ลงแรงที่สุดตามลำดับ

Wednesday, August 25, 2010

24/08/2010 * CL, เพิ่มข้อมูลกองทุนอีทีเอฟ (ETF)

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 890.45 จุด ลดลง 4.33 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย PTTEP, TPIPL ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 44 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณขาย PTTEP

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ดัชนีออลออร์ดิแนรีส์ (All Ordinaries, AORD) ของออสเตรเลยและดัชนีโบเวสป้า (Bovespa, BVSP, IBVSP) เกิดสัญญาณขาย

น้ำมันดิบ (CL) ร่วงต่อเนื่องมาหลายวัน ในที่สุดหลุดกรอบล่างของ SEC ลงมาแล้ว การหลุดกรอบนี้เป็นหนึ่งในสัญญาณกลับทิศ รวมทั้งยังหลุดท้องคลื่นเดิม (trough เดิมอยู่ที่ 71.98 ดอลลาร์/บาเรล) ลงมาเล็กน้อย ควรติดตามสัญญาณกลับทิศอย่างใกล้ชิด แต่ว่าลุงแมวน้ำไม่มีสถานะ CL ค้างอยู่ ปิดไปตั้งแต่เกิดสัญญาณขายเมื่อตอนกลางเดือน รวมแล้วขาดทุนใน CL หนักทีเดียว คงต้องรอดูอีกสักระยะหนึ่งจึงค่อยประเมินสถานการณ์ของน้ำมันดิบกันอีกครั้ง




การปรับปรุงรายงาน

วันนี้ลุงแมวน้ำมีการปรับปรุงรายงานที่นำเสนอโดยมีการเพิ่มเติมกองทุนอีทีเอฟ (ETF, Exchange-traded Fund) เข้ามา 5 กองทุน ดังนี้



  1. IWRD.L (ISHARES MSCI WORLD) เป็นกองทุนอีทีเอฟที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดลอนดอน ประเทศอังกฤษ กองทุนนี้อิงกับดัชนี MSCI World Index ดังนั้นจึงสามารถใช้กราฟของกองทุนนี้ดูแทนดัชนี MSCI World Index ได้ กองทุนของไทยที่อิงกับดัชนี MSCI World Index เช่น กองทุนเปิดทหารไทย World Equity Index เป็นต้น
  2. EEM (iShares MSCI Emerging Markets Index) เป็นกองทุนอีทีเอฟที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา กองทุนนี้อิงกับดัชนี MSCI Emerging Markets Index ดังนั้นจึงสามารถใช้กราฟของกองทุนนี้ดูแทนดัชนี MSCI Emerging Markets Index ได้ กองทุนของไทยที่อิงกับดัชนี MSCI Emerging Markets Index เช่นกองทุนเปิดทหารไทย Emerging Markets Equity Index เป็นต้น
  3. DBA (PowerShares DB Agriculture) เป็นกองทุนอีทีเอฟที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา กองทุนนี้อิงกับดัชนีราคาสินค้าเกษตรของดอยทช์แบงค์ (DBIQ Diversified Agriculture Index Excess Return (DBLCIX)) ส่วนกองทุนรวมสินค้าเกษตรของไทย ได้แก่ K-Agri อิงกับดัชนีอีกตัวหนึ่ง นั่นคือ Deutsche Bank Agriculture USD Index (DBAI) แต่อย่างไรก็ดี หากต้องการภาพแบบคร่าวๆดัชนีสองตัวนี้ถือว่าพอใช้แทนกันได้
  4. DBO (PowerShares DB Oil) เป็นกองทุนอีทีเอฟที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา กองทุนนี้อิงกับดัชนีราคาน้ำมันดิบ WTI ของดอยทช์แบงค์ (Deutsche Bank Liquid Commodity Index - Optimum Yield Crude Oil Excess Return) ดังนั้นจึงสามารถใช้กราฟของกองทุนนี้ดูแทนดัชนี Deutsche Bank Liquid Commodity Index - Optimum Yield Crude Oil Excess Return ได้ กองทุนของไทยที่อิงกับดัชนีนี้ เช่น กองทุน K-Oil ของกสิกรไทย กองทุน TMB-Oil ของทหารไทย เป็นต้น
  5. GLD (SPDR Gold Shares) เป็นกองทุนอีทีเอฟที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา กองทุนนี้อิงกับราคาทองคำแท่งของตลาดลอนดอน (London Gold AM Fixing) ดังนั้นจึงสามารถใช้กราฟของกองทุนนี้ดูแทนราคาทองคำตลาดโลกได้ กองทุนของไทยที่อิงกับ London Gold AM Fixing เช่น กองทุน TMB-Gold ของทหารไทย เป็นต้น


Tuesday, August 24, 2010

23/08/2010 * RSS3, SET

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 894.78 จุด เพิ่มขึ้น 0.86 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ KSL ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 46 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ยางพารา (RSS) น่าจะกำลังอยู่ในคลื่น 5 (สีน้ำตาล) และหากเป็นเช่นว่าจริงราคาควรจะไปเกินยอดคลื่น 3 หรือเกิน 113.85 บาท



ดัชนี SET ใกล้ทดสอบยอดคลื่นเดิมที่ 915.03 จุดแล้ว อีกไม่นานคงได้รู้กันว่าขณะนี้เราอยู่ในคลื่นอะไรกันแน่




Monday, August 23, 2010

20/08/2010 * LIBOR Spread, TED Spread, DX

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 893.92 จุด เพิ่มขึ้น 2.69 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 45 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ดัชนีดอลลาร์ สรอ (US Dollar Index, DX) เกิดสัญญาณซื้อ ลุงแมวน้ำประเมินว่าคลื่น 4 (สีน้ำตาล) ยังไม่น่าจบ ช่วงสั้นๆนี้คงแกว่งตัวแบบไร้ทิศทางต่อไปช่วงหนึ่งก่อน แต่อย่างไรก็ดีลุงแมวน้ำตัดสินใจเปิดสัญญาซื้อ DX ไป

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ดัชนีหั่งเส็ง (HSI) ของฮ่องกงเกิดสัญญาณขาย ตลาดหุ้นต่างประเทศแดงกระจาย

ตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคม 2010 เป็นต้นมา LIBOR-OIS Spread กับ TED Spread ซึ่งเดิมมีค่าสูงกลับลดต่ำลงมาอย่างรวดเร็ว ดังที่ลุงแมวน้ำเคยบอกเอาไว้ว่าค่าส่วนต่าง (spread) 2 ค่านี้บ่งชี้สภาพคล่องระยะสั้นของเศรษฐกิจในภาพรวม เมื่อใดที่ค่านี้สูง แสดงว่าสภาพคล่องตึงตัว เงินมักไหลออกจากตลาดหุ้น





Friday, August 20, 2010

19/08/2010 * ราคายางพารากับราคาหุ้นบริษัทยาง, ราคาน้ำตาลกับราคาหุ้นโรงงานน้ำตาล

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 891.23 จุด เพิ่มขึ้น 11.21 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ BIGC, IRPC ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 45 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ดัชนีตลาดแบ่งเป็นสองกลุ่ม ฝั่งยุโรปและอเมริกาลงประมาณ 1% ส่วนฝั่งเอเซียขึ้นประมาณ 1%

วันนี้เรามาดูผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ด้วยสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์กันต่อ ว่าราคายางพารา (RSS) กับราคาหุ้นของบริษัทที่ทำอุตสาหกรรมการผลิตเกี่ยวกับยางพาราเป็นอย่างไร ลองมาดูภาพกัน





จากภาพทั้งสองแสดงให้เห็นว่าในอดีตราคายางพารากับราคาหุ้นสัมพันธ์กันดี แต่มาในปี 2010 นี้ราคายางพารากับราคาหุ้นกลับมีแนวโน้มสวนทางกัน (r = -0.61) เมื่อราคายางพาราสูงขึ้น ราคาหุ้นมักอ่อนตัวลง

ทีนี้ลองมาดูราคาน้ำตาลทราย (SB)กับราคาหุ้นโรงงานน้ำตาลกันดูบ้าง ดังภาพต่อไปนี้





จากภาพแสดงให้เห็นว่าในภาพรวมสามปีครึ่ง ราคาน้ำตาลทรายกับราคาหุ้นโรงงานน้ำตาลตามกันบ้างไม่ตามกันบ้าง แต่มาในปี 2010 นี้ราคา SB กับราคาหุ้นมีความสัมพันธ์กันสูงชนิดตามกันติดๆ (r = 0.92)

18/08/2010

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 880.02 จุด เพิ่มขึ้น 14.24 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ PTTAR, PTTCH ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 43 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

Wednesday, August 18, 2010

17/08/2010 * ตารางสรุปความสัมพันธ์ของราคาและดัชนีที่สำคัญต่างๆ

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 865.78 จุด เพิ่มขึ้น 5.23 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย BIGC, KSL ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 41 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดฝั่งยุโรปและอเมริกาขึ้นแรว ส่วนตลาดเอเชียปรับตัวกระจายกันไป ดัชนีสเตรตส์ไทมส์ (STI) ของสิงคโปร์เกิดสัญญาณขาย

วันนี้ลุงแมวน้ำทำตารางความสัมพันธ์ระหว่างราคาผลิตภัณฑ์หรือดัชนีต่างๆมาให้ดูกัน เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์แก่เพื่อนนักลงทุน ลองมาดูตารางกันก่อน



ตารางนี้เป็นการสรุปความสัมพันธ์ซึ่งสามารถดูได้หลายแบบ สินค้าและดัชนีที่นำมาเปรียบเทียบกันได้แก่
  • น้ำมันดิบ
  • ทองคำ
  • ยางพารา
  • สินค้าเกษตร (ข้าวโพด ถั่วเหลือง ข้าวสาลี น้ำตาล กาแฟ ฝ้าย โกโก้)
  • ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกา
  • ดัชนีดาวโจนส์
  • ดัชนี SET
ตารางบนสุดเป็นตารางสรุปความสัมพันธ์ในภาพกว้างโดยวิเคราะห์จากข้อมูลปี 2007 ถึงปี 2010 ส่วนตารางถัดลงมาเป็นตารางสรุปที่วิเคราะห์จากข้อมูลรายปีในปี 2007, 2008, 2009 และ 2010 ตามลำดับ เพื่อให้นักลงทุนสามารถเห็นทั้งในภาพกว้างและการเปลี่ยนแปลงของระดับความสัมพันธ์ในปีต่างๆ

วิธีดูก็ไม่ยาก หากต้องการเปรียบเทียบสินค้าหรือดัชนีคู่ใดก็ให้หาชื่อของคู่นั้นจากชื่อในแนวตั้งและแนวนอนของตาราง

ตัวอย่าง: ต้องการดูความสัมพันธ์ระหว่างราคายางพารากับราคาน้ำมันดิบในปี 2010

วิธีดูก็เลือกจากตารางล่างสุด ดูชื่อน้ำมันดิบในแนวตั้ง และยาง RSS ในแนวนอน เซลล์ที่ตัดกันก็คือค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของสินค้าที่ต้องการนั่นเอง ในตัวอย่างนี้เราได้ r = 0.79 แปลว่าในปี 2010 ยางพารากับน้ำมันดิบมีความสัมพันธ์กันสูง เป็นต้น

ตัวอย่างการนำไปใช้ประโยชน์ เช่น ในปี 2010 นี้ความสัมพันธ์ระหว่างน้ำมันดิบกับสินค้าเกษตรค่อนข้างน้อย (r = 0.37) ต่างจากในปี 2007 และ 2008 ที่มีความสัมพันธ์กันสูง ดังนั้นการพิจารณาทางเทคนิคก็ควรให้น้ำหนักกับกราฟราคาสินค้าเกษตรเป็นหลัก ไม่ต้องสนใจราคาน้ำมันมากนัก ข้อมูลเหล่านี้จะทำให้มุมมองของเราแตกต่างออกไป อย่างเช่นขณะนี้กราฟทางเทคนิคของสินค้าเกษตรบ่งบอกว่าน่าจะอยู่ในคลื่นต้นๆ คงเป็นคลื่น 1-2 หากคิดถึงราคาน้ำมันดิบอยู่เสมอ เราก็อาจประเมินว่าราคาสินค้าเกษตรอาจไปได้ไม่ไกลนักเนื่องจากเห็นว่าราคาน้ำมันแกว่งตัวอยู่ในกรอบ 70 - 85 ดอลลาร์/บาเรล มาหลายเดือนแล้ว ทำให้ลังเลไม่กล้าลงทุน แต่หากเราคาดว่าราคาสินค้าเกษตรไม่ค่อยอิงกับราคาน้ำมันดิบนัก เราก็อาจเปลี่ยนมุมมองใหม่โดยเชื่อมั่นทางเทคนิคมากขึ้นและอาจตัดสินใจลงทุนในสินค้าเกษตรได้ เป็นต้น

อนึ่ง สีในเซลล์ที่ระบายเอาไว้นั้น ความหมายคือ
  • สีเขียวหมายถึงมีความสัมพันธ์กันสูงและเป็นแบบตามกัน ขึ้นด้วยกัน ลงด้วยกัน
  • สีชมพูหมายถึงมีความสัมพันธ์กันสูงแต่เป็นแบบสวนทางกัน อย่างหนึ่งขึ้น อย่างหนึ่งลง
  • สีเทา หมายถึงไม่มีความสัมพันธ์กัน


Tuesday, August 17, 2010

16/08/2010 * ราคาทองคำสัมพันธ์กับค่าเงินดอลลาร์ สรอ หรือไม่

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 860.55 จุด ลดลง 1.61 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย KTB ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 43 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณขายฟิวเจอร์สของ KTB และทองไทย (GF) เกิดสัญญาณซื้อ แต่ลุงแมวน้ำประเมินว่าขณะนี้น่าจะเป็นคลื่น A แล้ว จึงปิดสัญญาขายเท่านั้น ไม่ได้เปิดสัญญาซื้อ GF ซึ่งใช้กลยุทธ์เดียวกับ GC นั่นเอง

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ตลาดปรับตัวกระจายกันไป ขึ้นนิดลงหน่อย ยกเว้นตลาดจีนที่ปรับตัวขึ้นแรง

เมื่อวันก่อนเราลุงแมวน้ำได้คุยถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างราคาสินค้า 2 ชนิด (หากไม่ใช่หุ้น ฟิวเจอร์ส หรือสินค้าก็อาจเป็นดัชนีก็ได้) และการวิเคราะห์ว่าสินค้าสองชนิดนั้นมีความสัมพันธ์กันจริงหรือไม่ รวมทั้งเป็นแบบไหน (แบบตามกันหรือว่าแบบสวนกัน) โดยใช้วิธีการทางสถิติด้วยการใช้สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (correlation coefficient) รวมทั้งได้ดูตัวอย่างราคายางพารากับราคาน้ำมันและค่าเงินดอลลาร์ สรอ กันไปแล้ว

เรามักได้ยินอยู่เสมอว่าทองคำนั้นเป็นสินทรัพย์มั่นคง เป็นสินทรัพย์ที่ใช้ต่อสู้กับเงินเฟ้อ หากเราถือเงินบาทหรือเงินดอลลาร์เอาไว้ เช่น มีเงินอยู่ 100 บาทหรือว่า 100 ดอลลาร์ สรอ ต่อไปธนบัตรใบเดิมที่เราเก็บเอาไว้นั้นจะมีมูลค่าน้อยลงกว่าเดิมเนื่องจากเงินเฟ้อทำให้เงินที่เราถืออยู่นั้นด้อยค่าลงไป เงิน 100 บาทในปัจจุบันซื้อข้าวหน้าปลาแซลมอนได้ 1 จาน แต่เมื่อเงินเฟ้อ ต่อไปอาจซื้อได้เพียงครึ่งจาน ด้งนี้เป็นต้น ส่วนทองคำนั้นว่ากันว่าจะไม่ด้อยค่าไปเพราะภาวะเงินเฟ้อ ดังนั้นหากอยู่ในภาวะที่อัตราเงินเฟ้อค่อนข้างสูง เมื่อเราอ่านหนังสือพิมพ์หรือหาข้อมูลความรู้จากสื่อต่างๆเราจึงมักได้รับคำแนะนำว่าหากเงินเฟ้อให้ซื้อทองเก็บเอาไว้ หรือถ้าหากว่าเงินไม่เฟ้อก็ยังซื้อเก็บเอาไว้ได้ อีกหน่อยราคาก็ขึ้น เป็นต้น

สำหรับนักลงทุนผู้มีหัวในการมองหาช่องทางการลงทุนก็เอาข้อความข้างบนนี้ไปคิดต่อยอด บางคนก็จับแนวโน้มค่าเงินแล้วเอาไปเก็งกำไรในทองคำ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเห็นว่าค่าเงินดอลลาร์ สรอ อ่อนตัวก็ไปซื้อฟิวเจอร์สทองคำเอาไว้ เพราะมีสูตรสำเร็จอยู่ในใจว่าเมื่อเงินอ่อนทองจะแข็ง ดอลลาร์ สรอ อ่อนตัว ราคาทองคำก็ขึ้น วันนี้เราจะลองมาใช้หลักสถิติวิเคราะห์กันดูว่าทองคำกับค่าเงินสัมพันธ์กันจริงหรือไม่

จากข้อมูลราคาทองคำ (ใช้ราคากองทุนทองคำ GLD เป็นตัวแทน) กับค่าเงินดอลลาร์ สรอ (ใช้ราคา DX เป็นตัวแทน) โดยใช้ข้อมูลตั้งแต่ต้นปี 2007 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน วิเคราะห์ด้วยสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ ได้ผลดังนี้

r = -0.1056

นั่นหมายความว่าจากข้อมูลในรอบ 3 ปีครึ่งที่ผ่านมา พบว่าทองคำกับค่าเงินดอลลาร์ สรอ แทบไม่มีความสัมพันธ์กันเลย (เนื่องจากค่า r ใกล้ 0) ซึ่งผลการวิเคราะห์นี้ฝืนความรู้สึกเป็นอย่างมาก เพราะไม่เป็นไปตามที่เราเคยเชื่อกัน ทีนี้ลองมาดูกราฟราคากันบ้าง



เมื่อดูจากภาพจะเห็นได้ค่อนข้างดีกว่า นั่นคือ กราฟค่อนไปทางแนวนอนนี้ ความว่าเมื่อราคาทองคำขึ้น ค่าของเงินดอลลาร์ สรอ ยังไม่ค่อยไปไหน ลักษณะเช่นนี้ตีความอย่างง่ายๆก็คือมีการเก็งกำไรในทองคำกันค่อนข้างมากนั่นเอง

ที่เห็นภาพบนนี้คือภาพรวมในรอบ 3 ปีครึ่ง ทีนี้เรามาลองดูในกรอบเวลาที่แคบลงบ้าง โดยเราลองมาดูความสัมพันธ์ระหว่างราคาทองคำกับค่าเงินในปี 2007 ดังรูปต่อไปนี้



ค่า r ใกล้ -1 มาก แสดงว่ามีความสัมพันธ์กันสูงในแบบสวนทางกัน นั่นคือ ในปี 2007 นั้น หากค่าเงินแข็ง ทองจะอ่อน หากค่าเงินอ่อน ทองจะแข็ง ซึ่งสอดคล้องกับสามัญสำนึกของเรา

คราวนี้มาดูความสัมพันธ์ระหว่างราคาทองคำกับค่าเงินในปี 2009 เพียงปีเดียวกันดูบ้าง ดังนี้



ค่า r = -0.73 ตีความได้ว่าราคาทองคำกับค่าเงินก็ยังสวนทางกันอยู่ แต่ไม่สวนกันแรงเหมือนกับในปี 2007

คราวนี้มาดูความสัมพันธ์ในปี 2010 กันบ้าง ดังภาพต่อไปนี้



r = 0.8257

เมื่อลุงแมวน้ำเห็นภาพนี้ทีแรกก็ไม่อยากเชื่อสายตาเช่นกัน เพราะว่าค้านกับสามัญสำนึกมาก แต่ผลก็เป็นเช่นนี้จริงๆ ค่า r ใกล้ 1 ตีความได้ว่าเป็นความสัมพันธ์แบบตามกัน กล่าวคือ เมื่อค่าเงินแข็ง ราคาทองคำจะขึ้น และเมื่อค่าเงินอ่อน ราคาทองคำจะลง ซึ่งเมื่อลองนำเอาข้อมูลค่าเงินกับราคาทองคำมาไล่เรียงกันดูจริงๆก็จะพบว่าในช่วงปีนี้แนวโน้มเป็นไปแบบนี้จริงๆ

ลุงแมวน้ำนำภาพมาให้ดู 4 ภาพ เป็นชาร์ตผลการวิเคราะห์จากข้อมูล 3 ปีครึ่งซึ่งตีความได้ว่าราคาทองคำกับค่าเงินดอลลาร์ สรอ ไม่มีความสัมพันธ์กัน กับชาร์ตผลการวิเคราะห์รายปี ซึ่งมีทั้งสัมพันธ์แบบตามกันและแบบสวนทางกัน ถ้าเช่นนั้นควรเลือกเชื่อชาร์ตใดหรือควรเชื่อผลวิเคราะห์ตามภาพใด?

ที่จริงทั้งชาร์ตทั้ง 4 ภาพและผลการวิเคราะห์ที่แตกต่างนั้นสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทั้งสิ้น ขึ้นกับวิีธีการนำไปใช้ จากภาพชุดนี้ทำให้เราตระหนักว่าโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน แม้แต่ระดับของความสัมพันธ์ของสินค้าคู่เดียวกันก็เปลี่ยนแปลงไปได้ตามกาลเวลา

การมองภาพในกรอบเวลาที่กว้าง เช่น 3 ปี หรืออาจมากกว่านั้น เป็นการให้แนวโน้มในภาพใหญ่ เหมาะกับการลงทุนระยะที่ยาวหน่อย ส่วนการมองในกรอบเวลาที่แคบลง เช่น 1 ปี หรืออาจสั้นกว่าหนึ่งปี เป็นการมองในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงสั้น เหมาะกับการติดตามเพื่อปรับกลยุทธ์การลงทุนในระยะสั้น ยกตัวอย่างเช่นในปี 2010 นี้ หากนักลงทุนซื้อทองเมื่อเงินดอลลาร์แข็งก็คงเจ็บตัว (ในระยะสั้น) เพราะเมื่อค่าเงินอ่อน ราคาทองคำก็อ่อนตามไปด้วย หาโอกาสทำกำไรได้ยาก กลยุทธ์ในปีนี้ก็อาจต้องปรับตัวมาเป็นเมื่อค่าเงินอ่อนก็ซื้อทองเอาไว้ เป็นต้น นี่เป็นเพียงการยกตัวอย่าง มิใช่การแนะนำกลยุทธ์การลงทุนจริงๆ

ในวันต่อไปเราจะมาดูความสัมพันธ์ระหว่างสินค้าอื่นๆกัน เช่น ราคาน้ำตาลกับราคาหุ้นโรงงานน้ำตาลสัมพันธ์กันหรือไม่ ราคายางพารากับราคาหุ้นของผู้แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ยางพาราสัมพันธ์กันหรือไม่ และอื่นๆ

Monday, August 16, 2010

11/08/2010 - 13/08/2010


11/08/2010


วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 862.16 จุด เพิ่มขึ้น 0.21 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย BAY ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 44 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณขายฟิวเจอร์สของดัชนีดาวโจนส์ (DJ)

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ดัชนีดาวโจนส์ร่วงหนัก ลดลงไไปประมาณ 2.5% เกิดเป็นรูปแบบ big black candle ในชาร์ตแท่งเทียน ดัชนีฟุตซี (FTSE 100) ของอังกฤษก็เกิดสัญญาณขาย เกือบทุกตลาดที่อยู่ในรายงานพร้อมใจกันลงเป็นตัวแดง ทำใหัดัชนี MSCI World Index ก็เกิดสัญญาณขาย ยกเว้นดัชนี SET กับดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต (Shanghai composite index) ของจีนที่เขียวอยู่ได้

ขณะนี้แม้ว่าดัชนีดาวโจนส์จะเป็นขาขึ้นอยู่ แต่ยังบอกไม่ได้ว่าเป็นคลื่นย่อยอะไร ดังที่เคยคุยไปแล้วว่ารูปแบบคลื่นที่ดูง่ายที่สุดและพื้นฐานที่สุดคือ 1-2-3-4-5-A-B-C แต่การก่อตัวของคลื่นราคาในรูปแบบอื่นที่ซับซ้อนกว่านี้ก็ยังมี ซึ่งถ้าเป็นแบบซับซ้อนแล้วละก็นับได้ยาก ลุงแมวน้ำขอทบทวนความเห็นที่มีต่อดัชนีดาวโจนส์อันเป็นการบ่งชี้สภาพเศรษฐกิจของโลกด้วยดังนี้
  1. ขณะนี้เราน่าจะจบคลื่น B (สีน้ำเงิน) ไปแล้วและขณะนี้เรากำลังอยู่ในคลื่น C (สีน้ำเงิน)
  2. ความเป็นไปได้อื่นๆก็คือ ขณะนี้เรากำลังอยู่ในคลื่น B แต่ดัชนีต้องผ่าน 11,205 จุดให้ได้เสียก่อนจึงจะยืนยันได้
  3. ความเป็นไปได้อื่นอีกทางหนึ่งก็คือ ขณะนี้เราอยู่ในคลื่นใหญ่รอบใหม่ คือคลื่นขาขึ้น 1-2-3-4-5 (สีน้ำเงิน) แต่ข้อนี้หาเกณฑ์อะไรมาบ่งชี้ได้ยาก นอกจากจะนับคลื่นย่อยได้ 5 ลูก (คลื่น B มีคลื่นย่อยเพียง 3 ลูก) แต่หากคลื่นย่อยนับได้ยากก็เ็ป็นอันว่าดูไม่ออก อย่างเช่นที่เกิดขึ้นในขณะนี้
ดังนั้นเมื่ออ่านคลื่นได้ไม่ชัดก็ไม่ต้องไปมัวเสียเวลานับ ใช้ระบบสัญญาณซื้อขายกำกับและเผื่อใจเอาไว้ก่อน อย่างเช่นตอนนี้ลุงแมวน้ำก็เผื่อใจเอาไว้ว่าโอกาสที่จะเป็นข้อ 3 ก็มี ดังนั้นจึงตัดสินใจปิดสัญญาซื้อและเปิดสัญญาขาย DJ ตามน้ำไปด้วย



12/08/2010

วันนี้ตลาด SET, TFEX, AFET ของไทยหยุดทำการ จึงปรับปรุงเฉพาะข้อมูลของต่างประเทศ

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณขายน้ำมันดิบ (CL) และมีสัญญาณซื้อทองคำ (GC) และเนื่องจากลุงแมวน้ำปรับมุมมองใหม่ ประเมินว่าน้ำมันยังอยู่ในคลื่นใหญ่ขาขึ้นอยู่ (แม้จะยังนับคลื่นไม่ถูกก็ตาม) ในครั้งนี้จึงปิดสัญญาซื้อ (cover long position) CL เท่านั้น ไม่เปิดสัญญาขาย ส่วนทองนั้นคาดว่าน่าจะจบคลื่น 5 ไปแล้ว ขณะนี้คงอยู่ในคลื่น A ลุงแมวน้ำจึงปิดสัญญาขาย (cover short position) แต่ไม่ได้เปิดสัญญาซื้อตามไป

สรุปแล้วขณะนี้ในพอร์ตจำลองของลุงแมวน้ำไม่ได้ถือสัญญา CL, GC อยู่เลย สถานภาพในรายงานจึงเป็น NOACT

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ ดัชนีคอสปี (KOSPI) ของเกาหลีใต้เกิดสัญญาณขาย



13/08/2010

วันนี้ตลาด SET, TFEX, AFET ของไทยหยุดทำการ จึงปรับปรุงเฉพาะข้อมูลของต่างประเทศ

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีไม่สัญญาณซื้อขาย

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ ดัชนีแดกซ์ (DAX) ของเยอรมนีเกิดสัญญาณขาย

Wednesday, August 11, 2010

10/08/2010 * CC, ยางพารา สินค้าเกษตร น้ำมันดิบ และค่าเงินดอลลาร์ สัมพันธ์กันเพียงใด

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 861.95 จุด ลดลง 13.23 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณขาย HANA, TOP ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 45 ตัว

กลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณซื้อข้าวไทย (WBR5) สัญญาณขายโกโก้ (CC)

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ทุกตลาดที่อยู่ในรายงานพร้อมใจกันลง เป็นตัวแดงทั้งหมด

ในช่วงที่ผ่านมาสินค้าเกษตรโกโก้ (CC) เกิดสัญญาณซื้อขายค่อนข้างถี่ แต่ละครั้งล้วนแต่เป็นสัญญาณหลอก (flase signal) ที่หลอกให้เสียเงินทั้งสิ้น วันนี้ลุงแมวน้ำจึงขอนำเอากราฟราคา CC มาให้ดูกันเนื่องจากกรณี CC เป็นกรณีที่น่าสนใจศึกษามาก



จากภาพ จะเห็นว่าจั้งแต่เดือนมีนาคม 2010 เป็นต้นมา ระบบของลุงแมวน้ำเกิดสัญญาณซื้อขายที่เป็นสัญญาณหลอกติดกันถึง 9 ครั้ง ส่วนระบบ PnT 1.10 ก็เกิดสัญญาณหลอกติดต่อกันถึง 7 ครั้ง เจอสัญญาณหลอก 3 ครั้งก็แย่แล้ว นี่โดนเข้าไป 7 ครั้ง 9 ครั้ง เมื่อดูจากกราฟจะเห็นว่าตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมาราคาโกโก้แกว่งตัวออกข้างในแบบไร้ทิศทางซึ่งมีกรอบการแกว่งตัวขึ้นลงค่อนข้างกว้าง เมื่อเกิดการออกข้างในลักษณะกรอบกว้างเช่นนี้ย่อมต้องเสียเงินมาก แบบนี้เป็นใครก็ต้องหมดตัวเนื่องจากระบบตามแนวโน้มใช้ไม่ได้กับตลาดในภาวะไร้ทิศทาง หากไร้ทิศทางและแกว่งตัวในกรอบแคบหรือแกว่งตัวเป็นสามเหลี่ยมชายธงก็เสียเงินในตอนต้นมากหน่อย และต่อมาเมื่อหลุดจากปลายธงก็จะกลับเข้าสู่แนวโน้มได้ แต่การแกว่งของ CC นี้แกว่งแบบเป็นจังหวะคลื่นซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไรจะพ้นจากสภาวะไร้ทิศทางนี้ได้

เมื่อเราพบกับสินค้าเช่นนี้ ในตอนแรกคงไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดสัญญาณหลอกติดต่อกันกี่ครั้งเนื่องจากไม่มีใครรู้อนาคต กว่าจะรู้ตัวก็คืนกำไรแถมทุนไปโขแล้ว ดังนั้นแต่ละคนต้องมีจุดตัดสินใจว่าหากเกิดสัญญาณหลอกติดกันกี่ครั้งก็หยุดเทรดต้องมาทบทวนกลยุทธ์แล้ว สินค้ามีให้เลือกเทรดตั้งหลายอย่างไม่จำเป็นต้องมาทนกับตัวที่เราแพ้ทาง การศึกษารูปแบบทางเทคนิคเดิมๆของสินค้าตัวนั้นๆก็พอช่วยได้บ้าง

แต่เหรียญมีสองด้าน เมื่อมีเสียก็ต้องมีดีบ้าง รูปแบบของ CC เช่นนี้นักเก็งกำไรในตลาดไร้ทิศทางคงจะชอบเนื่องจากแกว่งเป็นคาบไปเรื่อยๆ หากจับจังหวะการแกว่งได้ก็ได้เงินใช้เป็นรอบๆเลยทีเดียว แต่ลุงแมวน้ำไม่แนะนำ เนื่องจากระบบที่ใช้เทรดต้องเป็นระบบที่ใช้กับตลาดไร้ทิศทาง ซึ่งเป็นคนละระบบกับระบบตามแนวโน้ม ผู้ที่มินิสัยถือยาวชอบเทรดตามแนวโน้มมักปรับตัวกับระบบไร้ทิศทางไม่ค่อยได้เนื่องจากต้องเทรดค่อนข้างไว อีกประการการจับคาบการแกว่งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

เมื่อดูกรณีศึกษา CC ไปแล้ว คราวนี้เรามาดูเรื่องที่ลุงแมวน้ำคุยค้างเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานกันต่อ

จากการใช้การทดสอบทางสถิติแบบง่ายๆด้วยสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ หรือถ้าจะเรียกให้เต็มก็คือสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (Pearson's correlation coefficient) เืพื่อทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล 2 ชุดว่ามีความสัมพันธ์กันหรือไม่ ซึ่งเมื่อวานเราได้คุยกันไปแล้วว่าราคายางพารากับราคาน้ำมันดิบสัมพันธ์กันบ้าง แต่ไม่แนบแน่น ตามกันบ้าง ไม่ตามกันบ้าง

วันนี้ลุงแมวน้ำมีผลทดสอบที่จะมานำเสนออีก จากการวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์จากข้อมูลตั้งแต่ต้นปี 2007 จนถึงปัจจุบัน รวมแล้วเป็นข้อมูลมากกว่า 800 วันทำการ ได้ความสัมพันธ์ระหว่างสินค้าดังนี้

  • ความสัมพันธ์ระหว่างยางพารากับสินค้าเกษตรอื่นๆ ลุงแมวน้ำพิจารณาจากดัชนีสินค้าเกษตรของดอยทช์แบงก์ (Deutsch Bank Agriculture USD Index) ซึ่งรวมสินค้าเกษตรหลัก ได้แก่ ข้าวโพด ข้าวสาลี ถั่วเหลือง น้ำตาล โกโก้ ฝ้าย และกาแฟ ได้ค่า r = 0.4409 (ยังห่า่งจาก 1 อีกไกล แสดงว่ามีความสัมพันธ์ตามกันอยู่บ้างแต่ไม่มากนัก)
  • ความสัมพันธ์ระหว่างดัชนีสินค้าเกษตรของดอยทช์แบงก์และราคาน้ำมันดิบ r = 0.8784 (ค่าเข้าใกล้ 1 แสดงว่ามีความสัมพันธ์กันสูง ตีความได้ว่าเมื่อราคาน้ำมันดิบขึ้น ราคาสินค้าเกษตรในกลุ่มนี้ก็จะขึ้นตามไปด้วย)
  • ราคายางพารากับค่าเงินดอลลาร์ คำนวณจากราคายางพารากับดัชนีดอลลาร์ สรอ r = -0.4869 (ค่าอยู่ระหว่าง 0 กับ -1 แสดงว่ามีความสัมพันธ์แบบสวนทางกัน กล่าวคือ เมื่อดอลลาร์แข็ง ราคายางพาราจะตก แต่เนื่องจากค่านี้ยังห่างจาก -1 อีกไกล แสดงว่าบางครั้งยางพาราก็ราคาตก บางครั้งก็ราคาไม่ตก และเมื่อเงินดอลลาร์อ่อนค่า ราคายางพาราก็ขึ้นบ้าง นิ่งๆบ้าง)
  • ดัชนีสินค้าเกษตรของดอยทช์แบงก์และเงินดอลลาร์ สรอ r = -0.7609 (ค่าใกล้ -1 หมายความว่าความสัมพันธ์แบบสวนทางนี้ค่อนข้างเสมอต้นเสมอปลาย เมื่อเงินดอลลาร์อ่อน ราคาสินค้าเกษตรหลักจะสูงขึ้น และเมื่อเงินดอลาร์แข็งค่า ราคาสินค้าเกษตรหลักจะลดลง)

คราวนี้ลองมาดูภาพกัน

ยางพารากับสินค้าเกษตรอื่นๆ ลุงแมวน้ำพิจารณาจากดัชนีสินค้าเกษตรของดอยทช์แบงก์


ดัชนีสินค้าเกษตรของดอยทช์แบงก์และราคาน้ำมันดิบ


ราคายางพารากับดอลลาร์ สรอ


ดัชนีสินค้าเกษตรของดอยทช์แบงก์และดอลลาร์ สรอ


วิธีการนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ก็อย่างเช่น คู่ใดที่มีความสัมพันธ์กันมากก็นำไปใช้พิจารณาเลือกลงทุนได้ เมื่อราคาน้ำมันดิบขึ้น กองทุนสินค้าเกษตรก็เป็นทางเลือกหนึ่งได้อีกทางหนึ่งในการลงทุน หรือหากราคาน้ำมันดิบร่วงก็อาจพิจารณาลดหรืองดการลงทุนในกองทุนสินค้าเกษตร

หรือคู่ใดมีความสัมพันธ์กันต่ำก็จะได้ทราบว่าสินค้าคู่นี้ราคาไม่ตามกันหรือไม่สวนกัน

สำหรับวันนี้ ลุงแมวน้ำมีคำถามที่ฝากเอาไปคิดเล่นสนุกๆ นั่นคือ

  • ราคาทองคำกับค่าเงินดอลลาร์สัมพันธ์กันเพียงใด
  • ราคาทองคำกับราคาน้ำมันสัมพันธ์กันเพียงใด
  • ดัชนี SET กับดัชนีดาวโจนส์สัมพันธ์กันเพียงใด
  • ราคาน้ำตาลตลาดโลกกับราคาหุ้นของโรงงาน้ำตาลในไทยสัมพันธ์กันเพียงใด

พรุ่งนี้มาดูคำตอบกัน

Tuesday, August 10, 2010

09/08/2010 * RSS, ราคายางพาราตามราคาน้ำมันดิบหรือไม่

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 875.18 จุด เพิ่มขึ้น 0.11 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 47 ตัว

สำหรับกลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ดัชนี SET กับ RSI และดัชนีดาวโจนส์ (DJI) กับ RSI ต่างก็เกิดรูปแบบลู่เข้าหรือว่า convergence แล้ว ถือว่าเป็นสัญญาณการกลับทิศแนวโน้มประการหนึ่ง คงต้องติดตามสัญญาณการกลับทิศอื่นๆที่อาจจะตามมา

ช่วงนี้ราคายางพารากลับทิศมาเป็นขาขึ้นอีก เมื่อลองนับคลื่นดูก็เป็นไปได้ว่าขณะนี้เราอาจอยู่ในคลื่น 5 (สีน้ำตาลแล้ว) และถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ราคายางรอบนี้ควรจะไปได้ไกลกว่า 113.85 บาท ซึ่งเป็นราคาของยอดคลื่น 3 (สีน้ำตาล)



หลายๆคนคิดว่าทิศทางของราคายางพาราเป็นไปตามราคาน้ำมันดิบ เพราะตามลักษณะการใช้งานแล้ววัสดุที่ทำด้วยยางพารากับวัสดุทางปิโตรเคมีเป็นสินค้าที่ทดแทนกันได้หลายตัวทีเดียว เมื่อน้ำมันดิบแพง สินค้าด้านปิโตรเคมีก็แพงขึ้น ราคายางพาราอันเป็นวันดุทดแทนจึงสูงขึ้นด้วย แต่ผู้ที่เทรดยางพาราและสังเกตราคาน้ำมันดิบตามไปด้วยอาจสังเกตพบว่าในบางช่วงกลับไม่เป็นเช่นนั้น บางช่วงน้ำมันดิบขึ้นแต่ยางพาราทรงตัว บางช่วงน้ำมันดิบทรงตัวแต่ยางพาราขึ้น อย่างเช่นในช่วงที่ผ่านมานี้เป็นช่วงที่น้ำมันดิบทรงตัวและยังแกว่งอยู่ในกรอบ แต่ทว่าราคายางพารากลับขึ้นมาค่อนข้างมาก

เนื่องจากลุงแมวน้ำมีหัวคำนวณอยู่บ้างนิดหน่อย เมื่อว่างจากการแสดงละครสัตว์ก็ลองนำเอาข้อมูลต่างๆมาคำนวณดูเล่นสนุกๆ เพื่อพิสูจน์ความจริงในข้อที่ว่าราคายางพารากับราคาน้ำมันดิบตามกับหรือไม่ ลุงแมวน้ำจึงลองใช้เครื่องมือทางสถิติอย่างง่ายดู นั่นคือ การพิจารณาสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (correlation coefficient)

ก่อนที่เราจะมาดูผลการคำนวณ เรามาทำความเข้าใจกับสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์นี้กันก่อน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เป็นการคำนวณความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล 2 ชุด แล้วบ่งบอกออกมาว่าข้อมูลสองชุดนั้นมีความสัมพันธ์กันหรือไม่ ค่าที่คำนวณออกมาได้เราเรียกว่าค่าอาร์ (r) วิธีการคำนวณเป็นอย่างไรนั้นคงไม่นำมากล่าวในที่นี้เพราะว่าจะปวดหัวกันเปล่าๆ แต่สรุปได้ว่าค่าที่คำนวณออกมาได้นี้มีค่าตั้งแต่ -1 ถึง 1

  • หาก r มีค่าเป็น 1 หรือมีค่าใกล้กับ 1 มากๆ แสดงว่าข้อมูลสองชุดนั้นมีความสัมพันธ์ไปตามกันอย่างแน่นแฟ้น ชนิดที่ว่าไปไหนต้องไปด้วยกันเสมอ
  • หาก r มีค่าไม่ถึง 1 คืออยู่ระหว่าง 0 ถึง 1 ก็ต้องดูว่าค่านั้นมากน้อยเพียงใด อย่างเช่น r=0.5 แสดงว่ามีความสัมพันธ์กันอยู่บ้าง แต่ไม่ถึงกับแน่นแฟ้น ตามบ้างไม่ตามบ้าง
  • หาก r มีค่าน้อยและเข้าใกล้ 0 ความสัมพันธ์จะยิ่งน้อยลง r ใกล้ 0 เท่าใดแสดงว่ายิ่งไม่มีความสัมพันธ์กัน
  • หาก r มีค่าเป็น -1 หรือว่าเข้าใกล้ -1 มากๆ แสดงว่ามีความสัมพันธ์แบบสวนทางกัน นั่นคือ อย่างหนึ่งขึ้น อย่างหนึ่งจะต้องลง เรียกว่าไปด้วยกันไม่ได้เลย ต้องตรงกันข้ามกันเสมอ
  • หาก r มีค่าอยู่ระหว่าง -1 ถึง 0 ก็ต้องดูว่าค่านั้นมากน้อยเพียงใด อย่างเช่น r = -0.5 แสดงว่ามีความสัมพันธ์แบบสวนทางกันอยู่บ้าง แต่ไม่ถึงกับสวนกันเสมอไป บางทีก็สวนทางบ้าง บางทีก็เฉยๆไม่สวนทางบ้าง (ข้อนี้จะเข้าใจยากหน่อย แต่ไม่เป็นไร ไม่เข้าใจก็ข้ามไปก่อน)

ลองมาดูตัวอย่างกันดีกว่า เห็นภาพแล้วจะได้เข้าใจง่ายขึ้น

เราลองมาดูตัวอย่างของคู่ที่มีความสัมพันธ์แบบตามกันแน่ๆนั่นก็คือ S50 กับ SET50 เหตุที่ต้องตามกันแน่ๆก็คงทราบกันดี เพราะว่า S50 เป็นอนุพันธ์ที่อิง SET50 ดังนั้นการเคลื่อนไหวของ S50 จึงเป็นไปตาม SET50

ลุงแมวน้ำนำเอาข้อมูลย้อนหลังตั้งแต่ปี 2007 ถึงปัจจุบันมาคำนวณดู พบว่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของ S50 และ SET50 มีค่าเท่ากับ 0.9992 หรือว่า r = 0.9992

จะเห็นว่าค่า r มีค่าเข้าใกล้ 1 มาก แสดงว่า S50 กับ SET50 ตามกันชนิดแนบแน่นทุกฝีก้าวเลยทีเดียว

หากเรานำเอาค่าปิดของ S50 และ SET50 ในแต่ละวันมาพล็อตกราฟดูเราจะได้ภาพเป็นแบบนี้



เส้นกราฟมีลักษณะแคบเรียว ชี้ทะแยงขึ้นไปทางขวา นั่นคือ เมื่อ SET50 มีค่าสูง S50 ก็มีค่าสูงไปด้วย เมื่อ SET50 มีค่าน้อง S50 ก็มีค่าน้อยตามไปด้วย

ทีนี้ด้วยวิธีการเดียวกันนี้ ลุงแมวน้ำนำเอาข้อมูลราคายางพารากับราคาน้ำมันดิบตั้งแต่ปี 2007 จนถึงปัจจุบันมาคำนวณดูบ้าง ได้ผลดังนี้

r = 0.6060 (แสดงถึงความสัมพันธ์พอประมาณ)

ลองมาดูกราฟกัน



จากภาพจะเห็นว่าลักษณะของกราฟที่ได้ไม่ได้เป็นเส้นเรียว แต่มีลักษณะกระจายตัวเป็นเส้นพองๆ แถมยังมีปลายเป็นสองหางเหมือนหางปลา นี่คือลักษณะของการมีความสัมพันธ์แบบตามกันอยู่บ้าง แต่ไม่ถึงกับแน่นแฟ้น บางช่วงก็ตามกัน บางช่วงก็ไม่ตามกัน ซึ่งจากภาพก็สอดคล้องกับค่า r ที่คำนวณได้ นั่นคือ มีความสัมพันธ์พอประมาณ ตามบ้างไม่ตามบ้าง (หากพิจารณาจากกราฟ กราฟที่เห็นเป็นหางปลานั้น หากแฉกบนคือช่วงที่ราคาตามกัน หางแฉกล่างคือช่วงที่ราคาไม่ตามกัน)

เมื่อเราทราบว่าความสัมพันธ์ระหว่างยางพารากับราคาน้ำมันดิบเป็นเช่นนี้แล้วเราสามารถนำไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง ขอฝากให้เพื่อนนักลงทุนนำไปคิดต่อยอดต่อไป เชื่อว่าน่าจะเป็นประโยชน์แก่เพื่อนนักลงทุนบ้าง

ด้วยวิธีการเช่นนี้ เราสามารถทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล 2 ชุดได้อีกมากมาย สมมติเช่น

  • ค่าเงินดอลลาร์กับราคาน้ำมันดิบสัมพันธ์กันหรือไม่
  • ราคาทองคำสัมพันธ์กับค่าเงินดอลลาร์จริงหรือไม่
  • ดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jones, DJI) กับดัชนี SET ตามกันหรือไม่
  • ราคายางพารากับสินค้าเกษตรตัวอื่นๆตามกันหรือไม่
ฯลฯ

ในวันต่อๆไปลุงแมวน้ำจะลองนำเอาราคาชุดอื่นๆมาทดสอบความสัมพันธ์กัน ลองมาดูกันว่าสินค้าคู่ใดมีความสัมพันธ์กันแบบใด และเป็นไปอย่างที่เราเคยคิดเอาไว้หรือไม่

Monday, August 9, 2010

06/08/2010 * การนับคลื่น GC

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 875.07 จุด เพิ่มขึ้น 0.05 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 47 ตัว

สำหรับกลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ทองคำในช่วงที่ผ่านมาได้ทำสถิติใหม่ เป็นราคาทองคำที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ประมาณ 1,258 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากนั้นก็ร่วงมาอยู่ที่ 1,100 ดอลลาร์กว่าๆ และแกว่งไปมาอย่างน่าใจหายเนื่องจากไม่รู้ว่าจะขึ้นต่อหรือว่าลงต่อกันแน่ ทางด้านมุมมองของนักวิเคราะห์ทั้งของไทยและต่างประเทศเท่าที่ลุงแมวน้ำอ่านข่าวมาส่วนให้น้ำหนักไปทางขึ้นต่อกันเสียมาก

ลุงแมวน้ำขอนำเอากราฟราคาทองคำในภาพใหญ่มาดูกัน ดังนี้



ภาพข้างบนนี้เป็นกราฟราคาทองคำในรอบ 40 ปีที่ผ่านมา พร้อมกับระบุเหตุการณ์สำคัญต่างๆประกอบเอาไว้ด้วย โปรดสังเกตว่าราคาทองคำนั้นเดิมพุ่งไปทำราคาสูงสุดประมาณปี 1979 ปัญหาในช่วงนั้นคือเกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง หลังจากนั้นทองคำก็อยู่ในขาลงมาเรื่อยจนในราวปี 1999 จึงถือว่าจบขาลงของคลื่นในระดับคลื่นใหญ่ จะเห็นว่าทองคำนั้นไม่ใช่ขึ้นตลอดกาล ขาลงทองคำก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วและกินเวลายาวนานถึง 20 ปี

เมื่อให้ปี 1999 เป็นการจบคลื่น C (สีน้ำเงิน) หลังจากนั้นเราก็เข้าสู่คลื่นขาขึ้น 1-2-3-4-5 ลองมาดู ลองดูภาพต่อไปนี้ ซึ่งเป็นกราฟราคาทองคำที่ต่อมาจากปี 1999 ว่าขณะนี้เราอยู่ในคลื่นอะไร



ปีสำคัญคือปี 2008-2009 ต้องพยายามนับว่าปีนั้นเป็นคลื่นอะไร ตามภาพ ลุงแมวน้ำนับเป็นคลื่น 3-4 (สีน้ำเงิน) หากเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่าขณะนี้เรากำลังอยู่ในคลื่น 5 ซึ่งพร้อมจะจบได้ทุกเมื่อ และหากจบคลื่น 5 ไปแล้ว ก็เข้าสู่ขาลง A-B-C (สีน้ำเงิน) ขาลงนี้จะกินเวลายาวนานเพียงใด และราคาจะร่วงลงไปมากเพียงใดเป็นเรื่องที่น่าคิด

คราวนี้เอาใหม่ หากเราประเมินว่าปี 2008-2009 เป็นคลื่น 1-2 (สีน้ำเงิน) เราจะได้ภาพดังนี้



หากเป็นไปตามภาพนี้ ขณะนี้เราอยู่ในคลื่น 3 (สีน้ำเงิน) และกว่าที่คลื่น 3 นี้จะจบ ราคาทองคำควรจะไม่ต่ำกว่า 1,750 ดอลลาร์/ออนซ์ ตามกฎของคลื่นที่ว่าคลื่น 3 ต้องไม่สั้นที่สุด ดังนั้นความสูงของคลื่น 3 ไม่ควรต่ำกว่าความสูงของคลื่น 1

ที่ลุงแมวน้ำเคยมองเอาไว้เดิมเป็นแบบแรก จะถูกหรือผิดเวลาจะเป็นผู้ตอบคำถามนี้ แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ ดังนั้นลุงแมวน้ำจึงมักเตือนว่าควรเทรดด้วยความไม่ประมาทและเทรดด้วยความเมตตา นักลงทุนส่วนใหญ่มักไม่ถนัดเรื่องการนับคลื่น ดังนั้นหากไม่ถนัดเรื่องการนับคลื่นควรสังเกตสัญญาณกลับทิศแนวโน้ม (trend reversal signal) พร้อมทั้งเทรดด้วยการใช้สัญญาณซื้อขายกำกับจึงจะค่อนข้างปลอดภัย ทองคำกับน้ำมันดิบแกว่งตัวแรง การเทรดทองคำกับน้ำัมันดิบให้ได้กำไรจึงค่อนข้างยาก

Friday, August 6, 2010

05/08/2010

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 874.92 จุด เพิ่มขึ้น 7.58 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ BH ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 47 ตัว

สำหรับกลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ดัชนีประเทศปิดบวกบ้างลบบ้างกระจายกันไป

Thursday, August 5, 2010

04/08/2010

วันนี้ดัชนี SET ปิดที่ 867.34 จุด เพิ่มขึ้น 2.86 จุด

สำหรับหุ้นในกลุ่ม SET50 วันนี้มีสัญญาณซื้อ BGH, BIGC ขณะนี้ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด 46 ตัว

สำหรับกลุ่มฟิวเจอร์ส วันนี้มีสัญญาณซื้อโกโก้ (CC)

ด้านดัชนีตลาดต่างประเทศ วันนี้ไม่มีสัญญาณซื้อขาย ดัชนีประเทศปิดบวกบ้างลบบ้างกระจายกันไป